ศาลา นารี วิถี คงคา
ศาลา นารี วิถี คงคา (อนภิรติชาตกํ)
ยถา นที จ ปนฺโถ จ ปานาคารํ สภา ปปา
เอวํ โลกิตฺถิโย นาม นาสํ กุชฺฌนฺติ ปณฺฑิตาติ ฯ
ความนำ
พระพุทธเจ้าเมื่อประทับอยู่ในวัดพระเชตวัน ทรงปรารภอุบาสกอีกคนหนึ่งที่มีภรรยาคบชู้ จึงได้ตรัสพระธรรมเทศนาคือคาถาที่ปรากฏ ณ เบื้องต้น
ปัจจุบันชาติ
มีเรื่องเล่ามาว่า อุบาสกคนนั้นเห็นพฤติกรรมของภรรยาเปลี่ยนไป จึงเฝ้าคอยจับตาสังเกต ต่อมา จึงสืบทราบว่าภรรยาได้คบชู้ จึงเกิดความรู้สึกทั้งแค้นและเสียใจอย่างยิ่ง สภาพจิตใจของเขาเศร้าหมอง กังวลและขุ่นมัวอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุนั้น เขาจึงไม่ได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้านานถึง ๑ สัปดาห์
วันหนึ่ง เมื่อทนต่อความกลัดกลุ้มไม่ไหว เขาจึงถือเครื่องสักการะมีของหอมและดอกไม้เป็นต้นไปถวายบังคมพระบรมศาสดาแล้วนั่งอยู่ในที่ใกล้
พระพุทธองค์ตรัสทักเขาว่า
“ดูก่อนอุบาสก เธอหายไปไหนไม่เห็นหน้าเป็นเวลานาน”
เขาจึงกราบทูลว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภรรยาของข้าพระองค์มีความประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง เธอคบชู้ ทำให้หม่อมฉันเสียใจอย่างที่สุด จึงไม่ได้มาเข้าเฝ้าพระองค์ พระเจ้าข้า”
พระบรมศาสดาได้ทรงสดับเรื่องทั้งหมดจึงตรัสสอนเขาว่า
“ดูก่อนอุบาสก ขึ้นชื่อว่าบุรุษไม่ควรทำความโกรธเดือดดาลในเหล่าสตรีด้วยคิดว่า ภรรยาของเราประพฤติชั่วคบชู้สู่ชาย แต่พึงทำใจให้หนักแน่นมั่นคงเข้าไว้ แม้ในชาติก่อน ๆ มา ก็เคยมีบัณฑิตบอกกับท่านมาแล้ว แต่ท่านไม่อาจจะกำหนดจดจำได้ เพราะถูกภพอื่นมาปิดบังเอาไว้”
อันอุบาสกกราบทูลอาราธนาแล้ว จึงทรงนำเรื่องราวในอดีตมาสาธกยกอธิบายให้ฟัง ดังต่อไปนี้
อดีตชาติเนื้อหาชาดก
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชย์ในกรุงพาราณสี มีอาจารย์ ทิศาปาโมกข์ท่านหนึ่งสั่งสอนความรู้ให้แก่พวกมาณพจำนวน ๕๐๐ คน ต่อมา มีมาณพลูกศิษย์ของท่านคนหนึ่งไปแต่งงานและต่อมา เขาจับได้ว่านางมีชู้จึงเกิดความแค้นใจอย่างที่สุด คิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรกับเธอดี จึงหายหน้าไม่ได้ไปเรียนกับอาจารย์เสีย ๒ – ๓ วัน
๑ สัปดาห์ผ่านไป เขายังไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ เกิดความกลุ้มใจ เป็นอย่างมาก ทั้งรักทั้งแค้นจึงได้มาหาอาจารย์เพื่อปรึกษาปัญหาหนักอก
