ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 10623
ตอบกลับ: 13
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ตราสวัสดิกะที่ฮิตเล่อร์ใช้ เป็นเครื่องหมายมาจากต่างดาวตามในประวัติคำภีร์โบราณ

[คัดลอกลิงก์]
ตราสวัสดิกะที่ฮิตเล่อร์ใช้ เป็นเครื่องหมายมาจากต่างดาวตามในประวัติคำภีร์โบราณ





สวัสดิกะ อายุ มากกว่า 10000 ปี มีทุกศาสนา

สัญลักษณ์สวัสดิกะมีบทบาทและเป็นที่จดจำของคนแทบทั้งโลกแต่หลายคนคงยังไม่รู้จักสวัสดิกะในความเป็นสัญลักษณ์เก่าแก่ของโลก เครื่องหมายสวัสดิกะมีอายุบนโลกนี้มานานกว่า10,000ปี พบได้ทัวทุกหนแห่งในโลกนี้ เชื่อว่าสัญลักษณ์สวัสดิกะ (Swastika) มีวิวัฒนาการจากอักษรอียิปต์โบราณ คือ ตัว "อันค์" (Ankh) ซึ่งหมายถึง ชีวิต (Life) ซึ่งที่มาแรกเริ่มก็ยังไม่เป็นที่กระจ่างชัดและยังเป็นที่โต้แย้งในหมู่นักโบราณคดีและนักวิชาการ อาจจะเนื่องจาก สัญลักษณ์สวัสดิกะถูกพบไปทั่วโลกในที่ต่างพื้นที่และต่างวัฒนธรรมกัน เช่น พบตามเครื่องปั้นดินเผาและ เหรียญโบราณที่อยู่ใต้ดินในพื้นที่ๆ เคยเป็นที่ตั้งของกรุงทรอยด์ สิ่งทอของยุคอินคา รวมทั้งพบตามประเทศต่างๆ ในทวีปเอเซีย ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และอินเดีย ไม่ว่าสัญลักษณ์นี้จะมีที่มาจากที่ใด แต่น่าจะมีการแพร่กระจายไป พร้อมๆกับการค้าและการเผยแพร่ศาสนา ผ่านเส้นทางการค้าทั้งเส้นทางสายไหมและเส้นทางขนส่งเครื่องเทศทางทะเล คำว่า "สวัสดิกะ" (Swastika) มาจากภาษาสันสกฤต โดยประกอบด้วยคำว่า "สุ" (Su) แปลว่า ดี รวมกับคำว่า "อัสติ" (Asti) แปลว่า มี และต่อท้ายด้วย "กะ" เป็นอาคม (ส่วนที่ต่อท้ายคำ) เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึง ความมีชีวิต ความกระตือรือร้น อำนาจ ความแข็งแกร่ง และความโชคดี สวัสดิกะพบได้ตามศาสนาต่างๆทั่วโลก เช่นศาสนาพุทธ(บนหน้าอกพระพุทธเจ้า) ศาสนาฮินดู (บนมือพระพรหม์) ศาสนายิว(มีดาววงล้อมสวัสดิกะ) ทิเบต(มี4จุดภายในสวัสดิกะ) ศาสนาคริส(มีสวัสดิกะเล็ก4อันในอันใหญ่1อัน)ฯลฯ


เป็นเครื่องหมายกากบาทที่ตรงส่วนปลายทำมุมฉาก โดยมีทั้งลักษณะที่ทิศทางด้านซ้าย (卍) หรือด้านขวา (卐) เครื่องหมายสวัสติกะ มีการใช้เป็นสัญลักษณ์ใน ศาสนาฮินดู และ พุทธศาสนา ในประเทศตะวันตกรู้จักกันมากในสัญลักษณ์ของฝ่ายนาซี โดยสวัสติกะของนาซีจะเอียงทำมุม 45 องศากับแนวระนาบ

สวัสติกะของฮินดูจะมีจุด ประดับที่มุมต่างๆ ของสัญลักษณ์

สัญลักษณ์สวัสติกะของฝ่ายนาซี จะมีลักษณะทิศทางทางด้านขวา (卐) หากสังเกตดูจะพบว่าเป็นรูปอักษรโรมันตัว S 2 ตัวซ้อนกัน ซึ่งย่อมาจากคำในภาษาเยอรมัน โดย S ตัวหนึ่งมาจากคำว่า "Stadt" แปลว่า บ้านเมือง และอีกตัวหนึ่งมาจากคำว่า "Sicherheit" แปลว่า ปลอดภัย





naizeezaa:

คนส่วนใหญ่คิดว่า เยอรมันอิจฉาคนยิว ที่ค้าขายเก่งกว่า ฉลาดกว่า

แต่ผมคิดว่าถ้าเก่งเฉยๆ ก็คงแค่ถูกอิจฉา อย่างมากก็คงแค่ถูกข้างปาบ้าน หรือถูกขับไล่
แต่ถ้าจะให้ถึงขั้นฆ่าแกงกัน คงเป็นไปได้ยากครับ
ถ้าชาวยิวไม่มีส่วนบกพร่องจริงๆ ฮิตเลอร์ก็คงยุให้คนเยอรมันฆ่ายิวไม่ขึ้น

ชาวยิวบกพร่องอย่างไร จึงถูกฆ่า

มีเรื่องเล่า ที่น่าจะมาจากทางฝ่ายเยอรมัน ว่าทำไมถึงเกลียดยิวนัก
แต่ก่อนชาวยิวมีธรรมเนียมการทำธุรกิจ แบบที่สมัยนี้หลายประเทศถือว่าผิดกฎหมาย

ชาวยิวทำอย่างไร

สมมติ ชาวยิวกลุ่มหนึ่ง เป็นลูกหลานของกิจการค้าเพชรพลอยที่มั่งคั่ง
กิจการเพชรพลอยร่ำรวย และอิ่มตัวแล้ว ต้องหาทางลงทุนในกิจการอย่างอื่น
กลุ่มนายทุนชาวยิวจะมาประชุมกัน สมมติว่าตกลงจะลงทุนในธุรกิจรองเท้า

ชาวยิวจะให้ทุนลูกหลาน คนรุ่นใหม่ ไปลงทุนทำโรงงานรองเท้า
ไม่ทำแค่โรงเดียว แต่จะทำหลายโรงงาน หลายยี่ห้อ พร้อมๆกัน
ตอนแรกจะยอมขาดทุน โดยอาศัยเงินทุนจากกิจการเพชรพลอยหนุนหลัง
เพื่อกดดันให้โรงงานรองเท้าของคนเยอรมันเลิกกิจการ

เมื่อโรงงานรองเท้าอื่นเริ่มประกาศขายกิจการ ยิวก็จะเข้าไปซื้อกิจการเพิ่ม
พอยิวมีส่วนแบ่งรวมในตลาดมากพอ ก็จะกดดันร้านขายรองเท้า
โดยสร้างเงื่อนไขว่า ต้องซื้อรองเท้าจากโรงงานของชาวยิวเท่านั้น
ถ้าพบว่าร้านขายรองเท้าแห่งใด ซื้อรองเท้าจากโรงงานของคนเยอรมัน
โรงงานรองเท้าทั้งหมดของยิว จะไม่ยอมขายรองเท้าให้ ด้วยข้ออ้างต่างๆ เช่น ผลิตไม่ทัน
เมื่อยิวบีบให้ร้านขายรองเท้าต้องซื้อรองเท้าจากโรงงานของชาวยิวเท่านั้น
โรงงานรองเท้าของคนเยอรมันที่เหลือ ก็เจ๊งหมด
แล้วยิวก็เข้าไปกดราคาบังคับซื้อเอาถูกๆ

พอยิวได้ครอบครองโรงงานรองเท้าทั้งหมด ก็เริ่มตั้งร้านขายรองเท้าของตนเอง
ส่วนคนงานเย็บรองเท้าก็เริ่มถูกกดค่าแรง ไม่มีทางย้ายที่ทำงาน เพราะโรงงานทั้งหมดเป็นของยิว
โรงงานยิว จะขายรองเท้าให้ร้านของชาวยิวในราคาถูกพิเศษ แบบไม่เอากำไร
ทำให้ร้านรองเท้าของชาวยิวสามารถขายปลีกรองเท้าในราคาถูกกว่าร้านของคนเยอรมัน
ร้านขายรองเท้าของเยอรมันก็ค่อยๆทะยอยปิดกิจการลง ยิวก็เข้าไปกดราคาซื้อต่อกิจการ

ในที่สุดยิวก็ครอบครองร้านขายปลีกรองเท้าได้ทั้งหมด
เมื่อยิวครอบครองธุรกิจรองเท้าได้ครบวงจรทั้งหมดแล้ว
ถึงเวลาที่ยิวจะขึ้นราคารองเท้า ฟันกำไรชดเชยกับที่ยอมขาดทุนในตอนแรก

อุตสาหกรรมทำรองเท้าของคนเยอรมันเจ๊ง
ธุรกิจร้านค้ารองเท้าของขาวเยอรมันเจ๊ง
คนงานที่มีอาชีพเย็บรองเท้าถูกกดค่าแรง
ประชาชนเยอรมันต้องซื้อรองเท้าแพง

คนเยอรมันจะรู้สึกอย่างไร

ผ่านไปหลายปี บรรดาลูกหลานชาวยิวในธุรกิจรองเท้าเริ่มเติบโต แต่ธุรกิจรองเท้าอิ่มตัวแล้ว
ขาวยิวก็จะประชุมกัน ว่าจะยึดครองการค้าชนิดใดต่อไป

