ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 6193
ตอบกลับ: 6
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม กับ พญานาค

[คัดลอกลิงก์]
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม เป็นศิษย์รูปหนึ่งของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ... มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงปู่ชอบได้ธุดงค์ร่วมกับพระอาจารย์มั่น ท่านเล่าไว้ว่า

     “เราตามท่านพระอาจารย์มั่นไปปักกลดอยู่ริมบึงน้ำใหญ่แห่งหนึ่ง ในเขตป่าดงดิบ เราเดินสำรวจรอบๆ ปากบึง ได้พบความผิดปกติอย่างหนึ่ง ทั้งนี้ เพราะปกติแล้ว น้ำในบึงย่อมเป็นที่พึ่งพาอาศัยของเหล่าสัตว์ป่าทั้งหลาย เมื่อมีสัตว์มากินน้ำแล้ว ย่อมต้องทิ้งร่องรอยไว้ แต่ที่นี่ ทำไมไม่ปรากฏรอยเท้าสัตว์เลย...

     เราจึงได้กำหนดจิตตรวจดู ก็ทราบว่า พญานาคไร้คุณธรรมตนหนึ่ง ได้พ่นพิษครอบคลุมน้ำในบึงเอาไว้ ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ หากกินน้ำในบึงนี้แล้ว ย่อมถึงความสิ้นชีวิต ด้วยพิษอันร้ายกาจนั้น เราจึงเข้าไปบอกพระธุดงค์รูปอื่นๆ อย่าแตะต้องน้ำในบึงนี้ และได้ไปเรียนให้ท่านอาจารย์ทราบ... ท่านอาจารย์ก็บอกว่า “เธอพูดถูกต้องแล้ว ขอให้งดให้น้ำก่อน เราจะไปติดต่อกับพญานาคเอง”

     ต่อมาวันหนึ่ง ท่านอาจารย์เรียกเราไปบอกว่า "เธอไปบอกให้พระรูปอื่นใช้น้ำในบึงได้แล้ว” ซึ่งเราได้ทราบภายหลังว่า ท่านอาจารย์ได้ทรมานพญานาคจนหมดทิฐิ แล้วบอกว่า “ท่านใยจึงพ่นพิษลงมา หมายจะสังหารพระสงฆ์ผู้ทรงศีล มิรู้หรือว่าเป็นกรรมหนักถึงตกนรกอเวจี ท่านจงรีบไปถอนพิษออกเสียเถิด”

     พระยานาคจึงไปถอนพิษออกจนหมดสิ้น ... ต่อมาพญานาคนั้น ได้ชวนพวกพ้องบริวารมาฟังธรรมจากท่านอาจารย์ และถวายอารักขาแก่คณะพระธุดงค์ จนย้ายไปที่อื่น



     หลวงปู่ชอบ เมื่อคราวท่านนำหมู่คณะพระสงฆ์ธุดงค์ข้ามไปฝั่งลาว แล้วปักกลดอยู่ใกล้หมู่บ้านลาว ไม่ไกลจากแม่น้ำโขง ...หลังจากท่านฉันภัตตาหารแล้ว ชาวบ้านได้นำบาตรขอท่านไปล้าง และเทเศษอาหารลงไปในน้ำโขง

     ณ ขณะนั้น ท่านก็ได้ยินเสียง ตลิ่งพังครืนๆ พร้อมกับชาวบ้านที่อยู่ริมตลิ่ง วิ่งหน้าตื่นตกใจหนีมาหาท่าน.. ท่านกำหนดจิตตรวจดูก็รู้ทั่วทั้งหมด... พอชาวบ้านวิ่งมาถึง ก็เล่าให้ท่านฟังว่า

“น้ำในแม่น้ำโขงที่ใสๆ  อยู่ๆ ก็ขุ่นคลั่ก เหมือนมีอะไรมากวนน้ำจนน้ำเป็นน้ำวนใหญ่รุ่นแรง แรงหมุน ทำให้คลื่นน้ำมากระทบตลิ่ง จนตลิ่งพังทลายลง ถ้าวิ่งหนีไม่ทัน มีหวังจมลงไปในน้ำวนแน่ๆ”

