ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ พระครูเกษมธรรมนันท์ (แช่ม ฐานุสฺสโก) วัดดอนยายหอม ~

[คัดลอกลิงก์]
11#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-4 19:27 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เหตุอัศจรรย์

          ขอให้สังเกตว่าวันที่พ่อเนียมนำนายแช่มไปนมัสการหลวงพ่อเงิน ที่วัดดอนยายหอม เพื่อปรึกษาหารือพิธีการและฤกษ์พานาทีในการอุปสมบทของนายแช่ม ผลที่สุดหลวงพ่อเงินก็กำหนด เอาวันที่ 6 พฤษภาคม 2470 ซึ่งตรงกับวันศุกร์ ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 6 ปีเถาะ เป็นวันอุปสมบท เมื่อถอดออกมาเป็นตัวเลขแล้วจะเป็นเลข 6 ทั้งหมด หลวงพ่อเงินท่านว่าเป็นฤกษ์ที่สุดสำหรับการอุปสมบทเพื่อสืบต่ออายุของพระพุทธศาสนา เหตุนี้จึงเป็นเหตุอัศจรรย์ที่น้อยคนนักจะได้รับวันสำคัญตรงกันเช่นนี้                                                                                                                       

คู่บารมีหลวงพ่อเงิน

          หลวงพ่อเงิน จันทสุวัณโณ ได้รับฉายายกย่องจาดพุทธศาสนิกชนว่า (เทพเจ้าแห่งดอนยายหอม) ด้วยเหตุที่ท่านได้สร้างความดีอันหาที่เปรียบไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น ถาวรวัตถุนานาประการ และการอบรมบ่มนิสัยให้ชาวบ้านดอนยายหอมและพุทธศาสนิกชนที่ศรัทธานับถือให้อยู่ในขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงาม สมัยเมื่อวัดดอนยายหอมกำลังเริ่มต้นบูรณะปฎิสังขรณ์เสนาสนะในวัดหลายๆอย่าง พระภิกษุแช่ม ฐานุสสโก เปรียบเสมือนพระคู่บารมีของหลวงพ่อเงินและนับเป็นกำลังสำคัญของวัดทีเดียว ทั้งทางด้านการศึกษาเล่าเรียน พระปริยัติธรรมและด้านการก่อสร้างถาวรวัตถุบูรณะซ่อมแซมวัดดอนยายหอมให้พัฒนารุ่งเรืองต่อไป


ศึกษาทางด้านปฏิบัติกรรมฐาน

        พระภิกษุแช่ม ท่านเป็นพระหนุ่มที่มีความมุมานะมีความวิริยะอุตสาหะเป็นเลิศ ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมอย่างจริงจัง จนกระทั่งสามารถสอบได้ถึงขั้นนักธรรมเอก เมื่อสำเร็จนักธรรมสนามหลวงแล้ว พระภิกษุแช่มก็หันมาสนใจทางด้านปฏิบัติ ในขณะที่หลวงพ่อเงินกำลังเรืองด้วยพระเวทและบารมี ข้างกายท่านมีภิกษุหนุ่มซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานท่าน นั่นก็คือพระภิกษุแช่มนั้นเอง ทุกสิ่งทุกอย่างที่หลวงพ่อเงินปฎิบัติ พระภิกษุแช่มก็ช่วยปฎิบัติเช่นเดียวกัน พระเวทคาถาอาคม ที่หลวงพ่อเงินมีอยู่และใช้ หลวงพ่อเงินก็ได้ถ่ายทอดให้แก่พระภิกษุแช่มทั้งหมดไม่ปิดบัง เมื่อพรรษามากเข้า พระภิกษุแช่มก็ขออนุญาตหลวงพ่อเงินออกธุดงค์ เพื่อปฎิบัติวิปัสสนากรรมฐานและ
สมถกรรมฐานได้ทำความเพียรจนสำเร็จแตกฉานเป็นอย่างดี การออกธุดงค์ในสมัยนั้นก็นิยมไปตามจังหวัดใกล้เคียงที่ไม่ห่างไกลมากนัก เช่น จังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม ราชบุรี เพชรบุรี จังหวัดต่างๆ ที่กล่าวมานี้นับว่ามีพระเกจิอาจารย์ที่ขมังพระเวทยอดเยี่ยมทั้งนั้น พระเกจิอาจารย์ในยุคนั้นมีกิจวัตรที่ต้องปฎิบัติเป็นประจำอยู่อย่างหนึ่ง นั้นก็คือ การออกธุดงค์หลังจากออกพรรษาเลยกลางเดือน 12 ไปแล้ว หรือรับกฐินแล้ว จุดมุ่งหมายที่เหมือนๆ กันนั้นก็คือ ต้องนมัสการพระแท่นดงรัง ที่จังหวัดกาญจนบุรี  ณ.ที่นี้คงจะเป็นจุดรวมบรรดาเกจิอาจารย์ที่โด่งดังมีชื่อเสียงจากทั่วสารทิศ แล้วมีการแลกเปลี่ยนความรู้ ความสามารถ  ทางธรรม ทางไสยเวท และคาถาอาคมขลัง ซึ่งกันและกัน

       วัดดอนยายหอมในขณะนั้นมีพระอาจารย์ผู้เคร่งครัดและรอบรู้ทางสมถกรรมฐานองค์หนึ่งชื่อพระอาจารย์รุ่ง ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงพ่อฮวบ อดีตเจ้าอาวาสวัดดอนยายหอม ขณะนั้นพระภิกษุแช่มเป็นพระภิกษุหนุ่มมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะอุทิศตนเพื่อสืบต่อพระพุทธศาสนาท่านเคยปรารภว่า เมื่อศึกษาเล่าเรียนทางด้านปริยัติธรรมอันเป็นพื้นฐานความรู้ในเบื้องแรกได้พอสมควรแล้ว ก็ควรจะศึกษาเล่าเรียนทางด้านปฎิบัติต่อไป หลวงพ่อแช่มเคยเล่าให้ฟังว่า การเรียนสมถกรรมฐานในระยะเริ่มแรกนั้น ต้องใช้ความอดทนจริงๆ ดีแต่ว่ามีพระอาจารย์รุ่ง ซี่งรอบรู้และเชี่ยวชาญในด้านนี้คอยควบคุมให้กำลังใจและตรวจสอบอารมณ์อยู่เสมอ กว่าสำเร็จลุล่วงไปได้ต้องใช้เวลานานนับปี


