ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

>>> พระศรีราม <<<

[คัดลอกลิงก์]


                เรื่องรามเกียรติ์นั้นหากจะกล่าวเนื้อหาโดยสรุปแล้วก็คือบันทึกการสงครามระหว่างฝ่ายธรรมและอธรรม
โดยตัวแทนฝ่ายธรรมนั้นก็คือมนุษย์ ลิง และเทวดา ส่วนตัวแทนฝ่ายอธรรมก็คือยักษ์

















                แต่จะมีใครรู้บ้างว่า มันคือสงครามที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์อันไกลโพ้น

ระหว่างสองเผ่าพันธุ์ นั่นคืออารยัน(อินโด-ยูโรเปียน)และดราวิเดียน(ทมิฬ)

   เพียงแต่บันทึกของสงครามนี้ไม่ได้ถูกบันทึกเก็บมาในรูปแบบของเอกสารทั่วไป  

แต่กลายมาเป็นบทร้อยกรองอันสละสลวยและมีการแต่งเติมความพิสดารพันลึก

และแทนเรื่องราวหรือผู้คนหลายสิ่งด้วยสัญลักษณ์ต่างๆเช่น เทพ อสูร คนธรรพ์

ซึ่งหากเราลองตีความกันจริงๆแล้ว จะพบอะไรๆหลายอย่างที่ซ่อนอยู่ในเนื้อหา

และเรื่องราวของรามเกียรติ์มากมายอย่างไม่น่าเชื่อ


ทำไม..????

จึงเชื่อได้แน่นอนว่าการต่อสู้ระหว่างมนุษย์ เทพ ลิงและยักษ์ในรามเกียรติ์คือ...

บันทึกสงครามระหว่างชาวอารยันและดราวิเดียน นั่นเพราะเดิมทีชมพูทวีปโดยเฉพาะพื้นที่ตอนใต้นั้น

เป็นดินแดนที่มีชนเผ่าดราวิเดียนตั้งรกรากอยู่ ชนเผ่าดราวิเดียนนั้นเป็นพวกที่มีรูปร่างสูงใหญ่ ผิวดำคล้ำ ผมหยิก

ซึ่งจะเห็นได้ว่ายักษ์ในเรื่องรามเกียรติ์กับชนเผ่าดราวิเดียนมีลักษณะไม่แตกต่างกันเลย ในขณะที่ชนเผ่าอารยันนั้น

ไม่ใช่ชนชาติที่อาศัยอยู่ในดินแดนนี้มาแต่แรก แต่เป็นชนชาติที่อพยพมาจากทางตอนเหนือ

พวกนี้มีผิวกายขาว รูปร่างหน้าตาคมสันกว่าพวกดราวิเดียน ซึ่งจะว่าไปก็คือพวกมนุษย์และเทพใน


รามเกียรติ์นั่นเอง
พระราม เป็น ชนชาวเผ่าอารยัน



การมาของชาวอารยัน (The Aryans)

       ต่อมาพวกมิลักขะ หรือ ดราวิเดียน (Dravidian) ที่มีความเจริญมากกว่าเผ่าเดิมก็ได้อพยพเข้ามาสู่อินเดีย ชนพวกนี้ได้ขยายตัวสู่ภาคใต้กลายเป็น พวกทมิฬ (Tamil) เตุลุคุุ (Teluku) มาลาบาร์ (Malabar) และ กนะริส (Kanarise) เป็นต้น คำว่ามิลักขะ แปลว่า เศร้าหมอง หรือมีผิวดำ และต่อมาเมื่อประมาณ ๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว ชนชาติอารยัน (Aryans) ซึ่งเดิมกล่าวกันว่ามาจากเอเซียกลาง ก็อพยพเข้าสู่อินเดีย การย้ายถิ่นของชาวอารยันแบ่งออกเป็น ๒ สาย คือ

       สายแรกไปสู่ยุโรปกลายเป็นชาวอารยันยุโรปในปัจจุบัน
       สายที่สองมุ่งสู่ทิสตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งรกรากแถวทะเลสาบแคชเบี้ยนในปัจจุบัน ต่อมาพวกเขาจึงแยกออกเป็นสองสาย คือสายหนึ่งไปสู่ตะวันออกกลางกลายเป็นชาวอารยันเปอร์เซีย และอีกเผ่ามุ่งตรงสู่อินเดียตั้งรกรากแถวแม่น้ำสิทธุตอนบน ลักษณะทั่วไป ของชาวอารยันคือผิวขาว ร่างกายสูงใหญ่ จมูกโด่งศรีษะค่อนข้างยาว ผมสีอ่อน หน้าตาได้สัดส่วน หน้าตาจึงออกไปทางฝรั่งชาวยุโรป สังคมชาวอารยันยุคแรก ๆ ประกอบด้วยนักรบ สามัญชน พ่อค้า นักบวช ทาส

