สายศิษย์ของ “หลวงปู่โลกอุดร” นั้นที่กล่าวกันว่าเป็นพระอภิญญาลี้ลับซ่อนกายอยู่แต่ในป่า ไปมาอย่างน่าอัศจรรย์ เรียกกันว่าพระในดงนั้น กล่าวว่ามีด้วยกันดังนี้
๑ หลวงพ่อเศียรบาตร เล่ากันว่า เป็นศิษย์รุ่นน้องของหลวงปู่โลกอุดร
๒ หลวงพ่อโพรงโพธิ์ เป็นศิษย์เอกของหลวงปู่โลกอุดรท่าน
๓ ขรัวขี้เถ้า เป็นพระอภิญญาสมาบัติชำนาญทางกสิณไฟ
๔ ขรัวแก้มแดง เป็นพระทรงอภิญญาลี้ลับชำนาญเรื่องเล่นแร่แปรธาตุ ทุกองค์ต่างมีอายุเนิ่นนานนับร้อยปีด้วยกันทั้งสิ้น หากร้อยเรียงเรื่องราวของหลวงปู่โลกอุดรหรือหลวงปู่ใหญ่ที่เป็นตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันนี้จะเห็นได้ว่า หลวงปู่โลกอุดรไม่ได้มีเพียงแค่องค์เดียวอย่างที่หลายๆคนเข้าใจ หากแต่มีเป็นคณะ ซึ่งจะมีทั้งหมดกี่รูปกี่องค์ไม่มีใครทราบได้แน่ชัด เป็นเรื่องลี้ลับอัศจรรย์ของพระพุทธศาสนา รู้แต่เพียงว่าท่านเหล่านั้นทำหน้าที่ปกป้องพิทักษ์รักษาพระพุทธอย่างลี้ลับ คอยคุ้มครองปกป้องคนดีมีศีลธรรม คอยเป็นครูที่ลี้ลับประคับประคองบุคคลผู้ประพฤติปฏิบัติพระกรรมฐานรักษาธรรมอันดีในพระพุทธศาสนาให้อยู่รอดปลอดภัย เกิดความจำเริญในพระสัทธรรมยิ่งๆขึ้นไป
อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเป็นความลี้ลับในกลุ่มคณะโลกอุดรแต่ก็เกิดการสันณิฐานไปต่างๆนาๆเกี่ยวกับคณะครูบาอาจารย์ผู้ทรงอภิญญาคณะนี้ โดยกล่าวว่าสำหรับภาพถ่ายที่ทุกคนบูชากันอยู่ทุกวันนี้อันเป็นพระภิกษุรูปงาม มีลักษณะน่าสังเกตคือ มือเท้าใหญ่ ผลงอกโพลนทั้งศรีษะ สำหรับท่านนี้มีตัวตนจริง ชื่อว่าพระครูพรหมสิงขบุรี อยู่ที่วัดพรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ตามประวัติของพระภิกษุรูปนี้ปกติจะอยู่แต่ในวัดไม่ค่อยไปมาที่ใด มีปฏิปทาน่าเลื่อมใส หลายคนเชื่อว่าท่านคือหลวงปู่โพรงโพธิ์ผู้มากด้วยอภิญญา เป็นศิษย์เอกคนสำคัญของหลวงปู่โลกอุดรสามารถออกโปรดผู้คนได้ด้วยการถอดกายทิพย์ ไปโปรดคนตามที่ต่างๆได้ตามปรารถนา อีกรูปหนึ่งที่น่าสนใจคือขรัวขี้เถ้า ซึ่งก็เล่าลือกันว่าท่านน่าจะเป็น หลวงปู่กบ แห่งวัดเขาสาลิกา ที่เคยมาโปรดญาติโยมอยู่ที่ลพบุรี และเป็นอาจารย์คนสำคัญของหลวงพ่อโอภาสีด้วย วัตรปฏิปทาของขรัวขี้เถ้าจากคำร่ำลือ คือท่านเก่งทางด้านกสิณไฟ ใครให้สิ่งใดท่านก็โยนเผาไฟหมด วัตรปฏิปทานี้เห็นอยู่กับหลวงพ่อกบ วัดเขาสาลิกา ผู้วิเศษแห่งเมืองลพบุรีที่ใครถวายอะไรท่านจับเผาจนเกลี้ยง และวัตรปฏิปทานี้สืบต่อมาจนถึงหลวงพ่อโอภาสีแห่งอาศรมบางมด ฝั่งธนบุรี ในเวลาต่อมา ขรัวแก้มแดง ซึ่งเป็นอีกรูปหนึ่งในตำนานนั้นก็สัณนิฐานกันว่าท่านน่าจะเป็นหลวงปู่โอภาสี เพราะเหตุที่ว่าขรัวแก้มแดงนั้นท่านมีจรติทางเล่นแร่แปรธาตุ โดยเฉพาะการหุงปรอทสำเร็จ ปรอทสำเร็จนี้ท่านว่าหากสำเร็จขั้นสูงสุดทำให้เป็นอมตะไม่ตายหรือมีอายุได้ถึงหนึ่งกัปล์ มีอานุภาพอาจทำให้เหาะลอยไปที่ไหนๆ ไปฟ้าป่าหิมพานต์ก็ได้ ขรัวแก้มแดงท่านสำเร็จปรอทกายสิทธิ์อมไว้ด้านไหนแก้วด้านนั้นจะแดงเรื่อ เรื่องนี้มาพ้องกับหลวงปู่โอภาสี เพราะหลังจากที่ท่านรับนิสัยมาจากหลวงปู่กบ คือทำการเพ่งกสิณไฟ ตอนแรกท่านทำการบูชาไฟที่วัดบวรฯ จากนั้น ท่านก็เริ่มทำการหุงปรอท โดยหุงที่วัดบวรนั่นเอง ท่านจะหุงปรอทสำเร็จถึงขั้นไหนนั้นไม่อาจทราบได้ ทราบแต่เพียงว่าหลังจากนั้นท่านได้ลองฤทธิ์ โดยการไต่ขึ้นไปบนเจดีย์แล้วตะโกนดังๆว่าโอภาสีจะเหาะแล้ว จากนั้นท่านก็ประโดดลงมาเป็นที่ฮือฮามาก ปรากฏว่าท่านลอยลงมาอย่างสบายๆไม่ล้มขาแข้งไม่หัก ทำเอาผู้คนตกใจไปหมด หากให้สันณิฐานแล้วก็เชื่อว่าท่านน่าจะสำเร็จปรอทและสำเร็จชั้นสูงแล้ว เพราะคนธรรมดาหากกระโดลงมาจากยอดเจดีย์ต้องมีแข้งขาหักกันบ้างแล้ว ไม่มีทางเดินปร๋ออย่างหลวงพ่อโอภาสีอย่างแน่นอน ที่น่าสังเกตที่สุดอีกประการหนึ่งคือภายหลังที่ท่านหลวงพ่อโอภาสีเริ่มบูชาไฟเล่นปรอท ปรากฏว่าแก้มของท่านด้านซ้ายเริ่มเป็นปานดำขึ้นมาจนทุกคนก็สามารถสังเกตเห็น ปานดำที่เกิดขึ้นจะเป็นเพราะอำนาจปรอทที่ท่านอมไว้ มันก็น่าเป็นไปได้ และดูเรื่องที่เกิดขึ้นก็พ้องกับตำนานของขรัวแก้มแดงเช่นกัน รอยต่อเรื่องขรัวแก้มแดง หลวงพ่อโอภาสี และปรอทสำเร็จ ยังคล้องจองพอดีกับเรื่องของหลวงพ่อยี วัดดงตาก้อน เพราะในประวัติของท่านเล่าว่าเมื่อเด็กเล็กนั้น หลวงพ่อยีหรือเด็กชายยีได้ธุดงค์ไปกับพระภิกษุลึกลับรูปหนึ่ง พระรูปนี้เป็นที่ศรัทธาของบิดามารดาท่านจึงยอมมอบท่านให้ติดตามพระรูปนี้ ท่านเล่าว่าพอพ้นหมู่บ้านที่ท่านอยู่ พระภิกษุรูปดังกล่าวหยิบเอาวัตถุบางอย่างมีลักษณะเป็นเม็ดกลมๆเข้าอมไว้ในปากฉับพลันร่างกายของพระผู้เฒ่าก็เปลี่ยนไปกลายเป็นพระหนุ่มขึ้นมาทันที เรื่องเม็ดกลมๆที่พระผู้เฒ่าอมเข้าไปในปากจะเป็นอื่นไปไม่ได้ วัตถุสิ่งนั้นย่อมต้องเป็น “ปรอทสำเร็จ” อย่างแน่นอน จากนั้นพระธุดงค์รูปดังกล่าวก็พาเด็กชายยีในวันนั้นเข้าป่าลึกเพื่อฝึกวิชาจนต่อมากลายเป็นหลวงพ่อยีผู้ทรงอภิญญาในเวลาต่อมา เรื่องราวของหลวงปู่โลกอุดรนั้นเป็นที่สนใจ เป็นมนต์เสน่ห์อย่างหนึ่งของผู้ปฏิบัติกรรมฐาน แม้ว่าหลายคนไม่เคยเห็นหลวงปู่โลกอุดรแต่ก็พยายามตั้งความหวังที่จะได้เห็นท่านสักครั้งในชีวิต แรงบันดาลใจจากเรื่องราวของหลวงปู่โลกอุดรก่อให้เกิดแรงใจในการปฏิบัติกรรมฐานของพุทธศาสนาชนขึ้นมาจำนวนมาก ดังนั้นเรื่องราวของหลวงปู่โลกอุดรจึงเป็นเรื่องราวที่น่าสืบค้น และอย่างน้อยที่สุดเราก็เชื่อได้ว่า การแสวงหาหลวงปู่โลกอุดรนั้นแม้ว่าเราอาจไม่พบตัวตนจริงๆของท่าน แต่หากมีความเพียรในการปฏัติธรรมเราย่อมอาจพบ “โลกอุดร” ภายในใจของเราเอง ซึ่งเป็นโลกอุดรแท้อันทรงคุณค่าเป็นรางวัลแห่งการปฏิบัติอย่างแท้จริง ผู้ที่พบความเป็นโลกอุดรภายในใจตนย่อมเสมือนว่าได้พบหลวงปู่ใหญ่ บรมครูโลกอุดรแล้ว
ดั่งคำที่ว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต....นั่นแล
|