     หลวงปู่ทราบแล้วว่า พญานาคในลำน้ำโขง มีความโกรธที่คนเหล่านั้นเอาน้ำพริก น้ำปลาร้าไปถูกตัวเขาซึ่งอยู่แถวนั้นพอดี เขาจึงใช้ลำตัวฟาดไปมาด้วยแรงฤทธิ์ ทำเอาน้ำวนและตลิ่งพัง.. หลวงปู่ชอบจึงบอกชาวบ้านว่า

“อย่าเอาน้ำพริกน้ำปลาร้า เศษกับข้าว ไปเทลงในน้ำอีกเด็ดขาด”

     ต่อมา มีพระรูปหนึ่งถือดี ไม่เชื่อฟังหลวงปู่ชอบ... วันหนึ่งแอบเอาเศษน้ำล้างบาตร ไปเทลงในแม่น้ำ ก็เกิดเหตุอาเพท น้ำหมุนวน ตลิ่งพัง จนต้องรีบวิ่งหนี แทบเอาชีวิตไม่รอด... หลังจากนั้น ทุกคน จงยอมเชื่อฟังแต่โดยดี

     เมื่อเข้าพรรษา หลวงปู่ชอบ ได้จำพรรษาอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ไม่ไกลแม่น้ำโขงนัก... คืนหนึ่งพญานาคตนนั้น ได้ขึ้นมาถวายความเคารพหลวงปู่ ที่ได้ห้ามคนไม่ให้ทิ้งเศษอาหารลงแม่น้ำ ทำให้น้ำสะอาด อยู่สบาย. นาคตนนั้น ส่วนหัวมานมัสการที่ปากถ้ำ ส่วนหาง ยังอยู่ที่ฝั่งน้ำโขงซึ่งห่างกันไกลเป็นกิโลเลยทีเดียว...

     หลวงปู่ชอบเล่าว่า

“เราพบว่า เขาสร้างกรรมไว้โดยไม่ตั้งใจ คือ เมื่อชาติก่อน เขาเป็นชายหนุ่มผู้มั่นในศีล๕ แต่วันหนึ่ง ถือวิสาสะว่าคุ้นเคย ได้ถือมีดของพระสงฆ์ไปใช้เป็นของส่วนตัว ด้วยกรรมนี้ เมื่อตายไป จึงมาเกิดเป็นพญานาค แม้แสดงฤทธิ์ได้ แต่อับวาสนาไม่ได้เป็นคน...”

......................................................................................

ที่มา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=40186
สาธุครับ
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2015-1-30 17:29 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงปู่ชอบ ฐานสโม
นิมิตเห็นพญานาคสองผัวเมียลำตัวเท่าต้นมะพร้าวที่ฝั่งลาว



หลวงปู่ชอบ ฐานสโม


หลวงปู่บุญพิน กตปุญโญ


จากประวัติของหลวงปู่บุญพิน กตปุญโญ ในพรรษาที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๐๒ ท่านพำนักจำพรรษาที่วัดป่านิโครธาราม บ้านหนองบัวบาน จังหวัดอุดรธานี พอออกพรรษาจึงกราบลา หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ เพื่อออกเดินทางตามหา หลวงปู่ชอบ ฐานสโม โดยตามไปที่วัดถ้ำผาบิ้ง จังหวัดเลย แต่ไม่เจอ จึงไปวัดถ้ำผาปู่ เจอ หลวงปู่หลุย จันทสาโร กราบเรียนถามหลวงปู่หลุย พอดีหลวงปู่หลุยจะไปหาหลวงปู่ชอบที่ฝั่งลาว หลวงปู่บุญพินจึงได้ติดตามไปพร้อมกับหลวงปู่หลุย แล้วพบกับหลวงปู่ชอบที่เมืองลาว และตั้งใจจำพรรษาที่เมืองลาว

