|
เพราะคนพวกนี้คือศัตรูร้ายที่จะมาทำลาย "ความร่มเย็นของบ้านเมืองไทยอันเป็นที่รักของเรา" ดังที่รัฐมนตรีท่านหนึ่งที่รับผิดชอบเรื่องการท่องเที่ยวกล่าวว่า "จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายชาติอย่างเด็ดขาด"
ประโยคนี้สะท้อนให้เห็นว่า "ชาติไทย" ในมโนทัศน์ของท่านคือ "ชาติที่สงบร่มเย็นกลมเกลียวสามัคคี" อะไรที่อยู่นอกเหนือจากนี้คือเป็นการ "ทำลายชาติ" -- คือความเป็น "อื่น" และคือ "กลายเป็นอื่น"
กระบวนการมองปัญหาแบบ "สร้างความอื่น" เช่นนี้ก่อให้เกิดอะไร อย่างหยาบที่สุดคือ มันก่อให้เกิดการสร้างวิธีที่ออกจากปัญหาด้วยการ "ขจัดความเป็นอื่น" ออกไปนั่นเอง
การขจัดความเป็นอื่นที่เราคุ้นเคยมากที่สุดก็คือนิสัยเอะอะอะไรเราก็อยากไล่คนที่เราไม่ชอบขี้หน้าออกนอกประเทศ เพราะเราเห็นว่า ประเทศของเราดีแล้ว เพียบพร้อมแล้วทุกอย่าง แต่มันเกิดปัญหาเพราะคนชั่วไม่กี่คน ดังนั้น อยากแก้ปัญหาของประเทศชาติเหรอ - ง่ายจะตาย
แยกคนดีออกจากคนที่ (เราคิดว่า) คือเป็นตัวสร้างปัญหา จากนั้นจับเอาคนที่ชอบสร้างปัญหาทั้งหลายมัดรวมกัน ใส่ตะกร้า โยนทิ้งลงมหาสมุทรไปเสีย ทีนี้ในประเทศที่แสนดีของเราก็จะเหลือแต่คนดี ไชโย แก้ปัญหาได้แล้ว ต่อไปนี้ประเทศชาติดีแน่
สังคมที่มีวิธีคิดเช่นนี้ จะเป็นสังคมที่ยากจนความรู้และขาดการสร้างพลังทางปัญญามาแก้ปัญหาของประเทศ
เพราะเมื่อเกิดปัญหาขึ้นกับประเทศชาติของเขา แทนที่เขาจะไปเสาะหาว่าปัญหามันเกิดจากอะไร เช่น เกิดจากผลพวงความขัดแย้ง ความเข้าใจผิดในอดีต เกิดจากความเหลื่อมล้ำ เกิดจากความไม่เป็นธรรม เกิดจากการที่คนกลุ่มหนึ่งถูกเลือกปฏิบัติ เกิดจากการขาดกระบวนการรับฟัง ถกเถียง เกิดจากการใช้อำนาจที่เกินกว่าเหตุ ฯลฯ พวกเขาเลือกที่จะบอกว่า เฮ้ย สังคมเราเป็นสังคมที่ดีอยู่แล้วไม่ต้องแก้อะไร แค่หยิบๆ คนชั่วไปทิ้ง ทุกอย่างก็จบ (เราจึงมีสำนวน คำพังเพยในทำนองว่า ถ้าคนนั้น คนนี้ไม่อยู่แล้ว แผ่นดินจะสูงขึ้น)
มันน่าฉงนมากว่า ทำไมคนไทยจึงเชื่ออยู่ได้ว่า เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของสังคมไทยคือเราเป็นสังคมที่สงบร่มเย็น เพราะแค่เปิดหน้าหนังสือพิมพ์ เราจะพบข่าวอาชญากรรมอันชวนสะพรึงรายวัน
มิหนำซ้ำเรายังเป็นสังคมที่มีความพึงใจกับการเสพข่าวประเภท "ซึ้ง แม่วัยแปดสิบ กัดฟันทำงานเลี้ยงลูกที่นอนป่วยเป็นอัมพาต" หรือ "ลูกกตัญญู ออกจากโรงเรียนมาดูแลพ่อที่ป่วยหนัก" จากนั้นภาพข่าวก็จะเป็นกระต๊อบพังๆ กับสภาพชีวิตที่ชวนสังเวช
แต่เราก็จะยังอึ้งกับ "ความกตัญญู" หรือความรักอันยิ่งใหญ่ของแม่ เผลอๆ คิดไปได้อีกว่า นี่ไง คุณค่าทางศีลธรรม จริยธรรมของเราคนไทยช่างน่านับถือจังเลย แทนที่จะเราจะเห็นว่าภาพเหล่านี้สะท้อน "ความรุนแรง" อย่างสาหัสในสังคมว่า ถ้ามิใช่สังคมที่บกพร่องในการกระจายความมั่งคั่งอย่างวิกฤติที่สุดแล้ว คงไม่มีภาพแบบนี้ออกมาให้เสพในสื่อ
และเราก็ไม่อาจกลับมาตั้งคำถามกับตัวเราได้เลยว่า เราคือหนึ่งในตัวการสร้าง "ความรุนแรง" นี้ให้เกิดขึ้นและดำรงอยู่ต่อไปในสังคมหรือเปล่า?
