ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 1978
ตอบกลับ: 3
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

นิทานธรรม

[คัดลอกลิงก์]


เยี่ยมนรก
โดย หลวงตาแพรเยื่อไม้

จัดพิมพ์ โดย ธรรมสภา


วัตถุนิยมอันเป็นรากฐานของวิทยาการแผนใหม่ ได้ทำให้เรื่องสวรรค์ – นรกพังทลายลงไปเกือบไม่เหลือไว้ในความคิดคำนึงของคนปัจจุบัน เพราะถือว่าพิสูจน์ไม่ได้ บางลัทธิถึงกับเห็นว่าเป็นยาเสพติดให้โทษ ในทางธรรมเล่า ก็เกิดมีนักธรรมบางประเภท จัดเอานรกสวรรค์ เป็นอุปาทานอันร้ายกาจ ทำให้ไปนิพพานช้า

เมื่อมีการพูดถึงนรกสวรรค์กันขึ้นมา ก็มักจะพูดถึงกันอีกทัศนะหนึ่ง เช่นในแง่เปรียบเทียบที่ไม่มีสาระอยู่ในตัวเอง นรกสวรรค์ตามทัศนะใหม่เอี่ยมนี้ จะต้องลูบคลำสัมผัสได้ ขึ้นนรกตกสวรรค์กันอย่างทันตาเห็น หากใครไปพูดถึงนรกสวรรค์ตามความหมายเดิมซึ่งมีอยู่ในคัมภีร์พระศาสนา ก็ถูกจัดเป็นบุคคลประเภท “หัวเก่า” ล้าสมัย นี่คือการพังทลายของนรกสวรรค์

ก็เมื่อนรกสวรรค์พังทลาย หรือได้ถูกแปลงรูปไปเสียแล้วเช่นนี้ รากฐานแห่งจรรยาของมนุษย์คือ หิริโอตตัปปะและศรัทธาอันบริสุทธิ์ ก็พลอยแปรปรวนไปด้วย เป็นเหตุให้คนเราอายชั่วกลัวบาปกัน อีกแบบหนึ่ง คือจะอายและเกรงกลัวกันก็ต่อเมื่ออยู่ในที่แจ้งเท่านั้น ส่วนศรัทธาในความดีเล่า ก็ไม่นิยม “ปิดทองหลังพระ” ไม่ยอมทำความดีในที่ลับ เหตุนี้จึงทำให้มีป้ายและคำโฆษณาของนักบุญมากมาย นี่แหละจรรยาของนักบุญยุคใหม่ ยุคที่นรกสวรรค์ถูกลืมและเยาะเย้ย

แม้นรกสวรรค์จะถูกลืม และคัมภีร์พระศาสนา เช่น เนมิราชชาดก หรือมาลัยสูตร จะไม่ได้รับการคารวะนับถือจากนักศึกษารุ่นใหม่ แต่ก็ยังมีประสบการณ์จากบางคน ซึ่งเกิดมาพ้องตรงกันกับเหตุการณ์ หรือเนื้อหาที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ หลวงตาขอเชิญท่านพิจารณาเรื่องดังต่อไปนี้

เด็กหญิงลัดดา อินทรวิจิตร อายุย่าง ๑๔ ปี อยู่กับคุณปู่คุณย่าของเธอ ที่บ้านเลขที่ ๓๔ ตรอกพระยาไม้ ติดกับวัดหลวงตา มาตั้งแต่อายุ ๖-๗ ขวบ ตามปกติคุณย่าของเธอ (นางวงษ์ จูงใจ) เป็นคนใจบุญ ทำบุญใส่บาตรเป็นประจำในตอนเช้า ตอนเพลก็จัดปรุงอาหารถวายพระตามกุฏิต่างๆ โดยให้เด็กหญิงลัดดาผู้นี้บ้าง คนในบ้านบ้าง ตนเองบ้าง นำไปถวาย

และมิเพียงแต่พระเจ้าพระสงฆ์เท่านั้น ยังเผื่อแผ่ไปถึงสัตว์นานาชนิด เช่น แมว สุนัข ไก่ นก (กระจอก) กา ทั้งในบ้านและที่วัด โดยเฉพาะรอบกุฏิของหลวงตา แมว สุนัข และนกกระจอกอุดมสมบูรณ์ ผู้มีหน้าที่นำมาเลี้ยงก็คือเด็กหญิงลัดดาผู้นี้ พระเณรมักจะสัพยอกเธอ โดยตั้งสมญาว่า “เทพีข้าวแมว” บ้าง “กี๋” บ้าง ซึ่งเธอก็ไม่เคยโกรธ

