ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 5773
ตอบกลับ: 15
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ความรักและคู่รักที่แท้

[คัดลอกลิงก์]
ความรักและคู่รักที่แท้
[size=-1]พระไพศาล วิสาโล



ปรับปรุงจากการสัมภาษณ์โดยรายการ
“The Exit ชีวิตมีทางออก”
วันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๔





พิธีกร พูดถึงเรื่องของความรัก เป็นนิยามที่คนยังสงสัยมาตลอดทุกยุคทุกสมัย ตลอดเวลา คำถามฮิต ความรักคืออะไร ทำไมเราต้องตื่นเต้นเวลาที่เราตกหลุมรัก บางคนก็บอกว่าเป็นปฏิกิริยาเคมีทางสมอง หรือว่าอาจจะเคยเป็นสามีภรรยากันเมื่อชาติอื่นๆ หรืออย่างไรก็แล้วแต่ ความจริงแล้วเราจะให้นิยามความรักคืออะไร?


พระไพศาล พุทธศาสนามองว่าความรักมีสองประเภท ประเภทหนึ่งเป็นความรักที่มีความยึดติดถือมั่น เป็นเจ้าข้าวเจ้าของ เพื่อตอบสนองตัวตน หรือหวังความสุขเพื่อปรนเปรอตัวตน เราเรียกว่า สิเนหะ หรือเสน่หา เป็นความรักที่ภาษาสมัยใหม่เรียกว่ารักแบบมีเงื่อนไข เช่น ต้องถูกใจฉัน ต้องพะเน้าพะนอฉัน ความรักอีกประเภทหนึ่งเป็นความรักที่เป็นความปรารถนาดี ไม่มุ่งหรือคาดหวังให้เขามาปรนเปรอตัวตน เป็นความปรารถนาดีโดยปราศจากความเห็นแก่ตัว อันนี้เรียกว่าเมตตา
มีความแตกต่างระหว่างเมตตากับสิเนหะ พุทธศาสนามองว่าสิเนหะเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์ เพราะว่าถ้าคาดหวังให้เป็นไปตามใจตัวแล้ว เมื่อไม่เป็นอย่างที่หวังก็ทุกข์ เกิดความพลัดพรากสูญเสียไปก็ทุกข์ แต่เมตตานั้น เนื่องจากไม่มีความยึดติดถือมั่นเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ดังนั้นเขาจะทำอย่างไรกับเรา เราก็ไม่ทุกข์ เพราะว่ามีแต่ความปรารถนาดีอย่างเดียว ไม่มีเงื่อนไขว่าเขาต้องทำดีกับฉัน เขาต้องเทิดทูนบูชาฉัน หรือว่าเขาต้องเป็นลูกของฉัน เป็นสามีของฉัน เป็นคนรักของฉัน พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระองค์มีความเมตตาต่อพระเทวทัตเท่ากับพระราหุล เมตตาคือความรักโดยไม่แบ่งแยก คนส่วนใหญ่มองว่าถ้าเป็นลูกฉันก็รัก ถ้าเป็นศัตรูฉันไม่รัก อันนี้เป็นสิเนหะ แต่เมตตาไม่มีเลือก ไม่มีแบ่งแยก เป็นความรักที่ไม่มีประมาณ ไม่มีเงื่อนไข ขณะเดียวกันเมื่อเกิดอะไรขึ้นกับเขา เราก็ไม่ทุกข์เพราะไม่ได้ยึดติดถือมั่นว่าเป็นเราเป็นของเรา หรือต้องอยู่กับเราชั่วนิจนิรันดร์

2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-11 12:45 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พิธีกร แล้วอย่างที่ว่า เวลาเรารักใครเราก็อยากอยู่ใกล้คนนั้น มีความคิดถึง มีอะไรพวกนี้ อันนี้มันเป็นส่วนหนึ่งของความรักใช่ไหมคะ