      เนื่องจากอารยันซึ่งแปลว่าเจริญรุ่งเรืองเป็นชนชาติที่เจริญมากกว่า มีความชำนาญในการขี่ม้า ใช้หอกและดาบ เป็นอาวุธสำหรับทำการรบมากกว่า จึงเอาชนะชนพื้นเมืองสองเผ่าเบื้องต้นได้ และพลักดันพวกเขาสู่ภาคใต้ ต่อมาพวกเขาจึงเริ่มเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยกันอย่างฉันมิตรและมีการแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์ กลายมาเป็นชนส่วนมากของอินเดียปัจจุบัน

      แม้ในด้านการปกครองระยะนี้จะตกอยู่ในอำนาจของชาวอารยันผู้มาใหม่ แต่ด้านวัฒนธรรมด้านศาสนากับมีการผสมผสานกับวัฒนธรรมท้องถิ่นพวกมิลักขะเป็นชนเผ่าที่เคารพบูชาธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ ภูเขา ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นต้น โดยถือว่ามีเทพสิงสถิตย์อยู่ทุกแห่งหน สามารถให้คุณให้โทษแก่ผู้อ้อนวอนบวงสรวงได้ พวกอารยัน ก็มีความเชื่อถือในธรรมชาติ เช่นกัน เช่นพระอาทิตย์ ดวงจันทร์ดวงดาว ท้องฟ้า เมฆหมอก พายุ เป็นต้น โดยถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นพระเจ้าของตน เมื่อพวกอารยันเข้ามาตั้งรกราก ชนทั้งสอง จึงมีการผสมผสานเข้ากันกลายมาเป็นศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูดังเช่นปัจจุบัน


33#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-12-23 00:49 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


พระเครื่องของอาจารย์ รุ่นนี้คงเป็นตำนานกล่าวขานไปอีกนานครับ

องค์พระราม รุ่นนี้ น่าจะเป็นรุ่นแรกที่ด้านหลังมีชื่ออาจารย์สรายุทธด้านหลัง...( ถ้ายังไม่แก่ คงจำไม่ผิด )
พระรามพุทธเจ้า


ดูก่อนพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ผู้เจริญ   ในสมัยที่ศาสนาของพระศรีอริยเมตไตรเสื่อมไปแล้วในภัทรกัปนี้ ไฟจะไหม้ปฐพีผืนนี้ ฯ
เมื่อภัทรกัป ล่วงไปแล้วเกิด สุญญกัปมีอายุหนึ่งอสงไขยแล้ว ฯ     เมื่อสุญญกัป ล่วงไปแล้ว ก็เกิด มัณฑกัปขึ้น หนึ่งกัป  ฯ ในมัณฑกัป นั้น
มีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์ เสด็จอุบัติ คือ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่ารามะ พระองค์หนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ปัสเสนทิโกศล (ธรรมราชา)
พระองค์หนึ่งในกาลนั้น สรรพสัตว์ จะมีอายุกำหนด 1 อสงไขย ฯ เมื่อใดคนทั้งหลาย เสื่อมจากอายุ 1 อสงไขย ได้มีอายุ 9 หมื่นปี
เมื่อนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า  รามราช  จะเสด็จ อุบัติในโลกก่อน ฯ พระผู้ มีพระภาคเจ้า ทรงมีพระชนมายุ 90,000 ปี
ทรงมีพระวรกายสูง 80 ศอก มีต้นจันทน์เป็นต้นไม้ตรัสรู้ แสงสว่างพระพุทธรัศมีครุวนาดั่งธงชัยสว่างไสวในอากาศ ทั้งมวล ตลอดกาล เป็นนิตย์ ฯ
ครั้งนั้น ด้วยพุทธานุภาพ ได้บังเกิดต้นกัลปพฤกษ์ต้น 1 แล้ว ฯ มหาชนทั้งปวงอาศัย ต้นกัลปพฤกษ์เลี้ยงตนตลอดกาลเป็นนิตย์ ฯ ในศาสนา
ของพระสัมมา สัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า รามะ สรรพสัตว์พากันไปสู่สวรรค์