นอกจากนี้ยังปรากฏว่าคุณย่ามีความเข้มงวดกวดขันในเรื่องจรรยามารยาทของเธอมาก อบรมให้นอบน้อมพระเจ้าพระสงฆ์ และผู้หลักผู้ใหญ่ ขยันขันแข็งในกิจบ้านการครัวอย่างเกือบจะผิดวิสัยเด็ก ต้องตื่นแต่เช้ามืดเข้าครัวหุงต้มและรีบไปจ่ายตลาด เพื่อกลับมาจัดปรุงอาหารให้ทันใส่บาตรพระ

เสร็จจากงานครัวและใส่บาตรแล้วก็นำหนังสือพิมพ์ ไปถวายให้พระเณรในวัดได้อ่าน หลายกุฏิ ขุนสุนัข เลี้ยงแมว เอาข้าวสารไปหว่านโปรยเลี้ยงนก ตามที่ต่างๆ จากนั้นก็ประกอบงานอาชีพโดย คุณย่าได้จัดปรับปรุงในด้านติดถนนเป็นบริการเสริมสวย และฝึกปรือเธอให้รู้จักศิลปะเสริมความงาม เมื่อคิดถึงอายุของเธอแล้ว ก็นับว่ามีฝีมือน่าชมทีเดียว ลูกค้าของเธอมากเหมือนกัน

มาเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๑๐ เช้ามืดเธอนอนไม่ตื่น ถึงคุณย่าจะปลุกด้วยวิธีรุนแรงเธอก็นอนเงียบ คุณย่าแปลกใจเพราะปกติเด็กหญิงลัดดาไม่เคยดื้อและเกรงกลัวอยู่ เมื่อสัมผัสถูกต้องเนื้อตัวดู เย็นชืด เมื่ออุ้ม ก็อ่อนปวกเปียก คุณย่าตกใจ จึงปลุกสามี (ส.ต.อ. ผาด จูงใจ) ให้ลุกขึ้น แล้วก็ช่วยกันแก้ไข ปฐมพยาบาล คลำชีพจรไม่เต้น เอาสำลีรอจมูก ไม่มีลมผ่าน, ตกลงนำส่งโรงพยาบาลศิริราช เมื่อแพทย์รับไว้และทำการแก้ไขพยาบาล ส.ต.อ.ผาด กับเพื่อนคนหนึ่งก็อยู่เฝ้าไข้หลานจนเวลาผ่านไปประมาณ ๙.๓๐ น. จึงพื้น

อาการแรกที่เธอฟื้น เธอได้ร้องว่า “หนูกลัวแล้ว อย่าทำหนูเลย” สองสามครั้ง มีอาการตัวสั่นหวาดกลัว ส.ต.อ.ผาด เห็นดังนั้นจึงพูดปลอบ “ปู่อยู่กับหนูที่นี่ หนูไม่ต้องกลัวอะไร.....” เธอหยุดร้อง ลืมตาแล้วก็หลับไป หายใจเหนื่อยหอบตัวสั่นเทา คุณปู่จึงถามหลานว่า “หนูกลัวอะไรหรือ ? ที่นี่ไม่มีใครมาทำอะไรหนูได้หรอก” เธอพูดทั้งๆ ยังหอบว่า “หนูเห็นคนรูปร่างใหญ่โต ถือไม้กระบอง หัวมีเขาสองเขาและอีก ๔-๕ คน หัวโพกผ้าแดงเข้ามาทางหน้าต่าง เข้ามาบีบคอหนู แล้วอุ้มหนูไป หนูเรียกให้ปู่ช่วย ปู่ก็ไม่ช่วย”

เนื่องจากหลานยังเหนื่อยและตื่นเต้น คุณปู่จึงยังไม่รบกวนซักถามอีก ปล่อยให้นอนพักผ่อน และแพทย์ได้ให้น้ำเกลือในเวลาต่อมา ปล่อยให้นอนพักผ่อน และแพทย์ได้ให้น้ำเกลือในเวลาต่อมา จนเวลาล่วงไปถึงประมาณ ๑๕.๐๐ น. จึงตรวจอาการอีกครั้ง เห็นว่าปลอดภัยจึงอนุญาตให้นำกลับบ้านได้ เมื่อถึงบ้าน มีอาการหิว รับประทานอาหารแล้วก็หลับไปพักใหญ่ ครั้นตื่นขึ้น คุณปู่คุณย่าจึงช่วยกันสอบถามความทรงจำอันประหลาดของเธอ

ต่อไปนี้ จะได้เรียบเรียงเรื่องราวในความจำของเธอโดยอาศัยบันทึกของ ส.ต.อ.ผาด จูงใจ คุณปู่ของเธอและหลวงตา ได้สอบถามเธอด้วยตนเองบ้าง ขอเรียบเรียงแต่ย่อๆ เท่าที่หน้ากระดาษจำกัด