บางที ความโลภ และความไร้ยุติธรรม ของชาวยิวนั่นเอง ที่ฆ่าชาวยิว


การยึดครองธุรกิจแบบนี้ได้ผลยิ่ง
เหมือนกับเช้าวันหนึ่ง คนเยอรมันก็พบว่าร้านขายรองเท้าทุกร้านขึ้นราคาหมด
เมื่อถามต่อๆกันไป ก็พบว่ายิวยึดครองร้านค้าปลีกรองเท้าไปหมดแล้ว
หลักอุปสงค์อุปทาน หลักการตลาดทุกอย่าง ในเวลานั้นเป็นอันใช้ไม่ได้หมด
การแทรกตัวเข้าไปในธุรกิจที่ถูกยึดครองโดยขบวนการยิวนิยมนั้นทำได้ยาก
คนเยอรมันไม่สามารถตั้งร้านค้าปลีกรองเท้าเพิ่มขึ้นได้
เพราะไม่มีแหล่งโรงงานที่จะขายรองเท้าให้ในราคาที่เป็นธรรม
พร้อมๆกับไม่มีใครตั้งโรงงานรองเท้าขึ้นมาแข่งได้ เพราะไม่มีร้านค้าปลีกที่จะรับซื้อรองเท้า

ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เศรษฐกิจเยอรมันทรุดไปทั่ว
เปิดโอกาสให้ยิวเข้ายึดครองธุรกิจไปหลายประเภท
การยึดครองธุรกิจโดยกลุ่มนายทุนยิว มีผลต่อการจ้างงานด้วย
ลัทธิยิวนิยมทำให้ คนยิว มีโอกาสได้ตำแหน่งงานที่ดี ในธุรกิจที่มีคนยิวเป็นเจ้าของ
คนยิวแม้ไม่ใช่ครอบครัวนายทุน ก็พลอยมีฐานะการเงินที่ดี ในสังคมไปตามๆกัน
ส่วนคนเยอรมันก็ต้องเป็นลูกจ้างกรรมกรในโรงงานของยิว แถมถูกกดค่าแรง

การยึดครองธุรกิจของยิว ยังนำมาใช้สร้างองค์ประกอบของชนชั้นวรรณะ
รองเท้าชั้นดี ที่ผลิตได้ไม่ทันความต้องการ จะไม่ถูกนำขึ้นชั้นขาย จะเก็บไว้ขายให้ชาวยิวเท่านั้น
เรื่องรองเท้าชั้นดีมีไว้เพื่อชาวยิวโดยเฉพาะ รู้สึกว่าจะบาดใจคนเยอรมันเอามากๆ
เพราะเมื่อเกิดจลาจลทำร้ายชาวยิวตามท้องถนนในเมืองต่างๆ
คนยิวนอกจากถูกทุบตีทำร้ายแล้ว จะถูกถอดแย่งเอารองเท้าไปด้วย
ชาวยิวที่ตกเป็นเหยื่อ จะถูกบังคับให้เดินเท้าเปล่าไปตามถนน

ตามปกติการจะลุกขึ้นมาฆ่าแกงกัน ไม่ใช่เรื่องที่ทำง่ายๆ
ต้องเก็บกด บ่มความแค้นกันมานานพอควร
เรื่องชนชั้นคนจนคนรวย เป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้คนลุกขึ้นมาฆ่ากันได้
ปัญหาชนชั้นในเยอรมันยิ่งหนักหนา เมื่อชนชั้นคนรวย เป็นกลุ่มชนต่างชาติ
และรวยขึ้นมาด้วยวิธีการ ที่สมัยนี้ บางประเทศถือว่าผิดกฎหมายการค้า


RICHEST
ยิวเป็นนักคิดครับ กรีกเป็นนักปฏิบัติ "ถ้าไม่มียิวก็ไม่มี อาณาจักรกรีก โรมัน ที่รุ่งเรืองได้"

ผมเห็นต่างอยู่นิดนึง ตรงที่ "ถ้าไม่มียิวก็ไม่มี อาณาจักรกรีก โรมัน ที่รุ่งเรืองได้"

ด้วยอารยธรรมและกระบวนการเรียนรู้ ความคิดในตัวเองของชาวกรีกและโรมันก็

ไม่ได้ด้อยเลยโดยเฉพาะสมัยที่ กรุงเอเธนส์เต็มไปด้วยนักคิด นักปราชญ์ทั้งหลาย

มากมายหลายสำนัก และในสมัยที่กรุงโรมเรืองอำนาจก็ได้"ก๊อป"เอาวัฒนธรรม

ของกรีกมาปรับ ใช้ ผนวกกับการเป็นชนชาติที่มีระเบียบวินัยเป็นเลิศของโรมัน

จึงทำ ให้อาณาจักรโรมันเจริญรุ่งเรือง แต่คงไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าในด้านการค้า

ขาย การพาณิชย์คงอาจจะต้องพึ่งความสามารถของพวกยิวด้วย(ซึ่งในปัจจุบันก็คือ

ชน ชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศอิสราเอลนั่นเอง)

2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-12-11 08:50 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เชื่อหรือไม่นักวิทยา  ศาสตร์นาซี90 %เป็นยิว

น่าเหลือเชื่อนักวิทยาศาสตร์นาซี ในองค์กรของ  ฮิตเลอร์ จะเป็นยิวทั้งที่ฮิตเลอร์เกลียดยิวจะตายแต่ 90 % ของนักวิทยาศาสตร์นาซีเป็นยิว แน่นอนครับ คำโบราณที่ว่า ถ้าไม่มียิวก็ไม่มี  อาณาจักรกรีก โรมัน สเปน เปอร์เซียที่รุ่งเรืองได้และยุโรปคงหลังเขาดีๆนี้เอง  ถ้าไม่มีชาวยิว พ่อทูลหัว กลุ่มนี้  แน่นอน
ชาวยิวมีเคล็ดลับในการบริหารสมองหลักใหญ่คือ ทำสมาธิ โยคะ มโนภาพ สะกดจิต  สวดมนต์การแพทย์ธรรมชาติ เอ็นโดรฟิลล์ และวัฒนธรรมการกินของชาวยิวเขาก็จะกินแต่  ปลาเนื้อมัน ขนมปังโฮลวีต เนื้อสันในแกะ วัว น้ำผึ้งล้านเกสร  และที่เป็นวัฒนธรรมมากที่ของชาวยิวเลย คือ น้ำผึ้ง ปลา ขนมปังโฮลวีต  แต่นี้ไม่ใช้ประเด็นครับ ประเด็น คือ มีข่าวนี้ออกมานานแล้วว่า นักวิทยาศาสตร์นาซี  ได้มีโครงการสร้างสิ่งที่รู้จักในนามจานผี หรือ ufo นั้นเองและโครงการอื่นที่สร้างสรรค์นวัตกรรมสรรพสิ่งที่แสนจะมหัศจรรย์และ พิสดาร  อีกมากมาย เรื่องนี้เริมเมื่อปี คศ 1942 ฮิตเลอร์ต้องการที่จะชนะสงครามและสร้างโลกในแบบอนาคตหรือที่เรารู้จัก ยุค star war ถ้าใครเคยดู
แต่โครงการของฮิตเลอร์หลายอย่างแม้ แต่มีข่าวลือที่ว่า  วงแหวนสร้างอนุภาพจักรวาลที่ล้อมประเทศ สวิตเซอร์แลนด์นั้น  ก็มาจากโครงการวิจัยสร้างสรรค์นวัตกรรมสรรพสิ่งที่แสนจะมหัศจรรย์และพิสดาร  ของฮิตเลอร์ แม้ฮิตเลอร์นี้ นอกจากรักความยิ่งใหญ่แล้ว  ยังรักวิทยาศาสตร์และการคิดสร้างสรรค์ ดีจริง แต่ต้องพังทลายเพราะพันธิมตรและตัวเอง 1 ในข่าวรือล่าสุด คศ 1942 คือ ที่ พันธิมตรเกรงมากที่สุดนั้นคือ ufo หรือจนผี  แน่นอน
ฮิตเลอร์กำลังจะสร้าง สิ่งนี้เพื่อชนะสงคราม และโครงการสร้างทหาร อมนุษย์  ที่ลือกันว่า สูง 200 เซนติเมตร และโครงการมนุษย์อริยะชน  ที่มีความเฉลียวฉลาดสามารถทางด้าน
1 iq - สติปัญญา
2 eq - ควบคุมอารมรณ์
3  mq - ศีลธรรม
4 aq - ปราศจากอุปสรรค
5 pq - การเล่น
6 cq - การคิดสร้างสรรค์
7.sq - รักชาติ
8.esp - พลังสมาธิจิต ซึ้ง q นี้สำคัญมากเพราะให้กำเนิดและเสริมสร้าง cq - การคิดสร้างสรรค์
เพื่อ สร้าง q ต่างๆ และ เอ็นโดรฟิลล์ ซึ้งฮิตเลอร์ให้ความสำคัญมากๆ
แน่นอน ครับ มนุษย์อริยะชน  แม้จะได้รับความพิเศษใดทั้งชายหญิงแต่ในสายตา ฮิตเลอร์มองพวกนี้ เปรียบดัง  พราหมณ์มุนี แพทย์ ที่จะต้องรับใช้ซื่อสัตย์ สร้างสรรค์ เป็นโสเภณี  และมอบความอุดมสมบูรณ์รุ่งเรือง ให้กับ กลุ่มเยอรมันชนบริสุทธ์  ที่ฮิตเลอร์ยกย่องว่าเป็นวรรณะ กษัตริย์ โดยที่พวก กลุ่มเยอรมันชนบริสุทธ์  มีหน้าที่เลี้ยงดูให้อยู่ดีกินดีให้กับ มนุษย์อริยะชน
เท่านั้น  สำเร็จครับอย่างงดงามด้วย แต่ โดนพี่ๆ พันธิมตรยึดไว้ได้ก่อนจึงชวดไป
โครงการที่ 2 อันนี้เกี่ยวกับจานผี หรือ ufo หลังจากฮิตเลอร์สร้างกลุ่ม มนุษย์อริยะชน  แล้วเขาต้องการให้พวกนี้และนักวิทยาศาสตร์นาซี(ยิว)ของเขาติดต่อกับมนุษย์  ต่างดาวที่มีกลุ่ม  มนุษย์อริยะชนและนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งกาจสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมสรรพสิ่ง  ที่แสนจะมหัศจรรย์และ ที่แสนจะพิสดารหมหัศจรรย์ไฮเทค  เพื่อมาเป็นพันธมิตรในการทำสงครามหรือ มนุษย์อริยะชนนักวิทยาศาสตร์นาซี(ยิว) เองนั้นแหละครับจะทำ แต่โครงการนี้ก็เหมือนกับโครงการแรก  พันธมิตรไปสาระแนนยึดจนได้
โครงการ ที่ 3 โครงการ อมนุษย์ น่ากลัวมากครับ  เพราะพวกมันสูงเท่าบ้าน 2 ชั้น ไอ้ 200 เซนติเมตร พูดผิดครับ  อาวุธอะไรก็ทำอะไรมันไม่ได้ นอกจากระเบิดหรือ พลังงาน เท่านั้นยิงให้ตายก็ไม่ตาย  แถมโดนตัวมันก็โดนทำให้ไหม้เกรียม แถมพี่แก ใส่ชุดเกราะ เหล็กกล้า  ถ้าไม่ใช้ระเบิดใช้กระสุนก็ไม่โดน คล้ายเกมหนึ่งๆ เลยน่ะครับ  แต่อนิจาสร้างได้คุมไม่ได้ มีข่าวลือว่า ทหารนาซีที่ไปอยู่ที่นั้นตายเกี่ยงครับทั้ง 10000แม้แต่ทหารดำแต่ นักวิทยาศาสตร์เสือกรอดครับ