ดูก่อนพระธรรมเสนาบดีสารี บุตรผู้เจริญ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า รามราช ทรงบำเพ็ญบารมี 10 ประการ บารมีข้อหนึ่งปรากฏชัดแล้ว
จึงทรงได้สมบัติด้วยประการฉะนี้ ฯ ดูก่อนพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรผู้เจริญ ในกาลแห่งพระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า   พระโพธิสัตว์ทรงพระนาม
ว่า รามราช ได้มาณพนามว่า  นารทะ ฯในกาลนั้น นารทมาณพ ได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมบูรณ์ด้วยพระอนุพยัญชนะ 80 อันเหล่าเทวดามี
พระอินทร์และพระพรหม เป็นต้น แวดล้อมแล้วคิดว่า  

“พระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้าเราได้พบยากแสนยาก เราจะมีประโยชน์อะไรด้วยอัตภาพที่น่ารังเกียจ เราจะกระทำตน
ให้เป็นประหนึ่งประทีปทองบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้า”ครั้นคิดแล้ว ถือเอาผ้า 2 ผืนชุบน้ำมันให้ชุ่มแล้วพัน
ตั้งแต่ศรีษะจนถึงฝ่าเท้าจุดไฟบนศรีษะบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ฯ เขาได้ตั้งความปรารถนาไว้ว่า

“ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เจริญ ด้วยการถวายร่างกาย และชีวิตนี้ขอจงเป็นปัจจัยแห่งพระสัพพัญญุตญาณเถิด” ฯ

ในกาลนั้นพระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพยากรณ์นารทมาณพในท่ามกลางบริษัท 4 ฯ พระศาสดา ทรงพยากรณ์ว่า

“ดูก่อนนารทมาณพผู้เจริญ เมื่อไฟไหม้ภัทรกัปแล้ว ได้มีสุญญกัป มีอายุ 1 อสงไขย เมื่อสุญญกัปล่วงไปแล้ว
เกิดมีมัณฑกัปขึ้นแล้ว ในอนาคตในกัปนั้น ท่านนั้นจักบังเกิดเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า รามะ ฯ
ในกาลนั้น นารทมาณพ มีไฟลุกโพลงแล้วตลอด 1 คืน จุติแล้วบังเกิดในสวรรค์ชั้น ดุสิต ฯ วันหนึ่ง เขาเก็บดอกปทุม 2 ดอก
เดินไปขายตามทางขณะนั้น พระโกนาคมนพุทธเจ้า เสด็จไปบิณฑบาตยังหมู่บ้านทอดพระเนตรเห็นสุทธมาณพ
ทรงพิจารณาสุทธมาณพนี้ ด้วยพระสัพพัญญุตญาณ ทรงดำริว่า

“สุทธมาณพนี้ เป็นพุทธวงศ์ ครั้นบำเพ็ญบารมีแล้ว ก็จักเป็นพระพุทธเจ้า บัดนี้ เราจักพยากรณ์หน่อแห่งพระพุทธเจ้านี้”

ครั้งนี้ทรงดำริดังนี้ แล้วจึงได้ทรงยิ้มแล้ว ฯ มาณพได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ทรงยิ้มแย้มให้ปรากฏ จึงทูลถามพระพุทธเจ้าว่า


“ข้าแต่พระโลกนาถผู้เจริญ ข้าพระองค์ มิใช่ญาติ มิใช่สหาย เพราะเหตุไร พระองค์จึงทรงยิ้มแย้มให้ปรากฏเล่า” ฯ

พระบรมศาสดา ได้ตรัสพระดำรัสว่า

“ดูก่อนสุทธมาณพ ผู้เจริญเจ้าคนเดียว เป็นน้องชายร่วมมารดา ร่วมบิดาเดียวกับเรา”

มาณพได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เป็นน้องชายของพระองค์เมื่อไหร่”