อาจารย์เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจึงกล่าวสอนว่า
“ลูกศิษย์เอ๋ย ธรรมดาว่าสตรี ก็เป็นสมบัติของคนทั่วไป คนฉลาดทั้งหลายจึงไม่ควรที่จะต้องเสียใจในหญิงเหล่านั้นเลย เนื่องจากสตรีที่ทุศีลมักจะเป็นคนที่มีแต่นิสัยต่ำช้า” จากนั้น ท่านอาจารย์ได้กล่าวคาถานี้สอนใจลูกศิษย์ว่า
ขึ้นชื่อว่าหญิงทั้งหลายในโลกนี้ มีอุปมาเหมือน
แม่น้ำ หนทาง โรงเหล้า ที่ประชุม และบ่อน้ำ
บัณฑิตทั้งหลาย จึงไม่ควรถือโกรธหญิงเหล่านั้น
ความหมายของคาถา
ธรรมดาว่าแม่น้ำหนึ่งสายนั้น จะมีท่าขึ้นและลงมากมาย เป็นสถานที่อันใคร ๆ ก็ได้มีสิทธิที่จะไปใช้เพราะเป็นสมบัติสาธารณะ ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นคนชั้นสูงมีกษัตริย์เป็นต้น หรือคนชั้นรากหญ้ามียาจกคนเข็ญใจ เมื่อคนเหล่านั้นมุ่งหน้าลงไปเพื่อจะอาบน้ำ ใคร ๆ ก็ไม่มีสิทธิ์หวงห้าม
ฝ่ายว่าถนนหลวงที่ใช้เป็นทางสัญจร ไม่ว่าจะเป็นผู้ดีหรือไพร่ ทุกคนก็สามารถใช้เป็นทางเดินได้ทุกคน ไม่มีใครจะมีอภิสิทธิ์หวงห้ามไม่ให้ผู้อื่นใช้
สำหรับโรงเหล้าก็เฉกเช่นเดียวกัน ใครมีเงินก็สามารถเข้าไปหาความสำราญดื่มกินได้ตามใจชอบจนกว่าจะพอแก่ความต้องการ
ส่วนศาลาที่ประชุมนั้น มักจะมีคนใจบุญสร้างเอาไว้ริมทางเดินบ้าง ตรงทางแยกบ้าง ใครผ่านไปมาเกิดความเหนื่อยเมื่อยล้าจะแวะเข้าไปพักผ่อนก็ไม่มีใครห้ามปรามแต่ประการใด
ตุ่มน้ำที่คนใจเมตตาตั้งไว้ที่หน้าบ้านเพื่อสงเคราะห์คนเดินทางไกลผู้กระหายน้ำ ใคร ๆ ก็มีสิทธิ์ที่จะดื่มกันทุกคน อุปมาทั้งหมดที่ยกมานี้ ฉันใด
ดูก่อนลูกศิษย์เอ๋ย หญิงทั้งหลายในโลกนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นของสาธารณ์เหมือนสมบัติผลัดกันชม เมื่อคิดได้ดังนี้แล้วสมควรหรือเปล่าที่เธอจะไปโกรธแค้นในหญิง ผู้ใจคอโลเลเหล่านั้น ขอให้เธอจงทำใจให้เป็นกลาง คิดปลงเสียว่า หญิงที่ใจคอโลเลก็มักจะเป็นสมบัติของชายทั้งโลก คิดได้ดังนี้ จะได้ไม่ต้องไปโกรธต่อหญิงเหล่านั้นทำให้ใจของเจ้าต้องเป็นทุกข์
อาจารย์ได้ให้โอวาทแก่ศิษย์รักอย่างนั้นแล้ว เมื่อเขาได้ฟังก็เกิดความสบายใจปลงตกได้ ฝ่ายภรรยาของเขาคิดว่า อาจารย์ของสามีเราได้รู้ความลับของเราแล้ว เพื่อความปลอดภัยเรา ควรเลิกจะเลิกพฤติกรรมที่ไม่เหมาะจะดีกว่า ตั้งแต่บัดนั้น นางก็ไม่กล้าทำความชั่วอีก
แม้ภรรยาของอุบาสกนั้นคิดว่า ได้ทราบมาว่า พระพุทธเจ้ารู้ความไม่ดีของเราแล้ว ตั้งแต่บัดนั้น นางก็ไม่กล้าทำบาปกรรมนั้นอีก