พระไพศาล อันนั้นเป็นสิเนหะ ในทางพุทธมีอีกคำหนึ่งคือคำว่าราคะ ราคะคือความปรารถนาที่จะครอบครอง เพราะว่ามันให้ความสุขแก่เรา เป็นความสุขทางผัสสะ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย อาจจะรวมถึงความอิ่มเอมใจด้วย ราคะใช้ได้กับทุกอย่างนะ แม้กระทั่งกับสิ่งของ เราอยากครอบครอง อยากอยู่ใกล้ทรัพย์สมบัติ เราก็เอาทรัพย์สมบัติ เอาเพชรนิลจินดามาดูทุกวัน แล้วก็มีความสุข อยากเอามาประดับติดตัว อยากอยู่ใกล้ ไม่อยากให้อยู่ไกล อันนี้เป็นราคะ
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-11 12:46 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พิธีกร ไม่ใช่ความรัก



พระไพศาล เป็นความรัก แต่เป็นความรักที่เจือด้วยกิเลส ที่ยังผูกติดกับเรื่องตัวตนอยู่ ที่จริงแล้วเราไม่ได้รักสิ่งนั้นอย่างจริงจังหรอก เรารักตัวเรา แต่เนื่องจากสิ่งนั้นให้ความสุขเรา ปรนเปรอเรา พะเน้าพะนออัตตาตัวตนของเรา เราก็เลยผูกใจปรารถนาสิ่งนั้น แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่สิ่งนั้นไม่เป็นไปดั่งใจหวัง ไม่พะเน้าพะนอเรา ไม่ปรนเปรออัตตาเรา เราก็เกลียด อย่างคู่รักที่เคยรักกันอย่างดูดดื่มแต่พอพบว่าเขาคิดไม่เหมือนเรา เขาไม่ให้เกียรติเรา ไม่จริงใจกับเรา ความรักที่มีก็เปลี่ยนเป็นความเกลียด ยิ่งพบว่าเขาปันใจให้คนอื่น เราก็ยิ่งเกลียดเขามากขึ้น รักก็กลายเป็นเกลียดไป ความรักแบบนี้คือรักตัวเอง ไม่ได้รักเขาอย่างแท้จริง



แต่จะว่าไปแล้ว เอาเข้าจริงๆ เรารักตัวเองหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย เพราะว่าถ้าเรารักตัวเอง เราก็อยากอยู่กับตัวเอง แต่คนส่วนใหญ่เวลาอยู่กับตัวเองคนเดียวไม่มีความสุข กระวนกระวาย อยู่คนเดียวในห้อง แม้ว่าจะอยู่ในโรงแรมห้าดาว แต่ถ้าไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่มีเฟสบุ๊ค ก็กระสับกระส่าย ทำไมล่ะ ในเมื่อรักตัวเองก็น่าจะมีความสุขเมื่ออยู่กับตัวเอง แต่ว่าคนส่วนใหญ่ ไม่มีความสุขที่จะอยู่กับตัวเอง ที่ทำมาทั้งหมดก็คือพยายามหนีตัวเอง เพราะทนอยู่กับตัวเองไม่ได้ เมื่อเรารักตัวเองไม่เป็น หรือรักตัวเองไม่ได้ เราจะไปรักใครได้อย่างแท้จริง แต่ทุกวันนี้ทุกคนที่อ้างว่ารักคนโน้นรักคนนี้ ที่จริงไม่ได้รักเขาหรอก แม้แต่ตัวเองก็ไม่ได้รัก
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-11 12:47 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พิธีกร ถามสำหรับน้องๆ หรือคนรุ่นใหม่ที่จะเลือกคู่ เขาจะมีวิธีที่จะเลือกคู่อย่างไรได้บ้าง?