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า


“ดูก่อนมาณพผู้เจริญ เมื่อภัทรกัปนี้ ล่วงไปแล้วมัณฑกัปเกิดขึ้น แล้ว ในกัปนั้น มีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์เสด็จ
บังเกิดขึ้น รามราช จักเป็นพระรามสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่แรกเมื่อ พระรามสัมมาสัมพุทธเจ้า ล่วงไปแล้ว ผู้เจริญจักเป็นพระ
พุทธเจ้าทรง พระนามว่า ธรรมราช เราจักเป็นพระพุทธเจ้าก่อน ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าในภายหลัง เพราะฉะนั้น เราจึงกล่าวว่า
ท่านจักเป็นน้องชายของเรา ด้วยประการฉะนี้” ฯ


สุทธมาณพ สดับพระพุทธพจน์ ทำจิตให้เลื่อมใส ดำริว่า

“ธรรมดาว่า พระพุทธพจน์นี้ไม่มีเป็นสอง เป็นจริงแท้ สม่ำเสมอ เราใช้ค่าขายดอกปทุม 2 ดอกเลี้ยงชีพ บัดนี้
จักถวายดอกปทุม 2 ดอก เป็นทานแก่พระพุทธเจ้า”

จึงน้อมนำดอกปทุม 2 ดอก เข้าไปถวายพระพุทธเจ้าแล้ว ฯ พระพุทธเจ้าทรงรับเอาดอกปทุม ประทับนั่งเหนือดอกปทุม 2 ดอกแล้ว ฯ
สุทธมาณพเห็นพระพุทธเจ้าประทับนั่งบนดอกปทุม คิดอย่างนี้ว่า


“ขอแสงดวงอาทิตย์ อย่าแผดเผาพระผู้มีพระภาคเจ้าเลย”


ครั้นแล้ว จึงถือเอาต้นอ้อ 4 ต้นมา ยกขึ้นไว้ทั้ง 4 ทิศ ถือเอาผ้า 2 ผืนมากาง ปิดกั้นแดดถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้ว ตั้งความปรารถนาว่า

“ข้าแต่พระโกนาคมนสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอการถวายดอกไม้และผ้านี้ จงเป็นปัจจัยแห่งพระสัพพัญญุตญาณเถิด” ฯ


ในกาลนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงพยากรณ์ว่า

“ขอความปรารถนาจักพลันสำเร็จแก่ท่านเหมือนอย่างที่ท่านมีความดำริเถิด” ฯ


ในกาลนั้น เสียงนั้น ดังกระฉ่อนไปเบื้องต่ำลงไปจนถึงนาคพิภพเบื้องบนขึ้นไปจนถึงพรหมโลก ฯ ในกาลนั้นพระยา
นาคราช ขึ้นมาจากนาคพิภพ ฯ ท้าวมหาพรหมลงมาจากพรหมโลก ฯ ท้าวมหาพรหมและพระยานาคราช เข้าไปเฝ้าพระ
ศาสดา ถวายบังคมทูลถามพระศาสดาว่า


“ความปรารถนาของสุทธมาณพ จะสำเร็จหรือไม่ พระเจ้าข้า” ฯ


พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า

“ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลายสุทธมาณพ ใช้ผ้ากางกั้นหมอกและแดดให้เราทั้งกลางคืนและกลางวันเพราะฉะนั้นเขาจะ
สำเร็จความปรารถนา”


เทวดาทั้งหลายทูลถามว่า


“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรเป็นความสำเร็จ อะไรเป็นเหตุ ปัจจัยอะไร พึงสำเร็จแก่สุทธมาณพ”


พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสบอกเทวดาทั้งหลาย ถึงความสำเร็จแห่งสุทธมาณพนั้นว่า


“ดูก่อนเทวดาทั้งหลายผู้เจริญ เมื่อภัทรกัป ล่วงไปแล้ว เกิดมีมัณฑกัป ขึ้นในกัปนั้น พระรามราชจักเป็นพระราม
สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์ปฐมมาณพนี้ จักเป็นพระพุทธเจ้าในภายหลัง” ฯ


ในกาลนั้น เทวดาทุกหมู่เหล่า นาคราชทุกหมู่เหล่า มหาพรหมทุกหมู่เหล่า พากันสาธุการ บูชามาณพนั้น เป็นการบูชาวิเศษยิ่งใหญ่แล้ว ฯ


