ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 126696
ตอบกลับ: 15
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ว่าด้วยเรื่อง "ปู่เวสสุวรรณ"

[คัดลอกลิงก์]
ฤทธิ์อำนาจ..ท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวกุเวร)

         ท้าวเวสสุวรรณหรือท้าวกุเวรเป็นเทพหรือยักษ์ที่ปรากฏอยู่ทั้งในศาสนาพุทธและพราหมณ์และมีผู้นิยมกราบไหว้กันมาก ตามคติความเชื่อทางศาสนาพุทธกล่าวไว้ในพระสูตรที่ชื่อว่า “อาฏานาฏิยะ”ว่า ท้าวกุเวรเป็นหนึ่งในท้าวจตุมหาราชผู้ครองสวรรค์ชั้น จตุมหาราชิกา (สวรรค์กามาวจร ชั้นที่ 1)

         ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณนั้นยังมีชื่ออีกหลายชื่อ เช่น ธนบดี หมายถึง “ผู้เป็นใหญ่ในทรัพย์ ธเนศวร” หมายถึง ผู้เป็นเจ้าแห่งทรัพย์  ชื่ออื่นๆคือ “อิจฉาวสุ” หมายถึง “ความมั่งมีได้ตามใจ”  ชื่อ ยักษ์ราชอันหมายถึง “เจ้าแห่งยักษ์”  หรือชื่อมยุราช หมายถึง “เป็นเจ้าแห่งกินนร”  ชื่อรากษเสนทร์ หมายถึง “ผู้เป็นใหญ่ในพวกรากษส” ส่วนในวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์เรียกท้าวเวสสุวรรณว่า “ท้าวกุเรปัน” เป็นต้น

ผ้ายันต์ท้าวเวสสุวรรณ ในพิธีสวดภาณยักษ์

        ในทางพระพุทธศาสนา ได้กล่าวถึงอดีตชาติของท้าวกุเวร เอาไว้ใน พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม 3 ภาค 2 หน้าที่ 151 ว่า ในสมัยที่โลกยังว่างจากพระพุทธศาสนาไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลกนั้น มีพราหมณ์ผู้หนึ่งนามว่า “กุเวร” เป็นคนใจดีมีเมตตากรุณา ประกอบอาชีพสุจริต ด้วยการทำไร่อ้อยแล้วนำต้นอ้อยมาตัดใส่ลงไปในหีบยนต์เพื่อบีบน้ำอ้อยขายเลี้ยงชีวิต

        ต่อมากิจการได้เจริญขึ้นจนเป็นเจ้าของหีบยนต์สำหรับบีบน้ำอ้อยถึง 7 เครื่อง จึงสร้างที่พักสำหรับ คนเดินทางและได้บริจาคน้ำอ้อยจากหีบยนต์เครื่องหนึ่งซึ่งมีปริมาณน้ำอ้อยมากกว่าหีบยนต์เครื่องอื่น ๆ ให้เป็นทานแก่คนเดินผ่านไปมาจนตลอดอายุขัย

        ด้วยอำนาจแห่งบุญกุศลที่บริจาคน้ำอ้อยให้เป็นทานนั้นทำให้หนุ่มกุเวรผู้นี้ได้ไปเกิดเป็นเทพบุตร บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา มีนามว่า “กุเวรเทพบุตร” ต่อมากุเวรเทพบุตรได้รับการเทวาภิเษก (ขึ้นครองราชย์) เป็นผู้ปกครองดูแลพระนครสวรรค์ชั้นที่ 1ด้านทิศเหนือจึงได้มีพระนามว่า “ท้าวเวสสุวรรณ”

        ตามหลักฐานในคัมภีร์ทางพุทธศาสนายืนยันว่า “ท้าวเวสสุวรรณ” ผู้ซึ่งเป็นเทวราชพระองค์นี้ได้สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบันเมื่อครั้งที่ “จุลสุภัททะปริพาชก” เกิดความสงสัยในความเป็นมาแห่ง องค์พระพุทธเจ้า ท่าน “ท้าวเวสสุวรรณ” องค์นี้เอง ที่ได้เสด็จไปร่วมต้อนรับด้วย และ ยังเป็นประจักษ์พยาน เรื่องพระมหาโมคคัลลานะ ใช้เท้าจิกพื้นไพชยนตวิมานของพระอินทร์ จนเกิดการสั่นสะเทือนไปทั้งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์สวรรค์ชั้นที่สองอันเป็นการเตือนสติพระอินทร์อีกด้วย และก็มีความเชื่อในฤทธานุภาพอันทรงฤทธิ์ของท่านตาม ฎีกามาลัยเทวสูตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม 1 ภาค 2 – หน้าที่ 435 ว่า

คฑาวุธ ของท้าวเวสสุวรรณนั้นเป็นยอดแห่งศาสตราวุธ
ที่มีอานุภาพสามารถทำลายโลกใบนี้ให้เป็นจุณได้ในพริบตา

         จากคติความเชื่อทางพระพุทธศาสนา จะเห็นได้ว่า ท้าวกุเวรหรือท้าวเวสสุวรรณนั้นท่านเป็นเทพที่สำคัญยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งที่มีหน้าที่ “คอยพิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนา” ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าท่านท้าวสักกะเทวราชเลย

        ตามวัดวาอารามต่าง ๆนั้นจะมีรูปปั้นยักษ์ 1 ตน หรือ 2 ตนบ้าง คอยยืนถือกระบองค้ำพื้น ส่วนมากจะมี 2 ตน เฝ้าอยู่หน้าประตูโบสถ์ หรือ วิหารที่เก็บของมีค่ามีพระพุทธรูป และโบราณสมบัติล้ำค่าของทางวัดบรรจุอยู่ด้านละ 1 ตนหรือไม่ก็ปรากฏอยู่ในบริเวณลานวัดหรือที่ที่มีคนผ่านไปมาแล้วเห็นโดยง่ายนั่นหมายถึงท้าวเวสสุวรรณนั่นเอง


                ท้าวเวสสุวัณถูกสร้างเป็นรูปเคารพมานานนักหนา แม้ในกำแพงวัดพระแก้วก็ยังปรากฏรูปปั้นขนาดใหญ่ของท้าวเวสสุวัณเฝ้าประตูอยู่ แต่ถ้าพูดถึงท้าวเวสสุวัณในรูปพระเครื่องละก็ ต้องยกให้ของท่านเจ้าคุณศรีสัจจญาณมุนี (สนธิ์ ยติธโร) วัดสุทัศนเทพวราราม ท้าวกุเวรท่านเจ้าคุณศรี เป็นรูปหล่อลอยองค์เนื้อทองผสม ปรากฏฤทธานุภาพทางปราบผีเข้าเจ้าสิงมามากต่อมาก ขลังขนาดที่พกใส่กระเป๋าเสื้อเดินเข้าหาคนผีสิง ผีก็ร้องโหยหวนตะลีตะลานออกแทบไม่ทัน โดยไม่ต้องอมน้ำมนต์พ่นน้ำหมากให้เมื่อยโอษฐ์

                วัดเกตุมดีศรีวราราม จ.สมุทรสาคร เป็นอีกสำนักหนึ่งที่นิยมสร้างรูปเคารพท้าวเวสสุวัณ มีทุกรูปแบบ ตั้งแต่รูปหล่อบูชา, ผ้ายันต์, พระผง, พระโลหะ หรือแม้แต่แหนบติดกระเป๋าเสื้อก็มี เรียกว่าครบเครื่องเลยทีเดียว ใครกลัวผีไปที่นั่นไม่ผิดหวัง


                หลวงปู่โง่น โสรโย วัดพระพุทธบาทเขารวก พิจิตร อดีตพระอริยะ พระผู้เฒ่าผู้ดูเท่าไหร่ก็ไม่เฒ่า เป็นอีกองค์หนึ่งที่นิยมสร้างรูปท้าวเวสสุวัณ ไม่ใช่เพิ่งมาฮิตสร้างเอาปีสองปีมานี้ โน่น...ท่านสร้างมาตั้งแต่ปีพ.ศ.2514 ทำเสร็จก็เอาไปบรรจุไว้ตามหลุมลูกนิมิตบ้าง, เจดีย์บ้าง ในวัดและสถานที่สำคัญ ๆทั่วประเทศ

                ครั้งสร้างเสาหลักเมืองของจังหวัดน่าน หลวงปู่โง่นก็นำพระผงว่านรูปท่านท้าวเวสสุวัณขึ้นทูลเกล้าถวาย สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีให้ทรงบรรจุไว้ใต้เสาหลักเมือง เหลือนอกจากนั้นก็แจกให้ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และประชาชนทั่วไป

                โดยเฉพาะทหาร รับแล้วไปรบกับผู้ก่อการร้ายจนชนะราบคาบมาได้ นอกจากฝีมือแล้วก็ยังเป็นเพราะมีกำลังใจส่วนหนึ่งจากท้าวเวสสุวัหาก ท่านมีปัญหาในการใช้ชีวิต ซึ่งมีความติดขัดในหลายประการแก้ไขด้วยตนเองแล้วยังไม่ดีขึ้นสักที ให้ท่านบนต่อศาลท้าวเวสสุวรรณ โดยการทำดังนี้


ให้ท่านอาบน้ำ แต่งกายให้สะอาดสุภาพ จากนั้น ให้เข้าห้องพระ สมาทานศีล 5
จากนั้น จึงสวดมนต์ ตามที่ท่านเคยสวดไป พอสบายใจ
แล้วให้ท่าน เตรียมธูปสีแดงมา 9 ดอก
อย่าพึ่งจุดให้จุดตอนบนเสร็จ จากนั้น นะโมฯ 3 จบ
จานั้นสวดคาถาบูชาท้าวเวสสุวรรณ

อุตตะรัญจะ ทิสังราชา กุเวโร ตังปะสาสะติ ยักขานัญจะ อะธิปะติ มะหาราชา ยะสัสสิโส
ปุตตาปิตัสสะ พะหะโว อินทะนามา มะหัพพะลา กุเวโร สะหะปุตเตหิ สะทาโสตถิงกะโรตุโน

จากนั้นจึงบนด้วยการทำตามนี้

1. บนเรื่องการงาน ให้ท่าน บนด้วยสังฆทานหนึ่งชุด ในสังฆทานให้มีรองเท้าพระ 1 คู่ อาสนสงฆ์ 1 ผืน
2. บนเรื่องการเงิน ให้ท่านบนด้วย สังฆทานหนึ่งชุด ชำระหนี้สงฆ์ 30 บาท
3. บนเรื่องความรักครอบครัว ให้บนด้วยการถวายดอกกุหลาบแดง บูชาพระที่วัดไหนก็ได้ 9 ดอก
    ถือศีลแปด 3 วัน 3 คืน
4. บนเรื่องความเจ็บป่วยและสุขภาพ ให้ท่านบนด้วยการ ถวายหนังสือมนต์พิธี 10 เล่ม
    วัดไหนก็ได้ ปล่อยปลา 10 ตัว
5. บนเรื่องการเรียน ให้บนด้วยการถวายหนังสือมนต์พิธีวัดไหนก็ได้ 5 เล่ม
6. บนเรื่องสอบบรรจุ สอบเข้าทำงาน และเลื่อนตำแหน่งโยกย้ายให้บนด้วย สังฆทาน 1 ชุด เก้าอี้ 1 ตัว