พระไพศาล การที่คนเราจะอยู่ด้วยกันได้นาน จะต้องมีความเหมือน มีความสอดคล้องกัน เช่นสอดคล้องกันในเรื่องของศีล ศีลในที่นี้หมายถึงความประพฤติปฏิบัติ หากว่าเป็นคนที่มีความประพฤติปฏิบัติไปในแนวทางเดียวกัน เช่นเป็นคนที่ชอบทำบุญ ไม่ต้องการเบียดเบียน ใฝ่ในธรรมะ อันนี้ก็จะอยู่กันได้นาน พูดง่าย ๆ คือมีการดำเนินชีวิตไปในแนวทางเดียวกัน แต่ถ้าสวนทางกันหรือไม่เหมือนกัน ก็อยู่ด้วยกันได้ยาก เช่น คนหนึ่งอยากรวย แต่อีกคนใฝ่ธรรม คนหนึ่งโลภเพราะคิดว่ามีเงินจึงจะมีความสุข แต่อีกคนเห็นว่าการสละการปล่อยวางมีความสุขกว่า อย่างนี้ก็อยู่กันลำบาก อยู่ด้วยกันไม่ยืด


นอกจากศีลแล้ว ประการต่อมาก็คือ การแบ่งปัน หรือ จาคะ คือต้องมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เหมือนกัน ถ้าหากบางคนตระหนี่ก็จะอยู่กับคนที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องมีความเหมือนกันในแง่นี้ด้วย ศรัทธาและปัญญาก็เช่นกัน มีศรัทธาคล้าย ๆ กัน มีปัญญาเสมอกัน ก็อยู่กันได้นาน ธรรมทั้ง ๔ ประการเรียกว่า สมชีวิธรรม คือ ธรรมที่ทำให้คู่สมรสมีชีวิตที่กลมกลืนกัน ครองคู่กันได้นาน เรื่องนี้สำคัญมากคือการมีสาระของชีวิตสอดคล้องไปในทางเดียวกัน แต่ว่าถ้าต่างกันหรือสวนทางกัน จะอยู่ด้วยกันลำบาก สรุปก็คือสิ่งที่จะทำให้อยู่ด้วยกันได้ดีที่สุดคือธรรมะ หากมีธรรมะเหมือนกันก็จะยึดเหนี่ยวประสานน้ำใจให้เป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น

5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-11 12:49 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พิธีกร คือว่าวิธีการเลือกคู่แท้ของคนรุ่นใหม่ก็ต้องตรวจสอบดูว่า ข้อที่หนึ่งมีศีลเสมอกันหรือเปล่า ข้อสองมีศรัทธาเสมอกันหรือเปล่า ข้อที่สามมีจาคะ มีความยอมสละกันได้ไหม เราอยากทำบุญ แฟนเราอยากไปเดินห้างก็ต้องดู ข้อสุดท้ายก็เป็นเรื่องของปัญญาที่ต้องเสมอกันด้วย ถ้าตรวจสอบดูแล้วว่าตรงกันก็คือเลือกได้เลย มาถูกคนแล้ว



พระไพศาล
ธรรมทั้ง ๔ ประการจะทำให้อยู่กันได้นาน แต่ส่วนใหญ่เรามักจะดูกันแต่รูปร่างหน้าตา หรือไม่ก็ดูแต่เปลือกนอก เช่นว่ารวยไหม มีทรัพย์สินเงินทองเท่าไร เหล่านี้เป็นของชั่วคราวประเดี๋ยวประด๋าว คือไม่สามารถที่จะยึดเหนี่ยวจิตใจได้จริง รูปร่างหน้าตาที่สวย ภูมิใจได้ประเดี๋ยวประด๋าว พออยู่ไปนานๆ เจอทุกวันๆ นอนด้วยกัน อยู่บ้านเดียวกัน เดี๋ยวก็เบื่อ เหมือนกับการกินหูฉลาม แม้จะอร่อย แต่ถ้ากินทุกวันๆ วันละสามมื้อ ไม่นานก็เบื่อ ความสุขแบบนี้เรียกว่ากามสุข เป็นของประเดี๋ยวประด๋าว เบื่อง่าย ทำให้ต้องแสวงหาสิ่งใหม่ๆ อยู่เรื่อย แม้กระทั่งนางเอกพระเอกแต่งงานกัน บางทีอยู่กันแค่สองสามปีก็เลิกกัน เพราะความรู้สึกว่าเขาสวยเขาหล่อนั้นเป็นความรู้สึกที่จืดจางได้




