ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

หลวงปู่คำคะนิง จุลมณี บุกเมืองพญานาค

[คัดลอกลิงก์]
21#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-12-11 20:07 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อาจารย์คำดี
“คืออย่างนี้ หลวงปู่ลืมเล่าให้ฟังตอนแรก ทีแรกนั้นตอนจะได้ไปถ้ำมืด เพื่อค้นหาถ้ำเมืองพญานาคใต้บาดาล ท่านอาจารย์คำดี บ้านแก่งยาง พาพวกชาวบ้านจากจังหวัดศรีสะเกษมาไหว้หลวงปู่ มากันเต็มสองคันรถเลย”
“พวกอาจารย์คำดีอยากได้พระเครื่องของโบราณในถ้ำมืดไปบูชา แล้วก็มีพวกฆราวาสที่มาด้วย เป็นนักวิชาอาคมเก่งไสยศาสตร์ เขาอยากค้นหาเหล็กไหลในถ้ำมืดด้วย”
“ทีนี้ก็อยากจะให้หลวงปู่พาไปถ้ำมืด ลำพังพวกพระพวกโยมที่มาจากศรีสะเกษกลัวจะแพ้ภัยตัวเองเป็นอันตราย เพราะข่าวเล่าลือว่าถ้ำมืดศักดิ์สิทธิ์ เฮี้ยนหลาย เป็นเมืองลับแลมีงูใหญ่ตัวเท่าต้นตาลให้คนเห็นอยู่บ่อย ๆ พวกเขาหวังพึ่งหลวงปู่ในเรื่องนี้ ว่าคงจะช่วยคุ้มครองให้เขาได้”
“หลวงปู่ไม่อยากขัดศรัทธาก็เลยไป เพราะได้ตั้งใจไว้อยู่แล้วเหมือนกัน อยากจะไปพิสูจน์ความจริงเรื่องถ้ำมืดนี้”
“พวกที่ไปด้วย ทำไมไม่เข้าไปเที่ยวเมืองพญานาคกับหลวงปูละครับ”
“เขากลัวกัน ไม่กล้าเข้าไปด้วยกับหลวงปู่น่ะซี พวกเขาทำพิธีเซ่นสรวงสักการะเจ้าเขาเจ้าถ้ำกัน อ้อนวอนขอพระเครื่องพระบูชาของโบราณ และขอเหล็กไหลด้วย”
“หลวงปู่ไม่ยุ่งด้วยกับพิธีของเขา หลวงปู่ใช้สมาธิอธิษฐานธรรมตรวจสอบ”
“ทีนี้พวกเขาเกิดกลัวกันขึ้นมาเพราะมีนิมิตอะไรบางอย่างในพิธีของเขา รู้สึกว่าเขาจะพบนิมิตเป็นงูใหญ่น่ากลัวมาก พอหลวงปู่จะเข้าถ้ำลึก พวกเขาไม่ยอมเข้าไปด้วย หลวงปู่ก็ฉุดแขนพระอาจารย์คำดีจะให้มุดเข้ารูถ้ำไปด้วยกัน พระอาจารย์คำดีกลัวมาก ไม่ยอมเข้าท่าเดียว บอกว่าจะคอยอยู่ข้างนอกถ้ำมืด”
“เมื่อพวกเขากลัวกันไม่ยอมเข้าไปด้วย หลวงปู่ก็ไล่ให้พระอาจารย์คำดีพาญาติโยมทั้งหมดหนีไปให้ห่างไกล อย่าอยู่ใกล้ถ้ำมืดเป็นอันขาด เพราะหากมีอะไรออกมาแปลก ๆ เช่น พญางูใหญ่ออกมา จะทำให้พวกเขาตกใจกลัว อาจพากันวิ่งหนีด้วยความเสียขวัญตกเหวตกหน้าผาตายกันหมด ”
“พวกเข้าก็เชื่อ พากันรีบหนีออกจากถ้ำมืดไปคอยหลวงปู่อยู่ตั้งไกล สามวันให้หลัง เมื่อหลวงปู่กลับออกมาพวกเขาก็ยังคอยอยู่”
“หลวงปู่ไม่ได้อะไรออกมาฝากพวกพระอาจารย์คำดีบ้างหรือครับ อย่างเช่น พระเครื่องของโบราณ”
“ไม่มี......หลวงปู่ไม่เห็นมีพระเครื่องที่เขาอยากได้กัน อีกอย่างไม่กล้าหยิบเอาอะไรออกมา เพราะได้บอกเจ้าถ้ำเจ้าเขาแล้วว่า ไม่ต้องการอะไร อยากจะเข้าไปดูชมเพื่อเป็นวาสนาบุญตาเท่านั้น”
เหล็กไหล
คุณสิทธา เชตวัน และคุณทองทิว สุวรรณทัต กำลังนมัสการถามเรื่อง เมืองพญานาค และเมืองนรก จากหลวงปู่คำคะนิง ที่ถ้ำคูหาสวรรค์
“เหล็กไหลมีไหมครับ”
“หลวงปู่ไม่ได้สนใจเรื่องนี้”
“เหล็กไหลเป็นของมีจริงไหมครับ”
“เป็นธาตุอย่างหนึ่งมีจริง หลวงปู่เคยพบในถ้ำบ่อย ๆ เหล็กไหลเป็นของลึกลับศักดิ์สิทธิ์ มีพวกยักษ์รักษา ยักษ์นี้เป็นเทวดาพวกหนึ่งมีฤทธิ์มาก หลวงปู่เป็นพระไม่อยากได้ เพราะไม่รู้จะเอาไปทำไม”
“บางทีหลวงปู่นั่งบำเพ็ญภาวนาอยู่ในถ้ำ พวกยักษ์เขาลองใจให้เหล็กไหลหล่นลงมาใส่ในบาตรดังป๊อก หลวงปู่หยิบดูรู้ว่าเป็นเหล็กไหลก็พูดดัง ๆ บอกกล่าวว่า เอากลับคืนไปเถอะ ไม่อยากได้ เพราะเหล็กไหลหรือสิ่งกายสิทธิใด ๆ ไม่สามารถทำให้พ้นทุกข์ บรรลุมรรค ผล นิพพานได้”
“พวกยักษ์เขาก็เอาเหล็กไหลกลับคืนไป รู้สึกเขาพอใจมาก อนุโมทนาสาธุการกันในปฏิปทาของหลวงปู่ที่แน่วแน่มั่นคงในพระธรรม ไม่เกิดกิเลสความอยากได้ในสิ่งอื่นใด นอกจากพระธรรมอย่างเดียว”
“เรื่องเหล็กไหลนี้แล้วแต่วาสนาบารมี ถ้าใครมีวาสนาบารมีก็ได้เอาง่าย ๆ พวกที่ใช้วิชาอาคมแก่กล้าไปตัดเอาเหล็กไหลมาได้ ส่วนมากมักจะแพ้ภัยตัวเองในภายหลัง ถ้าเหล็กไหลไม่หนีกลับ ก็อาจมีอันพบกับความเสื่อมทรามวิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งจนได้”

22#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-12-11 20:07 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แค่นี้ก่อน
หลวงปู่คำคะนิงเพิ่งอยู่ในระยะพักฟื้นหลังป่วยหนัก ท่านจึงไม่สามารถพาคณะของเราไปพิสูจน์เมืองพญานาคที่ถ้ำมืดได้ แต่ท่านได้รับปากว่า เมื่อร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ดีแล้ว หากคณะของเราไปนมัสการท่านอีก ท่านจะพาไปพิสูจน์เมืองบาดาลของพญานาคให้เห็นจริงเห็นจัง
ปัญหามีอยู่ว่า คณะของเราจะมีจิตใจกล้าหาญ กล้าเสี่ยงความตายลงไปในพิภพบาดาลกับท่านหรือไม่เท่านั้น เพราะการลงไปจะต้องเผชิญกับอากาศที่ไม่มีสำหรับหายใจ ต้องย่ำวนเวียนอยูในถ้ำเป็นเวลาหลายวันไม่มีกำหนดอาจหลงทางอดอาหารตาย