12#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-4 19:27 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
นิวรณ์ทั้ง 5

     หลวงพ่อแช่มบอกว่าการที่จะเจริญบริกรรมภาวนาขึ้นไปจนถึงขั้นอุปจารภาวนาได้นั้นส่วนมากต้องพบกับอุปสรรคอันยิ่งใหญ่นานัปการ นิวรณ์เปรียบเสมือนมารร้าย ที่คอยกางกั้นไม่ให้ญาณสมาบัติเกิดขึ้นแก่ผู้บำเพ็ญสมถกรรมฐาน มี 5 อย่าง คือ      
1.   กามฉันทะนิวรณ์  ได้แก่ การพึงพอใจในกามคุณอารมณ์ต่างๆ หมายความว่า ในขณะบำเพ็ญสมถกรรมฐานหากมีจิตคิดอยากได้ฌาณสมาบัติซึ่งเป็นจุดหมายแห่งการบำเพ็ญสมถกรรฐานก็จัดได้ว่าเป็น กามฉันทะนิวรณ์
2.   พยาปาทะนิวรณ์ ได้แก่ ความไม่พอใจในอนิฏฐารมณ์ต่างๆ (อารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา) เช่น เกิดบ้าเลือดเดือดดาลใจว่าตนทำกรรมฐานไม่เจริญก้าวหน้าที่ดี หรือมีความโกรธ ต่อท่านอาจารย์ผู้บอกกรรมฐานแห่งตน โดยหาว่าท่านเป็นคนจู้จี้จุกจิกคอยแนะนำพร่ำสอนและดุตวาดอยู่เนืองนิตย์ แสดงออหริ ด้วยโวหาร และปากมากเสียจนรำคาญก็ดี จัดว่าเป็น พยาปาทะนิวรณ์
3.   ถิ่นมิทธะนิวรณ์  ได้แก่ ความหดหู่ ความง่วงเหงาและความท้อถอย หลวงพ่อท่านบอกว่า ไอ้ตัวถิ่นมิทธะนิวรณ์ ตัวนี้สำคัญที่สุด มันก็คืออริร้ายที่คอยตามผจญผู้บำเพ็ญสมถกรรมฐาน อยู่ตลอดเวลา มันคอยให้เกิดความรู้สึกหดหู่เหมือนกับว่าความง่วงเข้าครอบงำขนาดใหญ่ มันเป็นความง่วงแบบสลักจิตใจ บางทีให้เกิดความท้อถอย ไม่อยากปฏิบัติต่อ ไม่อยากได้ดีอะไรทั้งหมด
4.   อุทธัจจกุกุจจนิวรณ์ ได้แก่ ความฟุ้งซ่าน รำคาญใจ มันร้ายพอๆกับไอ้ตัวถิ่นมิทธะนิวรณ์ทีเดียว ง่วงไม่ง่วงเปล่าคิดมากไปอีกด้วย คิดฟุ้งซ่านไปหมดเห็นคนทั้งหลายกลายเป็นคนไม่เข้าท่าไปหมด เป็นคนโง่ไม่รู้จัดธรรมวินัย มีใจเสื่อมทราม คนที่ไม่มีความสำรวมระวัง บางทีหนักเข้าเห็นครูบาอาจารย์เป็นคนโง่ไปก็มี ให้นึกคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆนานา อาการดังกล่าวชอบเกิดแก่ผู้บำเพ็ญสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานอย่างยิ่ง
5.   วิจิกิจฉานิวรณ์ ได้แก่ความสงสัยในคุณพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คือขณะบำเพ็ญภาวนาอยู่อย่าขมักเขม้น อยู่เกิดความสงสัยขึ้นมาได้ว่าพระพุทธเจ้ามีจริง หรือพระพุทธเจ้าได้บรรลุฌาณสมาบัติดันจัดเป็นวิกขัมภณวิมุตติ และได้บรรลุมัรรคผลนิพานจริงหรือเปล่าหนอ
                    พระธรรมที่พระพุทธเจ้าได้แสดงไว้นั้น เป็นความจริงหรือเปล่าหนอ ญาณสมาบัติและมรรคผลนิพพาน ซึ่งเป็นจากการบำเพ็ญกรรมฐานนั้น มีจริงหรือเปล่าหนอ
                    พระอริยสงฆ์ ซึ่งเป็นสาวกของพระพุทธองค์ที่ว่าสามารถได้บรรลุคุณวิเศษ คือฌาณสมาบัติ และมรรคผลนิพพานนั้น ได้สำเร็จริงหรือเปล่าหนอ
                    คือมัวแต่คอยแสวงหาความจริงอยู่ด้วยอำนาจความสงสัยอยู่เช่นนี้วันแล้ว วันเล่าจนไม่เป็นอันที่จักปฏิบัติกรรมฐานให้เจริญก้าวหน้าโดยสะดวก บางทีสงสัยมากๆเข้าก็พาลเลิกปฏิบัติเสียเลย
                    หลวงพ่อได้กล่าวต่อไปอีกว่า นิวรณ์ ทั้ง 5 ประการนี้ เป็นตัวอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ในการบำเพ็ญกรรมฐานไม่ว่าจะเป็นสมถกรรมฐาน หรือวิปัสสนากรรมฐาน หากผู้ใดมีจิตใจอ่อนแอพ่ายแพ้แก่นิวรณ์เหล่านี้เสียแล้ว ก็จักไม่สามารถปฎิบัติกรรมฐาน เพื่อยังคุณวิเศษ คือ ฌาณสมาบัติและมรรคผลนิพพานให้เกิดขึ้นในในจิตสันดานแห่งตนได้เลย
        ท่านเองในขณะที่เริ่มเจริญบริกรรมภาวนาต้องต่อสู้กับนิวรณ์เหล่านี้อย่างอดทนที่สุด ดีว่ามีพระอาจารย์รุ่ง ผู้รอบรู้ในด้านสมถกรรมฐาน คอยแนะนำสั่งสอนและคอยสอบอารมณ์กรรมฐานอยู่ตลอดเวลา