นี้เป็นแค่โครงการเด่นๆ  ที่ผมยกมาส่วนหนึ่งแค่นนั้นที่จริงยังมีอีกเยอะ ถ้าใครจำ นิโคลาส เทสลาห์ได้ หรือ  วิลเลี่ยม แฮมไรท์ ได้แน่นอนสิ่งประดิษฐ์  ของเขาก็อยู่ในโครงการวิจัยและสร้างสรรค์ของฮิตเลอร์เช่นกัน

http://www.thaiseoboard.com/index.php?topic=110514.0;wap2

เขามองว่าชาวอาหรับ "เป็นเชื้อชาติต่ำกว่า" เขาเชื่อว่า ชาวเยอรมันที่เป็นเชื้อชาติสูงส่งกว่า  ฮิตเลอร์ยกย่องศาสนาชินโตและวัฒนธรรมญี่ปุ่น แต่ฮิตเลอร์นั้นเน้นการปฏิบัติมากกว่า  เขาทุกข์ทรมานจากอาการและโรคต่าง ๆ ได้แก่ โรคลำไส้แปรปรวน รอยโรคที่ผิวหนัง  หัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคพาร์กินสัน ซิฟิลิส และมีเสียงในหู

อีกด้านหนึ่ง  เขาเป็นคนกินมังสวิรัติ ไม่กินเนื้อ เพราะกลัวโรคมะเร็ง  ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้มารดาของเขาเสียชีวิต เขาเป็นผู้นำต้านการทดลองในสัตว์  และเลือกทานอาหารอย่างลึกซึ้ง คนสนิทสั่งให้สร้างเรือนกระจกใกล้กับที่พักผู้นำ  เพื่อให้ฮิตเลอร์มีผลไม้และผักเพียงพออย่างต่อเนื่องตลอดสงคราม เขาไม่ดื่มเหล้า  และไม่สูบบุหรี่  เขาเป็นตัวตั้งตัวตีการรณรงค์งดสูบบุหรี่อย่างเข้มแข็งทั่วประเทศเยอรมนี

เขาเริ่มใช้แอมเฟตามีน (ยาบ้า) เป็นครั้งคราวตั้งแต่ ค.ศ. 1937 และเริ่มติดยาใน ค.ศ. 1942 ทำให้มีการตัดสินใจที่ไม่ยืดหยุ่นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เช่น  ไม่อนุญาตการร่นถอยทางทหาร เขาได้รับการสั่งจ่ายยาถึง 90 ชนิดที่แตกต่างกันระหว่างสงคราม และกินยาหลายเม็ดต่อวัน  เพราะปัญหากระเพาะอาหารเรื้อรังและอาการป่วยอื่น ๆ

เขาทุกข์ทรมานจากแก้วหูทะลุ อันเป็นผลของแรงระเบิดในแผนลับ 20 กรกฎาคม ใน  ค.ศ. 1944 และถูกถอนเสี้ยนไม้สองร้อยชิ้น ออกจากขาของเขา  มือฮิตเลอร์สั่นและเดินย่องแย่ง ซึ่งเริ่มขึ้นก่อนสงคราม  และเลวร้ายลงเมื่อใกล้บั้นปลายชีวิต เขารักษาโรคพาร์กินสันใน ค.ศ. 1945

ฮิตเลอร์เคยมีแผนการใหญ่ ตั้งแต่ก่อนเขาก้าวขึ้นสู่อำนาจ  ในการทำลายอิทธิพลของศาสนจักรคริสต์ภายในจักรวรรดิไรช์ โดยการทำลายล้างศาสนจักร  เป็นเป้าหมายตั้งแต่เริ่มต้น  แต่เป็นการไม่เหมาะสมที่จะแสดงท่าทีสุดโต่งนี้อย่างเปิดเผย เจตนาของเขา คือ  รอกระทั่งสงครามยุติแล้วจึงค่อยทำลายอิทธิพลของศาสนาคริสต์

[url=]https://www.facebook.com/media/set/?set=a.252241154965919.1073742035.187529244770444&type=1[/url]



สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 17 ต.ค.ว่า นายเจอร์ราลด์  วิลเลี่ยม ผู้เขียนหนังสือเรื่อง "การหลบหนีของอดอล์ฟ ฮิตเล่อร์" ให้สัมภาษณ์กับ "Skynews" ว่า อดอลฟ์ ฮิตเล่อร์ ผู้นำเผด็จการนาซีเยอรมัน  ไม่ได้เสียชีวิตในบังเกอร์หลบภัยในประเทศเยอรมนี  แต่เสียชีวิตในอาร์เจนตินาซึ่งเป็นสถานที่ลี้ภัยของเขา  โดยวิลเลี่ยมได้รวบรวมหลักฐานต่างๆ  จากการชันสูตรศพและพยานผู้เคยพบเห็นฮิตเลอร์หลายราย และพบว่า  มีหลักฐานมากมายที่ชี้ว่า ฮิตเลอร์ไม่ได้ฆ่าตัวตาย  แต่กลายเป็นคนแก่ที่เสียชีวิตในอาร์เจนติน่า

เขากล่าวว่า จริงๆ แล้ว  ไม่มีหลักฐานด้านการชันสูตรศพที่ระบุว่า ฮิตเลอร์ และอีวา บรวนด์ คนรักของเขา  เสียชีวิตในเยอรมนี

นายเจอร์ราลด์ วิลเลี่ยม กล่าวต่อว่า  ฮิตเลอร์ได้อาศัยในอาร์เจนติน่าเป็นเวลา 17 ปี โดยเลี้ยงลูกสาว 2 คน  ก่อนจะเสียชีวิตลงในปี 1962 และสาเหตุที่ผู้นำรายนี้รอดชีวิต เนื่องจากสหรัฐฯ  เป็นฝ่ายปล่อยตัวเขาจากการจับกุม  เพื่อแลกเปลี่ยนกับการได้ข้อมูลเทคโนโลยีไฮเทคของกองทัพนาซี

วิลเลี่ยมกล่าวว่า เขาและไซมอน ดันสแตน ผู้ร่วมเขียนหนังสือดังกล่าว  ได้กระทำการสำรวจภาคพื้นเกี่ยวกับชีวิตลี้ภัยของฮิตเลอร์  และได้ไปสัมภาษณ์พยานผู้เคยเห็นฮิตเลอร์หลายคน และว่า ปัจจุบัน  อาร์เจนตินาเป็นประชาธิปไตยมากพอที่จะเปิดกว้างเรื่องนี้ แต่มีพยานผู้เห็นฮิตเล่อร์ 2 รายถูกขู่ฆ่าจากบุคคลนิรนามในขณะที่พวกเขาให้ข้อมูลแก่เราด้วย


[url=]http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1318827971[/url]






3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-12-11 08:51 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ฮิตเล่อร์กับมนุษย์ต่างดาว




เขาเล่ากันมาว่าฮิตเล่อร์มีเพื่อนเป็นมนุษย์ต่างดาว เขาอาจบอกวิทยการความรู้ให้ฮิตเล่อร์