ประการสำคัญที่สุดก็คือ จะต้องมีศีลบริสุทธิ์ และได้สมาธิจิตอยู่ในขั้นควบคุมจิต ประคองจิตรักษาจิตได้ ถ้าขาดสมาธิก็ขาดกำลังใจ อาจตกใจหวาดกลัวจนเสียสติกลายเป็นบ้าเอาได้ง่าย ๆ
เพราะการเข้าไปอยู่ในถ้ำลึกลับใต้พื้นพิภพเช่นนั้น เป็นความเงียบสงัดเหมือนเราท่านเข้าไปนั่งอยู่ในอุโมงค์เก็บศพ ประดุจหนึ่งเราท่านเป็นคนตายแล้ว ร่างกายไม่สามารถจะเป็นเครื่องป้องกันภัยอันตรายใด ๆ ได้เลย ถึงมีอาวุธปืนทันสมัยไม่แน่ว่าจะป้องกันอันตรายได้ เพราะในถ้ำลึกลับอาถรรพณ์เช่นนั้น จะมีภัยอันตรายอะไรบ้างที่เราไม่รู้ได้และป้องกันไม่ได้ เราไม่มีทางล่วงรู้ได้เลย
อาวุธเครื่องป้องกันอันตรายมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นคือ จิตบริสุทธิ์ มีเมตตาไม่ปรารถนาเบียดเบียนส่ำสัตว์ใด ๆ ให้เดือดร้อนลำบาก จะต้องแผ่เมตตาอยู่ตลอดเวลา มีกำลังสมาธิจิตเข้มแข็งควบคุมตนเองได้เฉียบขาด
พร้อมที่จะ “ตาย” ได้ตลอดเวลา ไม่อาลัยใยดี หากเป็นคราวเคราะห์กรรมส่งผล แต่ถ้ายังไม่ถึงคราวเคราะห์กรรม“พระธรรม” ประจำใจที่เราปฏิบัติอยู่ ย่อมคุ้มครองป้องกันภยันตรายให้เอง
ใคร่ขอเรียนว่า เรื่องเหล่านี้ ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งเชื่อ และก็อย่าเพิ่งปฏิเสธ ให้ช่วยกันค้นคิดหาเหตุผลพิสูจน์ออกมา เพื่อเป็นวิทยาทานสำหรับอนุชนรุ่นหลัง
ถ้าสิ่งเร้นลับเหล่านี้ไม่มี จงพิสูจน์ออกมาให้ได้ว่า เพราะเหตุใดมันถึงไม่มี

23#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-12-11 20:09 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ลองกับเสือ
หลวงปู่คำคะนิงเคยเผชิญหน้ากับเสือ ช้างและสัตว์ป่าดุร้ายมามาก สัตว์เหล่านี้จะหลีกหนีไปไม่คุกคามข่มขู่แต่อย่างใต
แต่มีอยู่ครั้งเดียวเท่านั้น ที่ถูกเสือคุกคามทำร้ายเอาถึงเลือดตกยางออก แต่ท่านถือว่าเป็นกรรมเก่าที่จะต้องรับเอาไว้ ท่านจึงไม่ถือสาขุ่นเคืองเสือตัวนั้น
หลวงปู่คำคะนิงเล่าว่า
“อาตมาจำพรรษาอยู่หลายถ้ำจำไม่ไหว มันมากถ้ำด้วยกัน ภูอีด่าง ภูข้อง ภูผาหมอน เวินบึก คันไฮ นาเรินคำมะไร ลานหม้อขาง แดนเสือ ดงช้าง อาตมาเคยอยู่มาแล้วทั้งนั้น ไม่เคยมีเรื่อง”
“วันที่จะมีเรื่องนั้น อาตมาธุดงค์มาจากภูปัง วันนี้เป็นเวลากลางวัน อาตมานั่งพักอยู่กลางลานดินในป่าโปร่ง ได้ยินเสียงเสือโคร่งมันร้องคำรามดังกระหึ่ม”
“อาตมาก็แปลกใจที่เสือมันออกหากินในป่าโปร่ง ซึ่งแถวนั้นไม่มีสัตว์ป่า พอที่จะให้มันล่า เพราะอยู่ใกล้หมู่บ้านคน อาตมาก็เหลียวมองไปทางเสียงมันร้อง”
“มันเป็นเสือโคร่งตัวใหญ่ประมาณ 9 ศอก ตัวมันอ้วนกลมใหญ่ไม่ใช่เสือผอม แสดงว่ามันเป็นเสือดุร้ายหากินเก่งบ่อดอยาก ”
“พอเห็นอาตมาเหลียวมองไปสบตามันพอดี เสือตัวนั้นก็หมอบลงทันที อาตมาก็หันหน้าไปเผชิญมัน”
“แต่อาตมาหลับตาลง หลับไม่มิดนะ หรี่ ๆ ตาคอยดูซิว่ามันจะทำอย่างไร”
“ขณะเดียวกัน อาตมาก็กำหนดลมหายใจ เดินลมเข้าว่าพุท เดินลมออกว่าโธ คือเจริญภาวนาพุทโธ ๆ ๆ นั่นแหละ”
“พอเห็นอาตมานั่งหลับตาลง มันก็เดินเข้ามาส่งเสียงขู่คำรามดังฮึ่ม ๆ อาตมาก็หรี่ตาดู ในใจนั้นไม่ได้นึกกลัวเลย”
“เป็นแต่เพียงสงสัยในจริตกิริยาของเสือตัวนี้ว่า มันจะเอายังไง อาตมาก็เจริญภาวนาอานาปานสติไปเรื่อย ๆ เป็นปรกติ”
“เพราะคำภาวนาว่า พุทโธนี้เป็นพระคาถาศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เป็นคาถารวบยอค คือพระธรรมแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ ย่อลงแล้วมารวมอยู่ที่ พุทโธ ตัวเดียวเท่านั้น”
“เสือสางคางแดง ภูตผีปิศาจและสัตว์ร้ายทุกชนิดในป่ากลัวพระพุทโธอย่างที่สุด”
“เสือโคร่งใหญ่ตัวนั้น พอมันเข้ามาใกล้ มันก็หยุดยืนจังก้าอยู่ตรงหน้า พออาตมาลืมตาขึ้นเผชิญมัน คือจ้องนัยน์ตามันอย่างเต็มที่ มันก็รีบหมอบลงทันที อาตมาก็นึกขำอยู่ในใจ จึงหรี่ตาลงอีกแอบดูอยู่”
“พอเห็นอาตมาหลับตาลง มันก็เดินอ้อมร่างอาตมารอบหนึ่ง ส่งเสียงขู่คำรามอยู่เรื่อย ๆ ”
“แล้วมันก็หยุดลง ใช้หางแหย่มาที่เอวข้างซ้ายอาตมา มันทำขยุกขยิกคล้ายคนเอามือมาจี้สีข้างอย่างนั้นแหละ”
“อาตมาจั๊กจี้จนเกือบหัวเราะออกมา แต่ข่มใจยั้งปากไว้ได้ทัน เสือตัวนี้มันเล่นพิเรนแท้ ๆ อาตมาก็พยายามวางเฉย กำหนดลมหายใจเข้าออกพุทโธ ๆ ไปเรื่อย ๆ ”
“ดูมันไป ไม่อยากจะใช้กระแสจิตบังคับอะไรมันให้อยู่ในอำนาจของเรา ปล่อยมันทำไปตามสบาย ว่างั้นเถอะ มันก็ได้ใจใหญ่ เดินอ้อมเอาหางมาแหย่เอวด้านขวาอีก”
“เมื่อเห็นอาตมานั่งนิ่งเฉยเป็นขอนไม้ ไม่ไหวติง ไม่จั๊กจี้ดิ้นรนหวั่นไหว มันก็เดินอ้อมมาหยุดตรงหน้าอาตมา แล้วส่งเสียงคำรามดังสนั่นปานแก้วหูจะแตก คล้ายมันจะโกรธนั่นแหละที่เอาชนะตบะของอาตมาไม่ได้”