ให้ท่านอธิษฐานพูด ว่า ลูกขอพึ่งบารมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และท่านท้าวเวสสุวรรณ
และบริวาร ขอให้เรื่อง…ลูกขอบนท่านด้วย ..เมื่อได้ผลลูกจะทำกุศลถวายให้
จากนั้น เมื่อท่านบนเสร็จ จึงนำธูป สีแดง 9 ดอกนั้น ไปจุด กลางแจ้ง
บนดาดฟ้า หรือที่ไหนก็ได้ที่นอกอาคาร ไม่มีหลังคาปกคลุม
ข้าว ของทุกชนิด ในการบนแต่ละอย่าง เมื่อท่านได้ดังปรารถนาแล้ว
จึงให้ไปทำบุญ ถวายวัดไหนก็ได้ ที่เป็นวัดในศาสนาพุทธ แล้วอุทิศ
กุศล ถวายท้าวเวสสุวรรณและบริวาร ที่ท่านสงเคราะห์เรา
ทุกเรื่องกำหนดการคือไม่เกิน 3 เดือนเห็นผล การถือศีลแปดถือที่ไหนก็ได้
ขอให้ครบในตัวศีลเป็นพอการบน ต้องเป็นเรื่องที่ไม่ผิดศีลธรรม
ท่านจะสำเร็จดังใจปรารถนา



เหรียญท้าวเวสสุวรรณ เมืองใต้ สร้างโดย อาจารย์สุนันท์ กุสุโม วัดโคกสมานคุณ สงขลา

http://putthakom.com/topic/198-%E0%B8%A4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B8%AD%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%AA%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93-%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A3/
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-10-20 14:25 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
การบนท้าวเวสสุวรรณ ที่บ้านท่านเอง หรือที่ ศาลท้าวเวสสุวรรณ จ.อุบลฯSunday, August 1st, 2010


หาก ท่านมีปัญหาในการใช้ชีวิต ซึ่งมีความติดขัดในหลายประการ
แก้ไขด้วยตนเองแล้วยังไม่ดีขึ้นสักที ให้ท่านบนต่อศาลท้าวเวสสุวรรณ โดยการทำดังนี้

ให้ท่านอาบน้ำ แต่งกายให้สะอาดสุภาพ จากนั้น ให้เข้าห้องพระ สมาทานศีล 5
จากนั้น จึงสวดมนต์ ตามที่ท่านเคยสวดไป พอสบายใจ
แล้วให้ท่าน เตรียมธูปสีแดงมา 9 ดอก
อย่าพึ่งจุดให้จุดตอนบนเสร็จ จากนั้น นะโมฯ 3 จบ
จานั้นสวดคาถาบูชาท้าวเวสสุวรรณ
อุตตะรัญจะ ทิสังราชา กุเวโร ตังปะสาสะติ ยักขานัญจะ อะธิปะติ มะหาราชา ยะสัสสิโส
ปุตตาปิตัสสะ พะหะโว อินทะนามา มะหัพพะลา กุเวโร สะหะปุตเตหิ สะทาโสตถิงกะโรตุโน

จากนั้นจึงบนด้วยการทำตามนี้
1. บนเรื่องการงาน ให้ท่าน บนด้วยสังฆทานหนึ่งชุด
ในสังฆทานให้มีรองเท้าพระ 1 คู่ อาสนสงฆ์  1 ผืน
2. บนเรื่องการเงิน ให้ท่านบนด้วย
สังฆทานหนึ่งชุด ชำระหนี้สงฆ์ 30 บาท
3. บนเรื่องความรักครอบครัว ให้บนด้วยการถวายดอกกุหลาบแดง
บูชาพระที่วัดไหนก็ได้ 9 ดอก  ถือศีลแปด 3 วัน 3 คืน
4. บนเรื่องความเจ็บป่วยและสุขภาพ ให้ท่านบนด้วยการ
ถวายหนังสือมนต์พิธี 10 เล่ม วัดไหนก็ได้ ปล่อยปลา 10 ตัว
5. บนเรื่องการเรียน ให้บนด้วยการถวายหนังสือมนต์พิธี
วัดไหนก็ได้ 5 เล่ม
6. บนเรื่องสอบบรรจุ สอบเข้าทำงาน และเลื่อนตำแหน่ง
โยกย้ายให้บนด้วย สังฆทาน 1 ชุด เก้าอี้ 1  ตัว
ให้ ท่านอธิษฐานพูด ว่า ลูกขอพึ่งบารมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และท่านท้าวเวสสุวรรณ
และบริวาร ขอให้เรื่อง…ลูกขอบนท่านด้วย ..เมื่อได้ผลลูกจะทำกุศลถวายให้
จากนั้น เมื่อท่านบนเสร็จ จึงนำธูป สีแดง 9 ดอกนั้น ไปจุด กลางแจ้ง
บนดาดฟ้า หรือที่ไหนก็ได้ที่นอกอาคาร ไม่มีหลังคาปกคลุม
ข้าว ของทุกชนิด ในการบนแต่ละอย่าง เมื่อท่านได้ดังปรารถนาแล้ว
จึงให้ไปทำบุญ ถวายวัดไหนก็ได้ ที่เป็นวัดในศาสนาพุทธ  แล้วอุทิศ
กุศล ถวายท้าวเวสสุวรรณและบริวาร ที่ท่านสงเคราะห์เรา
ทุกเรื่องกำหนดการคือไม่เกิน 3 เดือนเห็นผล การถือศีลแปดถือที่ไหนก็ได้
ขอให้ครบในตัวศีลเป็นพอการบน ต้องเป็นเรื่องที่ไม่ผิดศีลธรรม
ท่านไม่จำเป็นต้องเดินทางมาศาลท้าวเวสสุวรรณ
ที่ จังหวัดอุบลราชธานี เพียงท่านบนที่บ้านก็ได้ผลเสมอกัน หากท่านเคารพ
หรือได้ผลดีค่อยมายังศาลท้าวเวสสุวรรณ ตามโอกาสเหมาะของท่าน
หรือ มาร่วมในงานบุญบวงสรวงประจำปี ที่จัดทุก ต้นปี ได้
เทพ เทวดามีจริง ไม่ได้ทอดอาลัย หรือทิ้งมนุษย์ หากแต่มนุษย์
ระลึกถึงโดยความไม่ถูก ไม่เหมาะสม จึงไม่ได้รับการสงเคราะห์
การให้บนเช่นนี้คือให้ทำบุญด้วยตนเอง จะได้ไม่ติดหนี้บารมีเทพ
เทพนั้นสงเคราะห์คนไม่ได้หวังผลใดๆ เพราะจิตถึงความเป็นเทโวแล้ว
ไม่มี ความจำเป็นใด ที่จะต้องมาเรียกร้องพึ่งกินของเซ่นสรวงสังเวย
หรือไม่ได้เรียกร้องให้ใครมากราบไหว้ยกย่อง พวกที่ให้ไปยกย่อง
หรือกราบกราน พิธีรีตองแปลกๆ ให้ตรองดูเถิด ว่าใช่วิถีเทโวไหม
หรือเป็นผี เลยอ้างตนให้ดูสูงดังเทพ อย่างน้อยมนุษย์ตายไป
ให้ไปเป็นเทวดา หรือเสมอตัวเป็นมนุษย์เหมือนเดิม
อย่าให้ลงอบายภูมิเลย แล้วเร่งสู่ทางพระนิพพาน
http://www.ponboon.com/?p=555

3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-10-20 14:27 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
รูปปั้นยักษ์วัดพระแก้ว(วัดพระศรีรัตนศาสดาราม)
        “ยักษ์” เป็นอมนุษย์ชนิดหนึ่ง มีกล่าวถึงทั้งในทางศาสนาและวรรณคดี เป็นความเชื่อของไทยที่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธ โดยเชื่อว่ายักษ์มีหลายระดับ ขึ้นอยู่กับบุญบารมี ยักษ์ชั้นสูงจะมีวิมานเป็นทอง มีรูปร่างสวยงาม ปกติไม่เห็นเขี้ยว เวลาโกรธจึงจะมีเขี้ยวงอกออกมา ยักษ์ชั้นกลางส่วนใหญ่จะเป็นบริวารของยักษ์ชั้นสูง ส่วนยักษ์ชั้นต่ำที่บุญน้อยก็จะมีรูปร่างน่ากลัว ผมหยิกตัวดำผิวหยาบนิสัยดุร้าย
      
        จะเห็นได้ว่า ในวัดวาอารามต่างๆ มักจะมียักษ์มาประกอบเป็นส่วนหนึ่งของวัดหรือโบราณสถาน ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นยักษ์แบกเจดีย์ในวัดพระแก้ว รูปปั้นยักษ์แบกองค์พระปรางค์วัดอรุณฯ หรือยักษ์วัดโพธิ์ ฯลฯ ซึ่งตามตำนานเล่าว่าพระพุทธเจ้าได้เทศน์สั่งสอนยักษ์ให้ลดทิฐิมานะ ยักษ์ที่ได้ฟังและเข้าใจในพระธรรมจึงได้กลายมาเป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชูพระพุทธศาสนา หรืออีกนัยหนึ่งก็หมายถึงผู้แบกสรวงสวรรค์และทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องคุ้มครองสถูปสถาน และอาคารศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเป็นการค้ำชูพระพุทธศาสนาให้มั่งคงและเจริญรุ่งเรืองสืบต่อมา

รูปปั้นยักษ์แจ้ง(วัดอรุณราชวราราม)
        มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับยักษ์ซึ่งเป็นนิทานตำนานเล่าต่อกันมา โดยเป็นเรื่องราวของยักษ์วัดแจ้งและยักษ์วัดโพธิ์ ซึ่งเกี่ยวพันกับชื่อของย่าน “ท่าเตียน” ว่า ยักษ์วัดโพธิ์ซึ่งทำหน้าที่ดูแลวัดโพธิ์และยักษ์วัดแจ้งซึ่งทำหน้าที่ดูแลวัดแจ้งหรือวัดอรุณฯ ฝั่งตรงข้ามนั้นเคยเป็นเพื่อนรักกัน วันหนึ่งทางฝ่ายยักษ์วัดโพธิ์ไม่มีเงิน จึงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปขอยืมเงินจากยักษ์วัดแจ้ง แต่แล้วกลับเบี้ยวไม่ยอมจ่ายหนี้ ยักษ์วัดแจ้งจึงตัดสินใจข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามาทวงเงินคืนแต่ยักษ์วัดโพธิ์ไม่ยอมให้ ในที่สุดยักษ์ทั้ง 2 ฝ่าย จึงทะเลาะถึงขั้นต่อสู้กัน แต่เพราะรูปร่างที่ใหญ่โตมหึมาและมีกำลังมหาศาล เมื่อต่อสู้กันจึงทำให้ต้นไม้ในบริเวณนั้นถูกยักษ์ทั้งสองเหยียบย่ำจนล้มตายราบเรียบกลายเป็นสถานที่ที่โล่งเตียนไปหมด ครั้นเมื่อพระอิศวรได้ทราบ จึงได้ลงโทษโดยการสาปให้ยักษ์เหล่านั้นกลายเป็นหิน แล้วให้ยักษ์วัดโพธิ์ทำหน้าที่ยืนเฝ้าหน้าพระอุโบสถ และให้ยักษ์วัดแจ้งทำหน้าที่ยืนเฝ้าพระวิหารวัดแจ้งเรื่อยมา และอิทธิฤทธิ์จากการสู้รบของยักษ์ทั้งคู่ที่ทำให้ละแวกนั้นราบเรียบเป็นหน้ากลอง จึงได้เรียกว่า “ท่าเตียน” มาจนถึงทุกวันนี้

