ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 6905
ตอบกลับ: 10
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

รวย เงิน เร็ว

[คัดลอกลิงก์]
รวย เงิน เร็ว


หลวงพ่อรวย
หลวงพ่อรวย ถือกำเนิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๔ เป็นบุตรคนที่ ๖ ในจำนวนพี่น้องร่วมอุทรเดียวกัน ๘ คน (ชาย ๓ คน หญิง ๕ คน) ของคุณโยมบิดามี โยมมารดาสินลา ศรฤทธิ์(บรรพบุรุษของสกุลศรฤทธิ์นี้ เป็นเชื้อสายชาวกรุงศรีสัตนาคนหุต) ณ บ้านตะโก หมู่ที่ ๒ ต.ดอนหญ้านาง อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา

          ชีวิตในปฐมวัย มีความเป็นอยู่เหมือนๆกับเด็กชนบททั่วไป คือได้ช่วยเหลือพ่อแม่ประกอบอาชีพทางด้านเกษตรอันถือได้ว่าเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำมาแต่บรรพชน ทั้งช่วยเหลือเลี้ยงดูเลี้ยงสัตว์ เช่น วัว ควาย มาโดยตลออด

          ส่วนการศึกษาเมื่ออายุได้ ๑๒ ปี ได้เข้ารับการศึกาาเบื้องต้นในโรงเรียนวัดตะโก เพราะเด็กๆในสมัยนั้นยังไม่มีโรงเรียนประถมศึกษาของทางราชการในละแวกตำบลดอนหญ้านาง ต้องอาศัยพระสงฆ์เป็นครูสอนบนศาลาการเปรียญของวัด จนมีความรู้อ่านออกเขียนได้ มีความรู้เทียบได้ชั้นประถมปีที่ ๔ ก็ออกจากโรงเรียน

          เมื่ออายุ ๑๖ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดตะโก โดยมีพระสมุห์บุญช่วย เจ้าอาวาสเป็นพระอุปัชฌาย์ ในที่ครองเพศพรหมจรรย์ ท่านได้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยในด้านคันถธุระ(พระปริยัติธรรม) สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี

          อายุครบบวช ราว พ.ศ.๒๔๘๔ ก็อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดตะโก โดยมีพระครูสุนทรธรรมนิวิฐ(หลวงพ่อชื่น) เจ้าอาวาสวัดภาชี เจ้าคณะอำเภอภาชีเป็นพระอุปัชฌาย์ พระปลัดจ้อย เจ้าอาวาสวัดวิมลสุนทร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระสมุห์บุญช่วย เจ้าอาวาสวัดตะโก(ในขณะนั้น) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับสมณฉายาว่า "ปาสาทิโก"

          ครั้นอุปสมบทแล้ว อยู่จำพรรษาที่วัดตะโกเรื่อยมา ได้ศึกษาด้านคันถธุระพระปริยัติธรรมเพิ่มเติม จนสอบได้นักธรรมชั้นโท ใน พ.ศ. ๒๔๘๕ และสอบได้นักธรรมชั้นเอกใน พ.ศ. ๒๔๘๗

          หลังจากจบนักธรรมเอกแล้ว ท่านคิดว่าเป็นการเพียงพอสำหรับด้านคันถธุระแล้ว เพราะพระที่อยู่ตามชนบทบ้านนอกพอที่จะรักาาพระธรรมวินัยเพศพรหมจรรย์ให้รุ่งเรือง และเป็นนำสอนชาวบ้านได้แล้ว ท่านก็หันมาสนใจทางด้านวิปัสสนาธุระ โดยมองเห็นประโยชน์ในด้านการปฎิบัติ เมื่อเป็นเช่นั้นก็ออกเดินทางไปฝากตัวเป็นศิษย์ศึกาาเรียนพระกรรมฐานกับ ครูบาอาจารย์เก่งๆในยุคนั้น อาทิเช่น

          ๑.หลวงพ่อชื่น วัดภาชี อยุธยา เชี่ยวชาญด้านวิปัสสนากรรมฐานที่สืบทอดพุทธคมมาจากหลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ เป็นที่รู้จักกันดีในยุคนั้น ซึ่งมีศิษย์ที่ศึกษาวิชาจากหลวงพ่อกลั่นมากมาย อาทิ หลวงพ่อใหญ่ หลวงพ่ออั้น หลวงพ่อเภา หลวงพ่อศรี หลวงปู่ดู่ และหลวงพ่อชืน ศิษย์ของหลวงพ่อกลั่นที่กล่าวถึงทั้งหมดนี้ ปัจจุบันได้มรณภาพไปหมดแล้ว ซึ่งแต่ละองค์ล้วนมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี

          หลวงพ่อรวย ท่านเดินทางไปศึกษาวิปัสสนากับหลวงพ่อชื่น วัดภาชี ได้รับการถ่ายทอดสรรพวิทยาคมต่างๆมากมายจนเป็นที่พอใจ

          ๒.หลวงพ่อแจ่ม วัดวังแดงเหนือ เชี่ยวชาญเวทมนตร์คาถาอาคม ได้ถ่ายทอดสรรพวิชาให้หลวงพ่อรวยทุกอย่าง อาศัยความขยันหมั่นเพียนและความตั้งใจมุ่งมั่นจึงก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว จนวิชาที่เล่าเรียนปฏิบัติเข้มขลังในพลังแห่งวิทยาคมสูงส่ง

          ในความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์อภินิหารเกิดจากบุญฤทธิ์ของหลวงพ่อรวย ซึ่งปรากฎให้เห็นและเล่าขานกันหมู่ศิษยานุศิษย์ เป็นที่ยอมรับเชื่อถือศรัทธา ดังเรื่องต่อไปนี้

          ๑.ปืนยิงไม่ออก  เมื่อครั้งที่มีงานวางศิลาฤกษ์โรงเรียนบ้านตะโก-ดอนหญ้านาง ขณะที่พระสงฆ์ได้เจริญพระพุทธมนต์ชะยันโต  โดยที่หลวงพ่อรวย  ได้ประกอบพิธีเจิมแผ่นศิลาฤกษ์อยู่นั้น  ได้มีกำนันแสวง  โชคชัย  คิดอย่างไรไม่ทราบ  ก็ชักปืน  ๙ มม.  หวังจะยิงข้ามสายสิญจน์  แต่เมื่อยิงปรากฏว่าปืนยิงไม่ออกถึง ๖ ครั้งด้วยกัน

          อีกคราวหนึ่ง คนๆเดียวกันแต่ต่างสถานที่กัน  เหตุเกิดขึ้นในวัดเปิดป้ายที่ทำการกำนันตำบลดอนหญ้านาง  ขณะนั้นหลวงพ่อรวยได้เจิมป้ายอยู่  กำนันแสวง(คนเดิม)  ก็นึกครึ้มใจชักปืนออกมายิงอีก   โดยยิงข้ามป้ายที่ทำการกำนัน   ปรากฏว่ายิงไม่ออกเช่นเคย   ครั้งสุดท้ายกำนันแสวง   ได้สวมบทบาทอีกครั้ง   แต่คราวนี้เกิดในงานยกช่อฟ้าศาลาการเปรียญวัดตะโก   เรียกว่าไปยิงกันถึงถิ่นวัดกันเลยทีเดียว   ในขณะที่หลวงพ่อรวยและชาวบ้านกำลังเข้าแถวจับสายสิญจน์เพื่ออัญเชิญช่อฟ้าขึ้นประดิษฐานบนแท่น  กำนันแสวงได้แผลงฤทธิ์ชักปืน (อยากลอง)ยิงข้ามสายสิญจน์(อาจไม่แน่ใจตัวเองจากครั้งก่อนๆก็ได้) ปปรากฏว่า  "ปืนยิงไม่ออกกลับกลายสภาพเป็นท่อนเหล็กธรรมดาไปโดยปริยาย (โทษหนัก) ยิงก็ไม่ออกแถมปืนเสมือนเศษเหล็ก  แต่พอหันปากกระบอกปืนไปทางอื่น เสียงดังสนั่น"

          กำนันแสวงคงรู้สำนึกตัวเองถึงกับก้มลงกราบหลวงพ่อรวยท่ามกลางประชาชนมากมายที่อยู่ในงานประจักษ์ในเหตุการณ์ครั้งนั้น   ทั้งนี้เพื่อขอขมาโทษต่อหลวงพ่อรวย   ที่ตนเองลบหลู่แล้วกล่าวเสียงดังฟังชัดว่า