แต่ว่าถ้าเป็นความดี มันยึดเหนี่ยวจิตใจได้นาน เหมือนกับคนเรากินน้ำหวาน เรากินไม่ได้ทั้งวันหรอก แต่เรากินน้ำจืดเรากินได้ทั้งวัน กินได้ทุกวันด้วย ไม่รู้จักเบื่อ อันนี้เป็นสิ่งที่คนสมัยนี้ไม่ค่อยได้ตระหนัก รักกันเพียงเพราะรูปร่างหน้าตา อย่างนี้เรียกว่ารักไม่เป็น คิดว่าอารมณ์ความรู้สึกหวือหวาชั่วครั้งชั่วคราวมันคือความรัก แต่ที่จริงแล้วมันเป็นราคะมากกว่า ราคะเป็นสิ่งที่ผูกใจได้ประเดี๋ยวประด๋าว ตื่นเต้นชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นเอง ถ้าเป็นความรักที่แท้จะผูกจิตประสานใจให้อยู่กันได้นาน

6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-11 12:50 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พิธีกร ที่เราบอกว่าเขารวย เขาหล่อ อันนี้เรียกว่าราคะ มันก็เลยแค่ประเดี๋ยวประด๋าว พอไปนานๆ มันก็เฉยชินไป?

พระไพศาล อย่างนี้แสดงว่าเราไม่ได้รักเขา เรารักเงินทองของเขา รักรูปร่างหน้าตาของเขามากกว่า แต่ว่าเราไม่ได้รัก ถ้าพูดภาษาปัจจุบันคือเราไม่ได้รักตัวตนของเขาจริงๆ





พิธีกร แล้วที่มีคำถามว่า รักแท้มีจริงไหม บางทีเราก็รู้สึกว่า เอ คนนี้มาจีบ อาจจะยังไม่ใช่เนื้อคู่เราที่แท้จริงต้องรอต่อไป บางคนก็เชื่อเรื่องนี้ว่าคนเรามีเนื้อคู่ของเรามาเองแล้ว เพียงแต่ยังไม่เจอกัน อันนี้พระอาจารย์มีความเห็นอย่างไรคะ?

พระไพศาล
อาตมาเชื่อว่ารักแท้มีจริงนะ แต่ว่ารักแท้มันมีหลายลักษณะ ความรักของแม่ที่มีต่อลูกก็เป็นรักแท้ ความรักของลูกบางคนที่มีต่อแม่ก็เป็นรักแท้ ความรักระหว่างสามีภรรยาที่เป็นรักแท้ก็มี ในสมัยพุทธกาลก็มีคู่ตัวอย่าง คือนกุลบิดาและนกุลมารดา ทั้งคู่เป็นคนที่ดีมาก เป็นผู้ที่ใฝ่ธรรม มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาและศรัทธาเสมอกัน พระพุทธเจ้ายกย่องว่านี่เป็นคู่ตัวอย่าง ทั้งสองคนเคยทูลพระพุทธเจ้า อย่าว่าแต่การนอกใจทางกายเลย แม้แต่คิดนอกใจไม่เคยมี เรียกว่ามีความซื่อสัตย์มั่นคงต่อกันมาก ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นที่จะให้ต่างฝ่ายต่างมาปรนเปรอตัวเอง ทุกคนก็ดำเนินชีวิตบนทางแห่งธรรมะ แต่ว่าเดินเคียงคู่กัน อันนี้คือสิ่งสำคัญ