รูปปั้นยักษ์วัดโพธิ์(วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร)
        นอกจากนั้น ยักษ์ยังปรากฏในตราสัญลักษณ์ประจำจังหวัดอุดรธานี โดยเป็นรูปของท้าวเวสสุวรรณหรือท้าวกุเวร ผู้เป็นใหญ่ในหมู่ยักษ์ ซึ่งมีความหมายเป็นนัยยะว่าเป็นเทพยดาผู้คุ้มครองรักษา ยืนถือกระบองเฝ้ารักษาเมืองประจำทิศอุดรหรือทิศเหนือ
      
        "ท่านท้าวเวสสุวรรณ"องค์นี้ มีเรื่องเล่าและตำนานเล่าว่า ท่านได้มาเฝ้าพระพุทธเจ้าและได้ถวายสัตย์ที่จะดูแลพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกไม่ให้ยักษ์หรือบริวารอื่นๆ ของท้าวจตุโลกบาลไปรังควานและได้ถวายพระคาถาชินบัญชรเพื่อเป็นคาถาปกป้องสำหรับพระที่ธุดงค์ออกป่า ไว้กันเหล่า ภูติผี ปีศาจ และเป็นหนึ่งในบทสวดมนต์ที่พุทธศาสนิกชนชาวไทยนิยมสวดในปัจจุบัน นอกจากนั้น คนไทยโบราณจะนำผ้ายันต์รูปยักษ์มาผูกไว้ที่หัวเตียงเด็กหรือนำมาบูชาไว้ที่ประตูบ้าน เพื่อป้องกันวิญญาณชั่วร้ายไม่ให้มารังควาญ

ตราสัญลักษณ์จังหวัดอุดรธานี
        ส่วนที่ “วัดคงคา” วัดย่านบางใหญ่ จ.นนทบุรี ก็ได้มีรูปปั้นยักษ์ท้าวเวสสุวรรณ และพระวิรุณปักษ์ เป็นรูปปั้นยักษ์ยืนประดับอยู่ที่วัดแห่งนี้มานานเป็นที่เคารพบูชาของชาวบ้านละแวกนั้น และมีความเชื่อว่าหากใครได้กราบไหว้ก็จะมีความร่ำรวย มั่งคั่ง โดยในคัมภีร์โบราณได้กล่าวไว้ว่า ผู้ใดหวังความเจริญในลาภยศ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจวาสนาให้บูชารูปท้าวเวสสุวรรณ โดยชาวบ้านที่ค้าขายอยู่ในบริเวณวัดได้เล่าให้ฟังว่า ได้มีคนมาบนบานศาลกล่าวและสมปรารถนากันเป็นประจำโดย ส่วนมากจะบนเป็นเบียร์และพวงมาลัย และไม่ควรเรียกท่านว่ายักษ์เพราะท่านมีชื่อเป็นที่เคารพ ชาวบ้านระแวกนั้นจะเรียกท่านว่าท้าวเวสสุวรรณและพระวิรุณปักษ์ จะไม่นิยมเรียกว่ารูปปั้นยักษ์

รูปปั้นท้าวเวสสุวรรณวัดคงคา
        ในการสักการะท้าวเวสสุวรรณนั้น ก่อนท่องคาถา ให้จุดธูป 9 ดอก และถวายดอกกุหลาบ 9 ดอก ตั้งนะโม 3 จบ ระลึกถึงคุณบิดา มารดา และครูบาอาจารย์ ทั้งหลาย ที่ประสิทธิประสาทวิชามาแล้วระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วท่องคาถาบูชาท้าวเวสสุวรรณ โดยกล่าวว่า อิติปิ โส ภะคะวา ยมมะราชาโน ท้าวเวสสุวรรณโณ มะระณัง สุขัง อะหัง สุคะโต นะโม พุทธายะ ท้าวเวสสุวรรณโณ จาตุมะหาราชิกา ยักขะพันตาภัทภูริโต เวสสะ พุสะ พุทธัง อะระหัง พุทโธ ท้าวเวสสุวรรณโณ นะโม พุทธายะ
      
        จะเห็นได้ว่าเรื่องราวของยักษ์นั้นเป็นทั้งเรื่องเล่าและตำนานที่ผูกพันกับคนไทยมาตั้งแต่สมัยอดีตกาล เป็นทั้งผู้พิทักษ์ค้ำจุนพระพุทธศาสนาหรือจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวของใครหลายคน แต่หากเปรียบกับจิตใจของคนที่คิดแต่ในแง่ลบแล้ว คนเหล่านั้นก็อาจจะน่ากลัวกว่ายักษ์อีกก็เป็นได้

http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9560000026989&TabID=3&
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-10-20 14:28 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
http://topicstock.pantip.com/religious/topicstock/2011/04/Y10503454/Y10503454.html

เรื่องของท้าวเวสสุวรรณที่ปรากฏในพระไตรปิฏก

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 151

        บทว่า  เพราะฉะนั้น  มหาชนจึงเรียกท้าวกุเวรมหาราชว่า  ท้าวเวสวัณ  ดังนี้  มีเรื่องเล่าว่า  เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติ  ท้าวมหาราชนี้เป็นพราหมณ์  ชื่อ  กุเวร  ได้สร้างโรงหีบอ้อย  ประกอบเครื่องยนต์  ๗  เครื่อง
กุเวรพราหมณ์ได้ให้ผลกำไรซึ่งเกิดขึ้นที่โรงเครื่องยนต์แห่งหนึ่ง  แก่มหาชนที่มาแล้ว  มาแล้วได้กระทำบุญ.  ผลกำไรที่มากกว่า  ได้ตั้งขึ้นในที่นั้นจากโรงที่เหลือ  กุเวรพราหมณ์เลื่อมใสด้วยบุญนั้นจึงถือเอาผลกำไรที่เกิด
ขึ้น  แม้ในโรงที่เหลือ  ให้ท่านตลอดสองหมื่นปี.  เขาได้ถึงแก่กรรมไปเถิดเป็น  เทพบุตรชื่อกุเวร  ในสวรรค์ชั้นจาตุมมหาราชิกา.  ต่อมาได้ครองราชสมบัติในราชธานีชื่อ  วิสาณะ.  ตั้งแต่นั้น  จึงเรียกว่า  ท้าวเวสวัณ.



      พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต  -หน้าที่ 154

     ก็สมัยนั้นแล   นันทมารดา  อุบาสิกา   ชาวเมืองเวฬุกัณฏกะ  ลุกขึ้นในเวลาใกล้รุ่ง   สวดปารายนสูตรทำนองสรภัญญะ  สมัยนั้นท้าวเวสวัณมหาราชมีกรณียกิจบางอย่าง     เสด็จจากทิศอุดรไปยังทิศทักษิณได้ทรงสดับนันทมารดาอุบาสิกาสวดปารายนสูตรทำนองสรภัญญะประทับรอฟังจนจบ  ขณะนั้น  นันทมารดาอุบาสิกา   สวดปารายนสูตร ทำนองสรภัญญะจบแล้วนิ่งอยู่  ท้าวเวสสวัณมหาราชทรงทราบว่ากถาของนันทมารดาอุบาสิกาจบแล้ว  จึงทรงอนุโมทนาว่า   สาธุน้องหญิง   สาธุ  น้องหญิง  นันทมารดาอุบาสิกาถามว่า   ก่อนท่านผู้มีพักตร์อันเจริญ  ท่านนี้คือใครเล่า.

         เว.  ดูก่อนน้องหญิง  เราคือท้าวเวสสวัณมหาราช  ภาดาของเธอ. บทว่า  โก  ปเนโส   ภทฺรมุข  ความว่า  เพราะเสียงที่ดังถึงเพียงนี้  ก้องไปในที่ ๆ มีอารักขาไว้ดังนี้  นันทมารดาอริยสาวิกา ผู้บรรลุผล  ๓  แล้ว ปราศจากความเกรงกลัว  ปิดหน้าต่าง  มีสีเหมือนแผ่นทองคำ  กล่าวว่า  พ่อปากดี  พ่อปากงาม  ท่านนี้เป็นใคร  เป็นนาคหรือครุฑ  เป็นเทวดา  เป็นมาร  หรือเป็นพรหม  ดังนี้แล้ว   เมื่อจะกล่าวกับท้าวเวสวัณ  จึงกล่าวอย่างนี้.  บทว่า   อหนฺเต  ภคนิ  ภาตา   ความว่า ท้าวเวสวัณ       ทรงสำคัญพระอริยสาวิกาผู้เป็นพระอนาคามีว่าพี่
เพราะพระองค์เองเป็นพระโสดาบัน  จึงตรัสว่าภคินิพี่ท่าน   แล้วจึงสำคัญพระอริยสาวิกาผู้เป็นพระอนาคามีนั้นนั้นว่าเป็นน้องของพระองค์อีก  เพราะนางยังอยู่ในปฐมวัย  แต่พระองค์แก่กว่า  เพราะทรงมีพระชนมายุ  ๙  ล้านปีแล้ว  จึงตรัสเรียกพระองค์เองว่า  ภาตาพี่ชาย.

  พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้าที่ 365
  
                ในบทว่า  ราชาปิ  ต  เวสฺสวโณ   กุเวโร    นี้มีอธิบายว่า   ยักษ์นั้นชื่อว่าเป็นพระราชาเพราะอรรถว่าเป็นที่ยินดี    ชื่อว่า  เวสวัณ  เพราะครอง ราชสมบัติในวิสาณราชธานี.   พึงทราบว่า  ชื่อว่ากุเวรตามชื่อเดิม.   ได้ยินมาว่ายักษ์ชื่อกุเวรนั้นเป็นพราหมณ์มหาศาล   ทำบุญมีทานเป็นต้น    เกิดเป็นใหญ่ในวิสาณราชธานี  เพราะฉะนั้น  จึงเรียกว่า กุเวร.  ดังที่ท่านกล่าวไว้ในอาฏานาฏิย-สูตรว่า      
                                                                  
         กุเวรสฺส  โข  ปน  มาริสา มหาราชสฺส  วิสาณา นาม  ราชธานี ตสฺมา  กุเวโร  มหาราชา  เวสฺสวโณติ  ปวุจฺจติ.

ความว่า  ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย   ราชธานีชื่อว่าวิสาณะเป็นของท้าวกุเวรมหาราช เพราะฉะนั้น ท้าวกุเวรมหาราชจึงมีชื่อว่า เวสวัณ.