          "ผมยอมแล้วครับหลวงพ่อ" กำนันอาจคิดได้ในใจว่านี้เราได้หมิ่นอิทธานุภาพบุญฤทธิ์ต่อหลวงพ่อเป็นบาปอย่างใหญ่หลวงแล้ว

          หลวงพ่อรวย ไม่ได้แสดงอาการอย่างอื่นใด ดูเหมือนว่าท่านจะรู้เห็นการณ์ล่วงหน้าด้วยซ้ำไป

          ๒.ทดสอบวิชา   อาจารย์เหลือ เภาดี  อดีตเจ้าอาวาสวัดบ้านยาง อ.เสาไห้ จ.สระบุรี(ลาสิกขาแล้ว)  ในสมัยที่ยังเป็นพระมีวิชาอาคมพอตัว  ว่ากันว่าเจริญวิปัสสนากรรมฐานถึงได้ญานสมาบัติ(ณานสมาบัติเสื่อมได้อย่างพระเทวทัตเป็นต้น)  รู้สิ่งเร้นลับต่างๆได้เป็นอย่างดี  เมื่อทราบว่าหลวงพ่อรวย วัดตะโกท่านแก่งวิชาอาคมเล่าลือกันทั้งทรงคุณธรรมด้านวิปัสสนากรรมฐานล้ำเลิศ   จึงอยากจะทดสอบวิชาให้เป็นที่ประจักษ์สักครั้ง

          เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๗  อาจารย์เหลือเดินทางไปวัดตะโก  พอไปถึงหน้ากุฏิหลวงพ่อรวย   ก็ไม่เข้าไปกราบนมัสการ   เรียกว่าไปเยือนอย่างบุรุษวิกาลแล้วจัดแจงนั่งบริกรรมภาวนาตามแบบวิชาของตน   หวังเพื่อทดสอบที่จะรู้ถึงคุณวิเศษของหลวงพ่อรวย   ว่าท่านเก่งจริงสมคำเล่าลือหรือเปล่า

          หลวงพ่อรวย  ท่านไม่ได้คิดอย่างอาจารย์เหลือ   และไม่ว่าอะไรปล่อยให้นั่งบริกรรมไปต่อ  พออาจารย์เหลือหลับตาภาวนานิ่งอยู่สักครู่ก็ลุกขึ้นไปกราบหลวงพ่อรวยแล้วกล่าวขอขมาโทษว่า

          "ผมไม่ได้มาลบหลู่คุณธรรมของหลวงพ่อนะครับเพียงแต่ขอทดสอบดูให้เห็นจริง   ตามที่ผู้คนเขาเล่าลือกัน ขอหลวงพ่อได้โปรดอภัยด้วย"  ก็คงรู้แล้วว่า   หลวงพ่อรวย   ท่านทรงธรรมวิเศษประการใด   ตั้งแต่นั้นมาอาจารย์เหลือศรัทธาเลื่อมใสมากขึ้น   ขอรับเป็นผู้อุปัฎฐานเป็นเจ้าภาพสร้างลูกนิมติถวาย ๙ ลูก   เป็นเงินจำนวนสองแสนบาท   เพื่อร่วมกับเจ้าภาพคนอื่นสร้างอุโปสถหลังใหม่ที่กำลังดำเนินการอยู่

          ก่อนกลับ   หลวงพ่อรวยได้มอบพระสมเด็จผสมเส้นเกศา รุ่นสร้างอุโบสถให้ไปหนึ่งองค์   พออาจารย์เหลือกลับมาถึงบ้านนั้นเอง  ก็อดใจไม่ไหว ทดลองพุทธคุณพระพิมพ์สมเด็จทันที   ด้วยการเอาปืนจ่อยิงไปที่องค์พระในระยะเผาขน (ห่างไม่ถึงคืบ) เสียงปืนดังสนั่น   แต่เป็นที่อัศจรรย์เหลือเกิน  ลูกปืนตกปากกระบอกละลายหยดเหมือนน้ำตาเทียนเลยทีเดียว