13#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-4 19:28 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ผู้สำเร็จเตโชกสิณ

      สิ่งที่สัมผัสได้ของหลวงพ่อแช่ม ก็คือในเวลาที่ท่านนั่งเจริญเตโชกสิณ ขณะที่ท่านปฏิบัติถึงจุดๆหนึ่ง ณ.กุฎิของท่านจะสว่างไสวไปด้วยแสงเรืองอ่อนแผ่กระจายมองดูสดใส เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ จะเห็นเพียงท่านนั่งสงบนิ่งไม่ไหวติง หน้าโต๊ะหมู่บูชา ทั้งๆที่ในกุฏิมีเพียงดวงเทียนเพียงดวงเดียวเท่านั้น แสงสว่างภายในกุฎิของท่านนั้นเกิดจากไฟในดวงจิตของท่าน ซึ่งท่านสามารถกำหนดจิตบังคับให้เกิดเป็นแสงสว่างขึ้นทั่วบริเวณรอบๆกายของท่าน ในขณะที่หลวงพ่อเงินยังเป็นเจ้าอาวาสวัดดอนยายหอมอยู่นั้น หลวงพ่อแช่มพึ่งจะสำเร็จเตโชกสิณ ทุกครั้งที่หลวงพ่อแช่มนั่งเจริญภาวนาสมาธิ ก้จะเกิดแสงเตโชกสิณสว่างไสวขึ้น ณ.กุฎิของท่านทุกครั้งไป จนท่านหลวงพ่อเงินมักปรารภเปรยอยู่บ่อยๆว่า ?คุณแช่มระวังไฟไหท้กุฎินะ? คำปรารภของหลวงพ่อเงินที่กล่าวถึงหลวงพ่อแช่มนั่น เพราะหลวงพ่อเงินท่านทราบด้วยญาณแล้วว่าหลวงพ่อแช่มกำลังทำอะไรอยู่

       เตโชกสิณ นั้นอยู่ในอำนาจของจิตชนิดหนึ่ง เมื่อเข้าถึงจุดแห่งเตโชกสิณนี้ พระเกจิท่านนั้นก็สามารถผ่านเข้าสู่จุดแห่งสมาธิอื่นๆได้มากมาย พลังของเตโชกสิณนั้นมีมากมาย ถ้าถึงขั้นที่สามารถจะเผาสรีระของผู้ถึงขั้นเจริญเตโชกสิณนั้นด้วยเตโชธาตุในเวลาปรินิพพาน พระเกจิที่สามารถเจริญภาวนาถึงจุดเตโชกสินต้องตั้งมั่นอยู่ในความเพียรเป้นสำคัญ ในส่วนขั้นที่เรียกว่า?กสิณ?นั้นมีอยู่ด้วยกันมากมายเป็นขั้นๆไป กล่าวกันมิอาจจบสิ้นอันดังคำที่กล่าวว่า ?เหนือฟ้ายังมีฟ้า? และที่สำคัญกสิณนั้นอยู่ในจิตมิอาจที่บุคคลภายนอกจะทราบได้เลยว่าขนาดไหน หรือถึงขั้นไหน พระเกจิอาจารย์แต่ละรูปต่างทราบแก่ตัวท่านเองเท่านั้น แต่บทพิสูจน์ที่ออกมาให้ศิษยานุศิษย์ได้รับทราบนั้น จะออกมาในรูปแบบของ?พลัง? ที่พระเกจิแต่ละรูปท่านแผ่ไปสู่วัตถุมงคลของท่าน และนั่นแหละถึงจะพอทราบได้ว่าพลังของท่านแต่ละรูปมากน้อยสูงขึ้นเพียงใด
         บุคคลที่จะเจริญกรรมฐานจนสามารถบรรลุคุณวิเศษได้นั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ อย่าละทิ้งความเพียร หลวงพ่อมักกล่าวเสมอว่า?ลูกผู้ชายเมื่อทอดทิ้งความเพียรเสียแล้ว จะพึงได้บรรลุคุณวิเศษแม้แต่นิดหน่อยนั้นข้อนี้ไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้เลย?


         เพราะฉะนั้นต้องคอยหมั่นใคร่ครวญ พิจารณาซึ่งพฤติการณ์ที่เป็นไปของจิตพยายามปรับปรุงความเพียรกับสมาธิให้มีหน้าที่สมดุลย์กันอยู่เสมอ พึงคอยยกจิตที่ตกไปสู่ความหดหู่แม้เพียงเล็กน้อยขึ้นไว้ ป้องกันจิตที่เคร่งเครียดเกินไปประคองจิตให้เป็นไปสม่ำเสมอสมดุลย์กันให้จนได้

14#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-4 19:29 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สั่งให้ปืนยิงไม่ออก