                         ในพระสูตรที่ชื่อว่า “อาฏานาฏิยะ” กล่าวว่า ท้าวกุเวร ตั้งเมืองอยู่ในอากาศ ข้างทิศที่อุตรกุรุทวีป (เหนือ) และ เขาพระสุเมรุ ยอดสุทัศน์ (ที่เป็นผาทอง) ตั้งอยู่ มีราชธานี 2 ชื่อ คือ อาลกมันทา และ วิสาณา มีนครอีก 8 นคร

                         ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณนั้น ยังมีชื่ออีกหลายชื่อ เช่น ธนบดี หมายถึง ผู้เป็นใหญ่ในทรัพย์ ธเนศวร หมายถึง ผู้เป็นเจ้าแห่งทรัพย์ อิจฉาวสุ หมายถึง มั่งมีได้ตามใจ ยักษ์ราชหมายถึง เจ้าแห่งยักษ์ มยุราช หมายถึง เป็นเจ้าแห่ง กินนร รากษเสนทร์ หมายถึง ผู้เป็นใหญ่ในพวกรากษส ส่วนในเรื่องรามเกียรติ์ เรียกท้าวเวสสุวรรณว่า ท้าวกุเรปัน

                          ตามหลักฐานในคัมภีร์ทางพุทธศาสนา ยืนยันว่า "ท้าวกุเวร" หรือ "ท้าวเวสสุวรรณ" เทวราชพระองค์นี้ ได้สำเร็จเป็น พระอริยบุคคลชั้นโสดาบันเมื่อครั้ง "จุลสุภัททะ ปริพาชก" เกิดความสงสัยในความเป็นมาแห่ง องค์สมเด็จ พระพุทธเจ้า ท่าน "ท้าวเวสสุวรรณ" องค์นี้แหละ ที่ได้เสด็จไปร่วมต้อนรับด้วย และ ยังเป็นประจักษ์พยาน เรื่องพระมหาโมคคัลลานะ ใช้เท้าจิกพื้นไพชยนตวิมาน ของพระอินทร์จนเกิดการ สั่นสะเทือนไป ทั้งดาวดึงส์ เทวโลก อันเป็นการเตือนสติสักกะเทวราชอีกด้วย และก็เชื่อกันตาม ฎีกามาลัยเทวสูตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม 1 ภาค 2 - หน้าที่ 435 ว่า "คทาวุธ" ของ "ท้าวเวสสุวรรณ" นั้น เป็นยอดศัสตราวุธ มีอานุภาพสามารถทำลายโลกใบนี้ให้เป็น จุณวิจุณภายในพริบตา

                          จะเห็นได้ว่า ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณนั้น ท่านเป็นเทพที่สำคัญยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่ง ที่พิทักษ์รักษา พระพุทธศาสนา ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่า ท่านท้าวสักกะเทวราช หรือ พระอินทร์เลยทีเดียว ตามวัดวาอารามต่าง ๆ จะมีรูปปั้นยักษ์ 1 ตน บ้าง 2 ตนบ้าง ยืนถือกระบองค้ำพื้น ส่วนมากจะมี 2 ตน เฝ้าอยู่หน้า ประตูโบสถ์ หรือ วิหารที่เก็บของมีค่า มีพระพุทธรูป และโบราณสมบัติล้ำค่าของทางวัดบรรจุอยู่ ด้านละ 1 ตน หรือไม่ก็บริเวณลานวัด หรือที่ที่มีคนผ่านไปมาแล้วเห็นโดยง่าย บ้างก็สร้างเอาไว้ในวิหาร หรือ ศาลาโดยเฉพาะก็มี ซึ่งยักษ์เหล่านั้น ถ้าเป็น ตนเดียว ก็จะหมายถึง รูปเคารพของท้าวเวสสุวรรณ แต่ถ้าเป็น 2 ตนก็จะเป็นบริวารของท่านท้าวเวสสุวรรณ คอยทำหน้าที่ ปกปักรักษา ดูแลบริเวณวัด
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-10-20 14:31 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เผยเรื่องราว ผิดคำสาบาน ท้าวเวสสุวรรณ ในคนอวดผี









เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการคนอวดผี, Youtube.com โพสต์โดย CiNNtv2

           ถือได้ว่าเป็นเรื่องราวที่ถูกกล่าวถึงเป็นอย่างมาก สำหรับเรื่องราวของ "ท้าวเวสสุวรรณ" ที่ชายคนหนึ่งเชื่อว่า ท่านได้คร่าชีวิตลูกชายของเขาไปต่อหน้าต่อตา เนื่องจากลูกชายไปผิดคำสาบานต่อท่าน ซึ่งรายการคนอวดผีช่วง "ศูนย์บรรเทาทุกข์ผี" ในวันพุธที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา ได้นำเสนอเรื่องราวสุดเศร้าและสะเทือนใจต่อการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของลูกชาย เพราะคำสาบาน ที่ไม่เป็นไปตามสัญญา !!

          โดยสามีภรรยาคู่นี้ ชื่อว่า "จักรกฤษณ์ สีเขียว" หรือคุณหมู และ "ศิริกร อมแย้ม" หรือ คุณใจ ซึ่งคุณหมู ผู้เป็นสามี ได้เล่าให้ฟังว่า ตนคบหากับภรรยามาหลายปีแล้ว แต่ไม่มีลูกเสียที เนื่องจากตนกับภรรยาอายุห่างกันถึง 8 ปี อาจจะทำให้มีลูกยาก ตนจึงเดินทางไปไหว้ "ท้าวเวสสุวรรณ" ที่ จ.ลำปาง เพื่อขอลูก

          "เรื่องท้าวเวสสุวรรณนั้น ตนทราบจากผู้ใหญ่อีกที เขาบอกว่าถ้าตนอยากได้ลูก ให้ลองไปขอดู โดยให้ตนเข้าไปในต้นโพธิ์ ห้ามผู้หญิงเข้า แล้วจุดธูป 7 ดอก จากนั้นตนก็บอกว่า ตนขอลูก อยากได้ลูก พอหลังจากขอเสร็จประมาณเกือบ 2 เดือน ภรรยาของตนก็ตั้งท้อง ทำให้ตนเชื่อเต็มหัวใจเลยว่า ลูกของตนเกิดมาได้เพราะท่านท้าวเวสสุวรรณประทานให้" คุณหมู เล่า

          ด้าน คุณใจ เล่าให้ฟังว่า ลูกชายของตนชื่อ เอ เป็นเด็กที่ค่อนข้างเกเร ก่อนที่จะเสียชีวิต เขาบอกกับตนว่า ถ้าตนออกรถให้ เขาจะไปสาบานว่าจะเลิกยา เลิกเหล้า และจะเลิกทุกอย่าง ถ้าเขาทำไม่ได้ก็ขอให้เขามีอันเป็นไป ส่วนคุณหมูก็ได้บอกกับลูกว่า อย่าไปสาบานเลย เพราะไม่เรื่องเล่น ๆ นะลูก แต่ลูกตนไม่ฟัง เดินทางไปสาบานต่อ ท้าวเวสสุวรรณ องค์เดียวกันกับที่ตนขอให้เขามาเกิด

          จากนั้นไม่นาน คุณใจก็ได้ออกรถให้ตามสัญญา ซึ่งลูกชายของเขาก็ยังไม่ยอมทำตามที่สาบานไว้ ยังกินเหล้า และเกเรเหมือนเดิม แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เมื่อจู่ ๆ เอ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ได้ประสบอุบัติเหตุรถชน และเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุอย่างไม่มีวันกลับ

         โดยคุณหมูได้เล่าด้วยน้ำตานองหน้าว่า วันนั้นขี่มอเตอร์ไซค์คนละคันกับลูก และแยกจากกันตรงแยก ๆ หนึ่ง พอตนกลับรถได้เพียงชั่ววินาทีเดียว ก็ได้ยินเสียงโครมเป็นอุบัติเหตุรถตู้ชนรถมอเตอร์ไซค์ คนวิ่งมามุงดูกันใหญ่ ตอนแรกตนก็ไม่คิดว่าเป็นลูกของตน แต่เมื่อตนไปดูใกล้ ๆ ก็พบว่า เป็นลูกเอของตนจริง ๆ วินาทีนั้น ตนทำอะไรไม่ถูก เพราะสิ่งที่มีค่าที่สุดของตนได้จากไปแล้ว ... ร่างของลูกอ่อนปวกเปียก คอหัก และเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ

         ขณะที่ คุณใจ ได้เล่าเกี่ยวกับลางสังหรณ์ ก่อนที่ลูกเอจะเสียชีวิตให้ฟังว่า วันนั้นลูกเอได้โทรมาหาตนและคุยกับตนนานเป็นพิเศษ โดยบอกว่า หนูอยากคุยกับแม่ให้นาน..นานที่สุด แล้วเขายังเล่าให้ฟังอีกว่า สร้อยคอห้อยท้าวเวสสุวรรณที่เขาแขวนติดตัวไว้ตลอดเวลา ลูกเอได้เอาออกมาทำความสะอาด แต่คอของท่านหัก ... ซึ่งเขาก็เสียชีวิตเพราะคอหักเช่นเดียวกัน ส่วนคุณพ่อก็บอกว่า เขาเคยบอกกับตนว่าเขาคงไม่ได้ตายดีแน่ ๆ

         เมื่อถามว่า หลังจากเสียชีวิต มีเหตุการณ์อะไรแปลก ๆ บ้างหรือไม่ คุณใจ กล่าวว่า ในวันเผาเมื่อตนกลับมาที่บ้าน ตนได้กลิ่นของเขาแรงมาก ตนก็เลยบอกเขาว่า ตอนนี้เราอยู่คนละภพกันแล้ว แต่ถึงยังไงแม่ก็รักลูก และลูกไม่ต้องห่วง เพราะแม่จะดูแลหลานให้ดีที่สุด นอกจากนั้น คุณใจยังเล่าให้ฟังว่า ลูกเอมีลูกสาวหนึ่งคน ซึ่งทางฝั่งภรรยาเขาไม่ยอมเลี้ยงลูก เขาจึงเป็นห่วงลูกมาก ตอนที่ลูกเอเสียชีวิตใหม่ ๆ ตนได้ฝากหลานไว้กับคนเลี้ยงในช่วงกลางวัน พอตกเย็นคนรับเลี้ยงก็มาเล่าให้ฟังว่า หลานเห็นพ่อของเขา และบอกให้อุ้มไปเล่นกับพ่อของเขา พ่อของเขานั่งอยู่ตรงนี้ ซึ่งหลานพูดอย่างนี้เกือบทุกวันเลย

         ทั้งนี้ ทางรายการ ได้เชิญ คุณริว จิตสัมผัส เพื่อมาช่วยคุณหมู และคุณใจ ตอบคำถามที่ข้องใจเกี่ยวกับสาเหตุการตายว่า เกี่ยวกับท้าวเวสสุวรรณหรือไม่ และตอนนี้ลูกชายของเขาเป็นอย่างไรบ้าง

          คุณริว จิตสัมผัส กล่าวว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยทำร้ายใคร ที่เขาเสียชีวิตนั้นเป็นเพียงถึงอายุขัยของเขาแล้ว ส่วนเรื่องที่เขายังติดค้างในใจก็คือ เขาน้อยใจพ่อ และคิดว่าพ่อไม่รักเขามาตลอดเวลา เขาเลยเอาเวลาที่มีทั้งหมด ไปอยู่กับคนอื่น และอยากจะบอกว่า ลูกของคุณหมูยังไม่ได้ไปไหน ยังอยู่ที่บ้านของคุณ...