Nazis and UFOs

https://www.youtube.com/watch?v=tXpbhxNQOPk






-ฮิตเล่อร์จะทำอาณาจักรไรท์ที่ 3 เพื่อครองโลก
-ชาวบ้านพบจานบินตกที่ไฟล์เบริก กองทัพฮิตเล่อร์ยึดเอาจานบินและซากมนุษย์ต่างดาวไป เอาไปพัฒนาวิทยาการ
-วิมานตามคัมภีร์ของอินเดีย นักวิทยาศาตร์เยรมันแปลได้อาจเอามาสร้างเทคโนโลยีออกแบบจานบิน
-เครื่องหมายสวัสดิกะพบในอินเดียโบราณ อียิปต์ อิหร่าน อเมริกา เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตนอกโลกในตำนานทั่วโลก มีอำนาจพิเศษ สัญลักษณ์วิเศษ มนุษย์ต่างดาวมอบให้คนโบราณ ขับไล่ศัตรู ชนะสิ่งชั่วร้าย ได้พลังอำนาจเหนือกว่าผุ้อื่น
-ฮิตเล่อร์หลงใหลนิยายปรับปราโบราณและศาตร์ลึกลับ
-องค์กรรีริว ได้มาจากหนังสือบรรยายชาติพันธ์เหนือกว่าและพลังลึกลับโบราณเก็บและควบคุมได้ เอามาใช้กับจานบิน มนุษย์ต่างดาว อาราบาราจากนอกโลก เผ่าอารยันสืบเชื้อสายจากมนุษย์จากมนุษย์ต่างดาว เขาจึงตั้งกองทัพอารยัน เสาะหาคัมภีร์ของโบราณจากทั่วโลก เช่น หีบพันธะสัญญา ทำให้คนตายได้ นำคนร่างทรงเชื่อว่าติดต่อนอกโลกได้มาคิดค้นวิทยาการ
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-12-11 08:52 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ตอนที่ 1

https://www.youtube.com/watch?v=FCnh3XekDWM






ชาวเยรมันทำจานบิน ดร.ฮามาร์น ไอเบร์ก หลุดปากเราได้ความช่วยเหลือจากโลกอื่น นักเคมีชาวเยรมันค้นพบการแยกปรมาณูโดยบังเอิญ เป็นพื้นฐานนิวเคลียร์ อัลเบร์ต ไอสไตล์ เตือนประธานาธิบดีถึงภัยนิวเคลียร์ นิวเคลียร์ลุกแรกอาจเคยเกิดขึ้นนานแล้ว เช่น ประเทสอินเดีย เรียกว่า ปรมันอาจเป็นปรมาณู เทพฮินดูผิวสีน้ำเงินอาจเคยเป็นมนุษย์ต่างดาว ยักษ์ก็คือมนุษย์ต่างดาว

-ที่โปแลนด์ เฮนต์ ทำเป็นฐานลับทำโครงการไรท์ที่ 3 เดอะเบล อาจเป็นเครื่องข้ามเวลา เวลาช้าลงได้ถ้าเราคลื่นที่เร็วมากๆ คนทำบางคนหายสาปสูญ อาจไปมิติข้ามเวลานอกดลก บางคนฆ่าตัวตาย เพื่อปิดความลับการทำ บางคนก็อาจมนุษย์ต่างดาวขับยานมารับช่วยไปจึงหายสาปสูญไปอยู่ดาวอื่น นาซีพ่ายแพ้สมาชิคผู้นำหายสาบสูญ

-การทำปรมาณูอเมริกาอาจทำได้จากอ่านคัมภีร์อินเดียโบราณ นักวิทยาศาตร์ วิศวะ เยรมันถูกจับไปอเมริกา โอเปอเรชั่น เปเปอร์คลับ เอาไปทำงาน ดร.เวนัน วอลปราน เป็นหัวหน้าทำจรวดเป็นผู้หนึ่งก่อตั้งนาซ่า เขาได้ความช่วยเหลือจากมนุษย์ต่างดาว

5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-12-11 08:54 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ตอน 2

http://www.4shared.com/video/Bh57EN8Pba/___2.html





“จานบิน” ที่ใช้ทิ้งระเบิดในลอนดอนและนิวยอร์ก ก็อาจเป็นหนึ่งในนั้น

อย่างไรก็ตาม วันนี้มีคำยืนยันออกมาว่า ทีมนักวิทยาศาสตร์ของฮิตเลอร์เคยออกแบบอากาศยานที่มีรูปร่างคล้าย “จานบิน” และสามารถพัฒนาถึงขั้นสร้าง “ต้นแบบ” ที่ใช้บินได้จริงมาแล้ว

รายงานจากนิตยสารด้านวิทยาศาสตร์ พีเอ็ม ของเยอรมนี ระบุว่า โครงการดังกล่าวอยู่ภายใต้การควบคุมของ ฮานส์ แคมม์เลอร์ และประสบความสำเร็จอย่างงดงามในการทดลองต้านแรงโน้มถ่วงของโลก

รายงานดังกล่าวอ้างคำบอกเล่าของพยานซึ่งเชื่อว่าตนเคยเห็น “จานบิน” ที่มีสัญลักษณ์กางเขนเหล็กของกางทัพนาซี บินในระดับต่ำเหนือแม่น้ำเทมส์เมื่อปี 1944

ในช่วงเวลาเดียวกัน นิวยอร์ก ไทม์ส เคยลงบทความเกี่ยวกับ “จานบินปริศนา” และลงภาพถ่ายวัตถุดังกล่าวขณะบินผ่านตึกระฟ้าในนครนิวยอร์กด้วยความเร็วสูง

พีเอ็ม ระบุว่า กองทัพนาซีทำลายบันทึกการทดลองทางวิทยาศาสตร์ไปเป็นจำนวนมาก แต่ในปี 1960 ผู้เชี่ยวชาญด้านยูเอฟโอในแคนาดาได้ทดลองสร้างวัตถุดังกล่าวขึ้นใหม่ และพบว่ามันสามารถ “บินได้จริง”

ทหารรัสเซียสามารถยึดจานบินเครื่องต้นแบบได้หนึ่งลำ ส่วนโครงการจรวด วี2 และแบบพิมพ์เขียวก็ถูกทหารรัสเซียยึดเอาไปพัฒนาเป็นจรวดสกัด (SCUD) ขีปนาวุธนำวิถีที่ทำให้สหรัฐอเมริกากลัวจนขนหัวลุก


http://allmysteryworld.blogspot.com/2011/11/ufo-nazi.html#ixzz3QTKbVkCq


https://www.youtube.com/watch?v=rHl4iQBdcrU




6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-12-11 08:55 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
การค้นพบหลักฐานว่ามนุษย์ต่างดาว เคยมาเยือนธิเบตเมื่อ 12,000 ปี มาแล้ว

ธิเบตจัดเป็นดินแดนที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลมาก และเราก็ได้ยินฉายาของดินแดนนี้บ่อยๆว่า เป็นดินแดนที่เป็นหลังคาโลก แม้ว่าภูมิอากาศจะแห้งแล้งกันดาร และติดต่อกับดินแดนอื่นๆได้ยาก มีความอุดมสมบูรณ์ในเรื่องของทรัพยากรธรรมชาติ

ว่ากันว่า ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น ฮิตเลอร์ได้ส่งทหารแห่งอาณาจักรไรซ์ออกค้นหาอาณาจักรใต้พิภพ ซึ่งเชื่อกันว่า มีทางเข้าอยู่บริเวณใดบริเวณหนึ่งบนโลกใบนี้ ความเชื่อของฮิตเลอร์และบริวารก็คือ ใต้โลกมีอาณาจักรใต้พิภพที่มีอารยธรรมสูงส่งซุกซ่อนอยู่ หรืออย่างน้อยเศษซากของวิทยาการเหล่านั้น ก็สามารถช่วยให้นาซี มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีขึ้นอีกโข ว่ากันว่านครนั้นคือ อาร์กัตต้า หรือ จัมบาร่า ซึ่งมีเล่าขานกันในตำนานโบราณ


มีเสียงร่ำลือเกี่ยวกับตำนาน ที่เล่าขานในหมู่ลามะว่า ใต้พื้นโลกมีสวรรค์นามว่า อคารถ อยู่ อคารถเป็นนครใหญ่ มีเจ้าปกครองเหมือนกับนครอื่นๆทั่วไป จากอคารถก็จะมีอุโมงค์ใหญ่ เชื่อมไปยังนครต่างๆที่อยู่ใต้พิภพ ซึ่งนักประวัติศาสตร์คาดว่า ดินแดนแห่งนี้เองที่ ฮิตเลอร์ตามหาอยู่ ปัจจุบันก็ยังไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับนครนี้มากนัก ได้แต่คาดเดากันไปว่า มันอาจจะเป็นดินแดนที่มนุษย์ต่างดาวมาหลบซ่อนอยู่ หรืออาจเป็นที่อยู่ของลูกหลานชาวแอตแลนติส ที่หลงเหลือ และรักษาความรู้ทางวิทยาการของพวกเขาเอาไว้เหมือนในอดีตที่ผ่านมา

แดรก นักวิชาการผู้ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับทิเบต กล่าวว่า "เรื่องราวเกี่ยวกับธิเบตนั้น เป็นเรื่องที่ชาวตะวันตกทราบน้อยมาก” ลามะในธิเบต กำความลับบางประการของวิทยาศาสตร์และจิตศาสตร์ซึ่งสืบทอดจากโบราณเอาไว้ แม้กระทั่งในประเทศอินเดียเอง ก็มีการอ้างถึงความก้าวหน้า ถึงวิชาในสมัยโบราณที่อ้างถึงการต่อต้านแรงโน้มถ่วงโลก ด้วยกระแสจิตจากตัวผู้ฝึก ทำให้ผู้ฝึกที่ผนึกสมาธิอยู่ในสภาพไร้น้ำหนัก สามารถลอยบนพื้นและเคลื่อนตัวด้วยจิตในมหาวิทยาลัยโบราณของอินเดีย มีการกล่าวถึงอะตอมและพลังงานคอสมิคเสียด้วยซ้ำ นอกจากนี้ เรื่องเล่าเก่าๆของธิเบต ยังได้กล่าวถึงเรื่องของเด็กชาวธิเบตคนหนึ่ง ที่มีศีรษะรูปร่างผิดปกติ เขาได้แต่งงานกับลูกสาวของเทพเจ้า หลังจากนั้นก็ไปอาศัยในดินแดนสงบสุขที่ฟากฟ้าไกล พระเจ้าที่ลงมาบนโลกนั้น ส่วนใหญ่จะลงมายังโลกในร่างของเป็ดที่ฉายแสงได้ นั่นอาจจะเป็นรูปแบบหนึ่งของเอเลี่ยนและ UFOs?