“มันเลยหันหลังให้เอาตีนหลังทั้งสองข้างตะกุยดินตะกุยก้อนหินใส่อาตมา ก้อนหินขนาดเขื่องก้อนหนึ่งกระเด็นมาถูกหัวคิ้วอาตมาแตก เลือดไหลออกมาอาบหน้าแดงฉานทีเดียว แล้วเสือตัวนั้นก็กระโดดเข้าป่าหนีไป”
“อาตมาเจ็บปวดมาก แผลรู้สึกว่าจะลึกถึงกระดูก แต่อาตมาก็ไม่ได้นึกโกรธเคืองมันแต่อย่างใด ถือว่ามันเป็นเจ้ากรรมนายเวรติดตามมาทวงหนี้กรรม ซึ่งอาตมาก็ต้องยอมรับเอาไว้แล้วแผ่เมตตาจิตส่งไปให้มัน”
“อโหสิกรรมให้มัน ขอให้กรรมเวรหมดสิ้นกันเพียงแค่นี้ ในชาตินี้ อาตมาไม่คัดเลือด นั่งอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้เลือดมันหยุดไหลไปเอง แล้วจึงไปล้างหน้า”
ในขณะที่เสือส่งเสียงขู่คำราม ใช้หางแหย่จั๊กจี้สีข้างอยู่นั้น ถ้าหลวงปู่คำคะนิงทนไม่ไหวส่งเสียงหัวเราะออกมาหรือเขยึ้อนเคลื่อนไหว เสือจะทำประการใด
หลวงปู่คำคะนิงให้คำตอบว่า
“ถ้าเราแสดงอาการหวาดกลัวหรือจั๊กจี้ เคลื่อนไหวส่งเสียงหัวเราะออกมา จะถูกเสือโผนเข้าตะครุบขบกัดกินทันที สัญชาตญาณของเสือจะเป็นเช่นนั้น เพราะมันคิดว่าคนจะต่อสู้ทำอันตรายมัน”
“แต่ตามปกตินั้น แม้แต่คนนอนหลับอยู่ในป่า เสือมันพบเข้ามันก็ขบกัดลากเอาไปกินก็เคยมี”
“ในกรณีของอาตมานั่งนิ่งๆ ไม่ไหวติง ไม่สนใจที่มันยั่วยุ แสดงว่ามันลองใจดู มันรู้ด้วยว่าอาตมาเป็นพระผู้เจริญศีลภาวนา ไม่เป็นภัยอันตรายกับสัตว์ใด ๆ มันเลยไม่ขบกัดกิน”
“แต่ที่มันตะกุยก้อนหินใสหน้าอาตมาจนแตกเลือดไหลนั้นสันนิษฐานได้เป็นสองกรณี”
“หนึ่งเป็นเพราะเสือกับอาตมามีกรรมเก่าพัวพันกันมา”
“สองอาจเป็นเพราะสันดานของเสือมันดุร้ายชอบเบ่ง ถือว่ายิ่งใหญ่เหนือสัตว์ป่าใด ๆ เวลามันลงกินน้ำที่ไหน มันก็จะหันหลังตะกุยดินใส่น้ำให้ขุ่นหลังจากมันกินน้ำอิ่มแล้ว”
“เพื่อแสดงนิสัยพาลของมันคือกลั่นแกล้งสัตว์อื่นที่จะลงกินน้ำทีหลัง มันตะกุยหินใส่หน้าอาตมาอาจเป็นเพราะมันโกรธมันเบ่งใส่ก็ได้”
หลวงปู่คำคะนิง สร้างพลังจิต กระทำสมาธิภาวนา ด้วยการเจริญอานาปานสติเป็นมาตรฐาน คือการเดินลมเข้า - ออก ภาวนาพุทโธนั่นเอง
“การฝึกจิต ต้องฝึกอานาปานสติก่อน อานาปานสติเป็นกรรมฐานกองใหญ่และยากที่สุด”
“กรรมฐาน 40 กอง อานาปานสติสำคัญที่สุด ฝึกยากที่สุด”
“ถ้าใครได้กรรมฐานอานาปานสติแล้ว กรรมฐานอื่น ๆ ทำได้ง่ายมาก หากใครไม่ได้อานาปานสติเสียอย่างเดียว กรรมฐานอื่น ๆ ก็ไม่มีความหมาย”
“ถ้าใครมาบอกว่า เขาไม่ได้อานาปานสติ แต่เขาได้กรรมฐานกองอื่น ๆ อีก 39 กอง อันนี้อย่าไปเชื่อ เพราะเชื่อไม่ได้”
“เราจะเล่นกสิณ 10 อสุภะ 10 อนุสสติ 10 และอาหาเรปฎิกูลสัญญา จตุธาตุวัฏฐาน หรืออะไรก็ตาม ถ้าไม่ใช้อานาปานสติควบคู่ไปด้วยแล้วไม่มีทางจะได้ผล”
“เพราะอานาปานสติเป็นกรรมฐานขั้นพื้นฐานใหญ่ที่สุดเป็นตัวนำของกรรมฐานทั้งหมด”
หลวงปู่คำคะนิงกล่าว ดังนั้นท่านจึงเจริญภาวนากำหนดลมหายใจเข้าออกหรืออานาปานสติเป็นสุขวิหารธรรมอยู่เสมอ

24#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-12-11 20:10 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เงาจิต
หลวงปู่คำคะนิงท่านเล่าให้ฟังถึงเรื่องโลกวิญญาณ คือโลกหลังความตาย อันเป็น “โลกทิพย์” หรือ “ทิพยภูมิ”จะเรียกว่าปรโลกได้ทั้งนั้น
หลวงปู่คำคะนิงเล่าว่า
หลังจากออกพรรษาแล้วปีพ.ศ. 2523 หลวงปู่คำคะนิง ยังคงอยู่ที่ถ้ำคูหาสวรรค์ ริมฝั่งโขงอำเภอบ้านด่าน จังหวัดอุบลราชธานี
ท่านตั้งใจจะเข้าฌานสมาบัติสัก 15 วันเพื่อเป็นการแผ่กุศลอานิสงส์สนองความดีของทายกทายิกาผู้สงเคราะห์ท่านตลอดมาในฤดูกาลพรรษา
ฉะนั้นหลวงปู่คำคะนิงจึงประกาศสั่งทายกทายิกาไว้ มิให้ขึ้นมาทำบุญตักบาตรหรือรบกวนในระหว่าง 15 วันที่ท่านเข้าฌานสมาบัติอยู่นั้น แต่ให้ขึ้นมาทำบุญตักบาตรได้ในวันที่ 16
หลวงปู่คำคะนิงเคยบำเพ็ญเพียรภาวนาอดอาหาร 7 วันและ 15 วันมาตั้ง 40 ปีแล้วจนร่างกายเคยชินถือเป็นเรื่องธรรมดา ร่างกายไม่อ่อนเพลีย หิวโหย แต่อย่างใด
หลวงปู่คำคะนิงอดอาหารได้อย่างไร
หลวงปู่ให้อรรถาธิบายว่า
ก่อนเข้าสมาธิภาวนาจะต้องกำหนดไว้ก่อนว่า เราจะเข้าสมาธิลึกขั้นอัปปนาสมาธิ ระคับฌานที่ 1 ถึงฌานที่ 4 เป็นเวลากี่วันกี่คืน
เมื่อกำหนดได้แล้ว ก็เข้าสมาธิภาวนาจนถึงขั้นอัปปนาสมาธิ จากนั้นก็ถอยจิตออกมาอยู่ในระดับอุปจารสมาธิ ซึ่งเป็นสมาธิระดับที่ใช้ความคิดพิจารณาได้
พอถอยมาอยู่ระดับอุปจารสมาธิแล้วก็น้อมจิตอธิษฐานว่าจะเข้าฌาน 7 วันหรือ 15 วัน ก็อธิษฐานลงไปเลย (พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ไม่ให้เข้านานวันจนเกินไป เพราะเป็นการทรมานสังขาร )
เมื่ออธิษฐานจิตแล้ว ก็เข้าสมาธิลึกถึงขั้นอัปปนาฌานที่ 4 เลยทีเดียว จะเลยขึ้นอรูปฌานก็ได้