         คุณริว ยังกล่าวอีกว่า ตนอยากให้คุณหมูเลิกโทษตัวเองได้แล้ว ความจริงแล้วคุณหมูไม่ได้เชื่อว่า ท้าวเวสสุวรรณจะเอาลูกคืนไป แต่คุณหมูโทษตัวเองอยู่ในใจ ที่ทำให้ลูกเสียชีวิต ส่วนคุณใจ ก็อย่าเก็บสิ่งของหรือข้าวของของเขาไว้ เพราะเขาจะไปไหนไม่ได้

         พร้อมกันนี้ คุณริว ยังให้คุณหมูอโหสิกรรมให้ลูก ถึงแม้ว่าจะอโหสิกรรมตามคำสั่งคำสอนของพระไปแล้ว แต่คุณหมูยังไม่เคยบอกว่า คุณหมูรักลูก นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกของคุณหมูน้อยใจ จึงพยายามพิสูจน์ตัวเองให้พ่อแม่เชื่อใจโดยการไปสาบานนั่นเอง ต่อจากนี้ อยากให้คุณหมูและคุณใจ ดูแลสิ่งที่เป็นแก้วตาดวงใจของเขานั่นก็คือหลาน ให้เป็นอย่างดี ทดแทนในสิ่งที่เขาไม่เคยได้ แล้วเขาก็จะจากไปอย่างสงบจริง ๆ

        ท้ายนี้ ตนอยากจะฝากบอกถึงคุณพ่อทั้งหลาย ที่ไม่กล้าแสดงความรักต่อลูกชาย ไม่กล้ากอด หรือบอกรัก ตนอยากบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นลูกชาย หรือลูกสาว อย่างไรก็ตาม เขาก็ต้องการการแสดงออกทางความรักจากผู้เป็นพ่อบ้าง เราอาจจะดูอยู่ห่าง ๆ แต่ถ้าเขามีเรื่องร้ายมา ก็ปลอบใจให้ปรึกษา อย่าไปด่า ส่วนถ้าเขามีเรื่องดีใจเข้ามา ก็แสดงความยินดีกับเขา แค่นี้เองลูกก็จะมีความสุขแล้ว ... สำหรับเรื่องการสาบาน ขอย้ำอีกทีว่า การสาบานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์  เป็นการสาบานเพื่อยืนยันกับตนเองเท่านั้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยทำร้ายใคร แท้ที่สุดแล้วเรื่องราวต่าง ๆ นั้นเกิดจากผลกระทำของตัวเองทั้งสิ้น
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-10-20 14:35 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ประวัติและเรื่องราวของท้าวเวสสุวรรณ

http://tipsumpus.com/?pid=811fbae9-e045-46b0-87c3-e0de84018f4e&ctid=6f99dd4b-76ca-4386-add2-9314c8ccc6fd


ท้าวกุเวร หรือ ท้าวเวสสุวรรณ เป็นอธิบดีแห่งอสูรย์หรือยักษ์ หรือเป็น
เจ้าแห่งผีเป็นหนึ่งในบรรดาท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ผู้คุ้มครองและดูแลโลกมนุษย์สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุทรงอิทธิฤทธิ์อานุภาพมากประทับ ณ โลกบาลทิศเหนือ มียักษ์เป็นบริวาร คนไทยโบราณนิยมนำผ้ายันต์รูปยักษ์ผูกไว้ที่หัวเตียงเด็กเพื่อป้องกันวิญญาณชั่วร้ายไม่ให้มารังควาญแก่เด็ก ท้าวกุเวรองค์นี้มีกล่าวถึงในอาฏานาฏิยปริตว่านำเทวดาในสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา มาเฝ้าพระพุทธเจ้า และได้ถวายสัตย์ที่จะดูแลพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกไม่ให้ยักษ์หรือบริวารอื่น ๆ ของท้าวจตุโลกบาลไปรังควาญ ท้าวกุเวรหรือท่านท้าวเวสสุวรรณนั้นส่วนมากเราจะพบเห็นในรูปลักษณ์ของยักษ์ยืนถือกระบองยาวหรือคทา (ไม้เท้าเป็นรูปกระบอง) กันซะส่วนใหญ่ แต่แท้ที่จริงแล้ว ยังมีรูปเคารพของท่านในรูปของชายนั่งในท่า มหาราชลีลามีลักษณะอันโดดเด่นคือพระอุระพลุ้ยอีกด้วย กล่าวกันว่าผู้มีอาชีพสัปเหร่อ หรือมีอาชีพประหารชีวิตนักโทษ มักพกพารูปท้าวเวสสุวรรณสำหรับคล้องคอเพื่อเป็นเครื่องรางของขลังป้องกันภัยจากวิญญาณร้ายที่จะเข้ามาเบียดเบียน ในภายหลังภาพลักษณ์ของท้าวกุเวรที่ปรากฏในรูปของชายพุงพลุ้ยเป็นที่เคารพนับถือ ในความเชื่อว่าเป็นเทพแห่งความร่ำรวย แต่ท้าวกุเวรในรูปของท้าวเวสสุวรรณซึ่งมาในรูปของยักษ์เป็นที่เคารพนับถือว่า เป็นเครื่องรางของขลังป้องกันภูติผีปีศาจ สารานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่มที่ 3 หน้า 1439 กล่าวถึงท้าวกุเวรหรือท้าวเวสสุวรรณไว้ว่า กุเวร-ท้าว พระยายักษ์ผู้เป็นเจ้าแห่งขุมทรัพย์มียักษ์ และคุยหกะ (ยักษ์ผู้เฝ้าขุมทรัพย์) เป็นบริวาร ท้าวกุเวรนั้นบางทีก็เรียกว่าท้าวไวศรวัน (เวสสุวรรณ) ภาษาทมิฬเรียก "กุเวร" ว่า "กุเปรัน" ซึ่งมีเรื่องอยู่ในรามเกียรติ์ว่าเป็นพี่ต่างมารดาของทศกัณฐ์ และทศกัณฐ์ไปแย่งบุษบกของท้าวกุเวรไป ท้าวกุเวรมีรูปร่างพิการผิวขาวมีฟัน 8 ซี่ และมีขาสามขา (ภาพท้าวเวสสุวรรณจึงมักเขียนท่ายืนแยงแยถือไม้กระบองยาว อยู่หว่างขา) เมืองท้าวกุเวรชื่อ "อลกา" อยู่บนเขาหิมาลัย มีสวนอุทยานอยู่ไหล่เขาแห่งหนึ่งของเขาพระสุเมรุชื่อว่า "สวนไจตรต" หรือ "มนทร" มีพวกกินนรและคนธรรพ์เป็นผู้รับใช้ ท้าวกุเวรเป็นโลกบาลประจำทิศเหนือ ท้าวกุเวรนี้สถิตอยู่ยอดเขายุคนธรอีสานราชธานี มีสระโกธาณีใหญ่ 1 สระชื่อ ธรณีกว้าง 50 โยชน์ ในน้ำ ดารดาษไปด้วยประทุมชาติ และคลาคล่ำไปด้วย หมู่สัตว์น้ำต่างพรรณ ขอบสระมีมณฑปชื่อ "ภคลวดี" กว้างใหญ่ 12 โยชน์ สำหรับเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ ปกคลุมด้วยเครือเถาภควดีลดาวัลย์ ซึ่งมีดอกออกสะพรั่งห้อยย้อยเป็นพวงพู ณ สถานที่นี้เป็นสโมสรสถานของเหล่ายักษ์บริวาร และยังมีนครสำหรับเป็นที่แปร
เทพยสถานอีก 10 แห่ง ท้าวกุเวรมียักษ์เป็นเสนาบดี 32 ตน ยักษ์รักษาพระนคร 12 ตน ยักษ์เฝ้าประตูนิเวศ 12 ตน ยักษ์ที่เป็นทาส 9 ตน นอกจากนี้ยังมีกล่าวว่าท้าวเวสสุวรรณยังมีกายสีเขียว สัณฐานสูง 2 คาวุตประมาณ200 เส้น มีอาวุธเป็นกระบอง มีพาหนะ ช้าง ม้า รถ บางทีปราสาท อาภรณ์มงกุฎประดับรูปนาค ดำรงอิสริยศเป็นเจ้าแห่งยักษ์ มีบริวารแสนโกฏิ ถือโล่แก้วประพาฬ หอกทอง ท่านท้าวเวสสุวรรณ ๑ใน ๔ ท้าวจตุโลกบาล โดยมีท้าวธตรฐดูแลพื้นที่อยู่ทางทิศตะวันออก ท้าววิรุฬหกดูแลรักษาพื้นที่อยู่ทางทิศใต้ ท้าววิรูปักข์ดูแลรักษาพื้นที่อยู่ทิศตะวันตก และท้าวเวสสุวรรณรักษาพื้นที่อยู่ทางทิศเหนือ โดยทั้ง ๔ ท่านมีหน้าที่แบ่งกันปกครองทั้งเหล่าคนธรรพ์ กินรี กินนร กุมภัณฑ์ นาค เทวดา และยักษ์ อยู่บนสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา ในส่วนของท้าวเวสสุวรรณ ท่านจะปกครองเหล่าอสูรและยักษ์ ตลอดจน
ภูติผีปีศาจทั้งหลาย ตามตำนานกล่าวว่าเริ่มแรก ท่านท้าวเวสสุวรรณปกครองอยู่ เมืองลงกา ต่อมาได้ถูกทศกัณฑ์มายึด และขับไล่ให้ท่านไปอยู่ที่อื่นพร้อมทั้งแย่งบุษบก (ของวิเศษที่พระพรหมมอบให้)ไปครอบครองอีกท้าวเวสสุวรรณจึงได้มาสร้างเมืองใหม่อยู่บนสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา โดยท่านมีหน้าที่ดูแล ปกครองเหล่าอสูร ยักษ์ ตลอดจนเหล่าภูติผีปีศาจทั้งหมด และยังเป็นเจ้าบัญชีพระกาฬใหญ่ ท่านท้าวเวสสุวรรณท่านเป็นยักษ์ที่ใจบุญ อีกทั้งยังให้ความเคารพนับถือในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างยิ่ง ในสมัยพุทธกาล กล่าวว่ามีพระภิกษุสงฆ์ สามเณร ที่ออกเดินธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพร เพื่อแสวงหาโมกขธรรม มีพระภิกษุสงฆ์บางรูปที่ยังไม่ได้สำเร็จอภิญญามักจะโดนบรรดาภูติผีปีศาจ หลอกหลอนไม่เป็นอันได้ปฏิบัติกิจของสงฆ์ คือการเจริญสมาธิกรรมฐานเพื่อชำระจิตใจให้สงบได้อย่างเต็มที่ ท่านท้าวเวสสุวรรณได้เสด็จลงมาจากเทวโลกเพื่อมากราบนมัสการสมเด็จพรสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมทั้งถวายมนต์ “ภาณยักษ์” ให้ไว้เพื่อเป็นมนต์ป้องกันเวลาพระภิกษุ สามเณร ที่ออกเดินธุดงค์ตามป่าเขา ถูกบรรดา ภูติผี ปีศาจ ยักษ์ เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิ หลอกหลอน ซึ่งมนต์ “ภาณยักษ์” บทนี้ยังนำมาใช้สวดกันอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ โดยการสวดมนต์ “ภาณยักษ์” บทนี้มักจะทำเป็นพิธีการยิ่งใหญ่ ทุกวัดมักจะจัดให้มีการสวด “ภาณยักษ์” นี้ขึ้นเชื่อกันว่าใครที่ถูกคุณ ถูกของหรือโดนผีเข้าเจ้าสิง เมื่อเข้าไปในบริเวณพิธีสวด “ภาณยักษ์” สิ่งอัปมงคลต่างๆที่มีอยู่ในตัวก็จะหมดไปด้วย มนต์ภาณยักษ์อันวิเศษบทนี้และนอกจากนี้ ท้าวเวสสุวรรณยังเป็นเทพเจ้าแห่งความร่ำรวยสัญญลักษณ์แห่งมหาเศรษฐี ในหนังสือเทวกำเนิดของพระยาสัจจาภิรมย์ ระบุชื่อท้าวเวสสุวรรณ ล้วนมุ่งหมายทางมหาเศรษฐีมั่งมีทรัพย์ อาทิ ท้าวรัตนครรถ (ผู้มีเพชรเต็มพุง) ท้าวกุเวรธนบดี (ผู้เป็นใหญ่ในทรัพย์) ท้าวธเนศวร (เจ้าทรัพย์) องค์อิฉาวสุ (ผู้มั่งมีได้ตามใจ) ท้าวเวสสุวรรณ (ยิ่งด้วยทอง) แม้แต่ชาวจีนก็ยกย่ององค์ท้าวเวสสุวรรณว่า เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภและความร่ำรวยในนาม “องค์ไฉ่ซิงเอี้ย” ซึ่งมีบูชากันทุกบ้านร่ำรวยทุกคนขับไล่ภูติผีปีศาจ วิญญาณร้าย แก้เสนียด อัปมงคลคุณไสยต่างๆหากท่านผู้ใดบูชาท่านท้าวเวสสุวรรณ ด้วยความเคารพศรัทธา จงเชื่อได้เลยว่าท่านจะประสบแต่ความโชคดีมีทรัพย์ ตลอดจนพ้นภัยจากบรรดาภูติผีปีศาจทั้งหลายในคัมภีร์โบราณ ได้กล่าวไว้ว่าผู้ใดหวังความเจริญในลาภยศ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจวาสนา ให้บูชารูป