      พระครูปลัดวิชา วิชโย วัดบางกะโด อำเภอโพธาราม  จังหวัดราชบุรี  ซึ่งเป็นพระอีกรูปหนึ่งที่เคารพบูชาหลวงพ่อแช่มอย่างมั่นคง ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า โยมชาวบ้านบางกะโดคนหนึ่งเป็นตำรวจมียศเป็นจ่า ได้ติดตามบูชาวัตถุมงคลของหลวงพ่อแช่มมาตลอดทุกรุ่น ในอดีตสมัยที่หลวงพ่อแช่มยังแข็งแรง ท่านชอบดูการแข่งขันวัวลาน ซึ่งเป็นกีฬาที่นิยมของพื้นบ้านในละแวก จังหวัดราชบุรี เพชรบุรี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี และนครปฐม  การแข่งขันวัวลานแต่ละครั้งมักจะมีนักเลงพนันร่วมมาด้วยทุกครั้ง โยมจ่าตำรวจเล่าว่า ครั้งหนึ่งมีการแข่งขันกีฬาวัวลานที่วัดแห่งหนึ่งในอำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ซึ่งหลวงพ่อแช่มนั่งดูอยู่ด้วยกัน ในขณะที่วัวลานกำลังแข่งขันก็เกิดมีการทะเลาะหาเรื่องกันระหว่างนักเลงคนดาลด้วยกันถึงขนาดชักอาวุธปืนขึ้นยิงใส่กัน คนดูวัวลานแตกตื่นสับสนอลหม่านกันทั้งงาน หลวงพ่อแช่มซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วยได้ลุกขึ้นฉวยไมโครโฟนจากโฆษกแล้วประกาศว่า..?ขอให้ทุกคนอยู่สนความสงบแล้วจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น? เมื่อสิ้นเสียวหลวงพ่อแช่ม ทุกคนที่อยู่ในงานวัวลานก็อยู่ในความสงบ ยกเว้นนักเลงอันธพาลคนหนึ่งที่กำลังเอาปืนไล่ยิงคู่อริอยู่กลางลานต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก แต่ปรากฏว่าเสียงปืนดัง แชะ...แชะ ยิงไม่ออกเลยแม้แต่นัดเดียวเหตุที่เกิดขึ้นเช่นนี้อาจเป็นเพราะวาจาศักดิ์สิทธ์ของหลวงพ่อแช่มที่ว่า จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็เป็นไปได้

หลวงพ่อแช่มกับวิชาผูกหุ่น

           หลวงพ่อแช่มท่านได้กรุณาเล่าให้ฟังว่า สมัยเมื่อหลวงพ่อฮวบเป็นเจ้าอาวาสนั้นไม่นิยมสร้างวัตถุมงคลประเภทพระเครื่อง แต่นิยมสร้างตะกรุดโทนและเสื้อยันต์เสียมากกว่า มีวิชาอีกวิชาหนึ่งที่เป็นที่นิยมในหมู่บ้านดอนยายหอม คือ วิชาผูกหุ่นพยนต์

                การสร้างหุ่นมีหลายชนิดด้วยกัน  เช่นสร้างเพื่อการเยียวยา หรือสร้างเพื่อรักษาพืชผลการเกษตร

                 วิชาผูกหุ่นพยนต์เป็นตำราวิชาเก่าแก่ตกทอดกันมา เป็น 100 ปี ของวัดดอนยายหอม เป็นสมุดข่อยเก่าแก่เขียนด้วยภาษาไทยโบราณ และส่วนมาเป็นภาษาขอม

                การสร้างหุ้นพยนต์ไม่จำเป็นต้องสร้างด้วยอะไร ขึ้นอยู่กับผู้สร้างต้องการจะสร้างเพื่ออะไร สมัยก่อนโจรชุกชุม เวลาชาวบ้านเกี่ยวข้าวต้องตากไล่ความชื้นที่กลางนา จะมีโจรมาขโมยข้าวเปลือก ทำให้ข้าวเปลือกหายมากมาย ชาวบ้านจึงมาปรึกษาหลวงพ่อเงิน แต่หลวงพ่อเงินท่านบอกว่าให้ไปหาคุณแช่มซิ ท่านช่วยได้

              ชาวบ้านจึงแห่กันมาที่กุฏิหลวงพ่อแช่มอย่างเนืองแน่น หลวงพ่อแช่มให้ชาวบ้านนำดินเหนียวมาปั้นหุ่นวัวคนละตัว และนำมาให้ตอนเย็น  ตอนเย็นชาวบ้านนำหุ่นวัวมาให้หลวงพ่อ ประมาณ 20 กว่าตัว ท่านได้บอกว่า พรุ่งนี้ตอนบ่ายมาเอาไปนะ

              ในคืนนั้นหลวงพ่อแช่มนั่งปลุกหุ่นวัวตลอดทั้งคืนจนเกือบสว่าง ตอนเวลาที่หลวงพ่อปลุกเสกวัว จะมีเสียงวัวร้องเป็นประจำ

               หลังจากหุ่นวัวพยนต์ ที่ชาวบ้านนำมาให้ปลุกเสกเสร็จแล้ว ให้นำไปวางที่กองข้าว  ปฏิหารย์ข้าวไม่หายเลย เคยมีโจรมาขโมยข้าวเปลือก ปรากฏว่าโดนวัวพยนต์ไล่ขวิดแทบตาย

               วัวพยนต์แตกต่างจากวัวธนู คือวัวพยนต์ใช้สำหรับเฝ้าทรัพย์สินต่างๆ

                 เคยเห็นหลวงพ่อแช่มรักษาฝีในท้องคนให้หายภายใน 7 วันเท่านั้น โดยหลวงพ่อจะปั้นหุ่นเจ้าของ และถามว่าเป็นที่บริเวณไหน หลวงพ่อจะให้คนไข้นั่งพนมมืออยู่เฉยๆ ส่วนหลวงพ่อจะนั่งบริกรรมคาถา และใช้มีดหมอขีดไปที่หุ่น และในช่วงสุดท้ายหลวงพ่อจะใช้ตะปูธรรมดาค่อยๆตอกไปในจุดที่เจ็บ ทุกครั้งที่ตอกเจ้าตัวจะสะดุ้งทีหนึ่ง พอเสร็จพิธี ให้คนไข้กลับบ้าน และบอกว่าภายใน 7 วันจะหายขาด แต่หุ่นนั้นหลวงพ่อจะเก็บไว้ก่อน ถ้า 7 วันคนไข้ไม่มาหลวงพ่อจะนำหุ่นไปทิ้ง แต่ส่วนมากหายดีแล้วจะมาหาหลวงพ่ออีกเสมอไป

