. ภาพจินตนาการ – สันนิษฐาน ประติมากรรมรูปเหมือนจริงของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 หากอยู่ในสภาพสมบูรณ์ จะทรงท่องสวดมนตรา พระเพลาทั้งสองจะยกขึ้นถือคัมภีร์ปุราณะไว้ในพระหัตถ์ . รูปแบบประติมากรรมที่สองจนถึงรูปแบบที่สี่ในท่าประทับนั่งไขว้เท้า(ปางสมาธิ) จะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันตั้งแต่ส่วนของพระอุระลงมา คือจะไม่สวมเสื้อ นุ่งกางเกงขาสั้น มีเข็มขัดรัดโดยรอบ หรือบางรูปก็จะมีลักษณะห่มจีวรเรียบไม่มีริ้ว ดูคล้ายกับว่าไม่มีอะไรปกคลุม ช่องระหว่างพระวรกายและพระพาหาด้านขวาเจาะทะลุ ส่วนช่องแขนทางด้านซ้าย ทำเป็นช่องทึบคล้ายกับมีชายผ้าจีวรปกคลุมลงมาด้านหลัง . ส่วนพระอูรุ (ต้นขา) ไปจนถึงปลายพระบาท ทำเลียนแบบกล้ามเนื้อมนุษย์ คล้ายคลึงกับพระวรกายของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่ดูอวบอั๋น พระชงฆ์ (แข้ง) ทำเป็นสันคมตามแนวสันกระดูกหน้าแข้ง ที่พระชานุ (หัวเข่า) ก็ทำเลียนแบบกระดูกสะบ้ากลมมีกล้ามเนื้อล้อมรอบคล้ายรูปดอกไม้ ดังเช่นรูปสลักที่แตกหักที่พบที่โกรลโรมัส (คอกแรด) พิมาย พระขรรค์แห่งกำปงสวาย และชิ้นส่วนหน้าตักที่พบในปราสาทวัดพระพายหลวง ทางทิศเหนือของเมืองโบราณสุโขทัย เป็นรูปเคารพเหมือนจริงของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 . . ชิ้นส่วนของประติมากรรมรูปเหมือนจริงของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ประทับนั่งในปางสมาธิ (ธยานะมุทรา) นุ่งกางแกงขาสั้น รัดเข็มขัด แข้งคมและมีลูกสะบ้าที่พระชานุเหมือนรูปดอกไม้ พบที่ปราสาทวัดพระพายหลวงปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติรามคำแหง . . ประติมากรรมรูปเหมือนจริงของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 รูปล่าสุดที่พบโดยบังเอิญ ส่วนของพระวรกายพบในตัวเมืองโบราณนครธมในสภาพถูกทุบทำลาย และส่วนพระเศียรก็พบมาตั้งแต่ยุคฝรั่งเศสและนำไปจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์กรุงพนมเปญ เมื่อนำมาต่อก็เข้ากันได้พอดี เป็นรูปแสดงท่านั่งปางสมาธิแบบเดียวกับชิ้นส่วนหน้าตักที่พบที่สุโขทัยอย่างชัดเจน ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Angkor National Museum เมืองเสียมเรียบ . . มณฑปจัตุรมุขประดิษฐานรูปสลักของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่สร้างขึ้นใหม่ในปัจจุบันที่จังหวัดเกาะกง นิยมทำเป็นท่านั่งปางสมาธิ (ธยานะมุทรา) ตามหลักฐานที่พบใหม่ไม่นานนี้ . จากวันที่รุ่งเรืองของจักรวรรดิที่เคยยิ่งใหญ่ที่สุดในช่วงเวลาหนึ่งของอุษาคเนย์ สู่กาลเวลาที่เสื่อมสลายทั้งจากอำนาจภายในที่ยอมลดขนาดของจักรวรรดิแห่งพระโพธิสัตว์กลับมาสู่ความเป็นอาณาจักรแห่งทวยเทพ เปิดโอกาสให้เหล่าพระญาติพระวงศ์และผู้ปกครองแว่นแคว้นแดนไกลนอกแดนกัมพุชเทศะแยกตัวออกไปจนหมดสิ้น และโศกนาฏกรรมครั้งสำคัญผ่านเรื่องราวการทำลายล้างพระพุทธปฏิมากรนาคปรกศิลปะแห่งบายน . อำนาจแลพลานุภาพมากมายทั้งทางโลกและทางธรรมที่เพียรถูก“สมมุติ” สร้างขึ้นในครั้งรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แต่เพียงภายหลังจากการสวรรคตในเวลาไม่นาน ทุกสิ่งทุกอย่างก็คงเหลือแต่เพียง “ความว่างเปล่า” . รูปลักษณ์ของวัตถุและคำลวงที่ช่วยสร้างเสริมให้ดูยิ่งใหญ่ เป็นเสมือน“หัวโขนแห่งอคติ” ที่ทุกคนแสวงหาและภาคภูมิ ในวันหนึ่งของมนุษย์ทุกผู้ทุกนามก็ย่อมจะเดินทางจากลาไปสู่กาลแห่งความเสื่อมสลายและดับสูญ . . พระพุทธปฏิมากรนาคปรกขนาดใหญ่ ประดิษฐานในมหาปราสาทนครวัด ศิลปะในยุคหลังสมัยบายน ? ถูกทุบทำลายที่พระพักตร์ในยุคของพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 หรือในยุคของ "เขมรแดง" ?
|