ท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวกุเวร





ท้าวเวสสุวรรณแบบเทพ  ท้าวเวสสุวรรณแบบยักษ์


ในคัมภีร์ไตรภูมิพระร่วง เรียกท้าวเวสสุวรรณว่า “ท้าวไพศรพมหาราช” และได้พรรณนาถึงการแต่งองค์ไว้ว่า”ท้าวไพศรพมหาราชเป็นพระยาแก่
ฝูงยักษ์แลเทพยดาทั้งหลายฝ่ายทิศอุดรเถิงกำแพงจักรวาลเบื้องอุดรทิศ
พระสุเมรุราชแลเครื่องประดับตัว แลบริวารทั้งหลายเทียรย่อมทองเนื้อ
สุกฝูงยักษ์ทั้งหลายนั้น บ้างถือค้อน ถือสากแลจามจุรีเทียรย่อมทองคำบ่มิ
รู้ขิร้อยล้านแลฝูงยักษ์นั้นมีหน้าอันพึงกลัวแลท้าวไพศรพจึงขึ้นม้าเหลือง
ตัวหนึ่งดูงามดั่งทอง” จากคำพรรณนาดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าท้าวเวสสุ
วรรณหรือท้าวไพศรพนั้นร่ำรวยมหาศาลมีทองคมากมายไม่รู้กี่ร้อยล้าน
ทั้งยังมีเครื่องประดับเป็นทองคำ บริวารก็ถือ ค้อนทอง สากทอง และทรง
ม้าสีทอง ฝ่ายพุทธศาสนามีปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎกมหานิทานสูตร มหาวรรคทีฆนิกายกล่าวไว้ว่าดินแดนที่ประทับของท้าวเวสสุวรรณชื่ออาลกมันทา
ราชธานีเป็นนครเทพเจ้าที่งดงามรุ่งเรืองมากโดยท้าวเวสสุวรรณเทวราช
โลกบาลองค์นี้เป็นพระริยบุคคลชั้นโสดาบันและเมื่อพระมหาโมคคัลลา
นะเดินทางขึ้นมาเยี่ยมเยียนพระอินทร์ท้าวสักกะเทวราช ณ มหาปราสาท
ไพชยนต์วิมาน ท้าวเวสสุวรรณพระองค์นี้ก็ได้เสด็จเข้าร่วมให้การต้อน
รับด้วยพระเจ้าพิมพิสารกษัตริย์แห่งแคว้นมคธ หลังจากที่เสด็จสวรรคต
เนื่องจากการทารุณกรรมของพระเจ้าอชาตศัตรูผู้เป็นราชโอรสที่เข้ายึด
อำนาจก็ได้มาอุบัติในโลกสวรรค์เป็นพญายักษ์เสนาบดีตนหนึ่งของท้าว
เวสสุวรรณนั่นเอง ในอรรถาโลภปาลสูตรกล่าวว่าเมื่อถึงวันอุโบสถคือขึ้นหรือแรม๘ค่ำ และ
๑๕ ค่ำ ท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ องค์ จะลงมาตรวจโลกมนุษย์อยู่เสมอโดยจะ
ถือแผ่นทองและดินสอมาด้วยและจะเที่ยวเดินดูไปทุกแห่งทั่วถิ่นฐานบ้าน
เมืองใหญ่น้อยทั้งหลายในโลกมนุษย์ถ้าใครทำบุญประพฤติธรรมทำความ
ดีก็จะเขียนชื่อและการกระทำลงบนแผ่นทองคำแล้วนำแผ่นทองคำไปให้
ปัญจสิขรเทวบุตรซึ่งจะนำไปให้พระมาตุลีอีกต่อหนึ่ง พระมาตุลีจึงเอาไป
ทูลถวายแด่พระอินทร์ถ้าบัญชีในแผ่นทองมีมากเทวดาทั้งหลายก็จะแซ่
ซ้องสาธุการ ด้วยความยินดีที่มนุษย์จะได้ขึ้นสวรรค์มาก แต่หากมนุษย์
ใดทำความชั่วก็จะจดชื่อส่งบัญชีให้ท้าวยมราช เพื่อให้นายนิริยบาลทั้ง
หลายจะได้ทำกรรมกรณ์ ให้ต้องตามโทษานุโทษเท่าสัตว์นรกเหล่านั้น ศิลาจารึกสมัยกรุงศรีอยุธยากล่าวว่า ท้าวเวสสุวรรณ มีปราสาทช้างเรือง
อร่ามด้วยแสงแก้วอยู่เหนือยอดเขายุคนทร มียักษ์เฝ้าประตูวังและยักษ์
เสนาบดีอยู่หลายตนมีร่างทิพย์ ม้าทิพย์ ราชรถทิพย์และบุษบกทิพย์ มี
ศักดิ์เป็นใหญ่แก่ฝูงยักษ์ทั้งหลาย ๙ ตนมีบริวารที่เรียกว่า”ยักขรัฏฐิภะ”
ซึ่งมีหน้าที่สืบข่าวและตรวจตราเหตุการณ์ต่างๆรวม ๑๒ ตนและยังมียักษ์
ที่สำคัญเป็นเสนาบดียักษ์อีก ๒๘ นายที่คอยรับใช้ท้าวเวสสุวรรณอยู่ดังจะ
เห็นว่า ท้าวเวสสุวรรณ มีกำเนิดจากหลายตำนาน แม้กระทั่งในลัทธิของ
จีนฝ่ายมหายานว่า ท้าวโลกบาลทิศอุดรมีชื่อว่า ”โตบุ๋น” เป็นขุนแห่งยักษ์
มีพวกยักษ์บริวารมีกายสีดำ ถือดวงแก้วและงู ทางทิเบตมีกายสีทองคำถือ
ธงและพังพอน ทางญี่ปุ่น ถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภนามว่า "พิสมอน"
ถือแก้วมณีทวนและธงตามที่ได้พรรณนามานั้นเป็นเพียงประวัติย่อๆของ
ท้าวเวสสุวรรณเพื่อชี้ให้เห็นว่าท่านมีความสำคัญมากเพียงใดโบราณา
จารย์จึงได้จัดสร้างรูปไว้เคารพบูชามาตั้งกว่าพันปีมาแล้ว โดยสรุปแล้วท้าวเวสสุวรรณ ถือเป็นเทพเจ้าที่สำคัญยิ่ง เป็นที่เคารพนับ
ถือในหลายต่อหลายประเทศ ในไทยเราเองนั้นนับถือเทพเจ้าองค์นี้มาก
ในฐานะผู้คุ้มครองให้ปลอดภัยจากวิญญาณร้าย ดังเราจะเห็นได้ว่าครุบา
อาจารย์มักทำผ้ายันต์ท้าวเวสสุวรรณ เป็นผืนสีแดงไว้ติดตามประตู เพื่อ
ป้องกันภูตีผีปีศาจ คติความเชื่อนี้ถือว่าเก่าแก่ และเป็นที่คุ้นตาที่สุด หรือ
อย่างพิธีสวดภาณยักษ์ ก็เช่น พระคาถาภาณยักษ์ หรือบท “วิปัสสิ” นี้เป็น
พระคาถาทีท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ท่าน โดยมีท้าวเวสสุวรรณเป็นหัวหน้านำ
มามอบให้พระพุทธเจ้า ปัจจุบันเราก็ยังสามารถพบเห็นการสวดภาณยักษ์
ได้อยู่ และจะเห็นรูปท้าวเวสสุวัณเด่นเป็นสง่าเสมอในพิธีสวดภาณยักษ์นี้
เพราะท้าวเวสสุวรรณเป็นผู้ที่มีสิทธิเฉียบขาดในการลงโทษภูตีผีปีศาจทั้ง

หลาย จึงเป็นที่ศรัทธาเชื่อมั่นว่า ท้าวเวสสุวรรณนี้เป็นเทพเจ้าที่มีคุณใน
การทำลายล้างสิ่งอัปมงคล ทั้งกันทั้งแก้เรื่องผีปีศาจ คุณไสยมนต์ดำทั้ง
หลายได้ ทั้งยังให้คุณเรื่องโภคทรัพย์อีกประการหนึ่งดังที่กล่าวมาแล้ว       






คาถาบูชาปู่ท้าวเวสสุวรรณ



จุดธูป 9 ดอก และตั้ง นะโม 3 จบ



อิติปิ โส ภะคะวา ยมมะราชาโน
ท้าวเวสสุวรรณโณ มะระณัง สุขัง
อะระหัง สุคะโต นะโม พุทธายะ