หลวงปู่คำคะนิงบอกว่าอรูปฌานทำได้ไม่ยาก ขอให้ทำฌาน 4 ได้สำเร็จก่อนให้ชำนาญก็แล้วกัน
จากนั้นค่อยฝึกอรูปฌาน 4 ต่อ ไม่กี่วันก็ทำสำเร็จหมด เพราะอารมณ์ของอรูปฌานก็ใช้ฌาน 4 เป็นมาตรฐานนั่นเอง
เพียงแต่ว่าเราเพิกกสิณให้หายไปเสีย แล้วยกเอาอรูปกรรมฐานทั้ง 4 มาพิจารณา คือ อากาสานัญจายตนะ, วิญญานัญจายตนะ, อากิญจัญญายตนะ, เนวสัญญานาสัญญายตนะ
เมื่อทำอรูปฌานได้ครบทั้ง 4 แล้ว เรียกว่าอรูปสมาบัติ เมื่อรวมกับรูปสมาบัติ 4 เข้าก็เรียกรวมกันว่าสมาบัติ 8
ผู้ได้ถึงสมาบัติ 8 ย่อมมีอำนาจพลังจิตมหาศาล และมักจะได้อภิญญา 5 ในข้อหนึ่งข้อใดหรืออาจได้ครบหมดทั้ง 5 ข้อก็ได้ สุดแท้บุญบารมีที่เคยสร้างสมมาแต่ปางก่อนเกื้อหนุน
พระโบราณาจารย์สมัยโบราณท่านกล่าวว่า
ผู้ที่ได้สมาบัติ 8 แล้ว ถ้าเจริญวิปัสสนาญาณสืบต่อใช้เวลาเพียงชั่วแค่เคึ้ยวหมากแหลกเดียวก็เป็นพระอรหันต์
แต่หลวงปู่คำคะนิงท่านปฏิเสธว่า ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ ท่านเป็นเพียงพระภิกษุผู้เพียรปฏิบัติอยู่ในร่องรอยของพระพุทธศาสนา
การเข้าสมาธิภาวนาจนถึงระดับฐานดังกล่าวนี้ เมื่อเข้าฌานจนครบ 7 วันหรือ 15 วันแล้วออกจากฌาน
หลวงปู่คำคะนิงบอกว่า จะไม่รู้สึกหิวอาหาร ไม่รู้สึกอ่อนเพลียเลย ร่างกายและจิตใจจะมีแต่ความกระปรี้กระเปร่า ชุ่มชื่นเบิกบาน เหมือนอิ่มอาหารทิพย์
เพราะตลอดเวลาที่เข้าฌานอยู่นั้น จิตใจอยู่ในสภาวะสะอาดผ่องแผ้ว บริสุทธิ์ สว่าง สงบแน่วนิ่ง กระจายพลังงานอันมหาศาลครอบคลุมสังขารร่างกาย
ทำให้ได้รับกระแสปราณจากธรรมชาติอย่างเต็มที่จึงทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่อ่อนเพลีย หิวโหย
แต่คราวนี้หลวงปู่คำคะนิงกล่าวว่า ท่านประมาทไป ไม่สนใจร่างกายของตน ที่เจ็บไข้ออดๆ แอด ๆ มาตลอดพรรษาด้วยโรคชรา (อายุ 86 ปีแล้ว) และไม่ได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ให้ร่างกายเข้มแข็งตลอดรอดฝั่ง
ดังนั้น เมื่อท่านเข้าฌานสมาบัติอยู่ในถ้ำคูหาสวรรค์ ริมฝั่งโขงไปได้ 10 กว่าวัน ด้วยการไม่ขบฉันอาหารอะไรเลย
ปรากฏว่าสังขารทนไม่ไหวหัวใจหยุดเต้นไปเฉย ๆ มีความรู้สึกว่าร่างกายสังขารสะท้านเฮือกอย่างแรง แล้วความรู้สึกก็ละเอียด ๆ ลงไป
ท่านรู้ได้ด้วยสติปัญญาว่า โอหนอ...สังขารของเราถึงกาลแตกดับเสียแล้ว แต่สติท่านยังดี ไม่ได้ตื่นตกใจหวาดกลัวความตายแต่อย่างไร
กำหนดลมหายใจอานาปานสติอยู่สม่ำเสมอ แม้จะหมดลมหายใจแล้ว แต่จิตยังจับอารมณ์อานาปานสติอยู่นั่นเอง
“การเจริญอานาปานสตินี้ดีมาก เวลาจะหมดลมหายใจตายไป อาตมายังมีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ รู้เท่าทันว่า ตอนนี้ลมหายใจเข้าออกของเราหมดแล้ว เรามีสภาพเป็นคนตายแล้ว”
“อาตมารู้สึกว่า จิตมันวูบออกจากร่างไป สติมันตามทันปั๊บเลย”
“มหาสติปัฏฐานที่ได้รับการอบรมมาแล้วอย่างดี มีประโยชน์ตอนจะตายนี้แท้ ๆ เวลาจะตายก็รู้ว่าเราจะตาย ไม่เสียสติตกใจกลัว สติตามรู้เท่าทันจิตทุกขณะจิตเลย”
“เหมือนเราเดินออกจากบ้านไป มีเงาของเราติดตามไปทุกฝีก้าวนั่นแหละความตายมันเป็นอย่างนั้น ความตายไม่ใช่การดับสูญ อันนี้หลวงปู่ขอยืนยัน”
หลวงปูค่ำคะนิงวัย 86 กล่าว ประกายตาสีฟ้าอมเขียวสุกใสของท่านแวววาวคล้ายลูกปัด
โบราณาจารย์ให้ข้อสังเกตไว้ว่า พระภิกษุที่สำเร็จธรรมขั้นใดขั้นหนึ่งนั้น นัยน์ตามักจะออกลีฟ้าแวววาวหรือสีเขียว จะไม่ขุ่นมัวไปตามวัยเลย

25#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-12-11 20:10 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ศาลาพันห้อง
หลวงปู่เล่าต่อไปว่า จิตวิญญาณของท่าน พอวูบวาบออกจากร่างไป ก็ไปรวดเร็วมากไม่สนใจใยดีร่างกายเดิมที่หมอบฟุบอยู่บนอาสนะเลย เหมือนคนเราถอดเสึ้อผ้าตัวเก่าทิ้งไว้แล้วไปใส่ชุดใหม่ไปเที่ยวนั่นแหละ สติของท่านตามจิตวิญญาณไป
(ท่านผู้อ่านโปรดสังเกตนะครับว่า หลวงปู่คำคะนิงท่านแยก “สติ” ต่างหากกับ “จิตวิญญาณ” แต่ตามความเป็นจริงนั้น “สติ” ก็คือตัว “ญาณปัญญา” หรือ จิตฝ่ายกุศลนั่นเอง คือจิตในจิต)
“จิตวิญญาณของอาตมาไปอย่างรวดเร็วมาก เป็นลักษณะเดินไป แต่ไม่ได้สังเกตว่า จิตที่ไปนั้นมีร่างกายไปด้วยหรือเปล่า”
“อาตมาใช้สติตามไป สตินี้เป็นตัวปัญญาเบื้องสูง เป็นตัวบังคับบัญชาจิต สติของอาตมาตามจิตไป จะว่าจิตในจิตมันติดตามกันก็ได้”
จิตวิญญาณของท่านเดินไปแต่ไปอย่างรวดเร็วมาก (เข้าใจว่าเป็นสภาพของกายทิพย์พาจิตวิญญาณท่านไป) ทางที่ไปนั้น เป็นทางสายใหญ่กว้างมาก ความรู้สึกของจิตวิญญาณบอกว่า ทางสายนี้กว้างถึง 8,000 วา เป็นทางไปสู่“ศาลาพันห้อง”
