“เย็นวันหนึ่ง เมื่อปัดกวาดเสร็จ ออกจากที่พักไปสรงน้ำ ได้เห็นข้าวในไร่ชาวเขากำลังสุก
เหลืองอร่าม ทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาในขณะนั้นว่า ข้าวมันงอกขึ้นมาเพราะมีอะไรเป็นเชื้อพาให้เกิด
ใจที่พาให้เกิด-ตายอยู่ไม่หยุด ก็น่าจะมีอะไรเป็นเชื้ออยู่ภายในเช่นเดียว กันกับเมล็ดข้าว
เชื้อนั้นถ้าไม่ถูกทำลายเสียที่ใจให้สิ้นไป จะต้องพาให้เกิดตายอยู่ไม่หยุด ก็แล้วอะไร
เป็นเชื้อของใจเล่า ถ้าไม่ใช่กิเลสอวิชชา ตัณหาอุปาทาน ท่านคิดทบทวนไปมา โดยถือ
อวิชชาเป็นเป้าหมายแห่งการวิพากษ์วิจารณ์ พิจารณาย้อนหน้าถอยหลัง อนุโลมปฏิโลมด้วย
ความสนใจอยากรู้ตัวจริงแห่งอวิชชา นับแต่หัวค่ำจนดึกไม่ลดละการพิจารณา ระหว่างอวิชชา
กับ ใจ
พอจวนสว่างจึงตัดสินกันลงได้ด้วยปัญญาอวิชชาขาดกระเด็นออกจากใจไม่มีอะไร เหลือ
การพิจารณาข้าวก็มายุติกันที่ข้าวสุก หมดการงอกอีกต่อไป การพิจารณาจิตก็มาหยุดกันที่
อวิชชาดับ กลายเป็นจิตสุกขึ้นมาเช่นเดียวกับข้าวสุก จิตหมดการก่อกำเนิด เกิดในภพต่างๆ
อย่างประจักษ์ใจ สิ่งที่เหลือให้ชมอย่างสมใจคือ ความบริสุทธิ์ของจิตล้วนๆ ในกระท่อม
กลางเขา มีชาวป่าอุปัฏฐากดูแล ขณะที่จิตผ่านดงหนาป่ากิเลสวัฏฏ์ไปได้เแล้ว เกิดความ
อัศจรรย์อยู่คนเดียว ตอนอรุณรุ่งพระอาทิตย์ก็เริ่มสว่างบนฟ้า ใจก็เริ่มสว่างจากอวิชชาขึ้นสู่
ธรรมอัศจรรย์ ถึงวิมุตติหลุดพ้น ในเวลาเดียวกันกับพระอาทิตย์อุทัย ช่างเป็นฤกษ์งามยาม
วิเศษเสียจริง”
วินาทีบรรลุธรรม หลวงปู่ขาว อนาลโย