เมื่อเธอถูกอุ้มออกทางหน้าต่างไปแล้วถูกบังคับให้เดินไปในที่ที่ไม่เคยผ่าน เธอเห็นต้นไม้ประหลาดขึ้นอยู่มากมายเป็นป่าพืดไปทีเดียว ต้นไม้นั้นมันมีหนามแหลมคมเต็มไปหมด มีคนทั้งผู้หญิงผู้ชาย ล้วนแต่เปลือยกายพากันปีนป่ายขึ้นไป ถูกหนามแทงเลือดโซมกาย คนไหนกลัวเจ็บไม่ยอมขึ้น ก็มีคนข้างล่างคอยเอาหอกแทงกัน ต้องปีนขึ้นไปให้หนามเกี่ยวแทงเจ็บปวดร้องลั่น พอขึ้นไปสูงๆ ก็มีนกตัวใหญ่ ปากเป็นเหล็กบินมาจิกฉีกเนื้อออกเป็นชิ้นๆ

เธอทนดูไม่ต้องต้องหลับตาเพราะเสียวสยอง เดินต่อไป ลืมตาขึ้นอีกครั้ง พบผู้ชายผู้หญิงหลายคนถูกมัดยืนอยู่ บนหัวมีกงจักรพัด คมจักรบาดหัวกระจุยกระจาย เลือดเนื้อสาดกระเซ็นเป็นวง เธอแข็งใจถามเขาว่าทำไมเป็นอย่างนี้ เขาบอกเธอว่า เมื่อเป็นมนุษย์อยู่ เขาเนรคุณทารุณพ่อแม่อย่างสาหัส

จากนั้นก็ถึงศาลาหลังหนึ่งมีผู้หญิงแก้ผ้าอยู่บนนั้น กำลังใช้มือที่กำผ้าทุบอกตัวเอง แล้วก็ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด เธอถามว่าทุบอกทำไม ? นางบอกว่าเมื่อเป็นคน นางทารุณเฆี่ยนตีลูกตนเองและลูกเลี้ยงด้วยความเกลียดชัง

ต่อไปก็พบ ปู่ของเธอเอง (มิใช่ ส.ต.อ.ผาด) ถูกมัดไว้ไม่มีผ้านุ่ง มีน้ำเลือดน้ำเหลืองไหลเฟะเยิ้มทั้งตัว ปู่บอกเธอว่าเมื่อยังมีชีวิตอยู่ได้เบียดเบียนรังแกทั้งคนและสัตว์ไว้มาก “หนูช่วยปู่ด้วย” แต่เธอช่วยปู่ไม่ได้ ถูกบังคับให้ผ่านปู่ไป ได้พบ เจ็กขายปลาที่ตลาดนกกระจอก (ตลาดสดข้างบ้าน) เธอจำได้เห็นกำลังถูกมัดให้นอนอยู่ มีหัวถูกผ่าออกเป็นสองซีก ผอมมีแต่หนังหุ้มกระดูก


2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-10-13 19:56 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ได้พบกระทะใบใหญ่มีน้ำเดือดพล่าน และมีหัวกะโหลกต้มเคี่ยวแต่ไม่มีไฟ มีคนถูกเฆี่ยนตีอยู่หลายคนเสียงร้องน่าหวาดเสียวขนลุกขนพอง พอพ้นจากภาพอันน่าหวาดเสียวไปแล้ว ก็ถึงที่แห่งหนึ่งมีสำรับจัดอย่างสวยงาม ทั้งถาดและถ้วยชามซึ่งมีฝาปิด ล้วนเป็นทองคำทั้งสิ้น ตั้งอยู่เรียงรายทั้งสองฟากทางมองสุดสายตา ผู้นำพาเธอเดินไป ถามว่าหนูอยากกินไหม ? เธอบอกว่าอยากกิน เขาบอกว่าของเหล่านี้เป็นของหนูทั้งนั้น หนูจำไม่ได้หรือ ว่าได้ทำร่วมกับผู้ใจบุญคนหนึ่ง เธอนึกถึงคุณย่า..... เขาบอกว่านั่นแหละเป็นของหนูด้วย กินได้ทุกอย่าง