ศาลาพันห้อง อยู่ในโลกวิญญาณ เป็นศาลาใหญ่โตมโหฬารเป็นศาลากลางแห่งโลกวิญญาณ มีถนนใหญ่กว้าง 8,000 วา จำนวน 8 สาย พุ่งตรงไปยังศาลาพันห้องนี้
หลวงปู่คำคะนิงเล่าว่า ท่านเห็นผู้คนทั้งชายและหญิง ลูกเล็กเด็กแดง คนหนุ่มสาวและเฒ่าแก่ เดินหลั่งไหลตามกันไปแน่นถนนมองสุดลูกลูกตา
มองเห็นแต่หัวดำบ้างหงอกบ้างนับไม่ถ้วน คล้ายหัวตัวไหมนับล้าน ๆ ตัวในกระด้งใหญ่ที่เขาเลี้ยงตัวไหมตามหมู่บ้านชนบท ดูไปอีกทีคล้ายฝูงมดปลวก ดูไปอีกทีคล้ายกระแสน้ำไหลเอื่อยพัดพาผู้อื่นไปตามน้ำ
ผู้คนมากมายเหลือคณานับ ทุกคนเดินไปเงียบกริบไม่มีใครพูดจากันเลย ท่านได้พบพ่อแม่ที่ตายไปนานแล้ว เดินรวมอยู่ในหมู่ร่างวิญญาณ ได้แต่มองดูกัน ไม่อาจพูดทักทายกันได้ต่างต่างฝ่ายต่างกลายเป็นคนใบ้
พอไปถึงประตูทางเข้าศาลาพันห้องที่รวมคนบาปและคนบุญ มีทหารยามตัวสูงใหญ่ผิวดำ ถือหอกสามง่ามเป็นประกายแปลบปลาบคล้ายเปลวไฟลุกไหม้
ทหารยามพูดกับหลวงพ่อคำคะนิงว่า
“สร้างเวรสร้างกรรมพอแรงแล้วน้อ หลวงพ่อถึงได้มาทางนี้”
ว่าแล้วก็เอาหอกสามง่ามจี้หน้าอกหลวงพ่อไว้ เกิดควันฉุยไหม้เสื้อผ้า แต่ไม่รู้สึกเจ็บ
ทหารยามหลายคนในที่นั้นต่างก็ใช้หอกสามง่ามจี้หน้าอกร่างวิญญาณทุกร่าง เข้าใจว่าคงเป็นการประทับตราที่หน้าอกก่อนให้ผ่านเข้าไปในศาลาพันห้อง ตรงประตูทางเข้าชั้นใน
หลวงพ่อได้พบครูบาอาจารย์เก่า ๆ หลายท่านที่มรณภาพไปนานแล้ว ถูกควบคุมตัวมาเพื่อชำระโทษ ได้แต่มองหน้ากัน ทักทายกันไม่ได้ เพราะพูดไม่ออก ปากเป็นใบ้
จ่ายมบาล นำตัวเข้าไปในห้องโถงใหญ่ศาลาพันห้อง ร่างวิญญาณเข้าไปแออัดยัดเยียดมองสุดลูกหูลูกตา พญายมบาลนั่งอยู่บนบัลลังก์เป็นประธานเอึ้อมมือไปแตะที่กองสมุดบัญชีเล่มใหญ่บันทึกประวัติคดีมนุษย์แต่ละคน เพียงแต่เอามือแตะเข้าที่ปกสมุดเล่มใหญ่เท่านั้น สมุดก็เปิดปั้บ ๆ ขึ้นเองอย่างรวดเร็ว พอถึงรายชื่อของใคร สมุดก็หยุดให้พญายมบาลอ่าน
พญายมบาลบอกว่า มนุษย์พูดอะไรกันอยู่ในโลกมนุษย์คำพูดทุกคำมนุษย์แต่ละคนจะมาปรากฏขึ้นในสมุดบัญชีของยมโลกโดยอัตโนมัติ
ถ้าใครพูดจากันเรื่องธรรมะ การทำบุญสุนทาน ตัวหนังสือจะปรากฏเด่นเป็นพิเศษขึ้นในสมุดของยมโลก (สงสัยจะคล้ายเครื่องโทรพิมพ์ในโลกมนุษย์เรา)

26#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-12-11 20:11 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สระขุมนรก
เมื่อยมบาลเปิดดูบัญชีแล้วก็หันมาประกาศกับร่างวิญญาณทั้งหลายว่า
“เฮ้ย.....พวกเจ้าทำไมเนื้อตัวสกปรกแท้เว้ย โน่น.....สระน้ำอยู่โน่น พวกเจ้ารีบพากันออกไปอาบน้ำชำระกายให้สะอาดเสียก่อนแล้วค่อยกลับเข้ามาพบข้า รีบออกไปเร็ว ๆ ข้าเหม็นจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว”
ทุกคนได้ยินเช่นนั้น ต่างก็ก้มลงมองสำรวจดูร่างตัวเองแล้วได้พบด้วยความตกใจว่า ร่างวิญญาณของแต่ละคนเปรอะเปื้อนเลอะเทอะ เต็มไปด้วยอุจจาระส่งกลิ่นเหม็นตลบไปทั่ว ไม่รู้ว่าอุจจาระนี้มาเปรอะเปื้อนได้อย่างไร
ต่างก็พากันวิ่งชุลมุนออกจากห้องตรงไปยังสระน้ำ หลวงพ่อคำคะนิงก็วิ่งตามไปด้วย สระน้ำนั้นกว้างใหญ่น้ำใสกระจ่างเหมือนกระจก กลางสระมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นแผ่กิ่งก้านสาขาร่มครึ้ม
ทุกคนต่างพากันกระโดดลงไปในสระน้ำ หลวงพ่อคำคะนิงกระโดดลงไปปรากฏว่าน้ำลึกแค่หัวเข่า น้ำนั้นร้อนลุกเป็นไฟแดงฉานไหม้แข้งขาทันที
หลวงพ่อคำคะนิงตกใจบังเกิดความปวดร้อนอย่างแสนสาหัสต้องรีบกระโจนขึ้นไปยืนบนฝั่งอย่างรวดเร็ว เมื่อขึ้นมาบนฝั่งได้แล้วไฟไหม้แข้งขาก็ดับไปความปวดร้อนหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ร่างวิญญาณคนอื่น ๆ พากันจมลึกลงไปในสระน้ำแล้วบังเกิดเป็นเปลวไฟลุกไหม้พรึบขึ้นแดงฉานโชติช่วงไปทั้งสระ คล้ายกับว่าน้ำในสระเป็นน้ำมันเบนซินไป ร่างวิญญาณของคนเหล่านั้นไม่ได้ตายไปในทันที หากแต่พากันดิ้นรนกระเสือกกระสนส่งเสีนงร้องโอดโอยโหยหวลอยู่ในสระน้ำเป็นภาพที่สยดสยองเหลือที่จะกล่าว
หลวงปู่คำคะนิงรู้ได้ในบัดดลว่า ที่แท้สระน้ำนี้เป็น “ขุมนรก” ขุมแรกสำหรับทดสอบบาปบุญคุณโทษของพวกวิญญาณนั่นเอง จ่ายมบาลนายหนึ่งเดินตรงเข้ามานิมนต์หลวงปู่ให้กลับเข้าไปเฝ้าพญายม

27#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-12-11 20:11 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เศษกรรม
หลวงปู่คำคะนิงกลับเข้าไปในศาลาพันห้องใจคอไม่ดี รู้แน่แก่ใจแล้วว่า ที่นี่เป็นด่านเมืองนรกซึ่งไม่น่าเป็นไปได้เลย ที่ท่านจะต้องกระโดดลงไปในสระนรกนั้นเมื่อตะกี้นี้ ทั้งนี้เพราะท่านเชื่อมั่นในตนเองว่า เป็นพระภิกษุผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ เคร่งอยู่ในพระธรรมวินัย ไม่เคยทำบาปให้ส่ำสัตว์ใดต้องลำบากเลย แม้แต่มดตัวแดงแมงตัวน้อยก็ไม่เคยทำให้มันตกตาย ถึงอาจจะมีบ้างเมื่อเดินไปเหยียบมดปลวกตายโดยไม่เจตนา เพราะไม่เห็น แต่เมื่อไม่มีเจตนาย่อมไม่ถือเป็นบาป