คู่รักที่แท้จะมองไปในทิศทางเดียวกัน เดินเคียงคู่กัน แต่ไม่ผูกมัดกัน แล้วก็ไม่พึ่งพากัน ทุกคนต่างเดินไปข้างหน้าเหมือนกัน แต่ว่าช่วยเหลือกันและเดินเคียงคู่กัน พระพุทธเจ้าตรัสสืบเนื่องจากพระนกุลบิดาและนกุลมารดาว่า ถ้าหวังจะอยู่ด้วยกัน มีชีวิตคู่ร่วมกันทั้งในชาตินี้และชาติหน้า พึงเป็นผู้มีศีล จาคะ ปัญญา ศรัทธา เสมอกัน คำตรัสดังกล่าวแสดงว่า เนื้อคู่มีอยู่จริง เนื่องจากได้ทำความดีต่อกัน มีทั้งศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญามาในชาติที่แล้ว มาชาตินี้ ก็จะได้มาเจอกันและได้เป็นคู่ครองกันอีก ถ้าพิจารณาจากคำตรัสของพระพุทธเจ้าตรัส ก็จะเห็นได้ว่าคู่รักที่แท้นั้นมีอยู่จริง เป็นเพราะว่าได้ทำบุญร่วมกันและทำบุญเสมอกัน

7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-11 12:51 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พิธีกร ถามพระอาจารย์ต่อจากเรื่องเมื่อสักครู่ว่ามีเพื่อนคนหนึ่ง เป็นชาวพุทธที่ดีคนหนึ่ง และเป็นคนทำงาน เป็นผู้หญิงเก่ง ทำงานประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานดี ครอบครัวมีฐานะดี หน้าตาดีทุกอย่าง จนอายุสี่สิบกลางๆ แล้วก็ไม่มีใครมาชอบเลย หรือชอบเขา เขาก็ไม่ชอบ จนวันหนึ่งเขาก็พูดขึ้นมาว่า หรือเป็นเพราะว่าชาติที่แล้ว เขาไปอธิษฐานผิดๆ หรือเปล่าว่า ขอให้เกิดมาเป็นเนื้อคู่กันทุกชาติ และปรากฏว่าเนื้อคู่เขาอาจยังไม่มา ยังไม่เจอสักที ความเชื่ออย่างนี้เป็นอย่างไรบ้าง?


พระไพศาล
อันนี้ก็มีคำอธิบายหลายอย่าง อาจเป็นเพราะว่าเนื้อคู่ยังไม่เกิด หรือว่ายังไม่ได้พบกัน ที่จริงบางคนกว่าจะได้พบเนื้อคู่จริงๆ ก็อายุมาก อาตมารู้จักคู่หนึ่งมาพบกันเมื่ออายุแปดสิบปี ก็รักกันดี

8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-11 12:52 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พิธีกร แปดสิบปีเลยเหรอคะ?

พระไพศาล แปดสิบปี ก่อนหน้านั้นก็มีคู่มาแล้วแต่ก็เป็นทุกข์ ส่วนคนใหม่นั้นก็อยู่ด้วยกันได้ดี คู่รักที่แท้นั้นบางทีก็มาแต่งงานกันเป็นครั้งที่สอง แต่บางคนไม่มีคู่ก็เพราะจิตใจเขาน้อมไปในทางการมีชีวิตเอกา หรือการมีชีวิตโสดก็ได้ บางทีจิตใจอาจจะน้อมไปทางนั้น ซึ่งก็น่าจะดี เพราะว่าในทางพุทธศาสนาการมีชีวิตคู่แล้วมีความสุขนั้นเป็นเรื่องยาก เหมือนกับถูกลอตเตอรี่ ส่วนใหญ่จะไม่มีความสุข เพราะว่าวางจิตวางใจไม่เป็น มีความยึดติดถือมั่น ชีวิตคู่ที่มีความสุขนั้นมี แต่ยาก เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีคู่แล้วมีความสุขได้ อาตมาก็ว่าเป็นเรื่องดี ไม่ใช่เรื่องเสียหาย อย่าไปคาดหวังพึ่งพาความสุขจากคนอื่น เราต้องรู้จักพึ่งตนเอง แล้วจะพบว่าความสุขอยู่ในใจเรานี่เอง