นอกจากนี้ นิทานพื้นบ้าน ซึ่งเล่ากันมานานแสนนานในธิเบต มีการเล่าลือกันถึงเมืองสุดาโซม่า (Sudasoma) ว่ากันว่า เมืองแห่งนี้เป็นที่อาศัยของเทพเจ้า 33 พระองค์ ตัวเมืองล่องลอยอยู่กลางอากาศ มีกำแพงทองคำล้อมรอบถึง 7 ชั้น เครื่องประดับของพวกเขาล้วนงดงาม ทำจาก ทอง เงิน คริสตัล เบริล (Beryl) เทพเจ้าทั้งหลายจะมีอำนาจวิเศษในการเนรมิตรทุกสิ่งทุกอย่าง ที่พวกเขาต้องการจากต้นไม้ ภายหลังที่ได้รับชัยชนะจากทุกอาณาจักรบนโลกแล้ว กษัตริย์แมนโฮต้าก็ต้องการจะแผ่ขยายแสนยานุภาพ ให้อำนาจของพระองค์ขจรขยายออกไปทุกหนทุกแห่ง รวมไปถึงสวรรค์ที่เป็นที่อยู่ของทวยเทพทั้งหลายด้วย แต่แล้ว เมืองของพระองค์ก็ได้ถูกโจมตีจากอสูร (Asura) ที่มาจากอวกาศ สงครามครั้งนั้นโหดร้ายนัก จากคำบอกเล่า และการตีความบันทึก ในสงครามดังกล่าว มีการใช้อาวุธที่เหมือนการยิงรังสี การใช้ม้าบิน สุดท้ายอสุราก็ได้รับความพ่ายแพ้ และถูกขับไล่กลับไปสู่ท้องฟ้า (อวกาศ?) อีครั้งหนึ่ง

มีรายงานของนักโบราณคดีชาวจีนที่ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2508 พร้อมทั้งได้นำเสนอซากโบราณที่ทำให้เกิดทฤษฎีว่า ในอดีต เคยมียานอวกาศมาเยือนโลกของเรา บนแผ่นดินจีนเมื่อ 12,000 ปีที่ผ่านมา ข้อมูลนี้ไม่ได้อ้างออกมาลอยๆ แต่อ้างอิงมาจากการสำรวจถ้ำของนักโบราณคดี ในแถบรอยต่อระหว่างธิเบตและจีนแห่งหนึ่ง เป็นบริเวณที่เรียกว่า บายัน-คาลาฮูรา พวกเขาพบก้อนหินที่มีลักษณะเป็นงานที่มีการวาดภาพ รวมทั้งตัวอักษรแบบเฮียโรกริฟฟิคที่ไม่มีใครสามารถอธิบายความหมายได้ถึง 716 แผ่น แน่นอนมันยากที่จะคาดเดาถึงอายุ แผ่นหินดังกล่าวมีรูอยู่ตรงกลางเหมือนเครื่องบันทึกเทป นักโบราณคดีที่ค้นพบเพิ่งทราบในตอนหลังว่า มันเป็นเครื่องมือในการเขียน นับว่าเป็นวัตถุที่แปลกประหลาดที่สุดในโลกโบราณคดีเลยทีเดียว ทีมนักสำรวจรู้สึกสับสน กับสิ่งที่พวกเขาค้นพบในถ้ำนั้นมาก เพราะมันไม่เหมือนสิ่งที่พวกเขาค้นพบที่ผ่านมาเอาเสียเลย พวกเขาครุ่นคิดอยู่นานก็ยังขบไม่แตกว่า มันคืออะไรกันแน่ ?!? จนกระทั่งปริศนานี้ถูกไขให้กระจ่าง โดยทีมนักโบราณคดีระดับหัวกระทิของจีน ในเวลาต่อมาไม่นาน

...แรกเริ่มเดิมที รัฐบาลจีนสั่งการผ่านสถาบันศึกษาโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์ ให้ระงับการค้นคว้าเกี่ยวกับถ้ำบายัน-คาลาฮูรา อย่างไม่มีสาเหตุ แต่แล้วก็อนุญาตให้มีการค้นคว้าต่อในภายหลัง ในที่สุด ต้นฉบับของแผ่นหินก็ได้ถูกแปลออกมาโดยผู้เชี่ยวชาญภาษาโบราณของจีน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการมาเยือนโลกของยานอวกาศจากดาวดวงอื่น เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณ12,000 ปีมาแล้ว

ผู้สันทัดกรณีบางคนที่ทราบเรื่อง เรียกจานบินตกในโลกยุคโบราณนี้ว่า The Chinese Roswell เชื่อว่าบริเวณดังกล่าว เป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าโบราณสองเผ่า คือ ชาวแฮม และโดปา ชนเผ่าดังกล่าว เป็นชาวป่าโบราณที่ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าใดนัก เพราะป่วยด้วยโรคกระดูกผุ พวกเขามีความสูงเฉลี่ย 127 เซ็นติเมตร ปัจจุบันก็ยังไม่ถูกจำแนกว่า เป็นมนุษยชาติสายพันธุ์ใด จากบันทึกที่ได้มีการแปลออกมา ชาวโดปานั้นพบเห็นกลุ่มคนที่ได้ลงมาจากท้องฟ้า ด้วยยานที่บรรพบุรุษของเขาได้ซ่อนไว้อย่างลึกลับภายในถ้ำแห่งหนึ่ง เนื่องจากว่ายานของพวกเขาเป็นพวกที่เหลืออยู่ภายหลังการประสบอุบัติหตุจากการชนภูเขาในระหว่างที่จะนำยานลงมาจอดบนโลก และประสบความล้มเหลวในการซ่อมแซมยานอวกาศ พวกเขาจึงไม่สามารถไปไหนได้ ภายหลังที่มีการห่อหุ้มจารึกต่างๆไว้เป็นอย่างดีแล้ว ทีมนักโบราณคดี ได้ส่งมันไปให้ผู้เชี่ยวชาญที่กรุงมอสโคว์ตรวจสอบ และพบว่าแผ่นหินดังกล่าวประกอบด้วยธาตุโคบอลต์เป็นจำนวนมาก และมีการเต้นเป็นจังหวะราวกับว่า ภายในตัวของแผ่นหินมีกระแสไฟฟ้าบรรจุอยู่ ทำให้แผ่นหินดังกล่าวกลายเป็นสิ่งท้าทายวงการวิทยาศาสตร์อย่างมากทีเดียว


คาดกันว่า ชาวโบราณพวกนี้น่าจะมีลูกหลานที่อายุยืนมาหลายชั่วรุ่นพอสมควร เพราะจากการสืบสาวเรื่องราวของท้องถิ่นแถบนั้น มีนิทานพื้นบ้านของจีนที่เล่าถึงคนร่างเล็ก ผิวเหลือง ที่ลงมาจากท้องฟ้า และถูกชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถบนั้นขับไล่ออกไป เพราะพวกเขามีใบหน้าสีเหลือง หัวโต ตัวเล็ก มองดูน่าเกลียด บางคนยังถูกชาวบ้านไล่ฆ่าไล่ตี เพราะนึกว่าเป็นพวกปีศาจ นิทานดังกล่าว ได้รับการยืนยันจากการค้นพบและตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์และโบราณคดี ไม่ว่าจะเป็นการค้นพบวัตถุต่างๆในถ้ำเดียวกัน สุสานและโครงกระดูกที่คาดว่าจะมีอายุประมาณ 12,000 ปีมาแล้ว โครงกระดูกที่พบมีขนาดกระโหลกโต ร่างกายเล็ก ราวกับทุกคนเป็นโรคหลังค่อม นักโบราณคดีบางคนในจีนกล่าวว่า มันอาจจะเป็นลิงพันธุ์ใหม่ที่เพิ่งมีการค้นพบก็ได้ (แต่มันจะมีลิงชนิดไหนที่รู้จักฝังศพของพวกมันหลังเสียชีวิต ??

และยังไม่มีประวัติบันทึกไว้เลยว่า พวกลิงสามารถเขียนหนังสือและวาดรูปได้อย่างวิจิตรเช่นนี้ )


ดังนั้น ความประหลาดอีกอย่างหนึ่งก็คือบรรดารูปวาดที่ปรากฏอยู่บนกำแพงถ้ำ ซึ่งเป็นภาพของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวดวงอื่นๆ ระหว่างดาวบางดวงเต็มไปด้วยวงกลมเล็กๆขนาดเท่าเม็ดถั่ว ดูเหมือนว่า วงกลมดังกล่าวกำลังมุ่งหน้ามาสู่ดาวบางดวง ซึ่งมีภูเขาปรากฏอยู่ นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า นี่อาจเป็นการบันทึกเรื่องราวเพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้รับรู้ถึงการเดินทางมาเยือนดาวโลกของพวกเขาในอดีตก็เป็นได้