แต่ระยะนี้เหตุการณ์บ้านเมืองในประเทศลาวไม่สงบ ทหารลาวไม่ให้พัก หลวงปู่ชอบจึงให้หลวงปู่บุญพิน กตปุญโญ กับ พระอาจารย์บัวคำ มหาวีโร เดินธุดงค์มาพักที่บ้านนายาว หมู่บ้านนี้เป็นบ้านร้างมีอยู่ ๕ หลังคาเรือน ระหว่างพักที่บ้านนี้ช่วงกลางคืนจะมีฝูงช้างผ่านมาทุกคืน และมีเสือร้องอยู่ใกล้ที่พัก มีคืนหนึ่งช้างหลงฝูงเข้ามาที่พักตัวหนึ่งไม่ยอมไป พระอาจารย์บัวคำจึงได้ออกมาจุดไฟไล่ พอช้างได้กลิ่นควันไฟก็หนีไป หลวงปู่บุญพินพักที่บ้านนายาวนี้ประมาณ ๑ เดือน จึงได้กลับไปหาหลวงปู่หลุยกับหลวงปู่ชอบ จากนั้นหลวงปู่ชอบได้พาธุดงค์ขึ้นไปทางเหนือ ไปพักที่บ้านน้ำมี่ ถ้ำผาร่มพร้าว  ในถ้ำนี้จะมีพระพุทธรูปโบราณมากมายจนหาที่นอนไม่ได้ เวลาจะนอนต้องใช้มือกวาดพระพุทธรูปออกก่อนแล้วจึงค่อยนอนได้ ขณะที่พักอยู่ในถ้ำแห่งนี้ หลวงปู่บุญพินได้ทำข้อวัตรปฏิบัติและทำสมาธิภาวนาตลอดทั้งวันทั้งคืน

   
เช้าวันหนึ่งขณะนำน้ำล้างหน้าและยาสีฟันถวายหลวงปู่ชอบ ท่านได้ถามว่า “เมื่อคืนนี้ท่านได้นิมิตอะไรไหม”  

หลวงปู่บุญพินตอบว่า “กระผมไม่ได้นิมิตอะไรเลยขอรับ กระผมก็เหมือนคนตาบอดนี่เอง”

หลวงปู่ชอบจึงพูดว่า เมื่อคืนนี้ได้นิมิตเห็นพญานาคสองผัวเมียลำตัวเท่าต้นมะพร้าว หัวพญานาคมาพาดที่ก้อนหินในถ้ำนี้ ส่วนหางนั้นอยู่ที่แม่น้ำโขง ตัวใหญ่มาก

หลวงปู่บุญพินเลยถามหลวงปู่ชอบว่า “หัวของพญานาค เหมือนที่เขาเขียนในรูปไหมขอรับ”  

หลวงปู่ชอบตอบ “ก็เหมือนกับในรูปนั้นแหละ”

หลวงปู่บุญพินถาม “แล้วเขาขึ้นมาทำไมขอรับ”

หลวงปู่ชอบตอบ “พญานาคขึ้นมากราบหลวงปู่เพราะมีความศรัทธาเลื่อมใส และได้เทศนาศีล ๕  ให้พญานาคฟัง” จากนั้นหลวงปู่ชอบได้ถามพญานาคว่า “ในใต้บาดาลมีแสงอาทิตย์ไหม”   

พญานาคตอบว่า “ในใต้บาดาลไม่มีแสงอาทิตย์ แต่มีแสงแก้วสว่างไสวตลอดทั้งกลางวันกลางคืน” พอหลวงปู่ชอบถามเสร็จ พญานาคก็กราบลา

เวลาพญานาคจะไปไม่เหมือนกับงู จะค่อยๆ ถอยหลังไหลลงแม่น้ำโขงแล้วหายไปเลย พอคืนต่อมา พญานาคได้ขึ้นมาหาหลวงปู่ชอบอีก ท่านได้เล่าให้หลวงปู่บุญพินฟังว่า เมื่อคืนนี้พญานาคขึ้นมาหาเหมือนคืนก่อน แต่คืนนี้เขาแปลงกายเป็นมนุษย์ผู้ชายกับผู้หญิง แต่งตัวเหมือนพระราชา ผู้ชายใช้ผ้าแดงคาดหัว ขึ้นมากราบหลวงปู่ชอบ หลวงปู่ชอบเลยถามว่า “พวกท่านมาจากไหน”

พญานาคสองผัวเมียตอบว่า “คืนก่อนยังมากราบหลวงปู่เลย”

หลวงปู่ชอบถาม “แล้วคืนนี้ทำไมพวกท่านเป็นมนุษย์มา”

พญานาคตอบ “พวกกระผมเป็นพญานาคมีอิทธิฤทธิ์สามารถแปลงกายเป็นอะไรก็ได้”

หลวงปู่ชอบถาม “สาเหตุที่ท่านเป็นพญานาคมาอาศัยอยู่ในบาดาลใต้ถ้ำนี้ เพราะเหตุอะไร”

พญานาคตอบ “เมื่อชาติก่อนพวกกระผมมีบ้านอยู่ใกล้ถ้ำนี้ แล้วถ้ำนี้ก็เป็นวัด และได้นำเอาเสียม  เอาจอบ เอามีดของวัดไปใช้แล้วไม่ได้ส่งคืน ถือเอาเป็นของเจ้าของ พอตายไปกรรมนั้นเลยให้ผลมาเกิดเป็นพญานาค เพื่อชดใช้กรรมที่ได้ก่อไว้ใต้บาดาลใต้แม่น้ำโขงนี้” ต่อจากนั้นหลวงปู่ชอบได้เทศนาอบรมให้รักษาศีลให้ตั้งอยู่ในธรรม พอหลวงปู่ชอบเทศนาเสร็จ พญานาคได้กราบลาหลวงปู่ชอบกลับไป

มีวันหนึ่งหลวงปู่ชอบได้เตือนพระเณรว่า เวลาล้างบาตรอย่าเอาน้ำล้างบาตรสาดลงไปในฝั่งแม่น้ำ เช้าวันนั้นออกบิณฑบาตได้ข้าวปลาแห้งจำนวนมาก พอกลับถึงวัด หลวงปู่บุญพินให้เณรเอาไม้ไผ่มาหลาม คือเอาน้ำ ผัก ปลา ใส่ลงไปในกระบอกไม้ไผ่แล้วนำไปตั้งไฟ พอเสร็จแล้วนำมาถวายหลวงปู่หลุยและหลวงปู่ชอบ พอฉันเสร็จหลวงปู่บุญพินได้นำบาตรไปล้างที่ท่าน้ำ และได้เห็นฝูงปลาเยอะแยะจึงพากันสาดข้าวให้ปลากิน พอล้างบาตรเสร็จกลับขึ้นมาในถ้ำ ขณะเช็ดบาตรได้ยินเสียงดังสนั่นในริมฝั่งน้ำ จากนั้นหลวงปู่หลุย หลวงปู่ชอบ หลวงปู่บุญพิน พร้อมพระเณรได้ออกมาดู เห็นริมฝั่งแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นชายหาดพังทลายลงเหมือนกับใช้รถดันชายฝั่งเสียงสนั่นหวั่นไหว

ขณะที่ยืนดูอยู่นั้นหลวงปู่ชอบได้กล่าวขึ้นว่า “ใครทำอะไรในท่าน้ำนั้น”

หลวงปู่บุญพินตอบ “พวกกระผมพระเณรได้ไปล้างบาตร ได้เห็นฝูงปลาก็เลยสาดข้าวก้นบาตรให้มันกิน”

หลวงปู่ชอบจึงกล่าวว่า “ในสถานที่นี้เป็นที่อาศัยของพญานาค แล้วพวกนี้ไม่ชอบสกปรก ในเมื่อพระเณรได้ทำสกปรกลงไปในน้ำ พวกเขาเลยโกรธ เขาเลยแสดงอภินิหารให้ดู”