เธอจึงเข้าไปเปิดฝาถ้วยชามอาหารแต่ละอย่าง กำลังร้อนๆ มีควันฉุยหอมน่ากิน เธอก็เลยกินเสียอิ่ม มีที่ไม่ร้อนอยู่อย่างเดียวคือ น้ำส้มคั้น ดื่มแล้วหวานชื่นใจ จากนั้นก็เจอข้าวสารใส่ตุ่มแก้ว เมล็ดโตๆ งามๆ ตั้งเรียงไว้หลายสิบตุ่ม เจอขนมฝรั่ง เจอหัวเป็นหัวไก่ จำได้ว่าเคยเอามาต้มเป็นอาหารเลี้ยงสุนัข แต่ที่นี่อยู่ในอ่างทองคำ พบข้าวสุกคลุกเนื้อปลา ใส่อ่างทองคำไว้หลายสิบอ่าง ทำให้นึกถึงข้าวแมว พบหนังสือพิมพ์มัดวางไว้เป็นตั้งๆ จากสิ่งเหล่านี้

เขาก็พาเธอเดินไปจนกระทั่งเกือบจะถึงกำแพงใหญ่ แลเห็นมีภูเขาอยู่ลึกเลยเข้าไป ได้พบพระองค์หนึ่งรูปร่างเหมือนพระพุทธรูป ที่เธอเคยบูชากราบไหว้ที่บ้าน พระท่านถามคนนำพามาว่า “โยมจะพาเด็กคนนี้ไปไหน..... นำเขากลับไปส่งบ้านเสีย..... เอามาผิด เป็นคนละคนน่ะชื่อเดียวกัน”

คนนำนิ่ง พระพูดต่อไปอีกว่า “ไหนๆ ก็พามาแล้ว ให้ดูข้างในเสียหน่อยซี” คนนำยังนิ่ง พระองค์นั้นก็เลยพูด, เปลี่ยนความคิดว่า “อย่าเลยไม่ต้องให้ดูหรอก เท่านี้ก็พอ อยู่นานนักไม่ได้ เขายังมีงานรออยู่ทางบ้าน พาเขาไปส่งเถอะ” แล้วหันมาพูดกับเธอว่า “จำไว้นะหนู ต่อไปนี้ความชั่วความบาปอย่าทำ.....” คนนำพูดสอดขึ้นด้วยเสียงขู่ตะคอกว่า “เอ้าโดดน้ำไปซิ”

ขณะนั้นเธอเห็นแม่น้ำกว้างเกิดขึ้นขวางหน้า จนปัญญา เห็นว่าหมดทางกลับเสีย แล้วก็บังเอิญได้ยินพระพูดว่า “ไม่ได้ทำอย่างนั้นไม่ได้ เอาเขามาอย่างไร ก็ไปอย่างนั้นซิ” อย่าฉับพลันทันที มีนกใหญ่ตัวหนึ่งขนสีทอง มีขาสองขา (นกไม่น่าจะมีขามากกว่าสองขา เขียนตามที่เธอเล่า) มาหมอบลงให้เธอนั่งบนหลัง แล้วก็บินพากลับผ่านผู้หญิงรูปร่างสวยๆ ลอยอยู่กลางอากาศ (นางฟ้ากระมัง ?) ร้องทักเซ็งแซ่ไปหมด

มีคนหนึ่งร้องว่า “หนูแล้วมาเที่ยวใหม่นะจ๊ะ” เมื่อจะพ้นจากกลุ่มผู้หญิงสวยๆ เธอเสียดายอยากเหลียวไปดูอีก ก็ถูกคนนำพา ที่ลอยมาเร็วพอกับนกบินขู่ว่า “อย่าเหลียวกลับไปดูนะ ขืนเหลียวจะแทงให้ตาย” จากนั้นก็ถึงบ้าน เขาบอกว่า “เอ้าถึงแล้ว” เธอลงจากหลังนก ด้วยความกลัว รีบวิ่งเข้าบ้าน ปากก็ร้องว่า “หนูกลัวแล้ว อย่าทำหนูเลย” ต่อแต่นั้นเธอก็ฟื้น เหตุการณ์ก็เป็นดังกล่าวมาแต่ต้น.....

ก่อนจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เด็กหญิงผู้นี้มิได้ป่วยไข้แต่อย่างใด ไม่เคยอ่านหนังสือมาลัยสูตร หรือเนมิราชชาดกหรือฟังเทศน์ฟังธรรม จึงไม่มีความรู้เป็นพื้นฐานจนสามารถจะผูกนิยายแบบคัมภีร์ศาสนาราวกับนักเทศน์ผู้เชี่ยวชาญอย่างนี้ ถ้าเช่นนั้นประสบการณ์จากสัญญาประหลาดนี้ จะเกิดจากอุปาทานได้อย่างไร ? ทั้งวัยของเธอก็เรียกได้ว่า เริ่มจะเดียงสาเท่านั้น