                 วิชาผูกหุ่นพยนต์หลวงพ่อไม่ผูกให้ใครง่ายๆท่านกลัวว่าจะนำหุ่นไปใช้ในทางที่สร้างความเดือดร้อนแก่คนอื่น

                                                                                                                       
15#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-4 19:30 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วัดตระแบกโพรง เกี่ยวพันธ์กับวัดดอนยายหอมอย่างไร

                วัดตระแบกโพรง ต.อ่างทอง อ.ทับสะแก จ.ประจวบศิรีขันธ์ เป็นวัดเล็กๆ ที่ความเจริญยังเข้าไปไม่ถึง แต่มีชาวบ้าน ดอนยายหอมไปทำไร่จำนวนมาก หลวงพ่อวิรัตน์ วิโรจโน ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงพ่อแช่ม สร้างวัตถุมงคล และได้ขอบารมีหลวงพ่อแช่ม เพื่อหารายได้สร้างและซ่อมแซมศาสนาวัตถุต่างๆภายในวัด และยังได้สร้างรูปเหมือนเท่าองค์จริงหลวงพ่อแช่ม ที่วัดดนยายหอม เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2526 แล้วนำไปประดิษฐ์บานที่วัดตระแบกโพรง ในปี 2529 ได้สร้างวัตถุมงคลอีกและบางส่วนได้บรรจุไว้ใต้ฐานพระประธานของวัดตระแบกโพรง


มรณภาพ

พระครูเกษมธรรมนันท์ (หลวงพ่อแช่ม ฐานุสสโก) ได้มรณภาพเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ.2536 รวมสิริมายุได้ 87 ปี พรรษา 67
16#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-4 19:32 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ประสพการพระเครื่องหลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม


ประสพการที่ 1

             น.ส.ประนอม  พรามญานัง  และ  นางอำนาจ  พรามญารัง  อยู่ที่พัก 65 หมู่ที่ 7  บ้านดอนขนาก ตำบลดอนยายหอม อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม

              น.ส.ประนอม ทำงานอยู่ที่ปั๊มน้ำมันเชลล์ลำยุค ที่ตำบล ห้วยจระเข้ อำเภอ เมือง จังหวัดนครปฐม  ไปเช้าเย็นกลับ วันที่ 15 กันยายน 2528 เป็นวันเงินเดือนออก ต้องกลับบ้านค่ำมากก็เลยให้ นายอำนาจ น้องชาย ขับมอเตอร์ไซด์มารับ เสร็จแล้วไปซื้อของใช้ที่ตลาด เมื่อเวลา 20.30 น. เดินทางกลับบ้าน ทางเปลี่ยวมาก เลยฟาร์มหมูตังกวยไปเล็กน้อย ก็มีมอเตอร์ไซด์แซงขึ้นมาและคนซ้อนยิงปืนใส่ 2 นัด นัดแรกถูกที่ไหล่ซ้าย ของนายอำนาจ นัดที่ 2 ถากไหล่นายอำนาจ ไปถูก น.ส.ประนอม พี่สาวที่ไหล่ขวา จนเสื้อขาด แต่ไม่เข้าเพียงแต่บวมช้ำผิวหนังไหม้เขียวช้ำไปหมด น.ส.ประนอม คล้องคอด้วยเหรียญเสมารูปเหมือนหลวงพ่อแช่มพร้อมเชือกเท่านั้น


ประสพการที่ 2

                  นายสุมิตร พฤติปัญญาสกุล อยู่บ้านเลขที่ 14/50 ซอย ศูนย์วิจัย 6 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ห้วยขวาง กรุงเทพ ได้ประสบมา คุณสุมิตรเล่าว่า ตัวเขาและพี่น้องอีก 2 คน ต่างมีความยากจนมาก ทำการค้าอยู่กับพี่น้องในครอบครัวและจนถึงวาระสุดท้ายที่เตี่ยสิ้นบุญ ก่อนที่เตี่ยจะสิ้นบุญ ได้บอกว่าให้พี่น้อง 3 คน สามัคคีกัน และต้องรักกัน ไม่ทอดทิ้งกัน และต้องช่วยเหลือกัน ผม 3 พี่น้องได้อยู่ด้วยกันอดทนต่อสู้กับชีวิตที่ล้มลุกคุกคลานมาตลอด โดยเฉพาะนายสุมิตรเองเกิดความกลัดกลุ้มใจ มีจิตใจคิดอยากจะขอแยกตัวไปประกอบอาชีพอื่นๆเอง แต่ได้รับปากกับเตี่ยที่เลี้ยงดูมา นายสุมิตรไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงได้ชักชวนน้องๆอีก 2 คน ไปปรึกษาพระตามวัดต่างๆ

                       มาวันหนึ่งได้เดินทางมากราบหลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม พร้อมกับน้องอีก 2 คน ได้นั่งลงกราบหลวงพ่อแช่ม แล้ว หลวงพ่อแช่มจึงกล่าวว่า เถ้าแก่อาเสี่ย 3 คนนั่ง  รับน้ำชาก่อนมีทุกข์ร้อนอย่างไร ก็อย่าลืมคำสั่งสอนของเตี่ยที่ให้ไว้ก่อนสิ้นบุญนะ  เพียงคำพูด 2 ประโยคของหลวงพ่อแช่ม ทำให้คุณสุมิตรและน้องๆ ตกใจ ว่าหลวงพ่อรู้ได้อย่างไร จึงเกิดความเลื่อมใสหลวงพ่อแช่มมาก จึงได้คุยเรื่องปัญหาต่างๆ ให้หลวงพ่อแช่มฟังโดยละเอียด หลวงพ่อแช่มได้ฟังแล้วพยักหน้า แล้วท่านก็กล่าวขึ้นมาอีกประโยคหนึ่งว่า
                        ?ไม่เป็นไรหลอกน่ารักษาจดจำคำเตี่ยให้ไว้ดีๆอีกหน่อยจะรวยเป็นเถ้าแก่อาเสี่ย นายห้าง?