พระพุทธเจ้า ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสประกาศสัจจะ ในเวลาจบสัจจะ อุบาสกได้บรรลุโสดาปัตติผลทรงประชุมชาดกว่า
“สองผัวเมียในครั้งนั้นได้กลับชาติมาเกิดเป็นสองผัวเมียในชาตินี้ ส่วนพราหมณ์ผู้เป็นอาจารย์ได้กลับชาติมาเกิดเป็นเราตถาคตนั่นเอง”
สรุปสุภาษิตจากชาดกนี้
ศาลา นารี วิถี คงคา เป็นสมบัติที่ใครก็มีสิทธิ์ที่จะใช้สอยได้
วิเคราะห์แนวคิดเชิงจริยธรรมอันเป็นหัวใจหลักในชาดกนี้
ชาดกนี้ต้องการเตือนใจผู้อยู่ครองเรือน ในชีวิตฆราวาสผู้บริโภคกาม จะต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ คนฉลาดจะต้องฝึกใจให้เตรียมพร้อมเสมอกับความไม่เที่ยงเหล่านี้
วันใดที่เผชิญกับเหตุการณ์วิกฤติอันเป็นปัญหาใหญ่ของครอบครัวจะได้มีสติรู้ เท่าทัน โบราณสอนเอาไว้ว่า ลมอะไรก็ไม่เท่ากับลมเพชรหึง มันมีความรุนแรงและทำลายคนมามากมายไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีความรู้มากหรือน้อย เป็นคนชั้นสูงหรือชั้นต่ำก็ตาม เมื่อเกิดความหึงขึ้นมาก็ต้องการทำลายผู้ที่มาเป็นมารขวางความสุข
ตัวอย่างที่เห็นกันดาษดื่นทางหน้าหนังสือพิมพ์ก็คือ เมื่อหึงก็มักจะทำร้ายและทำลายผู้ที่จะเข้ามาแย่งของรักของตัวเอง หรือไม่ก็ทำร้ายคนที่ตัวเองรักในข้อหาขาดความจริงใจ บางคนก็ทำร้ายตัวเองเพราะความเสียใจก็มี
ด้วยเหตุดังกล่าว พระพุทธเจ้าผู้เป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์จึงได้กล่าวสอนเตือน ลูกศิษย์ให้เข้าใจธรรมชาติของหญิงที่ใจคอโลเล บุคคลเหล่านี้จะเป็นผู้มีใจกว้างขวาง ชอบให้เรือนกายของเธอเป็นที่เสพสุขของชายทั่วไป ไม่ผิดอะไรกับสมบัติสาธารณะที่ใครก็มีสิทธิ์ใช้สอยได้ เมื่อคิดได้ดังนี้ เข้าใจธรรมชาติของสตรีเหล่านั้น จึงไม่ควรไปเสียอารมณ์ด้วยการโกรธเคืองพวกเธอ
แนวคิดแบบนี้จะเห็นได้ชัดในสมัยก่อน เวลาที่กษัตริย์ยกทัพไปตีอีกเมืองหนึ่ง เมื่อทำการปลงพระชนม์กษัตริย์ฝ่ายตรงข้ามและยึดเมืองได้แล้ว บรรดามเหสีและสนมของอีกฝ่ายหนึ่งก็จะตกเป็นของกษัตริย์ผู้มาใหม่และมีชัยจึงเป็นที่มาของคำว่า “สมบัติผลัดกันชม”
ชีวิตในทางโลก จึงจำเป็นต้องมีหลักธรรมะเอาไว้เป็นที่พึ่งพิงทางใจตลอดเวลา
พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงแสดงธรรมะคือสัจจะ ความจริงใจซื่อสัตย์ต่อกันเป็นคุณธรรมสำคัญ สำหรับชีวิตคู่ ฯ
http://sakkhachet.blogspot.com/2012/10/blog-post.html
|