  
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-10-20 14:37 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ท้าวเวสุวรรณ พญายักษ์ นายของผีทั้งปวง
http://forum.uamulet.com/view_topic.aspx?bid=2&qid=620
อยู่ในยมโลกมีทั้งหมดสี่ตน แต่ตนหนึ่งที่จะมีบทบาทเกี่ยวกับความตาย และโลกวิญญาณ พญายักษ์ทั้งสี่มีหน้าที่ดูแล จตุโลกบาล ประตูสู่ยมโลก ลักษณะหน้าตาของท้าวเวสุวรรณ เป็นยักษ์มีเขี้ยว ลักษณะทรงเครื่อง สองมือคุมกระบองไว้ ในนิ้วมือมีแหวนสวมด้วย ท่าทางน่าเกรงขาม น่ากลัว และมีอำนาจดุดัน  ความเชื่อของเราเชื่อว่าท้าวเวสุวรรณจะคุ้มครองสภานที่ต่าง ๆ รวมถึงมนุษย์ และดูแลไม่ให้วิญญาณ ล้ำเส้นแบ่งเขตมาสู่โลกมนุษย์ถ้าท่านรู้จะมาตามเก็บวิญญาณเหล่านั้น นับแต่โบราณมีการสร้างรูปเคารพท้าวเวสุวรรณทั้งนิกายมหายาน และหินยาน ของจีนของไทยก็มี ของไทยก็ไม่ต้องไปหาดูไกลดูยักษ์วัดพระแก้วนั้นแหละ ศิลปะของไทย ของจีนก็วัดโพธิ์ท่าเตียน ศิลปจีน ส่วนรูปที่สร้างเป็นรูปเคารพบูชามีทั้งรุ่นเก่าแก่ อายุหลายร้อยปี สร้างด้วยเนื้อชิน มีทั้งเนื้อชินเขียว ชินเงิน สำริด แต่หายาก ต่อมาก็มีการสร้างโดยเจ้าคุณศรีฯสนธ์ ขณะไปสร้างวัดกระโจมทอง สระบุรี เหตุผลที่ต้องสร้างก็เพราะผีดุทั้งช่างที่สร้างวัด พระสงฆ์ เฌร ประชาชน โดนผีหลอกกันถ้วนหน้า เป็นเหตุให้เจ้าคุณศรีฯ ดำริจะสร้างรูปเหมือนพญายักษ์ขึ้นเพื่อแจกจายแก่ประชาชนต่าง ๆ ไว้กันกูผีปีศาจ  ถัดมาอีก ที่วัดดอนยานนาวา วัดนี้ไม่คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องความดุของผีที่นี้เจอกันเป็นประจำ พระ เฌร โดนกันจนไม่กล้าออกมาจากกุฏิ  ทำให้อาจารย์กึ๋น แห่งวัดดอน ต้องจ้างช่าง มาเขียนรูปท้าวเวสุวรรณไว้ที่ประตูพระอุโบสถ สองตน ทำให้วิญญาณร้ายต่าง ๆ ไม่กล้าออกมาหลอกพระ เฌรอีก ยังมีการถ่ายรูปทำเป็นรูปติดกระจกไว้ห้อยคอ เพื่อกันโดนผีหลอก คณาจารย์หลายรูปก็นิยมสร้างรูปเหมือนท้าวเวสุวรรณ ทั้งหลวงปู่บุญ ลพ.เนื่อง วัดจุฬ่ามณี  ,อาจารย์เฮง ไพลวัลย์ , และเกจิต่าง ๆ ประสบการณ์จริงจากคนที่ใช้รูปเหมือนท้าวเวสุวรรณ เขากับเพื่อน และลูกน้องในบริษัท จัดงานประจำปี ไปเที่ยวกันที่ระยอง -ไปกันสาม รถทัวร์ เป็นร้อย ๆ คน เหตุการณ์ไม่มีอะไร ต่อเมื่อตกดึกขณะเขาและเพื่อน กำลังจะเข้านอนด้วยความเพลียรีบเข้านอน ทุกคนต้องเงียบเพื่อฟังเสียง ๆ หนึ่ง มันเป็นเสียงฝีเท้า ของชายรูปร่างใหญ่ ดำทะมึน เหมือนคนโบราณ แต่ไม่เห็นตัว ทุกคนนอนอยู่พยายามฟังเสียงเดินไปเดินมาใกล้กับกับตัวเขาและเพื่อน แต่ทุกคนไม่มีใครกล้าพูด เขาจึงอาราธณารูปเหมือนปู่ท้าวเวสสุวรรณ อธิฐานบอกให้รอดพ้น และจะทำบุญไปให้ เมื่อรู้สึกว่าเงาดำหายไป จึงลุกขึ้นเปิดไฟถามเพื่อน ๆ ทุกคนว่าเห็นเละได้ยินเหมือนกันไหมทุกคนก็ตอบว่าเห็นและได้ยิน ถามไปถามมาว่าใครไปทำอะไร ก็ได้ความจากลูกน้องคนหนึ่งเมื่อก่อนจะเข้านอน ตอนหัวค่ำ ตนปวดฉี่ แต่เมาเลยมักง่ายฉี่มันตรงเสาบังกะโล  คิดว่าเจ้าที่ คงจะไม่ชอบใจแน่ที่ทำอย่างนี้เลยมาวนเวียนให้เห็นจะเอาเรื่อง แต่คิดว่าด้วยอำนาจท้าวเวสุวรรณที่ห้อยคออยู่เลยทำให้ไม่เกิดเรื่องไม่ดีขึ้น อีกคนหนึ่งพาลูกน้องกลับบ้านเกิดที่เชียงราย แต่พอกลับมากรุงเทพ ลูกน้องหลายคนมีอาการนอนไม่หลับ กระสับกระส่ายเหมือนมีสิ่งไม่ดีตามมา ตั้งแต่ตอนอยู่ที่เชียงราย เลยคิดว่าจะไปเช่าท้าวเวสุวรรณของใหม่วัดสุทัศน์มาให้ลูกน้องห้อยคอ ทุกคน เรื่องแปลก ทุกคนนอนหลับเป็นปกติ ไม่มีละเมอ หรือสะดุ้งตื่นเหมือนก่อน คิดว่าน่าจะเกิดจากการบูชารูปปู่ท่าวเวสสุวรรณ เรื่องราวอาถรรพ์ของไทยเกี่ยวกับเรื่องผี สาง ที่ไหนเฮี้ยน ๆ มักจะนำท้าวเวสสุวรรณไปบูชาที่นั้นก็จะสงบ ไม่มีเหตุไม่ดีเกิดขึ้น ใครขึ้นบ้านใหม่ หรือไปค้างแรมที่ต่าง ๆ อย่าลืมถ้าท่านเป็นคนกลัวผี พกพระรูปเหมือน หรือรูปถ่ายท้าวเวสุวรรณติดตัวไปด้วย ก่อนนอนอาราธณาดี ท่านจะนอนหลับไม่มีเรื่องแปลก มากวนใจ บางคนโดนหลอกหนัก ๆ ถึงจับไข้หัวโกร๋น อย่าลืมสถานที่แต่ละสถานที่ไม่เหมือนกัน บางทีมีความเป็นมายาวนาน หรือมีเหตุไม่ดีเกิดขึ้นกับที่นั้น เราไปทีหลังอาจไม่ทราบหรือไม่รู้ว่ามีอะไรแปลก ๆหรือเปล่า  พกท่าวเวสุสุวรรณไปด้วยเพื่อความปลอดภัย  ด้วยความหวังดี
8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-10-20 14:48 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ยักษ์สุวรรณภูมิ


ไมยราพณ์



พญายักษ์สุวรรณภูมิมี ๑๒ ตนและมีประวัติดังนี้
ทศกัณฐ์
คงไม่ต้องบอกมาก ทศกัณฐ์เป็นโอรสของท้าวลัสเตียน และพระนางรัชฎาต่อมาได้เป็นกษัตริย์ครองกรุงลงกา มีสิบหน้า ยี่สิบมือ ชาติก่อนเป็นยักษ์ชื่อนนทก ที่ถูกพระนารายณ์สังหารและสาปให้มาเกิดบนโลกมนุษย์ ถอดดวงใจฝากไว้กับฤๅษีโคบุตรผู้เป็นอาจารย์ จึงไม่มีใครสามารถสังหารได้ ในเวลาต่อมา ได้ไปชิงนางสีดามาจากพระราม จึงเกิดมหาสงครามขึ้น ท้ายที่สุดแล้ว ได้ถูกพระรามแผลงศรไปปักอก และถูกหนุมานขยี้กล่องดวงใจ จึงสิ้นชีพในที่สุด

มังกรกัณฐ์  เป็นโอรสของพญาขร น้องชายของทศกัณฐ์ ทศกัณฐ์ได้เรียกมาช่วยให้มารบขัดตาทัพในช่วงที่อินทรชิตไปทำพิธีชุบศรนาคบาศ โดยทศกัณฐ์ได้ให้จักรแก้วที่อินทรชิตชิงมาจากพระอินทร์ให้มังกรกัณฐ์ไปเป็น อาวุธด้วย มังกรกัณฐ์ใช้แผนการแยกร่างออกนับร้อยนับพัน แต่สุดท้ายก็ถูกพระรามสังหารหมด

จักรวรรดิ เป็นกษัตริย์ครองกรุงมลิวัน เป็นสหายคนสุดท้ายของทศกัณฐ์ หลังจากที่รู้ข่าวจาก ไพนาสุริยวงศ์ โอรสองค์เล็กของทศกัณฐ์ว่าทศกัณฐ์ถูกพระรามสังหาร โดยมีพิเภกป็นไส้ศึก จึงได้ยกทัพมาบุกกรุงลงกา และจับท้าวทศคิริวงษ์ หรือ พิเภกไปขังไว้ ก่อนจะสถาปนาไพนาสุริยวงศ์เป็นท้าวทศพิน กษัตริย์องค์ใหม่แห่งกรุงลงกา ต่อมา พระรามได้สั่งให้ พระพรตและพระสัตรุด ยกทัพไปช่วยพิเภกและปราบท้าวจักรวรรดิ เมื่อช่วยพิเภกได้แล้ว พระพรตก็ยกทัพต่อไปยังกรุงมลิวัน ท้าวจักรวรรดิได้ออกรบ และถูกพระพรตสังหารในที่สุด