ดูก่อนพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรผู้เจริญ ด้วยผลที่สุทธมาณพถวายดอกปทุม 2 ดอกจึงเกิดดอกปทุม 2 ดอกเท่าล้อรถ
ในเวลาเสด็จ พระราชดำเนินด้วยพระบาท ฯ ด้วยผลที่มีขันติธรรม จึงบังเกิดต้นกัลปพฤกษ์ ฯ ด้วยผลที่ใช้ผ้ากั้นแดด
ถวาย จึงบังเกิดมีห้องน่ารื่นรมย์แล้ว ด้วยการ 7 ประการ ณ สถานที่ที่พระพุทธเจ้าประทับนั่ง (และ) บรรทมนั้น ๆ ฯ ด้วยผล
ที่ถวาย ดอกปทุม 2 ดอกและชีวิต (อายุ) พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงมีพระชนมายุ 5 หมื่นปี ฯ


ดูก่อนพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรผู้เจริญ ณ สถานที่ที่พระโกนาคมนพุทธเจ้าพยากรณ์แล้วนั้น ได้เกิดมีต้น
กัลปพฤกษ์ต้นหนึ่งแล้ว ฯ มหาชนทั้งหมดอาศัยต้นกัลปพฤกษ์
เลี้ยงชีวิต ฯ

ดูก่อนพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรผู้เจริญมหาชนทั้งปวงต้องการพบพระศาสนาของพระศรีอริยเมตไตร หากไม่ได้
พบไซร้ ก็ย่อมต้องการพบพระศาสนาของพระรามสัมมาสัมพุทธเจ้า หากไม่ได้พบ (ศาสนา) พระรามสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นไซร้
ก็ย่อมต้องการยิ่งที่จะได้พบ (ศาสนา) พระปัสเสนทิโกศลธรรมราชสัมมาสัมพุทธเจ้า ฯ

36#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-12-24 07:14 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
morntanti ตอบกลับเมื่อ 2014-12-23 08:03
องค์พระราม รุ่นนี้ น่าจะเป็นรุ่นแรกที่ด้านหลังมีชื่ ...

ใช่แล้วครับ....เค้าบอกว่ารุ่นแรกมักจะเป็นตำนาน
เนื้อสำริด มีมวลสารอะไรบ้างครับ มีชนวนผสมเยอะไหมครับ
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย taka_jipata เมื่อ 2014-12-24 19:14

เท่าที่ผมทราบ มีชนวนเก่าที่หล่อในพิธีชัยมหานาถ (น่าจะเป็นก้านช่อองค์พ่อชัยวรมันรุ่นแรก พระกริ่ง และท้าวเวสสุวรรณ)
ชนวนหล่อองค์พ่อชัยวรมันรุ่น 2  โลหะอาถรรพ์ต่างๆ รวมทั้งเครื่องสัมฤทธิ์โบราณที่หลวงปู่ท่านเสกเอาไว้ครับ (ขุดได้จาก
กรุแหล่งโบราณสถานและตามพื้นที่ต่างๆ ซึ่งเคยเป็นเมื่องโบราณมาก่อนและหลวงปู่ท่านนำมาเสกไว้เวลาท่านเสกวัตถุมงคล
เพื่อเป็นชนวนในการสร้างวัตถุมงคล แต่ยังไม่ได้นำไปใช้) ซึ่งจริงๆ แล้วมีผสมอยู่ในทุกเนื้อครับแตกต่างกันในเรื่องความเข้มข้น
ของมวลสารเท่านั้น โดยที่เนื้อชนวนล้วนนั้นไม่ได้ผสมโลหะอื่นเป็นการนำชนวนเก่าที่กล่าวมาเอามาหลอมหล่อทั้งหมดครับ

ผิดถููกประการใดรบกวนผู้รู้มาเกลาแต่งให้สมบูรณ์ด้วยครับ
mail ตอบกลับเมื่อ 2014-12-24 19:19
มีก้านช่อหนุมานด้วยมั้ง  และเนื้อเงิน ก็มิใช่เงินให ...



เนื้อชนวนก็ผสมก้อนช่อของเนื้อเงินด้วยนะครับ และตาที่บอกเลยเนื้อเงินเป็นโลหะเงินของจตุคามรุ่นดังๆ
ในอดีตทั้งสิ้น เรียกได้ว่า แต่ละองค์ที่นำมาหล่อนั้นบอกชื่อไปต้องร้อง wow แน่นอน นี่ใส่หลายองค์
ล้วนๆ แค่ไม่ได้แจงว่ารุ่นไหนบ้างเท่านั้นเอง แต่รับรองว่ามูลค่ารวมแล้ว ...
รอเนื้อดินเผา  เพราะไม่ฉโลกกับเนื้อโลหะครับ อิอิ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้