คัมภีร์พระศาสนาได้ช่วยอบรมให้มนุษย์ เกลียดนรกรักสวรรค์ จนกลายเป็นนิสัยกระแสหนึ่งของคนไทย ใครจะคิดทำชั่วขึ้นมา แม้ตำรวจจะไม่จับ หรือไม่ถูกนินทา แต่ก็ยังมีความอายและความกลัวนรกคอยหักห้ามเอาไว้ เมื่อจะทำความดี ก็ไม่ต้องกังวลว่าคนจะไม่เห็น ไม่ยกย่องสรรเสริญเพราะมีความมั่นใจว่า “แม้คนจะไม่เห็นแต่ผีสางเทวดารู้”

นี่แหละที่มาของความอายชั่วกลัวบาป ทั้งที่ลับและที่แจ้ง และรากฐานของจรรยามนุษย์แต่ดั้งเดิม ซึ่งรักษาชาติคุ้มครองสังคม ให้ปลอดจากอันตรายและก่อให้เกิดจารีตประเพณี อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ช่วยให้เกิดสง่าราศี เราจะมารื้อนรกสวรรค์ทิ้งเสีย ด้วยความรู้อันทันสมัยที่นิยมกันในปัจจุบันนี้ละหรือ ?

บางทีเรื่องของเด็กหญิงลัดดา อินทรวิจิตร ที่หลวงตาเรียบเรียงขึ้น จะช่วยทำให้พวกเราพากันเสียดายเรื่องนรกสวรรค์ขึ้นมาบ้างกระมัง ? ความโง่ ที่คอยกีดกันคนไม่ให้กระทำชั่ว จะไม่มีประโยชน์บ้างเจียวหรือ ?



................. เอวัง .................
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-10-13 20:00 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


นางฟ้าขี้เหนียว
โดย พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)


เรี่องมีอยู่ว่าวันหนึ่ง พระอนุรุทธ ท่านเข้าฌานเหาะไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อท่านพบวิมานหลังหนึ่งสวยสดงดงามมาก และเจ้าของวิมานก็สวยเช็งวับเลย ตามพระไตรปิฏกท่านพรรณาไว้อย่างนี้ว่า

“ดูก่อนนางเทพธิดา เธอมีรูปสวยมาก ผิวพรรณก็ผ่องใสคล้ายเงินผสมแก้ว จะขยับเขยื้อนแพรวพราวไปทั้งร่าง แสงสว่างที่ออกจากกายก็สว่างไสวไปทั่วทิศ สว่างเหนือหรือมากกว่าดาวประกายพรึกเป็นไหนๆ

เมื่อเธอฟ้อนอยู่ หรือการขับร้องเสียงที่เป็นทิพย์ก็ไพเราะมาก ช่างชื่นใจในน้ำเสียงของเธอเหลือเกิน กลิ่นที่เป็นทิพย์ก็หอมหวลยวนใจ เสียงเครื่องประดับกระทบกันก็ไพเราะมาก ขอพรรณาเท่านี้ก็พอ เพราะท่านชมไว้มากเหลือเกิน ท่านลงท้ายว่า เมื่อเป็นมนุษย์ทำบุญอะไรไว้ จึงสวยและเสียงไพเราะจับใจอย่างนี้”

อาศัยโมทนาบุญ

นางเทพธิดาตอบว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เมื่อเป็นมนุษย์ฉันเป็นเพื่อนกับนางวิสาขามหาอุบาสิกา นางวิสาขาทำบุญไว้มากมหาศาล แต่ดิฉันบ๋อต๋อไม่ได้ทำเลย อยู่เฉยๆ ก็ได้บุญ คอยเก็บบุญคือโมทนาอย่างเดียวก็พอ” นี้แหละจึงเขียนว่า นางฟ้าขี้เหนี้ยว เอาแต่โมทนาอย่างเดียว ถ้านักบุญอย่างนี้มีมากๆ พระ เณร ชี อดหัวโตไปตามๆ กัน

เธอบอกว่า นางวิสาขามหาอุบาสิกา ได้สร้างวิหารถวายสงฆ์ เธอเห็นวิหารนั้นมีใจเลื่อมใส ก็เลยโมทนา วิหารที่สวยสดงดงามที่พระคุณเจ้าเห็นอยู่นี้ เป็นผลบุญที่ฉันโมทนาที่นางวิสาขาสร้างถวายสงฆ์ วิมานนี้เป็นวิมานมหัศจรรย์ สวยสดงดงามมาก โดยรอบ ๑๖ โยชน์ เลี่อนลอยไปในอากาศได้ตามที่ฉันต้องการ