อินทรชิต เป็นโอรสของทศกัณฐ์กับนางมณโฑ เดิมชื่อรณพักตร์ แต่ต่อมา สามารถรบชนะพระอินทร์ได้ ทศกัณฐ์จึงเปลี่ยนชื่อให้ใหม่เป็นอินทรชิต แปลว่า ผู้ชนะพระอินทร์ มีนางสุวรรณกันยุมาเป็นชายา และมีโอรสชื่อยามลิวัน กับ กันยุเวก เคยได้รับพรจากพระพรหมให้สามารถแปลงกายเป็นพระอินทร์ได้ ซึ่งอินทรชิตเคยนำเอาความสามารถนี้มาใช้ในการศึก จนสามารถแผลงศรพรหมาสตร์ไปถูกพระลักษมณ์ได้ ท้ายที่สุด ถูกพระลักษมณ์แผลงศรไปตัดเศียรขาดกลางอากาศ และองคตได้ไปนำเอาพานแว่นฟ้าของพระพรหมมารองรับเศียรไว้ได้ เพราะอินทรชิตเคยได้รับพรจากพระพรหมอีกข้อว่า หากเศียรขาดตกถึงพื้น จะเกิดไฟบรรลัยกัลป์ลุกท่วมโลก ต้องนำพานแว่นฟ้าของพระองค์มารองรับเท่านั้น
สหัส เดชะ กษัตริย์ครองกรุงปางตาล เป็นสหายกับทศกัณฐ์ มีพันหน้า สองพันมือ เมื่อครั้งที่ มูลพลัม ผู้เป็นน้องชาย ถูกทศกัณฐ์เรียกตัวไปช่วยรบ สหัสเดชะก็ได้ติดตามไปด้วย เมื่อทราบว่ามูลพลัมถูกพระลักษมณ์สังหารแล้ว ก็เร่งยกทัพไปแก้แค้น แต่หนุมานก็แปลงกายเป็นทหารวานรชื่อ สังขะ มาดักไว้ ทำทีมาขอสวามิภักดิ์ด้วย เมื่อสบโอกาส หนุมานได้นำเอาตะบองต้นชี้ตายปลายชี้เป็น ซึ่งเป็นอาวุธสำคัญของสหัสเดชะมาทำลาย ก่อนจะคืนร่างเดิม และเข้าต่อสู้กับสหัสเดชะ ก่อนจะสังหารสหัสเดชะได้ในที่สุด

ไมยราพณ์ หรือ ไมยราพ เป็นโอรสของท้าวมหายมยักษ์ และพระนางจันทรประภา มีพี่สาวชื่อพิรากวน ซึ่งก่อนที่ท้าวมหายมยักษ์จะสิ้นพระชนม์ ได้ั่สั่งห้ามไมยราพ ไม่ให้ไปคบกับทศกัณฐ์ซึ่งมีใจพาล แต่เมื่อทศกัณฐ์มาชวนไปรบ ไมยราพก็ไปช่วยเพราะเกรงอำนาจของทศกัณฐ์ โดยไมยราพได้เป่ายาสะกดทัพพระรามให้หลับใหล และชิงตัวพระรามไปยังเมืองบาดาลเพื่อจะต้มกิน แต่หนุมานก็ตามลงไปช่วยขึ้นมาได้ หนุมานสังหารไมยราพด้วยการฆ่าแมลงภู่ที่บินอยู่รอบเขาตรีกูฏอันเป็นที่เก็บ หัวใจของไมยราพ

สุริยาภพ เป็นโอรสองค์โตของท้าวจักรวรรดิ มีหอกเมฆพัทเป็นอาวุธ สุริยาภพได้ซัดหอกเมฆพัทไปปักพระสัตรุด แต่พิเภกก็แนะนำตัวยาที่จะใช้รักษาพิษหอกเมฆพัท พระพรตจึงสั่งให้นิลพัทไปนำตัวยาทั้งหมดมา และในการศึกครั้งต่อมา พระพรตก็สังหารสุริยาภพได้

อัศกรรณมารา ครองเมืองดุรัม เป็นสหายของทศกัณฐ์ และได้ขอทศคีรีวัน ทศคีรีธร โอรสแฝดของทศกัณฐ์ไปเป็นบุตรบุญธรรม เมื่อทราบว่าทศกัณฐ์ ทศคีรีวัน และทศคีรีธรถูกสังหารแล้ว ก็ยกทัพมาดักพระรามในขณะที่จะเสด็จกลับกรุงอโยธยา พระรามได้แผลงศรไปตัดตัวท้าวอัศกรรณจนขาดเป็นสองท่อน แต่ท้าวอัศกรรณกลับเพิ่มเป็นสองตน ยิ่งแผลงศรใส่ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นจนมีท้าวอัศกรรณมารานับพันตน พิเภกจึงแนะนำวิธีสังหาร คือให้แผลงศรตัดตัวท้าวอัศกรรณให้ขาดครึ่งท่อนและกวาดร่างทั้งหมดลงน้ำ พระรามจึงแผลงศรไปตัดตัวท้าวอัศกรรณจนขาดครึ่งท่อน ส่วนพระลักษมณ์แผลงศรเป็นลมพัดเอาร่างทั้งหมดของท้าวอัศกรรณลงน้ำ ท้าวอัศกรรณจึงสิ้นชีพในที่สุด

วิรุญจำบัง เป็นโอรสของพญาทูษณ์ น้องชายของทศกัณฐ์ มีโอรสชื่อ วิรุญมุข ถูกเรียกตัวมารบพร้อมกับท้าวสัทธาสูร เมื่อท้าวสัทธาสูรถูกสังหารในสนามรบ วิรุญจำบังได้ไปหลบในฟองน้ำในทะเลสีทันดร แต่หนุมานก็ตามไปสังหารได้

วิรุฬหก เป็นยักษ์ที่จะมาเข้าเฝ้าพระอิศวรที่เขาไกรลาส เจ็ดครั้งต่อปี ซึ่งวิรุฬหกจะกราบขั้นบันได้ขึ้นเขาไกรลาสทุกขั้นด้วยความจงรักภักดี แต่ได้มีตุ๊กแกตัวหนึ่งชื่อ สรภู คอยแต่จะหัวเราะขำขันในการกระทำของวิรุฬหก เมื่อขึ้นไปถึงที่ประทับ ปรากฏว่า พระอิศวรยังไม่ทรงตื่นบรรทม ทำให้ถูกตุ๊กแกสรภูหัวเราะหนักขึ้นไปอีก ด้วยความแค้นใจ ทำให้วิรุฬหกซัดสร้อยสังวาลนาคเข้าใส่สรภูจนตายคาที่ แรงกระเทือนทำให้เขาไกรลาสทรุดเอียง ซึ่งต่อมา พระอิศวรได้มีรับสั่งให้ทศกัณฐ์มาดันเขาไกรลาสให้ตรงเหมือนเดิม

ทศ คีรีวัน และ ทศคีรีธร เป็นโอรสแฝดของทศกัณฐ์กับนางช้าง ซึ่งต่อมา ท้าวอัศกรรณได้ขอไปเป็นบุตรบุญธรรม เมื่อทั้งสองโตเป็นหนุ่ม ได้กลับมาเยี่ยมทศกัณฐ์ผู้เป็นบิดา เมื่อทราบว่าทศกัณฐ์กำลังทำศึกกับพระราม จึงได้ขอเข้าร่วมรบด้วย และถูกพระลักษมณ์สังหารทั้งคู่

ทศกัณฐ์

ในครั้งแรกพญายักษ์ทั้ง ๑๒ ตนนี้ได้ถูกจัดวางไว้ในบริเวณผู้โดยสารขาออก  แต่ในปี  ๒๕๒๒ ท่าอากาศยานได้จัดพิธีบวงสรวงและย้ายยักษ์ไปอยู่บริเวณผู้โดยสารขาเข้า  โดยให้ความเห็นว่า  ยักษ์ตั้งอยู่บริเวณผู้โดยสารขาออก  ผู้โดยสารกำลังเร่งรีบจึงไม่มีโอกาสได้ชมความงามของยักษ์  บริเวณผู้โดยสารขาออก  ผู้โดยสารมีเวลามากในการรอเครื่องบินจึงจะได้เห็นประติมากรรมอันงดงามของไทยได้มาก  อย่างไรก็ตามเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าการย้ายยักษ์เป็นการย้ายฮวงจุ้ยเพราะยักษ์ทั้งหมดเป็นพญายักษ์  นำไปตั้งไว้ในที่ๆคับแคบและไม่มีสง่าทำให้เกิดอาถรรพ์  ในช่วงนั้นสนามบินสุวรรณภูมิก็มีปัญหามากมายที่เกิดขึ้น  ทั้งด้านตัวอาคารการใช้งานและการบริการ  จึงเหมาเอาว่าเป็นเพราะตั้งยักษ์ผิดที่นั้นเองจึงทำให้เกิดอาถรรพ์ขึ้น  ก็ว่ากันไปตามประสาคนไทย


ท้าวเวชสุวรรณของจีน

อันที่จริงแล้วเรื่องของการใช้ยักษ์เฝ้าประตูวัดนั้น  คติโบราณน่าจะมาจากยักษ์ที่เป็นเทวดารักษาจตุโลกบาลทั้งสี่คือ  ท้าวเวชสุวรรณ หรือเรียกอีกอย่างว่าท้าวกุเวร  จีนเรียกว่า “ตัวเหวินเทียนหวัง” ท้าวกุเวรองค์นี้มีกล่าวถึงในอาฏานาฏิยปริตว่านำเทวดาในสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา มาเฝ้าพระพุทธเจ้า และได้ถวายสัตย์ที่จะดูแลพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกไม่ให้ยักษ์หรือบริวารอื่น ๆ ของท้าวจตุโลกบาลไปรังควาน
ท้าวกุเวรหรือท่านท้าวเวสสุวรรณนั้น ส่วนมากเราจะพบเห็นในรูปลักษณ์ของยักษ์ยืนถือกระบองยาวหรือคทา (ไม้เท้าเป็นรูปกระบอง) กันซะส่วนใหญ่ แต่แท้ที่จริงแล้ว ยังมีรูปเคารพของท่านในรูปของชายนั่งในท่า มหาราชลีลา มีลักษณะอันโดดเด่นคือ พระอุระพลุ้ยอีกด้วย กล่าวกันว่าผู้มีอาชีพสัปเหร่อ หรือมีอาชีพประหารชีวิตนักโทษ มักพกพารูปท้าวเวสสุวรรณ สำหรับคล้องคอเพื่อเป็นเครื่องรางของขลัง ป้องกันภัยจากวิญญาณร้ายที่จะเข้ามาเบียดเบียน ในภายหลังภาพลักษณ์ของท้าวกุเวรที่ปรากฏในรูปของชายพุงพลุ้ยเป็นที่เคารพ นับถือ ในความเชื่อว่าเป็นเทพแห่งความร่ำรวย แต่ท้าวกุเวรในรูปของท้าวเวสสุวรรณซึ่งมาในรูปของยักษ์เป็นที่เคารพนับถือ ว่า เป็นเครื่องรางของขลังป้องกันภูติผีปีศาจ
อย่างไรก็ตามท้าวกุเวรนี้ท่านเป็นจ้าวของภูติผีปีศาจ  รวมทั้งยักษ์ทั้งหลาย  จึงไม่น่าจะแปลกที่พญายักษ์รามเกียรติ์ก็คงจะถูกท่านสั่งมาให้เฝ้าวัด  ป้องกันภูติผีปีศาจไม่ให้มารังควานความสงบในวัดได้เช่นกัน
นี่เองกระมังจึงเป็นเหตุเป็นผลว่าทำไมสนามบินสุวรรณภูมิจึงมียักษ์มาเฝ้าเพื่อป้องกันคนไม่ดีไม่ให้เข้ามาในเมืองไทยได้
http://thailanewspaper.com/article/life_style/1461.php
ขอบคุณครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้