http://allmysteryworld.blogspot.com/2012/11/12000.html#ixzz3QZ22vtDM

ที่มาของเนื้อหา..http://www.bloggang.com/mainblog ... up=5&gblog=234.
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-12-11 09:08 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
จุดประสงค์ในการมาเยือนประเทศไทย
จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน อายุ65 ปี ทหารนอกราชการ เมื่อถูุกสอบถามข้อเท็จจริง จ.ส.อ เชิด ได้พูดคุยว่า "ขอยืนยันว่ามนุษย์ต่างดาวจะมาเยือนโลกที่ประเทศไทยน ั้นเป็นความจริง โดยตนเองได้รับคลื่นกระแสจิตจากมนุษย์ต่างดาวที่มายั งโลกมนุษย์ แจ้งข่าวสารว่าเขาไม่พอใจที่โลกมนุษย์เราส่งยานอวกาศ และดาวเทียมไปลอยในห้วงอวกาศเป็นจำนวนมาก โดยคลื่นต่างๆ จากยานอวกาศ และดาวเทียมเหล่านั้น ส่งผลกระทบถึงพวกเขา ทำให้ล้มตายเป็นจำนวนมาก และการที่เขามาในครั้งนี้เพื่อแสดงความไม่พอใจในการก ระทำของชาวโลก(หมายถึงประเทศที่เป็นผู้นำทางเทคโนโลย ี่ทั้งหลาย) เพื่อให้มนุษย์โลกหยุดส่งสัญญานรบกวนพวกเขา
นอกจากนี้ ยังทราบมาอีกว่า ยานบินมนุษย์ต่างดาวที่มาเยือนโลกครั้งนี้จะบินให้เห ็นในวันที่ 3 มกราคม ที่ผ่านมา ตั้งแต่เวลา 17.00 -18.00 น.ที่โรงเรียนสิงห์บุรี โดยไม่มีจุดประสงค์มาทำลายโลก แต่มาเตือนให้รับรู้เท่านั้น ไม่เช่นนั้น จะทำให้เกิดสงครามได้..
เหตุที่เลือกประเทศไทยเนื่องจากประเทศไทยเป็นเมืองพุ ทธ ผู้คนสว่นใหญ่จิตใจดีงาม และไม่ทำร้ายพวกเขาแน่..และมีผู้ที่มีความสามารถในกา รติดต่อพวกเขาได้หลายคน.. ไม่เหมือนบางประเทศที่จับพวกเขาไปทดลองจนพวกเขาเสียช ีวิต ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกประเทศไทย..เป็นที่แจ้งข่าวสาร ดังกล่าว... รวมทั้งการเตือนเกื่ยวกับเรื่องภัยธรรมชาติที่รุนแรง ในอนาคตอันใกล้ที่มนุษย์เราทุกคนต้องเผชิญกันด้วยครั บ...
การปรากฎของจานบินและมนุษย์ต่างดาว เป็นปรากฎการณ์ที่นักวิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้ชัดเจน บางทีเมื่อมนุษย์โลกมองเห็นจานบินที่เราเข้าใจว่าเป็ บยานพาหนะของมนุษย์ต่างดาวนั้น อาจมีทั้งเดินทางจากดาวนพเคราะห์ดวงอื่น หรือการบิดเบือนที่เกิดขึ้นกับมิติคู่ขนานของเราเอง ที่มีการทับซ้อนมิติกันอยู่ การปรากฎของเขาเคยเกิดจากความบังเอิญ แต่เมื่อวิทยาการของเขาล้ำหน้าไป การปรากฎของเขาอาจเป็นไปด้วยการวางแผนและความตั้งใจ แต่การปรากฎของจานบินและสี่งมีชีวิตต่างภพภูมิเป็นไป อย่างไม่ชัดเจน หรือไม่สมบูรณ์ เพราะแต่ละภพภูมนั้นจะมีเครื่องพรางที่แตกต่างกันไป
ภพภูมิของโลกมนุษย์เรามีระยะทาง ช่องว่าง และกาลเวลาเป็นเครื่องพราง อะตอมและโมเลกุลของสิ่งมีชิวิตและวัตถุธาตุอาจต้องมี การเปลี่ยนแปลงบางส่วน และคงสภาพบางส่วน ตามความจำเป็นเพื่อให้สอดคล้องกับภพภูมนั้นๆ การปรากฎในต่างภพภูมิอาจต้องใช้ความดันสูง สิ่งมีชีวิต และวัตถุธาตุนั้นๆ ไม่สามารถคงสภาพอยู่ได้นานพอ และต้องกลับไปสู่ภพภูมิต้นกำเนิดในที่สุด เราจึงมองเห็นมนูษย์ต่างมิติเหล่านั้นได้เพียงช่วงเว ลาหนึ่ง ..
บางทีการปรากฎเหล่านั้น อาจผิดกฎของจักรวาลก็เป็นได้ เมื่อยังไม่ถึงเวลาอันควรความชัดเจนอาจต้องรอคอยกันต ่อไปครับ...เราอาจจะได้เห็นการพบกับแบบใก้ลชิดหรือที ่เรียกว่า close encounter of the third kind ในอนาคตอันใกล้นี้ก็ได้ครับ..
ได้ข่าวจากกลุ่มเขากะลาว่าจะเริ่มเปิดเขาเพิ่อการติด ต่อครั้งต่อไปอีกแล้ว...
รูปร่างหน้าตาของเขาตามข้อมูลที่คุณลุงเชิดให้มา มีลักษณะคล้ายๆแบบนี้ครับ..
รูปร่างสูงประมาณ 3 ฟุต ศรีษะโตรูปหัวใจ ตาโตสีดำ มีเส้นผมหลายเส้นเป็นกระจุกตั้งขึ้นไป (ใช้ทำหน้าที่รับ-ส่งคลื่นพลังจิต) ลำตัวเล็กท้องใหญ่ (เก็บพลังงานไว้ที่ท้อง) ใส่ชุดอวกาศสีเงินครับ..
เขาเป็นเผ่าพันธ์หนึ่งมาจากดาวที่อยู่นอกระบบสุริยะข องเราครับ หรือกลุ่มดาว "กาแลคซี่ที่ 2" โดยบรรดามนุษย์ต่างดาวเหล่านี้ มีชื่อสะกดเหมือนกันหมดคือ "EEH" หรือ"อีอีเฮช" อ่านได้ตามภาษามนุษย์โลกว่า "เอช" ครับ..
ส่วนโลกของเรา อยู่ในกลุ่มดาว "กาแลคซี่ที่ 4" และยังมีมนุษย์ต่างดาวในกลุ่ม "กาแลคซี่ที่ 6" ที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีการพัฒนาการทางด้านจิตใจและศ ิลปะด้วยครับ..
ภายในยานอวกาศ..ตามข้อมูลการสื่อโทรจิตจาก ลุงเชิด ชื่นสำนวน
จากการสอบถามคุณลุงเชิด ชื่นสำนวล (ตอนนี้ท่านเสียไปแล้วครับ..น่าเสียดายครับ)..ท่านเล ่าให้ฟังว่า ..
ยานลูก ซึ่งออกมาจากยานแม่ของมนุษย์ต่างดาว 1 ลำจะมีพวกเขานั่งกันอยู่ 5 คน ในห้องโดยสารมี กัปตัน 1 คนควบคุมอยู่ตรงกลางห้อง มีลูกเรือ อีก 4 คนทำหน้าที่ช่วยเหลือสอดส่องควบคุมด้วยกล้องแสงออร่า
ยานลูกจะมี 2ชั้น ชั้นบนเป็นห้องนักบิน ส่วนชั้นล่างมีห้องเก็บอุปกรณ์การสำรวจและเครื่องมือ ขับเคลื่อนด้วยแร่ธาตุชนิดหนึ่ง (เขาไม่บอกครับ) ร่วมกับพลังจิตของพวกเขาเอง.. สังเกตที่แผงควบคุมครับจะเป็นรูปมือของเขา เวลาใช้จะวางมือลงไปบนแผงควบคุมส่งรหัสข้อมูลเป็นสัญ ญาณคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า..
การที่เขามีเทคโนโลยี่ที่พัฒนาจานบินได้ระดับนั้น..เ พราะเขารู้จักการผสมผสานวิทยาการและศาสตร์ด้านต่างๆ เข้าด้วยกันจนได้ความรู้ใหม่ๆเกิดขึ้น เช่น การที่นักวิศวะไฟฟ้า..ร่วมมือกับ นักฟิสิกค์เคมี จะเกิดศาสตร์แขนงใหม่ รวมทั้งมีความรู้ในเรื่อง มิติของภพภูมิต่างๆ และการใชัพลังจิตในการควบคุมวัตถุธาตุต่างๆ
เขาก้าวหน้าไปกว่ามนุษย์โลกนับร้อยปี แต่เขาก้ไม่เคยทิ้งเรี่องของ"จิต"เลยแม้แต่น้อย ..
การที่เขาเดินทางไป-มา หรือเ้ข้า-ออก ในมิติโลกและอวกาศได้นั้นเขาบอกว่าเขาใช้วิธี
1-ปรับมวลสารให้มีค่าเป็นลบ -(เพิ่อการทะลุทะลวงมิติเวลา)
2-ปรับค่าG (gravity)ให้เป็นศูนย์..(ไม่มีแรงภายนอกมากระทำ)
3-สร้างแรงเหวี่ยง และศูนย์ถ่วงจำเพาะด้วยสนามแม่เหล็กภายในตนเอง
4-มีชุดสวมใส่ที่ป้องกันตนเองในการเดินทาง
5-ใช้จิตควบคุมพลังงานและการกำหนดทิศทาง(ด้วยแร่ธาตุใน โลกของเขา)
6-อาศัยช่องทางหรือช่องโหว่ของมิติ และเส้นแสงช่วยในการเดินทาง
ทำให้สามารถเดินทางได้ด้วยอัตราเร็วเปลี่ยนค่าเป็น2เ ท่าในทุกๆวินาทีของความเร็วแสง (ตามสูตร E=Mc2 ของไอนสไตน์ ความเร็วสูงสุดเทียบเท่าแสงหรือมากกว่าแสง หรืออาจเร็วเกือบเท่าจิตก็เป็นได้)
ฟังเอาไว้ก่อนครับ..อาจเป็นแนว Concept ในการออกแบบทางวิศวกรรมในอนาคต ไม่แน่เราอาจเป็นชาติแรกของโลกที่ทำได้สำเร็จด้วยพลั งจิต จากฝีมือของคนไทยก็ได้นะครับ...
8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-12-11 09:11 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ความต้องการของมนุษย์ต่างดาว ที่โคจรมาพบกับพวกชาวโลกนั้น เพื่อต้องการให้มนุษย์โลกเตรียมตัวเตรียมจิตใจให้พร้ อม เพื่อการรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายที่จะเกิดขึ้น ที่จะมีสภาวะแปรปรวนทางกายภาพภายในโลกมนุษย์เอง
โดยที่เขาต้องการช่วยเหลือมนุษย์โลก เพราะมีการลงมติเป็นเอกฉันท์ พร้อมลงความเห็นว่า โลกเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่สวยงามมากที่สุดในจักรว าล และมนุษย์โลกยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสรีระงดงามที่สุ ดอีกด้วย จึงไม่อยากใหสูญเสียไป โดยมีประเทศไทยเป็นหนึ่งใน 8 จุดที่เขาจะใช้เป็นสถานที่ในการช่วยเหลือในครั้งนี้