                         หลังจากนั้นมาอีกไม่นานนัก คุณสุมิตร และน้องๆ การทำมาหากินดีขึ้นเรื่อยๆ จนทุกวันนี้ คุณสุมิตร มีกิจการค้าและโรงงานต่างๆ หลายแห่ง แถวศูนย์การค้าวรรัตน์ และเป็นคนกว้างขวางเป็นที่รู้จักของวงการต่างๆ

17#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-4 19:33 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์เทไม่ออกจากขวด

                ครั้งหนึ่งในสมัยหลวงพ่อเงินยังไม่มรณภาพ วันหนึ่ง หลวงพ่อเงินติดกิจนิมนต์ไม่ได้อยู่วัด ได้มีชาวจีนคนหนึ่ง บ้านอยู่ที่อำเภอ กำแพงแสน  ได้เดินทางมาวัดดอนยายหอม เพื่อจะขอน้ำมนต์หลวงพ่อเงิน แต่หลวงพ่อเงินไม่อยู่ ชาวจีนนั่งคอยหลวงพ่อเงินด้วยความกระวนกระวายใจยิ่ง ได้พบกับนายจันทร์ ลำวิไล  และได้แนะนำว่าให้ไป ขอน้ำมนต์หลวงพ่อเล็ก(หลวงพ่อแช่มแทน) นายจันทร์ได้บอกว่าน้ำมนต์หลวงพ่อแช่มใช้ได้เหมือนกัน ชาวจีนนั้นไม่มีความมั่นใจอยากได้น้ำมนต์ของหลวงพ่อแช่ม แต่ด้วยมาแล้วดีกว่ากลับไปมือเปล่าก็ได้เดินตามนายจันทร์เข้าไปในกุฏิหลวงพ่อแช่ม ขอให้ท่านทำน้ำมนต์ หลวงพ่อแช่มได้ถือขันน้ำมนต์เข้าไปในห้องสัก 15 นาที ก็นำน้ำมนต์ออกมามอบให้ชาวจีนนั้นกรอกใส่ขวด แล้วชาวจีนนั้นก็ลากลับ นายจันทร์ได้เดินตามไปส่ง พอเดินมาไม่ไกลยังไม่ทันออกนอกวัด หลวงพ่อเงินก็กลับมาพอดี ชาวจีนพอเห็นหลวงพ่อเงิน ก็เปิดจุกขวดเทน้ำมนต์ทิ้งทันที ปรากฎว่าน้ำมนต์ในขวดเทเท่าไรก็เทไม่ออกจากขวด ชาวจีนผู้นั้นถึงกับตะลึง กล่าวรำพึงรำพันขึ้นมาว่า .อ้ายหย๊าหลวงพ่อเล็กก็เก่งเหมือนกัน. แล้วชาวจีนนั้นก็เดินทางกลับ

เชือกจระเข้ขบศักดิ์สิทธิ ช่วยเด็กตกน้ำไม่ให้จมน้ำ


          ป้าพร อินเสือสี อยู่บ้านเลขที่ 64 หมู่ที่ 1 ต.ดอนขุนแก้ว อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม  เมื่อวันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม 2528 ได้พาญาติ และหลานมากราบนมัสการหลวงพ่อแช่ม ที่วัดดอนยายหอม และได้เล่าเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของเชือกด้ายจระเข้ขบ ของหลวงพ่อแช่ม ว่าศักดิ์สิทธิ์มากๆ หลานชาย ชื่อ ด.ช. จิ๋ว อินเสือสี ตอนอายุได้ 2 ขวบ บุตรของนายอุบล อินเสือสี ได้พลาดตกไปในคลองใหม่ เป็นคลองที่อยู่ติดข้างบ้าน

       วันนั้นป้าพรไม่สบายหลับไป ตื่นขึ้นมาหาหลานไม่พบ รีบตามหาจนทั่ว ไปพบด.ช.จิ๋วลอยคออยู่ในคลอง แต่ก็ไม่จมน้ำ ป้าพรริบลงไปอุ้มขึ้นมา ในคอ ด.ช. จิ๋วได้ผูกเชือกจระเข้ขบอยู่เส้นเดียวครับ


สายสิญจน์มหามงคล


         วันหนึ่งได้มีชายกลุ่มหนึ่งเดินทางมาจาก อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ได้พาเด็กหนุ่มอายุประมาณ 20 ปี มหาหลวงพ่อ เพื่อขอของมงคลห้อยคอกันผีสิง  เนื่องจากเด็กหนุ่มนี้เป็นคนขับรถแทรกเตอร์ ไถป่าที่ อ.จอมบึง ได้ถูกผีป่าเข้าสิง รักษามาแรมปีแล้วไม่หาย ในขณะหลวงพ่อแช่มทำมงคลเสร็จแล้ว หลวงพ่อได้เรียกเด็กหนุ่มผู้นั้นเข้ามา  แต่ทันใดนั้น เด็กหนุ่มผู้นั้นได้มีอากัปกิริยา ฉุนเฉียวขึ้นทันที สีหน้าแดงกร่ำ พร้อมกับเปล่งวาจาเสียงดังใส่หลวงพ่อว่า กูไม่ยอม กูไม่ยอม กูจะได้อภิญญาแล้ว ใครจะทำกูไม่ได้ เปล่งเสียงพร้อมกับวิ่งเข้าหาตัวหลวงพ่อ จะทำร้ายหลวงพ่อ  แต่หลวงพ่อกลับอยู่ในสภาพสงบ พร้อมโยนมงคลใส่คอเด็กหนุ่มคนนั้นอย่างแม่นยำ  พอมงคลหลวงพ่อตกถึงคอ เด็กหนุ่มคนนั้นก็ล้มตึงกับพื้นทันที พร้อมกับดิ้นลนสุดฤทธิ์ แล้วสลบไปด้วยอาการแน่นิ่ง สักครู่ต่อมา ประมาณ 3 นาทีเห็นจะได้ เด็กหนุ่มคนนั้นคลานเข้ามาหาหลวงพ่อแช่ม กราบอย่างเรียบร้อย                                                                                                                       
18#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-4 19:33 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อภินิหารเหรียญ 67 รุ่นแรกหลวงพ่อแช่ม

            เหตุเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2519 นางสุณี จินสมาน เป็นผู้มีกิจการรับเหมาถมดิน บ้านอยู่บางแค กรุงเทพ เล่าให้ฟังว่า  ได้ไปถมดิน ที่อำเภอดำเนินสะดวก ในขณะนั่งรถจะกลับบ้าน โดยมีลูกน้องเป็นคนขับ รถวิ่งมาถึงทางโค้งก่อนถึงดำเนินสะดวก โค้งแรก เป็นเวลาพลบค่ำ ได้ถูกดักยิงด้วยปืนอาก้า ลูกกระสุนปืนถูกรถพรุนไปทั้งคัน และกระสุนนัดหนึ่งได้ถูกที่หัวเข่าคนขับรถ ส่วนรถปิกอัพมีเสียงดังติดขัดทำท่าจะดับ คนขับรถได้พยายามเร่งหนีไปได้สัก 200 เมตร รถก็ดับ นางสุณี ได้ทิ้งรถ แล้วประคองคนขับซึ่งบาดเจ็บหนีตาย คนร้าย 2 คน ถือปืนอาก้าวิ่งตามมาอย่างไม่ลดละ

    นางสุณีประคองคนขับหนีเข้าไปในป่าข้างทาง คนร้ายถือปืนตามเข้าไปในป่า ส่องไฟฉายตามรอยเลือดไปอย่างติดๆ นางสุณีตกใจนั่งสงบนิ่งพร้อมพนมมือกับเหรียญหลวงพ่อแช่ม ขอให้หลวงพ่อแช่มช่วยด้วย ช่วยอย่าให้คนร้ายเห็นตัว

   นางสุณี เล่าต่อไปว่าคนร้ายอยู่ข้างตัวห่างแค่เอื้อมมือ แต่ก็มองไม่เห็นตน ค้นหาอยู่ประมาณ 15 นาที เห็นจะได้ แต่ก็ไม่พบได้ยิงเสียงพูดว่ามันหายไปได้ยังไงวะ

   นายจิ๋งไล้ แซ่ตั้ง อยู่บ้านเลขที่ 31 ตึกแถวหลังสถานีรถไฟนครปฐม และเป็นกรรมการสมาคมตั้งศรีแห่งนครปฐม

   เมื่อเดือนมกราคม 2529 นายจิ๋งไล้ ได้ไปประชุมงานที่สมาคม ได้พบกับคนจีนคนหนึ่งมาอาศัยอยู่ที่สมาคม ชายจีนผู้นั้นอ้างว่าตั้งเหมือนกัน อยากหางานทำ นายจิ๋งไล้จึงรับไว้ ให้ช่วยขายอะไหล่เรือ  หลังจากประชุมเสร็จได้พาชายจีนผู้นั้นไปพักคอยที่โกดังที่ตำบลบ่อพลับ พอถึงหน้าโกดัง ได้ลงจากรถไปเปิดประตูโกดัง  ชายจีนผู้นั้นได้ใช้ขวดน้ำดื่มในรถ ที่ทำจากแก้วตีที่ศีรษะ 2 ที ทีละขวด จนขวดน้ำดื่มแตกละเอียดทั้ง 2 ขวด แต่นายจิ๋งไล้ ไม่เป็นอะไรเลย

   ชายจีนได้วิ่งไปหยิบจอบสำหรับขุดดินเก็บอยู่ในโกดังมาสับใส่ตัว จนสลบ พอฟื้นขึ้นมาปรากฏว่าทรัพย์สินต่างๆหายไปพร้อมกับรถยนต์ แต่ร่างกายมีแต่รอยเลือดซิบๆเขียวซ้ำหน้าตาบูดเบี้ยวแต่ยังประคองตัวเดินมาเรียกรถกับบ้าน ภรรยาเห็นได้รีบพาส่งโรงพยาบาลและแจ้งความ เมื่อแพทย์ตรวจดูแล้ว ต่างตกใจว่า ?โอโฮเหนียวจริงๆ ขนาดจอบสับทั้งตัวไม่เป็นไร มีของดีอะไรหรือครับ?  นายจิ๋งไล้ ได้หยิบเหรียญหลวงพ่อแช่มรุ่น 1 ที่ติดอยู่ปลอกปากกาหมึกซึมเพียงองค์เดียวโชว์ให้แพทย์ดู


19#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-4 19:52 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อภินิหารเหรียญเสาร์ 5 หลวงพ่อแช่ม

            เมื่อปี 2518 นายอินศักดิ์  แซ่อึ้ง อยู่บ้านเลขที่ 546/1 ถนนพระงาม ข้างวัดเสน่หา อ.เมือง จ.นครปฐม ได้ไปส่งผ้าที่สกลนคร โดยมีลูกน้องไปด้วย 2 คน รวมเป็น 4 คน ขณะรถวิ่งผ่านช่วงเขาภูพานไปเล็กน้อย ในเวลาประมาณ 5 โมงเย็น ได้มีคนร้ายถือปืนคาบิล วิ่งออกจากป่าข้างทาง 3 คน ได้สาดกระสุนปืนยิงเร็วใส่รถ  พี่ชายนายอินศักดิ์นั่งอยู่ขวามือได้ถูกกระสุนถึงแก่ความตาย คนขับได้ถูกยิงกรามหลุด แต่คนอื่นๆไม่ถูกกระสุน  รถได้เสียหลักลงข้างทาง คนร้ายได้เข้าประชิดตัวและได้ใช้ด้ามปืนตีที่หัวลูกน้อง จนหัวแตก คนได้ค้นทรัพย์สินได้เงินสดไป 300 บาท แต่คนร้ายยังไม่พอใจ ได้ใช้ปืนคาบิลจ่อที่ หน้าท้องนายอินศักดิ์  ซึ่งมีความรู้สึกว่าตัวเองต้องตายแน่ๆ  คนร้ายได้เหนี่ยวไกยิงใส่เป็นชุดแต่ได้ยินแต่เสียง แซะๆ เป็นชุดๆ ปรากฎว่าปืนยิงไม่ออกทุกกระบอก พอดีจังหวะรถมาติดต่อเป็นจำนวนมาก คนร้ายเห็นท่าไม่ดีจึงรีบหนีไป นายอินศักดิ์ได้ เล่าต่อว่าทั้งตัวใส่เหรียญโก๋ เสาร์ 5 หลวงพ่อแช่ม เพียงเหรียญเดียว