พิธีกร บางครั้งพอเรามีคู่ เราก็รู้สึกเหมือนมีห่วง คิดว่าคู่เราจะเป็นอย่างไร หรือลูกเราจะเป็นอย่างไร แล้วเรื่องนี้จะทำอย่างไร บางครั้งเราก็รู้สึกเหมือนกับว่า ถ้าเราไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ มันก็จะทำให้เราเป็นทุกข์ได้เหมือนกัน?

พระไพศาล ต้องมีอุเบกขา มีเมตตา กรุณา แล้วต้องมีอุเบกขาด้วย อุเบกขาคือการวางใจเป็นกลาง ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเราทำดีที่สุดกับเขาแล้ว เราก็ต้องรู้จักให้เขามีอิสระเป็นตัวของตัวเอง ถ้าเราไปจ้ำจี้จ้ำไช หรือไปดูแลเขาทุกอย่าง ก็จะไม่ทำให้เขาไม่รู้จักเติบโต ไม่ทำให้เขารู้จักรับผิดชอบตัวเอง หรือว่าเวลาลูกทำผิดพลาด พ่อแม่ก็ต้องปล่อยให้เขารับโทษหรือรับผิดชอบการกระทำนั้น ๆ ด้วยตัวเองอย่าไปแทรกแซงเขา อุเบกขาจะช่วยทำให้เราวางใจเป็นกลางได้ ทำให้เขารู้จักพึ่งตัวเองและรับผิดชอบตัวเอง อันนี้เป็นการแสดงความรักที่ดีที่สุด ก็คือทำให้เขาพึ่งตนเองได้หรือว่าเอาธรรมเป็นที่พึ่ง
9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-11 12:53 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พิธีกร พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกเสมอหรือคะว่าความรักคือความทุกข์ จริงๆ แล้วก็มีเหมือนกันนะคู่ที่เสมอกันก็อาจจะส่งเสริมกันเกื้อกูลกันก็อาจจะไม่ได้เป็นทุกข์ก็ได้ ดังนั้นมันต้องมีหลักหรือเปล่าคะ หลักอะไรที่ทำให้เรามีตรงนี้เสมอกัน หรือว่าเป็นธรรมะในการครองคู่ที่ทำให้เราทุกข์น้อยที่สุด หรือว่าจริงๆ มันต้องทุกข์อยู่แล้ว?


พระไพศาล พระพุทธเจ้าตรัสว่า ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ ถ้ารักร้อยก็ทุกข์ร้อย ถ้ารักเก้าสิบก็ทุกข์เก้าสิบ ถ้ารักหนึ่งก็ทุกข์หนึ่ง ถ้าไม่รักก็ไม่ทุกข์เลย แต่จะทุกข์เรื่องอื่น ทุกข์เพราะความเจ็บความป่วยก็ได้ แต่ทุกข์เพราะความผิดหวังในรักจะไม่มี อันนี้พระพุทธเจ้าตรัสกับนางวิสาขา หลานนางวิสาขาเสียชีวิต นางวิสาขาเสียใจ พระพุทธเจ้าก็เลยตรัสประโยคนี้ขึ้นมาเพื่อให้นางวิสาขาได้สติ คือความรักให้ความสุขก็จริง แต่สุขกับทุกข์มักจะอยู่ด้วยกัน ในทุกที่ๆ มีสุขจะเจือไปด้วยทุกข์เสมอ นี้เป็นธรรมดาของความสุขแบบโลกๆ ถ้าเราปรารถนาจะได้รับความสุขเมื่อมีความรักก็ต้องเผื่อใจให้กับความทุกข์ด้วย เว้นแต่ว่าเราไม่ยึดมั่นถือมั่น เวลาเขาตายจากไปหรือเขาเจ็บเขาป่วยเราก็ไม่ทุกข์ แต่ไม่ได้แปลว่าปล่อยปละละเลย เราก็ดูแลเขาอย่างดีที่สุดขณะที่เขายังอยู่กับเรา