จากนั้นหลวงปู่ชอบก็เดินไปริมฝั่งแม่น้ำโขง แล้วยืนกำหนดจิตชั่วระยะหนึ่งเหตุการณ์ก็สงบลงเป็นปกติ หลวงปู่ชอบก็บอกพระเณรให้เก็บบริขารเพื่อกลับมาวัดศรีพนมมาศ อำเภอเชียงคาน ออกจากอำเภอเชียงคานมาเมืองเลย หลวงปู่ชอบบอกให้หลวงปู่บุญพินไปพักที่วัดป่าอัมพวัน บ้านไร่ม่วง ตำบลน้ำหมาน อำเภอเมือง จังหวัดเลย เพราะหลวงปู่ชอบกับ หลวงปู่ซามา อาจุตฺโต จะไปโคราช ต่อมาหลวงปู่บุญพินได้จากวัดป่าอัมพวันไปพำนักจำพรรษาที่วัดป่าม่วงไข่ ตำบลสานตม อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย กับ หลวงปู่ลี กุสลธโร

ก่อนเข้าพรรษา หลวงปู่ลี กุสลธโร พาเที่ยวธุดงค์จนถึงเดือน ๕ แล้วย้อนกลับมาพักที่บ้านไร่ม่วงอีก จนสงกรานต์เสร็จ จึงไปหาหลวงปู่ชอบที่บ้านโคกมน ที่วัดถ้ำผาดิน ที่บ้านนี้ชาวบ้านอยากสร้างวัด ผู้ใหญ่ถันพร้อมกับชาวบ้านได้กราบปรึกษาหลวงปู่ชอบ หลวงปู่ชอบจึงให้หาที่ ชาวบ้านเลยถวายที่ให้หลวงปู่ชอบสร้างวัด หลวงปู่บุญพินเล่าว่าชาวบ้านโคกมนนี้ ชาวบ้านแบ่งแยกเป็นหลายฝ่าย ส่วนมากนับถือผีปู่ตา มีวันหนึ่งหลวงปู่ชอบให้ผู้ใหญ่บ้านไปประกาศให้ชาวบ้านมารับไตรสรณคมน์ ชาวบ้านส่วนหนึ่งไม่ยอมรับเพราะชาวบ้านนับถือผีปู่ตา  

วันหนึ่งหลวงปู่ชอบให้ผู้ใหญ่บ้านไปชักชวนคนเหล่านั้นอีก ถ้าไม่มาจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น ชาวบ้านจึงพากันไปรับไตรสรณคมน์พร้อมกันทั้งหมด  ต่อมาหลวงปู่ชอบพาหลวงปู่บุญพินกับพระเณร พร้อมด้วยชาวบ้าน ไปรื้อศาลปู่ตา พอไปถึงหลวงปู่ชอบได้กล่าวว่า  ต่อไปนี้ชาวบ้านจะไม่ถือผีปู่ตาอีก และขอให้สิ่งที่สิงสถิตย์ในที่นี้ได้ออกไปเสีย จากนั้นหลวงปู่ชอบจึงบอกให้ชาวบ้านรื้อศาลผีปู่ตา แต่ไม่มีใครกล้ารื้อ  หลวงปู่ชอบเลยให้หลวงปู่บุญพินกับพระเณรเป็นคนรื้อก่อน พอชาวบ้านเห็นดังนั้นก็เลยเข้าไปรื้อช่วย แล้วได้นำไม้ที่รื้อไปทำถาน (ส้วม) สำหรับพระเณรใช้  หลังจากรื้อศาลผีปู่ตาแล้วก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น