อ้างอิง http://www.vinaip.com

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-24 16:10 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงพ่อเงิน พุทธโชติ มีนามเดิมว่า "เงิน" เกิดเมื่อวันศุกร์ เดือน 10 ปีฉลู ซึ่งตรงกับวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2348 บิดาชื่อนายอู๋ มารดาชื่อนางฟัก เป็นชาวบ้านตำบลบางคลาน จังหวัดพิจิตร มีพี่น้องร่วม บิดาเดียวกันทั้งหมด 6 คน คนที่ 1 ชื่อ พรม คนที่ 2 ชื่อทับ คนที่ 3 ชื่อ ทอง คนที่ 4 ชื่อ เงิน คนที่ 5 ชื่อ หล่ำ คนที่ 6 ชื่อ รอด (ในหนังสือประวัติของท่านมีผู้เขียนไว้เป็น ๒ กระแส แต่ต่างยืนยันว่าท่านเกิดปีฉลู กระแสแรกว่าท่านเกิดปีฉลู พ.ศ. 2348 อีกกระแสท่านเกิดปีฉลู พ.ศ. 2360)

ประวัติหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน “หลวงพ่อเงิน พุทธโชติ” เป็นชาวบ้านบางคลาน อำเภอบางคลาน จังหวัดพิจิตร เป็นบุตรคนที่ 4 บิดาของท่านชื่อ อู๋ เป็นชาวบ้านบางคลาน มารดาของท่านชื่อฟัก เป็นชาวบ้าน จังหวัดกำแพงเพชร ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งรัตนโกสินทร์ มีพี่น้องรวมทั้งสิ้น 6 คนด้วยกัน เมื่อปี พ.ศ. 2356 หลวงพ่อเงิน อายุได้ 5 ขวบ นายช่วงซึ่งเป็นครูของท่าน ได้พา หลวงพ่อเงิน ไปอยู่กรุงเทพฯ จนกระทั่ง หลวงพ่อเงิน เติบโตเข้าศึกษาเล่าเรียนได้ จึงได้นำ หลวงพ่อเงิน ไปฝากไว้ที่วัดตองปู (วัดชนะสงคราม) เพื่อให้เล่าเรียนหนังสือที่วัดชนะสงครามตลอดมาจนถึงปี พ.ศ. 2363 หลวงพ่อเงินอายุได้ 12 ปีจึงได้บรรพชาเป็นสามเณร เมื่ออายุครบบวชท่านก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดชนะสงคราม ฉายา พุทธโชติ แล้วหลวงพ่อเงิน ท่านได้จำพรรษา เพื่อปฏิบัติธรรมวินัยเรียนทางวิปัสสนากรรมฐานอยู่ได้ 3 พรรษาขณะที่ท่านได้จำพรรษาอยู่ที่วัดชนะสงคราม ท่านได้ไปถวายตัวเป็นศิษย์ เพื่อศึกษาศิลปวิทยาคมตลอดจนเรียนวิปัสสนาธุระ ในทางเมตตามหานิยมและคงกระพันชาตรี จากเจ้าพระคุณสมเด็จพระพุฒจารย์(โต) พรหมรังสีวัดระฆังโฆสิตาราม

พออายุได้ ๒๐ ปี บิดา-มารดาและบรรดาญาติมีความประสงค์จะให้อุปสมบทแต่ “หลวงพ่อเงิน” ไม่ยอมเพราะเกรงว่า อายุของท่านจะไม่ครบบริบูรณ์จริง บรรดาญาติก็อนุโลมตามกระทั่งหลวงพ่ออายุได้ ๒๒ ปี ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๗๓ ได้กำหนดวันอุปสมบทไม่ทราบว่าอุปัชฌาย์ชื่ออะไรเช่นกันได้ฉายาว่า “พุทธโชติ” หลังจากอุปสมบทแล้วได้ศึกษาเล่าเรียน ธรรมะจนแตกฉาน แล้วทำการฝึกฝนวิปัสสนาจนมีญาณสมาธิแก่กล้า จึงมุ่งศึกษาพุทธาคมจาก “หลวงพ่อโพธิ์ วัดวังหมาเน่า” จนมีความชำนาญทางพุทธาคมมาก มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เล่าลือกันในบรรดาชาวบ้านมากมายพอได้อุปสมบทแล้ว ท่านก็ยังศึกษาวิปัสสนากรรมฐานต่ออีกด้วย ต่อมาอีก 3-4 ปี โยมปู่ของท่านป่วยหนัก ท่านจึงได้เดินทางกลับมายังอำเภอโพทะเล ท่านก็ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดคงคาราม ประมาณ 1 พรรษา แล้วจึงย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่วัดท้ายน้ำ ท่านเป็นพระเรืองวิชา ชอบเล่นแร่ แปลธาตุ แต่ หลวงพ่อเงิน ท่านเคร่ง ธรรมวินัย ชอบความสงบ ท่านจึงได้ย้ายไปอยู่หมู่บ้านวังตะโก ลึกเข้าไปทางลำน้ำเก่า และต่อมาก็ได้สร้างวัดหิรัญญาราม (วัดวังตะโก) "วัดวังตะโก" เกิดขึ้นเป็นพระอาราม "หลวงพ่อเงิน" ได้เป็นผู้สร้างไว้เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2377 ต่อมาวัดวังตะโก หรือวัดหิรัญญารามก็เจริญอย่างรวดเร็ว มีผู้คนเคารพนับถือและถวายตัวเป็นศิษย์ ขอมาฟังธรรมขอเครื่องรางของขลัง และขอให้หลวงพ่อช่วยรักษาโรคให้ ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์และสมณศักดิ์เป็นเจ้าคุณฝ่ายวิปัสสนา

หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน (วัดหิรัญญาราม) จ.พิจิตร ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังมากในสมัยนั้น มีผู้คนมาให้ท่านช่วยรดน้ำมนต์ให้ไม่ขาดสาย ลูกศิษย์ของหลวงพ่อเงินวัดบางคลานที่มีชื่อเสียงโด่งดังต่อมาก็มีหลายท่าน เช่น หลวงพ่อพิธ วัดฆะมัง ที่มีชื่อเสียงในด้านตะกรุดคู่ชีวิต หลวงพ่อน้อย วัดคงคาราม ผู้สร้างตะกรุดหนังปลากระเบน และตะกรุดหนังอีเก้ง ปลัดชุ่ม วัดท้ายน้ำ หลวงพ่อหอม วัดหลวง หลวงพ่อนวล วัดหาดมูลกระบือ หลวงพ่อฟุ้ง วัดปากน้ำ หลวงพ่อขำ วัดโพธิ์เตี้ย หลวงพ่อไป๋ วัดท่าหลวงพล ผู้สร้างเหรียญหล่อหลวงพ่อเพชรจำลอง หลวงปู่ภู วัดท่าฬ่อ เป็นต้น นอกจากนี้ศิษย์ฆราวาสก็คือเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ท้ายที่สุด หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ และได้รับสมณศักดิ์เป็นท่านเจ้าคุณ ฝ่ายวิปัสสนาจารย์ หลวงพ่อเงิน ท่านได้มรณภาพ ด้วยโรคชรา เมื่อวันศุกร์เดือน 10 แรม 11 ค่ำ ปีมะแมเวลา 5.00 น.ตรงกับวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2462รวมอายุได้ 111 ปีพรรษา 90 ณ วัดวังตะโก ตำบลบางคลาน อำเภอบางคลาน จังหวัดพิจิตร คงทิ้งไว้แต่เรื่องราวอันเป็นปาฏิหาริย์มากมาย นับว่าท่านเป็นพระสงฆ์ที่มีอายุยืนนานมากที่สุดรูปหนึ่ง ประวัติหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จ.พิจิตร พระเครื่องหลวงพ่อเงิน วัดบางคลานนับเป็นอีกหนึ่งในจำนานของวงการพระเครื่องไทย

อ้างอิง http://www.tumsrivichai.com

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-6-24 16:26 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เร็ว

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
ขอบคุณครับ สาธุ _/\_
สาธุครับ
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-7-7 11:07 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-2-2 13:33 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สาธุครับ
คนสมัยก่อนชอบทดสอบวิชาและบารมีของพระ ก่อนแสดงความศัทธาต่อพระองค์นั้น ต่างกับสมัยนี้ใช้มวลชลเป็นตัวชี้นำความศรัทธา
.....แต่บางครั้งอุบาสกก็ถูกพระทดสอบเช่นกัน หากแต่ผมทราบมาว่า ถ้าบารมีของพระด้อยกว่าอุบาสก พระองค์นั้นอาจมรณะภาพได้เลย ซึ่งแตกต่างจากอุบาสกทดสอบบารมีของพระครับ....พิจารณาเป็นความเชื่อครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้