เมื่อเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าพญายมแล้ว พญายมบาลได้กล่าวด้วยเสียงดุห้าวทรงอำนาจ แต่แฝงไว้ด้วยความนอบน้อมว่า
ตบะธรรมของหลวงพ่อแก่กล้า ที่มาเมืองนรกนี้เพราะเศษกรรมเก่าส่งผลให้ดับจิตจากโลกมนุษย์มายังโลกวิญญาณ แต่เมื่อดูในบัญชีแล้ว บารมีของหลวงพ่อยังมากอยู่ ยังไม่อาจพิพากษาตัดสินได้ สมควรที่หลวงพ่อจะกลับคืนสู่ร่างเดิมใน โลกมนุษย์ ไปสร้างบารมีให้เต็มสมบูรณ์เสียก่อนแล้วค่อยกลับมา นิมนต์กลับได้แล้วขอรับ
หลวงปู่คำคะนิงรู้สึกดีใจที่ไม่ถูกพิพากษาตัดสิน ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระพุทธองค์ยิ่งขึ้นว่า ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม อาตมาบำเพ็ญภาวนาที่อยู่ในธรรม กินในธรรมตลอดมา จะมาตกนรกได้อย่างไร
ชมนรกก่อนกลับ
เมื่อออกมาจากศาลาพันห้องแล้ว ก็เกิดความรู้สึกว่า จะกลับถ้ำคูหาสวรรค์บนโลกมนุษย์เลยก็เป็นการกลับมือเปล่า ควรจะเที่ยวดูชมเมืองนรกให้เป็นกำไรหูตาประดับสติปัญญาเสียหน่อยก็ดี เมืองนรกนี้มันมีอะไรบ้าง
คิดแล้วก็เดินไป พวกจ่ายมบาลทั้งหลายก็เปิดทางอำนวยความสะดวกให้ นิมนต์เลย ๆ พระคุณเจ้า อยากดูชมอะไรนิมนต์ตามสบาย
หลวงปู่คำคะนิงเล่าว่า พวกจ่ายมบาลนี้ก็เหมือนเสมียน ทำงานในที่ว่าการอำเภอหรือศาลากลาง รวมทั้งเป็นผู้คุมนักโทษในเรือนจำด้วยทำนองนั้นแหละ พวกเขามีจำนวนมาก ทำงานกันว้าวุ่นไม่ได้หยุดหย่อน
เดินไปก็เห็นที่คุมขังชั่วคราวเรียงรายสุดสายตา ห้องคุมขังเป็นเหล็ก ก็รู้ว่าที่นี่เป็นที่คุมขังชั่วคราวรอการตัดสิน ยังไม่ใช่นรกขุมสำคัญ ๆ

28#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-12-11 20:12 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
กรรมกาเม
เดินไปเห็นห้อง ๆ หนึ่ง มีนักโทษชายหญิงสองคน
ชายหนุ่มและหญิงสาวคู่นี้แก้ผ้าเปลือยกายโดยตลอด ยืนเหยียบอยู่บนเหล็กแหลมแดง ๆ เผาไฟเสียบทะลุฝาเท้า ปากอ้ากว้างมีเหล็กเผาไฟแดงเสียบตรึงไว้ในลักษณะคล้ายเอาปากคาบไว้
เบื้องบนศีรษะมีเหล็กแหลมเผาไฟแดง ๆ เสียบตรึงกลางกระหม่อมไว้ รอบ ๆ ข้างมีเหล็กแหลมเผาไฟแดง ๆ ทิ่มแทงร่างกาย
ใบหน้าของหนุ่มสาวทั้งสองบิดเบี้ยว นัยน์ตาเหลือกถลน ส่งเสียงร้องครวญครางอ้อแอ้ บอกถึงความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัสสากรรจ์สุดประมาณ กระดิกติงตัวไม่ได้ เพราะเหล็กแหลมเผาไฟแดง ๆ ตรึงร่างกายไว้แน่นทุกด้าน จะขาดใจตายก็ไม่ตาย
เพราะการลงโทษในเมืองนรกไม่มีตาย จะมีก็แค่วิสัญญีภาพไปชั่ววูบเดียว แล้วก็ฟื้นขึ้นมารับการทรมานอีกต่อไป หรือร่างกายแหลกสลายไปด้วยอานุภาพของไฟนรก แต่ชั่วพริบตาต่อมาก็จะเกิดร่างใหญ่ขึ้นมาทดแทน เพื่อรับการทรมานต่อไปซ้ำ ๆ ซาก ๆ นับพันนับหมื่นปี
หลวงปู่คำคะนิงได้ถามจ่ายมบาลดูว่า หนุ่มสาวทั้งสองนี้ทำผิดสถานใด ถึงต้องมารับโทษหนักหนาสาโหดในเมืองนรกเช่นนี้
จ่ายมบาลกล่าวตอบให้ทราบว่า หนุ่มสาวทั้งสองนี้สมัยยังมีชีวิตอยู่โลกมนุษย์ เป็นคนเจ้าชู้ ฝ่ายหญิงชอบนอกใจผัว คบชู้สู่ชายไม่เลือก ไม่นับถือศาสนาใด ๆ ไม่เชื่อถือในศีลธรรมคุณงามความดีใด ๆ
มีความเชื่ออยู่แต่ว่า เกิดมาเพื่อกิน เพื่อถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ เพื่อสืบพันธุ์ประเวณี และเพื่อนอน เท่านั้น อย่างอื่นไม่สำคัญ ชาตินี้ต้องหาความสุขใส่ตัวอย่างเดียว ตายแล้วก็หมดกันไม่มีชาติหน้า ไม่ต้องใช้เวรใช้กรรมใด ๆ
หญิงสาวผู้นี้เป็นมะเร็งในมดลูกตายเมื่ออายุ 40 ปี เมื่อตายแล้วก็มาที่ศาลาพันห้องนี้ เพื่อรอการพิพากษาตัดสินจากพญายมบาลขั้นสุดท้าย แต่ก่อนตัดสินต้องจำ\จองทรมานแบบนี้ไว้ก่อน
ฝ่ายชายหนุ่ม เมื่อชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ เป็นคนเจ้าชู้ตลบตะแลงปลิ้นปล้อน นักเลงเหล้า นักเลงผู้หญิง หลอกลวงพร่าพรหมจารีผู้หญิงและปลิ้นปล้อนเอาทรัพย์ เป็นคนไม่มีศีลธรรม ไม่นับถือศาสนาใด ๆ
ถือคติว่า เกิดมาเพื่อกิน เพื่อขับถ่าย เพื่อเสพกามารมณ์ และเพื่อนอน ตายแล้วก็สูญ ไม่มีชาติหน้าไม่มีนรก สวรรค์ ก่อกรรมใดไว้ ไม่ต้องใช้กรรม
เมื่อถูกสามีของหญิงคนหนึ่งแทงตาย จึงมาที่ศาลาพันห้องนี้เพื่อรอการพิพากษาตัดสินขั้นสุดท้ายจากพญายมบาล
หลวงปู่คำคะนิงได้ฟังแล้วก็บังเกิดสลดสังเวช โธ่เอ๋ย กรรมของสัตว์หนอ เพราะความโง่ความหลงผิด ความจองหอง หยิ่งทะนง อวดดื้อถือดีแท้ ๆ ของมนุษย์ เมื่อตายแล้วจึงต้องมารับกรรม เช่นนี้