ดิฉันมีปราสาทเป็นที่อยู่ อาศัยที่บุญอนุโมทนา จัดให้เป็นส่วนๆ งามรุ่งโรจน์ตลอดร้อยโยชน์ มุมหนึ่งของวิมานมีสระโบกขรณี เป็นที่อาศัยของปลาสวยๆ ทุกประเภท มีน้ำใสสะอาด มีทางลาดเพื่อเดินเล่นด้วยทรายทองคำ มีบัวสวยๆ ทุกชนิด เกสรบัวหอมฟุ้งไปทั่วทิศ บุญที่โมทนาทำให้มีต้นไม้รอบวิมานหลายชนิด เช่น มะพร้าว ไม้หว้า ขนุน ต้นตาล เป็นต้น เธอคุยฟุ้งตามความเป็นจริงพรรณาไม่ไหว

สรุปแล้วผลที่เธอได้ เพราะอาศัยที่เธอเป็นมนุษย์ขี้เหนียว เอาแต่โมทนาบุญอย่างเดียว เป็นอันว่าคนฉลาดจะไม่มีโอกาสปราศจากบุญได้เลย ในเมื่อเราไม่มีทุนทำเอง เราก็โมทนาด้วยจิตบริสุทธิ์ ส่วนที่ทำเองก็ทำแล้วและโมทนาต่อด้วย หรือโมทนาแล้วทำเองด้วย จะช่วยให้มีความสุขมากกว่านี้

ท่านพระอนุรุทธท่านถามโฉมงามที่มีนามว่ามนุษย์ขี้เหนียวต่อไปว่า “เวลานี้นางวิสาขามหาอุบาสิกา ผู้ถวายวิหารทาน ไปอยู่ที่ไหน ?” นางฟ้าเธอตอบว่า “นางวิสาขามหาอุบาสิกาเธอมีทั้งทาน มีทั้งศีล จิตเจริญด้วยภาวนา เป็นมหาอุบาสิกาผู้ประเสริฐ เวลานี้ไปเกิดที่ชั้นนิมมานรดี เป็นชายาของท่านสุนิมมาตวดี”


ธรรมปฏิบัติ เล่ม ๒
โดย พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-10-13 20:01 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
นิทานสาธก : ดาบสหัวดื้อ


มีพระภิกษุสองรูปที่ได้ชื่อว่าหัวดื้อที่สุดในสมัยพุทธกาล รูปหนึ่งชื่อ ฉันนะ ฉันนะที่เคยเป็นมหาดเล็กคนสนิทของเจ้าชายสิทธัตถะนั่นแหละครับ ท่านถือว่าเคยเป็นคนสนิทกับพระพุทธเจ้ามาก่อน จึงมีทิฐิมานะไม่ยอมฟังใคร ไม่ยอมเชื่อใคร เชื่อมั่นในตัวเองสูง อย่าว่าไม่ฟังคำเตือนของพระเถระทั้งหลายเลย บางครั้งพระพุทธเจ้าทรงเตือนยังไม่ค่อยจะฟังเลย ได้ชื่อว่าหัวดื้อที่สุด

พระพุทธองค์ทรงปล่อยให้กาลเวลาผ่านไป จนกระทั่งเมื่อตอนใกล้จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน พระอานนท์กราบทูลถามว่า หลังจากพระพุทธองค์ล่วงไปแล้ว จะให้สงฆ์จัดการอย่างไรกับพระฉันนะจอมหัวดื้อ

พระพุทธองค์รับสั่งว่า ให้ทำ "พรหมทัณฑ์" แก่เธอ แล้วเธอจะสำนึกเอง พรหมทัณฑ์ ก็คือบอยคอตอะไรทำนองนั้น พระสงฆ์ไม่มีใครสนใจไยดีเธอ ทำเหมือนว่าไม่มีพระชื่อฉันนะอยู่ด้วย ไม่พูดจาด้วย ไม่โอวาท ไม่อนุศาสน์ ซึ่งก็น่าจะดี แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ ฉันนะ เธอมีความรู้สึกถูกโดดเดี่ยว จึงอึดอัดใจ และในที่สุดสำนึกผิด จึงกราบขอขมาพระสงฆ์ ยอมทำตนอยู่ในโอวาทของพระเถระทั้งหลาย

อีกรูปหนึ่งนามว่า ติสสะ รายนี้ก็ไม่ฟังใครเหมือนกัน จนพระสงฆ์ทั้งหลายเอือมระอารายนี้ถูกปราบโดยวิธีใดผมก็ลืมเสียแล้ว จำได้แต่ว่าพระสงฆ์กราบทูลปรารภกับพระพุทธองค์ว่า ติสสะ หัวดื้อเหลือเกิน