แต่มนุษย์โลกยังมีข้อเสียที่ว่า..ได้โอกาสมีอิสระทาง ความคิดและการตัดสินใจสูง แต่มักจะใช้ความคิดในทางที่ผิดๆกันอยู่เสมอ..
อย่างไรก็ตาม มนุษย์ต่างดาวที่จะลงมาช่วยชาวโลก ต่างก็เคยประสบกับปัญหาเหตุการณ์ร้ายนี้ เหมือนกับชาวโลกที่จะเกิดขึ้นอีกไม่นานในอนาคต เหมือนเมื่อหลายหมื่นปีที่ผ่านมา.. นี่ก็เป็นสี่งที่เขาสื่อโทรจิตผ่านมาบอกพวกเราครับ..
ปรากฎเป็นลูกไฟทรงกลมสุกสว่าง มีหางพวยพุ่งลักษณะคล้ายไอน้ำเคลื่อนที่ไปอย่างเชื่อ งช้า.. ปรากฏเวลาประมาณ 6โมงเช้าครับ
Dr.เทพพนม เมืองแมน ท่านเคยตรวจสอบไปครั้งหนึ่งท่ายก็ยืนยันว่าเป็นลักษณ ะของ UFO รูปแบบหนึ่งที่เดินทางมาจากมาจากกลุ่มดาว Orion (กลุ่มดาวนายพราน) ท่านเองก็สามารถโทรจิคติดค่อกับมนุษย์ดาวอังคารที่ชื ่อว่า "พาราสิทาว"อยู่เสมอๆครับ..
เป็นไปได้ไหมถ้าเป็นไอพ่นของเครื่องบิน..หรือเป็นอุต กาบาต ความเร็วน่าจะเร็วได้มากกว่านี้หรือไม่..?
เคยมีการเปิดเผยข้อความส่วนหนึ่งที่ Dr.เทพนม เมืองแมน บันทึกเสียงขณะสนทนาไว้ได้ทางโทรศัพท์เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.40 เวลา 22.00น. เป็นเสียงผู้หญิงลึกลับคนหนึ่งโทรเข้ามาที่บ้านท่าน พูดเป็นภาษาคูโบส และภาษาไทยรวมกัน..บอกไว้เหมือนเป็น คำเตือนจากมนุษย์ต่างตาว ดังมีรายระเอียดดังนี้ครับ..
"ให้เตรียมตัวอีก3ปีข้างหน้า..รู้ดีกว่าไม่รู้ เชื่อไม่เชื่อแล้วแต่มนุษย์ เตือนๆเขาไป
ผู้มีบุญเท่านั้นที่จะขวนขวาย หาทางให้ตัวเองได้รอด...
สมาธิสำคัญที่สุดตอนนี้..สมาธิให้ตัวเองไม่กำหนดวิธี ใด.. อยู่ที่จิต ถ้าจิตบริสุทธ์ แป๊บเดียวก็ได้บารมี..
สำหรับมนุษย์..ไปบอกกับเขา รู้ไม่รู้ เชื่อไม่เชื่อ ปล่อยเขา จิตผู้ที่เชื่อมีอยู่มากกว่าจิตที่ไม่เชื่อ..เอาทางว ิทยาศาสตร์เข้าไปบอกทาง อ้างให้เขารู้จริง เพราะเดี๋ยวนี้วิทยาศาสตร์ของมนุษย์โลกพร้อมอยู่แล้ว ใช่ไหม...
(ถาม) แล้วเหตุการณ์ที่จะเกิดพวกท่านจะช่วยแก้ไขได้ไหม...
แก้ไขไม่ได้..เป็นเรื่องเบื้องบน กับเรื่องของมนุษย์ผู้ไม่ทำความดี..แก้ไขได้อย่างไร. .ถ้ามนุษย์ทำความดีขึ้น....แก้ไขได้..บอกเขาไปเลย..แ ก้ไขตรงมนุษย์..มนุษย์ต่างดาวแก้ไขไม่ได้ในเรื่องมนุ ษย์...
มนุษย์เป็นผู้ทำเอง มนุษย์หลงทางเอง ช่วยได้คือลงมาบอก ทำอย่างไรที่มนุษย์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบรอดอยู่ได้...."
นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนาที่แสดงให้เห็นในความเ ป็นห่วงชาวโลกของพวกเขา
แต่เราก็ต้องอย่างเพิ่งมงายหรือเชื่อในทันทีนะครับ รับไว้พิจารณาอย่างมีเหตุผล และก็หมั่นทำดีกันไว้ในทุกโอกาสที่เราทำได้ครับ..ไม่ เสียหลายอยู่แล้วจริงไหมครับ..
ในช่วงนี้ที่มีผู้พบเห็น UFO หรืออคันตุกะจากมิติอื่นมาเยือนกันบ่อยขึ้นถี่ขึ้น ทั้งในประเทศไทย หรือต่างประเทศ เช่นในอดีตช่วงสงครามโลกแต่ละครั้งก็พบเห็นกันมากน่า จะเป็นเป็นเพราะโลกกำลังตกอยู่ในสภาวะคับขัน หรือช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ โดยเกิด "ภัยธรรมชาติที่ผิดธรรมชาติ" (มีเบื้องหลังที่มองไม่เห็น) ทั้งรุนแรงขึ้นกว่าในอดีตมากมาย สร้างความเสียหายไปทั่วโลก แม้ในที่ที่ไม่เคยเกิดก็ยังเกิดขึ้นได้...จนมนุษย์ส่ วนมากชาชินไปเสียแล้ว...
ดังนั้น..เราเองก็ไม่ตวรตั้งอยู่ในความประมาท กับความผิดปกติที่มีให้เห็นเป็นบทเรียนรายวัน ที่เกิดขึ้น ตามที่ต่างๆเหล่านี้....ผู้ที่เสียชิวิตเหล่านั้นเหม ือนเป็น "ครู"บอกใบ้ให้เราได้ทราบว่าอะไรเป็นอะไร..เราควรจะใ ห้ความสนใจกับข่าวสารที่ถูกต้อง และเรียนรู้อย่างมีสติครับ..อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับตา มกฎของจักรวาล ถ้าวันไหนเกิดขึ้นกับตัวเรา บ้านเราหรือครอบครัวของเรา..เราจะ มีสติ รู้สติ และใช้สติ รับมือกับเรื่องเหล่านี้กันได้ไหม..
ทางออกที่ดีผมว่า..ผู้ที่เข้ามาศึกษาในเวปพลังจิตทุก ท่านรู้กันอยู่แล้ว..ฝึกฝนการมี "กฤตสติ" เอาไว้ด้วยครับ จะ"นั่งสมาธิ"หรือใช้ "ธรรมชาติสมาธิ" แล้วแต่จริต ของแต่ละคนครับ ตอนนั้นเครื่องรางของขลังก็ไม่อาจช่วยได้ อยู่ที่ความดีงาม และจิตที่บริสุทธ์ของแต่ละคนเท่านั้นที่จะมีพลังสูงส ุด..อย่างน้อยหนักก็เป็นเบานะครับ..
ข้อมูลข่าวสารต่างๆที่เกี่ยวข้องจากการโทรจิตในประเท ศไทย
มีข้อมูลจาก อาจารย์ปริญญา ตันสกุล ผู้ทำหน้าที่เป็นผู้รับสื่อจากองค์จิตจักรวาล ส่งข่าว (massage) มาบอกกล่าวให้ฟังในเรื่องที่เกี่ยวข้องกันครับ....
".การที่เขา (มนุษย์ต่างดาว) มาให้เห็นกันบ่อยๆในช่วงนี้ส่วนใหญ่มาเพื่อศึกษาดูว่ าโลกเกิดอะไรขึ้นบ้าง..เนื่องจากพวกเขาทราบว่าระบบโล กกำล้งถูกชำระ (การชำระไม่ใชการทำลายนะครับ) เพื่อที่เขาได้มีโอกาสเรียนรู้ และศึกษาไปด้วย..."
"หลังจากที่ระบบโลกถูกชำระเสร็จไปแล้วหลังจากนั้ นอีก 6 ปี ก็จะถึงคิวของดาวอังคารบ้าง... ดาวอังคารก็จะถูกชำระเช่นกัน เนื่องจากในอดีตเขาเองได้เคยทำลายระบบของพวกเขาโดยรู ้เท่าไม่ถึงการณ์..จึงต้องมีการปรับสมดุลในระบบให้ลง ตัวเช่นเดียวกัน..ไม่ต่างกับดาวดวงอื่นๆในระบบเอกภพท ุกๆดวงที่เสียสมดุล.. อันเป็นเรื่องที่กิดขึ้นและเป็นไปตามกฎของจักรวาลทั้ งสิ้น..."
อาจารย์ยังบอกอีกว่า"โลก"หรือ"ดาวเคราะห์แห่งทางเลือ กเสรี"ของเราเสียสมดุลเนืื่องจาก"จิตสำนึกโดยรวมของม นุษย์บกพร่อง" ไม่สามารถมอบพลังงานด้านบวกให้กับโลกได้เพียงพอ หรือทำหน้าที่ไม่สมบูรณ์ เหมือนลูกข่างที่หมุนอยู่แต่ใกล้จะหมดแรง แกนโลกจะเริ่มส่ายไปมาและล้มลง หรือที่เรียกว่า "แกนโลกกำลังจะพลิก" จนในขณะนี้ยังส่งผลให้แกนระนาบของแกแลคซี่ทางช้างเผื อกเอียงอยู่ถึง 0.2 องศา อันส่งผลกระทบกับเอกภพโดยรวม โดยขณะที่อีกฟากหนึ่งของแกแลคซี่ทางช้างเผือกซึ่งมีร ะบบสุริยะและดาวเคราะห์อีก 5ดวง มีดวงหนึ่งที่มีรูปธรรมเหมือนมนุษย์อาศัยอยู่ ยังดำรงตนได้ดี ทำหน้าที่ได้สมบูรณ์กว่า ช่วยคำ้จุนเอาไว้..
มนุษย์นั้นมีหน้าที่มอบพลังงานไฟฟ้าด้านบวกให้กับโลก อันเกิดจากพลังแห่งความรักความเป็นหนึ่งเดียวกันอันจ ะช่วยค้ำจุนระบบโลกเอาไว้ ดังที่"พระพุทธเจ้า"ตรัสไว้ว่า "โลกคือเรา เราคือโลก " มนุษย์แต่ละคนบนพื้นผิวโลก ทำหน้าที่คล้ายกับ "Generator" คือปลดปล่อยคลื่นพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็กที่โลกต้องการอ อกมาจาก"จิต"ที่ทำงานร่วมกับกลไกของสมอง เข้าไปจุดระเบิดอะตอมออกซิเจนเหลวที่อยู่ใจกลางโลก สร้างแรงเหวี่ยงหมุนรอบตัวเองของโลก และพลังสร้างสนามแม่เหล็กห่อหุ้มโลกไว้ ป้องกันเทห์วัตถุต่างๆใหเราปลอดภัย รวมทั้งอากาศที่เราหายใจก็ล้วนแทรกซึมขึ้นมาจากใจกลา งโลก ไม่ได้เกิดจากต้นไม้โดยตรงดังที่นักวืทยาศาสตร์เข้าใ จกัน..
จะเห็นได้ว่า โลกและมนุษย์นั้นต้องพึ่งพาอาศัยกันตลอดเวลา เมื่อใดที่มนุษย์เราทำหน้่าที่บกพร่อง โลกก็จะเสียสมดุลไปด้วยเป็นกลไกของกฎธรรมชาติ จึงส่งผลให้เกิดภัยธรรมชาติที่รุนแรงอย่างที่เห็นกัน อยู่ หนักหรือเบาขึ้นอยู่กับมนุษย์โดยตรง ที่จะต้องรับผลนั้น เพื่อที่จะคืนสมดุลกลับคืนมาให้ได้..
รูปธรรมที่แตกต่างกัน...