อภินิหาร เหรียญยอดขุนพล ปี 2526

    นายรม  จวงสอน อยู่บ้านเลขที่ 35 หมู่ที่ 1 ต.ดอนราก อ.ดอนตูม นครปฐม ซึ่งทำงานเป็นพนักงานแบกของอยู่ที่สถานีรถไฟนครปฐม ได้ถูกคนร้ายชิงรถ และถูกคนร้ายฟันด้วยมีด ที่กลางแสกหน้า และถูกตีด้วยไม้หน้าสามจนสลบหมดสติไป 1 คืน  แล้วฟื้นขึ้นมามีผู้ช่วยนำส่งโรงพยาบาล  นายรมมีเพียงเหรียญยอดขุนพลติดตัวอยู่เพียงเหรียญเดียวเท่านั้น นายรมเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ เพราะร่างกายมีแต่รอยเชียวซ้ำไปทั้งตัว พอไปฉีดยาเกิดฉีดไม่เข้า จนต้องเอาเหรียญที่พกติดตัวออกจึงถึงจะฉีดเข้า

อภินิหารรูปหล่อพิมพ์นิยม หลวงพ่อแช่ม วัดดอนยายหอม

             นายแกละ จิตรวิสุทธิกุล เป็นเสมียนโรงสีข้าว เลี่ยงซุ่นฮวด  อ.เมือง  จ.นครปฐม ได้ขับรถปิคอัพหักหลบรถจักรยานยนต์ที่ขี่ออกมาจากปากทางเข้าวัดไผ่ล้อม และ กินเลนไปด้านขวา ได้ถูกรถบรรทุก 6 ล้อ ชนอย่างแรงจนหัวรถปิคอัพหันหลังกลับ หัวรถเละ แต่ส่วนตัวนายเกละตกอยู่นอกรถและสลบ จนรู้ตัวอีกที่ก็อยู่โรงพยาบาลนครปฐม โดยไม่ได้รับอัตรายอย่างไรเลยและสามารถกลับบ้านได้

  อีกครั้งหนึ่ง เป็นวันฝนตกถนนลื่น นายแกละขับรถด้วยความเร็วสูง จนถึงโค้งอุหล่ม ถนนมาลัยแมน รถเสียหลังพุ่งไปหาบ่อขี้หมูใหญ่ข้างหน้า แต่พอรถถึงปากบ่อรถก็หยุดเองที่ปากบ่อ
จึงแสดงให้เห็นว่ารูปหล่อพิมพ์นิยมหลวงพ่อแช่ม ได้ช่วยชีวิต นายแกละถึง 2 ครั้ง 2 ครา


20#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-4 19:53 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เหรียญกลมสองหน้ารุ่น 6 รอบ พ.ศ. 2521 คงกระพันชาตรี

    นายแก้ว เพ็งมูล อยู่บ้านเลขที่ 145/2 หมู่ที่ 2 บ้านบางกะโด ตำบลบ้านสิงห์ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี  เป็นกรรมการวัดบางกะโด ทางวัดมีงานกฐิน ทางวัดจัดให้มีการละเล่นรำวงทั้งคืน โดยนายแก้ว มีหน้าที่ช่วยดูแลความสงบเรียบร้อยของงาน  คืนนั้นนายสุธา คมสารพางค์ ได้ขี่รถเครื่องมารับ โดยมีนายสุพรรณ จันทร์ดี ได้พกระเบิดเหน็บมาด้วย และนายแก้วได้กระโดดขึ้นนั่งท้ายรถ แล้วกอดเอว ทำให้ไปกระทบโดนระเบิดหล่นลงกับพื้น ได้เกิดระเบิดขึ้น จนขาขวาชาไปหมดทั้งขา ปรากฏว่าไม่มีบาดแผล มีเพียงบวมเขียวเท่านั้น  ส่วนคนอื่นๆเสื้อผ้าขาดกระจุย แต่ไม่มีบาดแผลเช่นกัน  โดยนายแก้ว มีเพียงเหรียญกลม 6 รอบ ปี 2521 เพียงองค์เดียว แต่เพื่อนๆนายแก้วได้ห้อยตระกรุตหลวงพ่อแช่ม คนละดอก และได้ไปมองดูรถปรากกฎว่าซีกลวด ขาดเกือบหมด

             อีกครั้งหนึ่งนายแก้วได้ไปเที่ยวบ้านเพื่อนชื่อนายวงัสดิ์  จันทร์เพ็ญ ที่ อ.
บ้านแพ้ว สมุทรสาคร โดยไปพัก 5 วัน และพอดีมีงานที่วัดรางตันประดิษฐ์ และมีเรื่องกับวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง เกิดการถกเถียงกัน และวัยรุ่นกลุ่มดังกล่าวได้ชักปืน .38 ยิงใส่ ที่กลางหลังรู้สักเสียวร้อย ไปหมด แต่พอคนร้ายรู้ว่ายิงไม่เข้าจึงแยกย้ายกันหลบหนี ประกฎว่ากระสุนยิงไม่เข้าแม้นัดเดียว  จนวัยรุ่นตกใจรีบรีบวิ่งหนีไป

          นายแก้วถอนเสื้อดูปรากฏว่า มีรอยเขียวช้ำที่หลังเพียงอย่างเดียว



ที่มา  http://www.sitwatthongsai.com/webboard/index.php/topic,564.0.html
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้