พระพุทธองค์ตรัสว่า ติสสะเธอใช่จะหัวดื้อเฉพาะในปัจจุบันนี้เท่านั้น ในอดีตก็หัวดื้อเช่นนี้เหมือนกัน

เรียกว่าหัวดื้อข้ามชาติ ว่าอย่างนั้นเถอะ

เมื่อพระสงฆ์กราบทูลถาม พระพุทธองค์จึงตรัสเล่าเรื่องแต่ปางก่อนให้พระสงฆ์ทั้งหลายฟังว่า ในอดีตกาลนานมาแล้ว ณ ศาลานอกเมืองแห่งหนึ่ง ดาบสเฒ่าท่านหนึ่งสัญจรมาพักอาศัยอยู่ก่อนแล้วหลายวัน วันหนึ่งมีดาบสหนุ่มมาจากทางไกล เข้ามาอาศัยพักอยู่ด้วย

ดาบสเฒ่ากล่าวว่า ที่นี่มีอยู่ห้องเดียว คุณพักอยู่ข้างในห้อง ผมจะอยู่ข้างนอก ว่าแล้วก็ยึดเอามุมหน้าประตูเข้าออกเป็นที่นอน ดาบสหนุ่มกำหนดทิศทางที่ดาบสเฒ่าพักอยู่เรียบร้อยก่อนเข้านอน กระนั้นก็พลาดจนได้ เพราะดาบสเฒ่ามิได้นอนที่จุดเดิม เมื่อดาบสหนุ่มลุกขึ้นมาเพื่อปัสสาวะตอนดึก ค่อยๆ ย่องๆ ออกประตู ท่ามกลางความมืด เท้าเกิดไปเหยียบมวยผมดาบสเฒ่าเต็มรัก

ผู้เฒ่าร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หาว่าดาบสหนุ่มแกล้งเหยียบศีรษะ

"ขอประทานโทษเถอะขอรับ ผมมองไม่เห็นขอรับ"

"มองไม่เห็นทำไมเหยียบถูกวะ" ผู้เฒ่าตอบยียวนหาเรื่อง "อย่างนี้มันแกล้งกันนี่หว่า"

"กระผมมิได้เจตนาเลยขอรับ มันมืด มองไม่เห็น ไม่นึกว่าท่านอาจารย์จะอยู่ตรงนี้"

"เอ็งอย่ามาแก้ตัว เอ็งแกล้งข้าก็บอกมาตรงๆ" ผู้เฒ่ายังไม่ยอมลดละ

ดาบสหนุ่มกล่าวขอโทษแล้วขอโทษอีกกว่าจะหยุดบ่น ดาบสผู้เฒ่าคิดว่า เราหันศีรษะมาทางนี้ไอ้หนุ่มถึงเหยียบเรา คราวนี้เปลี่ยนทิศใหม่ดีกว่า ไม่งั้นมันจะมาเหยียบเราอีก ว่าแล้วก็นอนหันศีรษะไปทางเท้าเดิม

ดาบสหนุ่มทำสรีรกิจ (ถ่าย) เสร็จแล้วก็คิดว่า ตะกี้นี้เราเดินไปทางนี้จึงเผลอเหยียบศีรษะท่านอาจารย์ คราวนี้เราจะเดินไปทางเท้าท่านดีกว่า แล้วก็ค่อยๆ ก้าวเท้าทางเท้าเดิมด้วยความระวัง แต่ก็เคราะห์ร้ายอะไรปานนั้น

คราวนี้เหยียบเอาตรงคอดาบสดแก่ดังอึ๊บ พร้อมเสียงร้องดังวัวถูกเชือดตามมา คราวนี้ไม่ต้องอธิบายอะไรแล้ว ดาบสแก่ไม่ยอมฟังทั้งนั้น อย่างนี้ไม่เรียกว่าแกล้งจะเรียกว่าอะไร

ดาบสหนุ่มก็ได้แต่นั่งยกมือไหว้ขอโทษขอโพย แต่ก็ไร้ผล ดาบสแก่เอ่ยคำสาปแช่งว่าให้ศีรษะแกแตกเป็นเจ็ดเสี่ยงทันทีที่พระอาทิตย์อุทัย

ดาบสหนุ่มเป็นพระโพธิสัตว์ มีบารมีและฌานแก่กล้ากว่าดาบสแก่ รู้ด้วยญาณว่า คำสาปนั้นจะตกไปยังดาบสแก่แทนที่จะเป็นตน จึงกราบเรียนท่านไปว่า ท่านอาจารย์ครับ คำสาปนั้นจะตกแก่ท่าน ขอความกรุณาถอนคำสาปเถิด