9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-12-11 09:11 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
มนุษย์ต่างดาวส่วนมากจะมีสมอง1ก้อน ต่างกับรูปธรรมมนุษย์ที่มีสมองทั้งซีกซ้ายและซีกขวา เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะพวกเขาถูกโปรแกรมให้มีหน้าท ี่เฉพาะ หรือเกิดมาก็มีทางเลือกเส้นทางเดียว เช่นเป็นนักวิทยาศาสตร์ หรือเป็นนักพฤกษาศาสตร์ หรือเป็นหมอ ก็จะเป็นไปตลอดชีวิต แล้วแต่ภพภูมิและช่วงเวลาในมิติของเขา หรือมีหน้าต่างแห่งทางเลือกจำกัดกว่ามนุษย์...ถ้าเกิ ดมาดีก็จะดีไปจนสิ้นอายุขัย ถ้าเกิดมาไ่ม่ดีก็จะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน..
แต่มนุษย์นั้นมีโอกาสที่ดีกว่า เรียกว่ามีทางเลือกมากกว่า เขาจึงเรียกโลกมนุษย์ว่า"ดาวเคราะห์แห่งทางเลือกเสรี " จึงไม่มีข้อจำกัดใดๆในการตัดสินใจ เช่นวันนี้นึกอยากจะเป็นคนดีก็เป็นได้...พรุ่งนี้อยา กเป็นคนไม่ดีก็ทำได้ ทำได้ทุกอย่างที่มนุษย์ต้องการ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะรูปธรรมมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ถู กสร้างและพัฒนาอย่างแยบยลกว่ารูปธรรมอื่นใดอันเป็นคว ามภูมิใจของจักรวาลเป็นอย่างมาก..ซึ่งจักรวาลเองต้อง การให้มาทำหน้าที่ดูแลสมดุลให้กับระบบเอกภพ จึงสร้างให้มีกลไกระบบใหม่ที่ซับซ้อนละเอียดขึ้น สามารถปลดปล่อยพลังงานไฟฟ้าแม่เหล็ก ที่โลกและเอกภพต้องการได้อย่าง"ไม่มีขีดจำกัด" และให้เีพียงพอกับที่จักรวาลต้องการ
และการสร้างนั้นต้องอาศัยสิ่งมีชีวิตพื้นฐานในขณะนั้ นที่มีอยู่ เช่นมนุษย์โบราณเผ่า"สตีฟฟา" กับความช่วยเหลือของรูปธรรมชั้นสูงจากกลุ่มดาวพลียะเ ดี้ยนส์ (pleadians)กลุ่มแซจิตตาเรียนส์ กลุ่มแอนทาเรียนส์ และกลุ่มอารค์ทอเรียนส์ โดยกำหนดให้โลกอยู่ในพิกัดที่เหมาะสมในการค้ำจุนระบบ ใหญ่อีกทอดหนึ่ง...แล้วทำการใส่รหัสหรือโปรแกรมข้อมู ลที่เกี่ยวข้องในการดำรงอยู่ เช่นสัญชาติญาน การสืบทอดเผ่าพันธ์ การรับรู้ เพื่อเป็นพื้นฐานในการเอาตัวรอดบนโลกใบนี้..
10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-12-11 09:12 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
โดยแบ่งอนุภาคคลื่นความถี่จาก"จิตจักรวาลดวงใหญ่"(12 เหลี่ยมมุม) เป็น"จิตจักรวาลดวงเล็ก"(11 เหลี่ยมมุม) จำนวนมากมาย จากจิตจักรวาลดวงเล็กก็แบ่งคลื่นความถี่ออกมาเป็น มาเป็น"จิตวิญญาณมนุษย์"(6เหลี่ยมมุม) อีกเป็นจำนวนมาก มาเป็นพลังงานในการขับเคลื่อน "เครื่องยนต์แห่งกรรมมนุษย์" โดยจิตวิญญาณมนุษย์เดิมแท้อันมีความบริสุทธ์และมีควา มรักเป็นอารมณ์ ก็ยังแบ่งคลื่นจิตให้ "จิตปัจจุบันหรือจิตหยาบ" มาทำหน้าที่แทนในการเรียนรู้และทำหน้าที่บนโลกมนุษย์ ใบนี้อีกทอดหนึ่ง..โดนให้พันธะสัญญาว่าจะกลับคืนสู่แ ดนสุญญตาที่ตนจากมาให้ได้ภายในรอบ 60.000 ปี ซึ่งตอนนี้ เวลานั้นก็ได้ล่วงเลยมามากแล้ว...
ในการมีสมองสองซีกของมนุษยฺ์นั้น มีรายละเอียดมากมายครับไปหาอ่านได้ในหนังสือชุด"จิตจ ักรวาล "กว่า 20 ซีรี่ ที่อาจารย์ปริญญาท่านได้บันทึกเอาไว้สำหรับเป็นสมบัต ิคู่โลกในยุดพลังงานใหม่..เหตุที่ต้องเปิดเผยความจริ งเหล่านี้ อาจารย์ท่านบอกว่าเป็นเพราะถึงช่วงเวลาสุดท้ายใกล้ปิ ดยุค..(มียุคใหม่ที่สดใสกว่ารออยู่นะครับ อย่าเพิ่งหดหู่กัน.. ) คล้ายๆกับการเฉลยข้อสอบต่างๆ ในวันปิดภาคเรียน บททดสอบต่างๆที่เกิดจากความไม่รู้ การปิดมิติของจิตหยาบของมนุษย์เอง ที่มนุษย์ควรต้องรู้ แต่กลับระลึกกันไม่ได้เนื่องจากผ่านการเกิด-ดับ และบททดสอบกันมาหลายภพชาติเหลือเกิน...สร้างพันธะกรร มกันไว้มากมายก่ายกอง...ซึ่งเป็นพลังงานด้านลบที่โลก ไม่ต้องการเต็มไปหมด..ล่องลอยอยู่ในสนามพลังงานโลกทำ ให้โลกเสียสมดุลอย่างที่เห็น..
ในช่วง "ยุคพลังงานใหม่"นั้น ทราบมาว่า...เราจะได้เห็นจานบินหรือ UFO รวมทั้งมนุษย์ต่างดาวตัวเป็นๆ จากหลายดวงดาวที่มาเยือนเป็นจำนวนมาก...เนื่องจากมิต ิจะเปิดออกด้วยการยกค่าระดับพลังงานจากสมการ 333 เป็น 666 เพิ่มอีกเท่าตัว และระบบสุริยะของเราจะเข้าไปอยู่ในพิกัดใหม่ มนุษย์จะมีตาทิพย์ หมายถึงมองเห็นมิติต่างๆได้มากขึ้นโดยไม่ต้องหลับตาท ำสมาธิกันเหมือนในยุคพลังงานเก่า เรียกว่าเห็นได้ด้วยตาเนี้อ แม้แต่วิญญาณต่างๆ เพื่อให้มนุษย์ได้เรียนรู้และเข้าใจในโลกของมิติต่าง ๆได้มากขึ้น และปฎิบัติตัวได้สมกับการเป็น"นักสู้เพื่อการรู้แจ้ง " โดยมีบททดสอบใหม่ให้มนุษย์ได้เรียนรู้เกี่ยวกับ "การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างดวงดาว" แล้วเราทุกๆคนทั่วโลกจะล้วนเรียกตัวเองว่า"มนุษย์เผ๋ าดาวโลก"
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้