ก่อนที่เราจะไปชมพระพุทธฉาย ทาง KHAOYAIZONE ขอกล่าวถึงประวัติ ความเป็นมาของพระพุทธฉายแห่งนี้ เพื่อให้เป็นความรู้แก่ผู้ที่ต้องการจะมาเที่ยวชมกันหน่อยนะครับ จากประวัติศาสตร์การค้นพบพระพุทธฉาย สันนิษฐานว่า ได้ค้นพบในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ.2163 - 2171)
พระเจ้าทรงธรรม
เนื่องด้วยในครั้งนั้นมีพระสงฆ์จำนวนหนึ่งออกไปถึงลังกาทวีปเพื่อบูชารอยพระพุทธบาทที่ เขาสุมณกูฏ ถูกพระสงฆ์ลังกาถามว่า “รอยพระพุทธบาทที่มีอยู่ทั้งหมดนั้น เขาสุวรรณบรรพตก็อยู่ในประเทศไทยคนไทยไม่ไปบูชารอยพระพุทธบาทที่นั่นดอกหรือ จึงต้องออกมาบูชาถึงลังกาทวีป” พระภิกษุสงฆ์จำนวนนั้นกลับมานำความขึ้นบังคมทูลพระเจ้าทรงธรรม พระองค์จึงโปรดให้มีตราสั่งไปยังหัวเมืองต่างๆ ให้เที่ยวตรวจค้นดูตามภูเขาว่าจะมีรอย พระพุทธบาทอยู่ ณ ที่แห่งใด จนมาพบพระพุทธฉาย ณ ภูเขาลม แห่งนี้
เขาลม
สมุดภาพไตรภูมิ ฉบับกรุงธนบุรี ซึ่ง แสดงให้เห็นการเดินทาง ของบรรพชนแต่โบราณ ไปลังกาทวีป โดยเรือสำเภา
ตามตำนานของพระพุทธฉาย มีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า ได้มีชาดกในสมัยพุทธกาลว่า ครั้งหนึ่งเมื่อพระพุทธองค์จะเสด็จออกจากพระวิหารเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ ไปจำพรรษา ณ พระวิหารบุพพาราม กรุงสาวัตถี ซึ่งพระนางวิสาขามหาอุปาสิกาสร้างอุทิศถวาย ยังมีพราหมณ์องค์หนึ่งชื่อ "ปีณโฑล" ได้สดับพระธรรมเทศนาแล้วเกิดความศรัทธาเลื่อมใสทูลขอบรรพชาในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็ทรงประทานพุทธานุญาต ให้ตามความประสงค์และมอบให้พระมหาโมคคัลลานะ ก็ตั้งใจฝึกสอนอบรมอย่างเต็มความสามารถตลอดมา แล้วพระพุทธองค์ก็เสด็จตามพระวิหารเวฬุวันปุพพารามต่อไป ฝ่ายพระมหาโมคคัลลานะได้รับสนองพระพุทธฎีกาเช่นนั้นแล้ว จึงยับยั้งอยู่พระวิหารเวฬุวันแขวงกรุงราชคฤห์มิได้ตามเสด็จ พระพุทธองค์ไปยังพระวิหารบุพพาราม ตั้งใจฝึกสอนอบรมพระภิกษุปีณโฑละ ตั้งแต่การเก็บ ปัด กวาดเสนาสนะ เครื่องใช้ ตลอดจนกุฏิวิหารอันเป็นการปฏิบัติระหว่างศิษย์กับอาจารย์และเพื่ออ่านนิสัย ใจคอของพระภิกษุปีณโฑละว่าจะสมควรแก่การฝึกพระกัมมัฏฐานหรือไม่ ครั้นแล้วก็แน่ใจว่าพระรูปนี้สมควรแก่การฝึกฌาณเบื้องต้นได้ เมื่อสำเร็จแล้วก็บรรลุพระอรหันต์เหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ในการนี้จำต้องพาภิกษุรูปนี้เที่ยวหาสถานวิเวกต่างๆหลายแห่งเมื่อได้พาไป ฝึกในที่ต่างๆ นานแล้ว ภิกษุรูปนี้ก็หาสำเร็จธรรมวิเศษนั้นไม่ครึ่งหนึ่งพระมหาโมคคัลลานะจะ พาภิกษุปีณโฑละมายังสุวรรณภูมิประเทศ อันอยู่ทางทิศตะวันออกห่างชมพูทวีปมาก คิดดังนั้นแล้วพระมหาโมคคัลลานะ จึงนิรมิตกายพระปีณโฑละให้เล็กลงเท่าผลมะขามส่วนท่านเองเข้าสู่จตุตฌาณ สามารถเดินโดยอากาศเอาพระปีณโฑละขอดชายจีวรพาเหาะข้ามผ่านบ้านผ่านเมือง ผ่านแม่น้ำและภูเขาลูกหนึ่งเรียกว่า "ฆาฏกะบรรพต" (แปล ว่าเทือกเขาแห่งผู้ฆ่าเหนือเทือกเขานี้เป็นที่อยู่ของพรานล่าเนื้อ) เขาลูกนี้มีลักษณะแหลมสูง ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ออกไปมีน้ำตกไหลผ่านป่าเลี้ยงภูมิภาคให้ชุ่มชื่นสรรพ พฤกษาดาวัลย์เขียวขจีอยู่ตลอดเวลา สถานที่นี้สมควรแก่การบำเพ็ญกัมมัฏฐานอย่างยิ่งจึงลงจากอากาศสู่พื้นดิน และเห็นหมู่บ้านของพรานและบริวารทางทิศตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ของเขา นี้ ทรงคิดว่าถ้าจะหยุดเจริญพระกัมมัฏฐานที่นั่นคงจะสะดวกสบาย แต่คิดว่าจะไม่ได้ประโยชน์ในการโปรดคนเหล่านี้ตกลงใจลงจากภูเขา คลายเวทนิรมิตกายพระปีณโฑละให้เป็นดั่งเดิม และพากันเดินไปสู่ลานบ้านของชาวบ้านฆาตะกะทันที ณ หมู่บ้านนี้มีหัวหน้าชื่อ "พรานฆาฏกะ" กำลังจัดแจงเก็บเนื้อที่ล่าได้มายังร้านพิงคันธนูไว้ที่ข้างร้าน และแขวนลูกไว้ที่หัวเต้า แล้วก็ไปอาบน้ำชำระร่างกาย เพราะเป็นเวลาเย็นแล้ว เมื่อเสร็จกิจจึงออกมานั่งเล่นอยู่หน้าบ้านพักผ่อนให้สบาย
ฝ่าย พระมหาโมคคัลลานะกับพระปีณโฑละ ครั้งได้โอกาสก็พากันสู่บ้านพรานฆาฏกะ ทำทีประดุจคนหลงทาง มาหยุดยืนต่อหน้าพรานผู้นี้ พระมหาโมคคัลลานะกล่าวแก่พรานว่า "ดูก่อนท่านเจ้าของบ้าน เราหลงทางมาเวลาก็พลอยค่ำแล้ว จะเดินทางต่อไปก็กลัวอันตราย ถ้าท่านไม่รังเกียจก็ขออนุญาตอาตมภาพพักนอน ณ ที่นี้ สักหนึ่งราตรี "
ฆาฏกะพรานป่าได้ฟัง รู้สึกประหลาดใจและนึกโกรธอยู่ในใจเพราะนิสัยใจคอไม่เคยได้รับการฝึกอบรมมา ในทางเมตตากรุณาแต่อย่างใด เขาเกิดมาจากตระกูลพราน ได้รับแต่การฝึกให้มีใจเหี้ยมโหดประดุจสัตว์ป่า สิ่งที่แสดงว่าเป็นมนุษย์ในตัวเขาก็แค่ร่างกายเท่านั้น ไม่เคยรู้เรื่องของพระพุทธเจ้าแม้แต่น้อย เขาไม่รู้สึกเวทนาแต่ประการใดเลยมิหนำซ้ำเมื่อได้เห็นพระภิกษุทั้งสองที่ยืน อยู่เฉพาะหน้าของเขา ก็ไม่ทราบว่าเป็นมนุษย์หรืออะไรเพราะในถิ่นแคว้นฆาฏกะบรรพตไม่เคยมีบุคคล อื่นใดเข้ามายืนสง่าอยู่ได้ ดั่งที่เขาเห็นอยู่เวลานั้นอย่าว่าแต่เข้ามาถึงหน้าบ้านนี้เลยแม้เพียงเขต ประตูหน้าบ้านก็ยังหาเคยมีไม่ การเข้ามาโดยมิได้รับอนุญาตจากเราเช่นนี้เป็นการบังอาจยิ่ง จำเราจะฆ่าเสียด้วยธนูอันทรงฤทธิ์มหาศาลนี้เขาคิดในใจไปมาครั้นแล้วจึงมี วาจาไต่ถามออกไปว่า "ดูก่อนคนร้ายทั้งสองในบ้านของเราไม่เคยมีใครเข้ามาได้เพราะแม้แต่ที่หน้า ประตูบ้านก็มีคนเฝ้าอยู่หลายคน การเข้ามาเช่นนี้ได้รับอนุญาตจากใคร หรือเป็นภูตผีปีศาจอันใดจึงสามารถเล็ดลอดเข้ามาได้ถึงที่นี่ ความผิดของท่านไม่ควรแก่การจะยกโทษให้ มิหนำซ้ำยังจะมาขอที่นอนอีก ก็ลองถามคันธนูอันมีฤทธิ์เดชมหาศาลที่พิงร้านนั้นดูซิว่ามันจะยอมให้ท่านนอน หรือไม่"
|