ดาบสแก่โต้ว่า "ข้าสาปแก มันจะตกแก่ข้าได้อย่างไร"

"จริงๆ ครับ ท่านอาจารย์ คำสาปนั้นจะตกแก่ท่าน ศีรษะท่านนั่นแหละจะแตกเจ็ดเสี่ยงทันทีที่พระอาทิตย์อุทัย มีทางเดียวที่จะรอดพ้นได้คือ ให้ท่านกล่าวขอโทษผมเสียเถิด"

"เรื่องอะไรข้าจะขอโทษแก ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนถูกต้องหมด คือข้าสาปแกให้แกมีอันเป็นไป แล้วทำไมข้าจะกลายเป็นคนผิด ข้าไม่ผิด ข้าไม่ขอโทษ แกนั่นแหละถ้าไม่อยากตายก็คุกเข่าขอโทษข้าเสีย" ดาบสเฒ่าจอมหลักการเถียง

เมื่อเห็นว่ายังไงๆ ท่านอาจารย์ก็ไม่กล่าวคำขอโทษ ดาบสหนุ่มจึงมองหาทางจะช่วยจึงไม่ยอมให้พระอาทิตย์ขึ้น คืนนั้นกลายเป็นค่ำคืนที่ยาวนานมาก นานจนประชาชนชาวเมืองเดือดร้อนว่าทำไมมันไม่สว่างสักที มีเหตุร้ายแรงอันใดหนอ

ประชาชนพากันไปยังพระราชวัง ร้องทุกข์ต่อพระราชา เมื่อพระราชาทรงตรวจดูพระจริยาวัตรของพระองค์ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง ก็ทรงแน่พระทัยว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มิได้เนื่องมาจากพระองค์แน่ จึงสอบถามข้อมูลจากเสนาอำมาตย์ทั้งหลาย ได้รับรายงานล่าสุดว่ามีดาบสสองรูปพักอยู่ศาลานอกเมือง ท่านทั้งสองรูปใดรูปหนึ่งอาจรู้สาเหตุแห่งภาวะมืดมาราธอนนี้ก็ได้

พระราชาและชาวเมืองจึงพากันไปหาดาบสทั้งสอง ได้รับทราบจากดาบสหนุ่มว่า ท่านอาจารย์เข้าใจว่าท่านล่วงเกิน ได้สาปให้ศีรษะท่านแตกเจ็ดเสี่ยงตอนพระอาทิตย์ขึ้น แต่ท่านรู้ว่าคำสาปนั้นจะตกที่ท่านอาจารย์จึงไม่ยอมให้พระอาทิตย์ขึ้น

"แล้วเราจะทำอย่างไร พระคุณเจ้า ขืนปล่อยไว้อย่างนี้ประชาชนเดือดร้อนแน่" คำถามสอดขึ้นมา

"มีทางเดียว ให้อาจารย์ขอขมาอาตมาให้ได้" ดาบสหนุ่มยืนยัน

ดาบสแก่ไม่ยอมขอขมา ชาวเมืองจึงจับศีรษะท่านก้มแทบเท้าดาบสหนุ่มบังคับให้กล่าวคำขอขมา กระนั้นเฒ่าหัวดื้อก็ไม่ยอมกล่าวออกมา ดาบสหนุ่มจึงบอกให้จับแกลงน้ำลึกถึงปลายคาง ให้เอาก้อนดินเหนียวโปะไว้บนศีรษะ แล้วดาบสหนุ่มก็ปล่อยอิทธิฤทธิ์ให้พระอาทิตย์ขึ้น

พอพระอาทิตย์โผล่ขึ้นขอบฟ้า กดให้ดาบสเฒ่ามุดลง ทันใดนั้นก้อนดินบนศีรษะดาบสเฒ่าก็แตกกระจายเป็นเจ็ดเสี่ยง แกดำน้ำไปโผล่อีกมุมหนึ่ง รอดชีวิตมาได้

พระพุทธองค์ทรงสรุป ติสสะ นั้นแต่ก่อนก็ดื้อด้านมาก่อนแล้ว ชาตินี้จึงดื้ออีกติดเป็นสันดานยากจะแก้ไข

คนเราถ้าเชื่อมั่นในตัวเองสูง มองแต่ในมุมของตัวเอง ก็มักจะไม่ฟังใคร เพราะคิดว่าตัวเองนั้นถูกแล้ว เมื่อไม่ผิดแล้วจะให้ขอโทษใคร ไม่ขอโทษแล้วใครจะทำไม

ไม่ทำไมดอกครับไม่ ก็เชิญดื้อด้านต่อไปถึงชาติหน้าตอนสายๆ ค่อยคิดกันอีกที

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้