ในพรรษาที่ ๖ พ.ศ. ๒๕๐๓ หลวงปู่บุญพิน กตปุญฺโญ ท่านพำนักจำพรรษาที่วัดป่าสัมมานุสรณ์ (วัดเหนือ) บ้านโคกมน จังหวัดเลย กับ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ในระหว่างพรรษาได้ฟังธรรมจากหลวงปู่ชอบ และได้ตั้งใจทำสมาธิภาวนาตลอดพรรษา วันหนึ่งหลวงปู่ชอบกล่าวกับหลวงปู่บุญพินว่า ในคืนนั้นท่านได้นิมิตเห็นเทพทั้งหลายมากมายมาหาท่าน เทพทั้งหลายแบ่งเป็นชั้นๆ มีชั้นสูง ชั้นกลาง และชั้นต่ำ

หลวงปู่ชอบจึงกำหนดจิตถามเทพทั้งหลายว่า “พวกท่านมาหาเราทำไม”

เทพทั้งหลายได้ตอบหลวงปู่ชอบว่า “พวกเราได้ลงมากราบหลวงปู่และอนุโมทนาในการสร้างวัดในครั้งนี้” แล้วก็จากไป ต่อจากนั้นหลวงปู่ชอบได้แก้นิมิตให้หลวงปู่บุญพินฟังว่า ต่อไปวัดป่าสัมมานุสรณ์ (วัดเหนือ) แห่งนี้จะมีความเจริญรุ่งเรือง และจะมีคณะศรัทธาญาติโยมจากทั่วทุกสารทิศมาทำบุญ
  



ที่มา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=49053

สาธุครับ ครูบาอาจารย์ทางสายพระป่า สายอีสาน หลายๆ รูป ล้วนมีประสบการณ์เกี่ยวกับพญานาคมากมายนับไม่ถ้วน สมแล้วที่พญานาคนั้น มีความใกล้ชิดมนุษย์มากๆ
พระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
วัดป่าโคกมน บ.โคกมน ต.ผาน้อย อ.วังสะพุง จ.เลย

พบพญานาคครั้งแรกที่เมืองเชียงคาน

ต่อจากเรื่องที่องค์ท่านหลวงปู่ชอบท่านเล่าให้ฟังนี้ ได้กราบเรียนถามองค์ท่านว่าหลวงปู่เห็นพญานาคครั้งแรกอยู่ที่ไหน หลวงปู่ชอบท่านตอบว่า ท่านเห็นพญานาคครั้งแรกที่แม่น้ำโขงเมืองเชียงคาน ตรงท่าน้ำวัดท่าแขก(ปากห้วยตกโขง) พญานาคเขามาแสดงตนให้ท่านเห็นด้วย " ตาเนื้อ " ตอนที่ท่านกำลังสรงน้ำที่ท่าน้ำแห่งนี้ ตอนเวลาประมาณบ่ายสี่โมงเย็น..

ทีแรกท่านเข้าใจว่าเป็นท่อนไม้ที่ลอยมากับลำน้ำโขง แต่เมื่อท่านมองดูแล้ว มันไม่ใช่ขอนไม้ตามที่ท่านเข้าใจในเบื้องต้น เพราะสิ่งที่ท่านเห็นนั้นมีสัณฐานลักษณะสีดำมะเลื่อมคล้ายงูขนาดใหญ่มีความยาวประมาณเกือบ ๑๐๐ เมตร ถึงน้ำจะไหลแรงแค่ไหน แต่สิ่งที่ท่านเห็นนี้กับไม่เคลื่อนไหวไหลไปตามสายน้ำเลย แล้วสิ่งนี้ก็ค่อยๆลอยเคลื่อนตัวในลักษณะขวางกับลำน้ำเข้ามาทางที่ท่านกำลังสรงน้ำอยู่..

พอเข้ามาใกล้ท่านประมาณ ๒๐ วาก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหวไปไหนอีก บางครั้งก็จมน้ำแล้วก็ค่อยๆลอยขึ้นมาบนผิวน้ำสลับไปสลับมาแบบนี้อยู่หลายครั้ง ยิ่งเมื่อท่านเพ่งมองดูนานๆแล้วท่านรู้ว่าสิ่งที่ท่านเห็นนี้ไม่ใช่วัตถุหรือขอนไม้อย่างแน่นอน เพราะลักษณะการเคลื่อนไหวไปมานั้นเป็นเหมือนลักษณะของสิ่งมีชีวิต ยิ่งมองดูสัณฐานลักษณะแล้ว ยิ่งไม่ต่างอะไรกันกับงู..