กระบวนการที่จะหยุดมิให้เราเห็นว่าเราคือหนึ่ง "ความรุนแรง" ที่เกิดขึ้นคือ เราจะพากันแห่แหนบริจาคเงินให้ครอบครัว "กตัญญู" นั้น แล้วบอกตัวเองว่า "คนไทยใจบุญ" มีอะไรเราก็ช่วยเหลือกัน ดีจังเลย จากนั้นเราก็จะสามารถกลับมาใช้ชีวิตอยู่ในสังคมที่เราเชื่อว่า "บ้านเมืองอันสงบร่มเย็น" ต่อไป
มีสถิติที่หากเราตั้งใจอ่านมันจริงๆ จะยิ่งทำให้เราฉงนหนักขึ้นว่า ทำไมเราจึงเชื่อว่าเราอยู่ในบ้านเมืองที่สงบร่มเย็นได้
ข้อมูลจากฐานข้อมูลชายแดนภาคใต้ http://www.deepsouthwatch.org/node/6596 บอกเราว่า
ในปี 2557 มีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นทั้งหมด 793 เหตุการณ์ เฉลี่ยเดือนละ 66 เหตุการณ์
มีผู้เสียชีวิต 330 ราย
เฉลี่ยเดือนละ 28 ราย
มีผู้บาดเจ็บ 663 คน
เฉลี่ยเดือนละ 55 คน
ถ้าดูสถิติในรอบสิบปี ตั้งแต่ปี 2547-2557
มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบ 6,286 ราย
ปีละ 571 ราย
ผู้บาดเจ็บ 11,366 คน
เฉลี่ยเดือนละ 1,033 คน
เหตุการณ์ระเบิดที่ราชประสงค์เมื่อค่ำวันที่ 17 สิงหาคม สร้างความสลดและสะเทือนใจ อีกทั้งก่อความหวาดผวาอย่างไรกับเรา ลองคิดดูว่าถ้าคนที่อยู่ภาคใต้ต้องเผชิญกับเหตุกาณ์ความไม่สงบจนมีผู้เสียชีวิตเฉลี่ยเดือนละ 28 ราย พวกเขามีชีวิตอยู่อย่างไรตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา
แน่นอนว่า เราไม่พึงตื่นตระหนกจนเกินกว่าเหตุ แต่เหตุการณ์ระเบิดที่ใจกลางกรุงเทพมหานครครั้งนี้ ทำให้เราต้องออกจากมายาคติที่ว่า บ้านเมืองของเรานั้นร่มเย็นเป็นสุขอย่างปราศจากเงื่อนไข
จากนั้น น่าจะถึงเวลาที่เราพึงมาทำความรู้จัก "บ้านเมือง" ของเราอย่างที่มันเป็นจริงๆ
ถึงเวลาเปิดพรมออกมาแล้วกวาดปัญหาที่ซุกอยู่ใต้พรมออกมาวางเรียงกันให้เห็น
แม้สิ่งที่อยู่ใต้พรมมันจะไม่ใช่สิ่งน่าดู แต่หากเราไม่เริ่มดูและไม่เริ่มเผชิญหน้ากับมันเราจะสะสางปัญหาออกไปได้อย่างไร
แค่การต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่าบ้านเมืองของเราไม่ใช่บ้านเมืองที่ร่มเย็นเป็นสุขก็เพียงพอที่จะทำให้เราต้องหมั่นตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานราชการต่างๆ ที่รับผิดชอบความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของคนที่อยู่ในสังคม
เช่น เรามีความพร้อมทั้งทางบุคลากรและอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือในการรับมือที่เกี่ยวกับการกู้ภัย การช่วยเหลือคนบาดเจ็บ การป้องกันคนไม่ให้ได้รับอันตรายเพิ่ม ฯลฯ กับเหตุการณ์ร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ดีแค่ไหน
นอกจากสมรรถนะในการรับมือกับวิกฤติระยะสั้นอันเกี่ยวข้องกับชีวิตของคนที่อยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุแล้ว เราจะมีสมรรถนะในการพัฒนาองค์ความรู้เพื่อรับมือกับ "ความไม่สงบ" ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตดีแค่ไหน โดยไม่ละเมิดสิทธิ เสรีภาพของพลเมือง ไม่ปลุกเร้าความเกลียดชังเพิ่ม ไม่จับ "แพะ" มารับเคราะห์ เพราะนั่นก็จะยิ่งทำให้สังคมร้าวรานหนักขึ้นไปอีก และไม่ใช่หนทางในการสร้างสังคมที่มีสวัสดิภาพ
ปัญหาที่แก้ไม่ตกของพวกเราในทุกวันนี้คือ เราไม่เคยมีก้าวแรกในการแก้ไขปัญหา เพราะก้าวแรกที่เราอาจจะไม่เคยก้าวออกไปเลยคือ ความกล้าที่จะทำความรู้จักตัวเองอย่างที่เราเป็น
ที่มา..http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1440414185
|
|