ขนาดยังอยู่ในระหว่างรอการตัดสินก็ถกจองจำหนักหนาสาโหดถึงเพียงนี้มิทราบว่า หากได้รับการตัดสินจากยมบาลแล้ว จะได้รับโทษทัณฑ์สถานหนักสักเพียงไหน
หลวงปู่คำคะนิงจึงถามจ่ายมบาลว่า อยากจะสนทนากับหนุ่มสาวทั้งสองที่ถูกจองจำลงโทษนี้จะได้ไหม จ่ายมบาลตอบว่า สำหรับพระคุณเจ้าแล้ว อนุญาตให้ซักถามได้
เมื่อจ่ายมบาลกล่าวอนุญาตแล้ว ทันใด เครื่องจองจำเหล็กแหลมเผาไฟแดง ๆ เหล่านั้นก็หลุดออกจากร่างหนุ่มสาวทั้งสองหายวับไป หนุ่มสาวทั้งสองร่างสั่นเทา ๆ เหมือนลูกนกตกน้ำ สะอึกสะอื้นน้ำตาไหลพรากอาบหน้าพากันทรุดกายลงกราบเท้าหลวงปู่คำคะนิงอย่างสำนึกในพระคุณ ที่ช่วยให้หลุดจากเครื่องจำจองทรมานอันทารุณหฤโหด
“หลวงพ่อเจ้าขา ช่วยดิฉันด้วย ”
หญิงสาวร้องวิงวอนเสียงสั่นระริก สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสาร หลวงปู่คำคะนิงถามว่า
“สีกาจะให้อาตมาภาพช่วยอย่างไร”
หญิงสาวฟูมฟายน้ำตากล่าวว่า
“ดิฉันยังมีลูกที่จะต้องเลี้ยงดูอายุยังน้อย อยากกลับไปเกิดในโลกมนุษย์อีก หลวงพ่อได้โปรดช่วยให้ดิฉันกลับไปเข้าร่างเดิมที่ยังไม่ได้เผาด้วยเถิดเจ้าค่ะ”
“สีกาตายแล้วยังจำชาติที่แล้วสมัยเป็นมนุษย์ได้ดีอยู่หรือ”
“ยังจำได้ดีทุกอย่าง เหมือนนอนหลับไปแล้วตื่นขึ้นจำตัวเองได้ จำลูกได้ จำญาติพี่น้องมิตรสหายได้หมด แต่พูดจากับพวกเขาไม่ได้ เวลาจะไปไหนต้องมีผู้คุมคอยควบคุมตัวไป ก่อนที่ยังไม่ตายนั้น ดิฉันไม่เคยเชื่อเลยว่าความตายไม่ใช่การสิ้นสูญ”
“แท้ที่จริงตายแล้วเรายังมีชีวิตอยู่ แต่เป็นอีกชีวิตหนึ่งคือร่างวิญญาณ ยังจำความเดิมได้ทุกอย่าง”
“อาตมาภาพอยากจะช่วยแต่เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของท่านพญายมบาล อาตมาภาพจะช่วยสีกาได้อย่างเดียวคือ เมื่อกลับเมืองมนุษย์แล้วจะแผ่ส่วนบุญกุศลมาให้”
หลวงปู่คำคะนิงกล่าวฉันท์เมตตา หญิงสาวรู้สึกผิดหวังที่ไม่อาจกลับไปเข้าร่างเดิมในโลกมนุษย์ได้อีก ส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญโศกเศร้าน่าสังเวช หลวงปู่จึงเอ่ยถามชายหนุ่มบ้างว่า
“โยมจะให้อาตมาภาพช่วยอะไรได้บ้าง”
ร่างวิญญาณของชายหนุ่มผู้ถูกแทงตาย เพราะเป็นชู้กับเมียผู้อื่น คลานเข้ามากราบลงบนหลังเท้าหลวงปู่คำคะนิงแล้วร้องไห้คร่ำครวญว่า
“กระผมผิดไปแล้วพระคุณเจ้า กว่าจะรู้สึกตัวว่าเป็นคนชั่วช้าก่อกรรมทำเวรกับคนอื่นไว้มาก ก็มารู้เอาเมื่อตายแล้ว กระผมไม่ขออะไรมาก ขอให้พระคุณเจ้าแผ่ส่วนบุญกุศลมาให้กระผมบ้าง เพื่อที่กระผมจะได้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวในยามทุกข์”
“ได้....อาตมาจะแผ่ส่วนกุศลมาให้”
จากนั้นหลวงปู่ก็ออกเดินต่อไป จ่ายมบาลอธิบายให้ฟังว่า ในกรงเหล็กที่เป็นแถวแนวยาวเหยียดนี้ คุมขังพวกนักโทษที่รอการตัดสินทั้งนั้น บ้างก็เคยฆ่าพ่อตีแม่ บ้างก็ปล้น ฆ่า ลักขโมย หลอกลวง ปลิ้นปล้อน ต้มชาวบ้าน ฉุดคร่าอนาจาร
บ้างที่เป็นหญิงสาวก็เกี้ยวพาราสีพระสงฆ์องค์เจ้า หลอกลวงพระสงฆ์องค์เจ้าให้สึกหาลาเพศมาเป็นผัวแห่งตน และที่ทำให้พระต้องปาราชิกก็มี บ้างก็แย่งผัวเขา วางยาพิษเมียหลวง คดีโทษต่าง ๆ นับไม่ถ้วน
เพราะมนุษย์ชายหญิงทุกวันนี้พากันไม่เชื่อในบุญในบาป ทำการทุกสิ่งทุกอย่างตามอำเภอไม่มียับยั้งบันยะบันบัง คำนึงถึงศีลธรรมอันดีงาม คนเหล่านี้เมื่อตายแล้ว จึงต้องพากันหลั่งไหลมาสู่ศาลาพันห้องแน่นขนัดทุกวัน

29#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-12-11 20:12 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หมู่สัตว์ร้องทุกข์
หลวงปู่คำคะนิงออกเดินดูชมต่อไป รู้สึกว่าเดินตัวเบาหวิว เท้าไม่แตะพื้น เคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็ว เบาและนุ่มนวล สบายอย่างยิ่ง
มาถึงที่แห่งหนึ่ง ได้ยินเสียงหมู่สัตว์อื้ออึงระงมเซ็งแซร่ไปหมด เสียงเป็ด ไก่ สุนัข วัว ควาย หมู ม้า ช้าง พวกสัตว์เหล่านี้กำลังส่งเสียงรำร้องเป็นภาษามนุษย์ กล่าวโทษโจทก์ฟ้องร้องต่อจ่ายมบาลว่า พวกมนุษย์ทำร้ายและทรมานพวกมันอย่างไรบ้าง
มีช้างสารเชือกหนึ่งยืนแกว่งหัวอันใหญ่โตไปมา มันร้องทุกข์เป็นภาษามนุษย์ว่า มนุษย์ใจดำอำมหิตมาก เอาตะขอเหล็กสับหัวมันจนเลือดไหลได้รับความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส
นอกจากนั้น มนุษย์ยังเอาปลอกใส่ขามัน ทำให้เดินไม่สะดวก แล้วยังเอาบ้านเมืองขึ้นไปปลูกใส่หลังมัน (หมายถึงเอากูบใส่หลังช้าง) มันเรียกร้องให้จ่ายมบาลไปเอาตัวมนุษย์คนนั้นมาลงโทษให้จงได้
หลวงปู่คำคะนิงได้ฟังแล้วก็สลดใจ เพิ่มพูนความเชื่อมั่นในกฎแห่งการเวียนว่ายตายเกิดอย่างแน่นแฟ้นว่า มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายตายแล้วต้องเกิดอีก บาปมีจริง บุญมีจริง นรกมีจริง