ถึงตอนนี้หลวงปู่ชอบท่านนึกขึ้นมาในใจว่า นี่หรือคือพญานาค เหมือนกับว่าเขาจะรับรู้ในความคิดของท่าน หลังจากท่านยืนตะลึงมองดูอยู่ได้ไม่กี่อึดใจ ปรากฏมีน้ำพุ่งขึ้นไปบนอากาศเหมือนกับน้ำพุ เหมือนมีอะไรบางอย่างที่อยู่ใต้น้ำโขงทำให้น้ำเกิดพุ่งขึ้นมา แล้วสิ่งที่ท่านเห็นนี้ก็จมหายลงไปในสายน้ำ..

ตกกลางคืนขณะที่ท่านภาวนาอยู่ ได้มีบุรุษท่านหนึ่งแต่งกายภูมิฐานเหมือนกับเจ้านายทางเมืองลาวสมัยก่อนมาปรากฏตัวให้ท่านเห็นในนิมิต เขาบอกกับท่านว่าเขาเป็นพญานาคที่เฝ้าทรัพย์สมบัติของพระศาสนาอยู่ที่วัดแห่งนี้ เขาดีใจที่หลวงปู่เสาร์พาพระเณรและชาวบ้านบูรณะศาสนะสถานที่นี่ เขาดีใจที่ได้เห็นพระเณรผู้ปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรมเข้ามาบำเพ็ญสมณะธรรมอยู่ที่วัดแห่งนี้อีกครั้งหลังจากที่วัดนี้ถูกทิ้งให้ร้างมาเกือบร้อยปี..

ท่านถามพญานาคตนนี้ว่า ใช่ท่านหรือเปล่าที่แสดงตนให้อาตมาเห็นเมื่อตอนบ่าย เขาบอกท่านว่า เขาเองที่แสดงตนให้ท่านเห็น เหตุที่แสดงตนให้ท่านเห็นด้วย " ตาเนื้อ " นั้นเพราะข้าพเจ้าอยากจะให้ท่านได้รับรู้ถึงภพภูมินี้ว่า " มีอยู่จริง " ตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ และเพื่อแสดงออกในการอนุโมทนาบุญที่พระคุณเจ้าและคณะได้มาบูรณะสมบัติของพระพุทธศาสนาในวัดแห่งนี้ ข้าพเจ้าจึงแสดงอนุโมทนาให้ท่านเห็นโดยการ " พ่นน้ำ " ขึ้นบนอากาศเพื่อแสดงออกถึงการอนุโมทนา..

ท่านถามพญานาคตนนี้ว่าท่านมีชื่อว่าอะไร เขาตอบท่านว่าข้าพเจ้ามีนามว่า " อิสโรนาคราช " มีวิมานบาดาลอยู่ที่ " ปากแม่น้ำเลย " ไหลลงแม่น้ำโขง ข้าพเจ้าเป็นเจ้าเมืองบาดาลอยู่ที่นี่..

เมืองของพญานาคอิสโรนั้นหลวงปู่ชอบท่านว่า เมืองนี้ใหญ่กว่าตัวอำเภอเชียงคานมาก อิสโรนาคราชเขามีอายุมากถึง ๑๒,๐๐๐(หนึ่งหมื่นสองพันปี) บรรดาศักดิ์ของอิสโรนาคราชนั้นหากเปรียบเหมือนกับศักดินาของข้าราชการบนเมืองมนุษย์ " อิสโรนาคราช " มีตำแหน่งเทียบเท่ากับตำแหน่งของ " นายอำเภอ "

สาธุค่ะ
สาธุสาธุ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้