เพราะฉะนั้นเวลาเราจะรักก็รักด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเขาจะต้องอยู่กับเราไปตลอด รักโดยมีความเข้าใจในเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตากำกับด้วย คือถ้าไม่เข้าใจเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาก็จะยึดมั่นว่าเขาจะต้องเที่ยง เขาจะต้องอยู่กับเราไปจนตาย เขาจะต้องให้ความสุขกับเรา หรือว่าเขาจะต้องเป็นของเราคนเดียว คิดแบบนี้แสดงว่าไม่เข้าใจเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่ถ้าเราเข้าใจ เมื่อรักก็จะรักแบบเมตตา ปรารถนาดีกับเขาโดยไม่มีเงื่อนไข หรือไม่ได้คาดหวังยึดมั่นกับเขา



เหมือนกับเรากินปลา เราก็ฉลาดที่จะกินโดยไม่ให้ก้างปลาตำ ปลามันก็ต้องมีก้างใช่ไหม คนส่วนใหญ่กินแบบไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ก็จะถูกก้างปลาตำ หรือเหมือนกับปลาที่พอเห็นเหยื่อก็ฮุบทันที ทีแรกก็มีความสุขเพราะอร่อย แต่สักพักก็จะเจ็บเพราะถูกเบ็ดทิ่มปาก แต่ถ้าเราฉลาดเราก็จะไม่ฮุบเบ็ดนั้น หรือว่าถ้าเราจะกินปลา เราก็จะกินปลาอย่างมีสติ ไม่ให้ก้างปลาตำคอ เราก็ทำได้ นั่นคือมีเมตตาที่เกิดจากปัญญาหรือความเข้าใจความจริง ไม่ใช่รักแบบราคะหรือรักด้วยความยึดมั่นถือมั่น แต่รักในความหมายที่เป็นเมตตา ปรารถนาดีอย่างไม่มีเงื่อนไข ถ้ามีความรักแบบนี้ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเขาเราก็ไม่ทุกข์ เพราะเรารู้ว่ามันเป็นธรรมดา มันเป็นอนิจจัง มันไม่เที่ยง แล้วทุกอย่างมันก็สามารถจะบีบคั้นเราได้ถ้าเราไปยึดติดถือมั่นกับมัน อันนี้คือความหมายของคำว่าทุกข์ อีกทั้งทุกอย่างไม่มีใครเป็นเจ้าของได้ อันนี้คืออนัตตา ถ้าเข้าใจเช่นนี้ได้เราก็สามารถรักเขาได้โดยไม่เป็นทุกข์

10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-11 12:55 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พิธีกร แต่ความเป็นจริง บางทีมันก็ไม่ใช่คู่แท้ เป็นเจ้ากรรมนายเวรมาก็มี


พระไพศาล
ก็ต้องเรียกว่าทำกรรมร่วมกันมา เป็นไปได้ และเกิดขึ้นบ่อยด้วย หลายคู่เมื่อแต่งงานกันไปแล้วแทนที่ชีวิตจะดีขึ้นหรือมีความสุขกลับเป็นทุกข์ยิ่งกว่าเดิม บางคนก็ถึงกับตายเพราะคู่ครองของตัวเอง เช่น ถูกคู่ครองทำร้าย คือความรักแทนที่จะนำไปสู่ความเจริญงอกงามของทั้งคู่ กลับทำให้ชีวิตต่ำลงหรือมีทุกข์มากขึ้น อธิบายได้อย่างหนึ่งว่าทั้งคู่เคยทำกรรมร่วมกันมาก่อน

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้