จิตวิญญาณเป็นธาตุเดิมแท้ ส่วนร่างมนุษย์ ร่างสัตว์ต่าง ๆ นั้น เป็นเพียงพาหนะ หรือหุ่นสรีระยนตร์สำหรับใหิจตวิญญาณเข้าสิงสู่ในแต่ละภพชาติเท่านั้น เช่น ชาติก่อนเกิดเป็นช้าง ชาตินี้เกิดเป็นมนุษย์ ชาติหน้าเกิดเป็นเทวดา หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามอำนาจบุญกรรมนำแต่ง
เมื่อเรามารู้ความจริงเสียแล้วเช่นนี้ ก็ควรจะนำความรู้นี้ กลับไปเที่ยวบอกกล่าวสั่งสอนมนุษย์ทั้งหลาย ให้รู้ความจริง จะได้เลิกเบียดเบียนกดขี่ข่มเหง ทำทารุณสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย เช่น วัว ควาย หมู หมา เป็ด ไก่ ช้าง ม้า เป็นต้น

30#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-12-11 20:24 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
นางงามนางแบบ
หลวงปู่คำคะนิงเดินเที่ยวชมเมืองนรกต่อไป เห็นสถานที่แห่งหนึ่ง สว่างไสวรุ่งเรืองดุจแสงฟ้าแลบอยู่แปลบปลาบ เป็นยกพื้นเวทีกว้างคล้ายสะพานทอดยาวโค้งลงไปในสระน้ำอันกว้างใหญ่ สระน้ำนั้นลุกไหม้เป็นเปลวไฟแดงฉานโชติช่วง น่าสะพรึงกลัว ก็รู้ว่าเป็นขุมนรก
บนสะพานนั้นมีหญิงสาวรูปร่างอรชรสวยงามจำนวนมาก พากันเดินออกจากเวทีมีม่านผืนใหญ่มหึมา หญิงสาวเหล่านั้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์สวยงาม เดินนวยนาดลงจากเวที ทอดแขนทอดขามาตามสะพาน
จ่ายมบาลอธิบายว่า มนุษย์ผู้หญิงเหล่านี้เป็นพวกนางงามนางแบบ กำลังเดินโชว์ร่างกายและเสื้อผ้า หลวงปู่คำคะนิงยืนงุนงงประหลาดใจยิ่ง
นางงาม นางแบบ เสื้อผ้าอาภรณ์อันสวยงามฉูดฉาดสะดุดตาเหล่านั้น เดินเรียงรายตามกันออกไปยืนอยู่กลางสะพาน แล้วเยื้องกรายเปลื้องเสื้อผ้าออกก่อน เหลือแต่ร่างเปลือยล่อนจ้อนอุจาดนัยน์ตา แต่ละนางร่างสวยงามด้วยส่วนสัดปานนางฟ้า
จากนั้นก็มีนกอินทรีตัวใหญ่บินมาจากไหนไม่รู้ นัยน์ตานกอินทรีแดงฉานพวยพุ่งออกมาเป็นเปลวไฟ มันบินมาตรงหน้าหญิงสาวแต่ละนางที่ยืนเปลือยกายอยู่
แล้วใช้จะงอยปากอันคมกริบจิกเข้าที่หน้าผากหญิงสาว กระชากทีเดียว หนังศีรษะและเส้นผมก็ลอกออกมาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า กลายเป็นหนังทั้งแผ่น หญิงสาวนางนั้นส่งเสียงหวีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
เมื่อนกอินทรีจิกลอกเอาหนังออกไป ก็เหลือแต่ร่างที่แดงฉานไปด้วยเลือด น่าขยะแขยงชวนขนพองสยองเกล้า จะมองหาความงามเมื่อตะกี้นี้ไม่พบเลย นกอินทรีได้จิกกินนัยน์ตาทั้งสองข้างก่อน แล้วจึงจิกเอาเนื้อแดง ๆ ออกมาเผยให้เห็นอวัยวะภายใน คือ ตับไตไส้พุง น่าขยะแขยง ไม่สวย ไม่งาม
จากนั้นนกอินทรีจิกกินตับไตไส้พุงจนหมดสิ้น เหลือแต่ร่างโครงกระดูกจะหาความสวยงามไม่ได้เลย กลายเป็นร่างโครงกระดูกยืนสั่นสะท้านอยู่
ฝ่ายหญิงสาวคนอื่น ๆ เห็นเช่นนั้น ก็มีความหวาดกลัวอย่างสุดขีด พากันกระโดดหนีลงไปในสระนรกที่เป็นเปลวไฟลุกโชติช่วงแดงฉานนั้น ก็ถูกเปลวไฟนรกลุกเผาไหม้ ส่งเสียงร้องกรีดแหลมระเบ็งเซ็งแซร่ด้วยความเจ็บปวด
แต่แล้วก็มีเหล็กคล้ายหอกเผาไฟแดง ๆ แทงทะลุร่างหญิงสาวเหล่านั้นส่งขึ้นมาจากขุมไฟนรก ร่างที่ไหม้เหลือแต่กระดูกขาวโพลนก็กลับกลายเป็นร่างหญิงสาวสวยงามเหมือนเดิม มีเสื้อผ้าอาภรณ์สวมใส่เหมือนเดิมทุกอย่าง
ต่อจากนั้นก็ถูกนกอินทรีโผบินเข้าจิกกระชากเสึ้อผ้าออกเหลือแต่กายเปลือยล่อนจ้อน แล้วจิกหนังลอกออกทั้งแผ่น จิกกินเนื้อ กินตับไตไส้พงเหมือนที่กระทำกับหญิงสาวคนแรก
ส่วนหญิงสาวคนอื่น ๆ มีความหวาดกลวัส่งเสียงหวีดร้องวุ่นวายระเบ็งเซ็งแซร่นั้นจะวิ่งหนีไปทางไหนก็ไม่ได้ เพราะมีหอกเผาไฟแดง ๆ แทงขึ้นมาจากขุมนรกเพลิง จี้สกัดหน้าหลังไว้รอบข้างไปหมด
หลวงปู่คำคะนิงสลดสังเวชเป็นที่ยิ่ง ไม่ทราบว่าหญิงสาวเหล่านั้นมีความผิดสถานใด ถึงต้องมาถูกกระทำลงโทษอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตถึงปานนี้
จ่ายมบาลล่วงรู้วาระจิตได้ตอบว่า หญิงสาวเหล่านี้สมัยเป็นมนุษย์ชอบประพฤติตนทางอนาจาร คืออวดร่างกายของตนเปลือยร่างต่อสาธารณะ และหลงใหลลุ่มหลงในเสึ้อผ้าอาภรณ์เครื่องตกแต่งประดับกายอย่างไม่ลืมหูลืมตา
สามารถกระทำชั่วได้ในทุกสิ่งเพื่อแสวงหาเงินมาซึ้อเสื้อผ้าอาภรณ์ประดับตัวเองอวดคนอื่น
เป็นผู้หญิงประเภทฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ไม่รู้จักศาสนาคำสั่งสอนของศาสดาองค์ใด ไม่เชื่อในคุณธรรมความดีใด ๆ ไม่ละอายแก่ใจ
เชื่อแต่ว่า เกิดมาชาตินี้ชาติเดียว ต้องแสวงหาความสุขสนุกสถานให้เต็มที่ กิน ถ่าย เสพกามและนอนเท่านั้น อย่างอื่นไม่คิด ชาติหน้าไม่มี บาปบุญไม่มี นรกไม่มี
ดังนั้นเมื่อหญิงสาวเหล่านี้ตายแล้วจึงต้องมาเสวยกรรมอยูในนรกเช่นนี้

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้