ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 45029
ตอบกลับ: 49
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ หลวงพ่อผินะ ปิยธโร วัดสนมลาว ~

[คัดลอกลิงก์]
ประวัติหลวงพ่อผินะ ปิยธโร

วัดสนมลาว (วัดไทยงาม)
ต.โคกแย้ อ.หนองแค จ.สระบุรี


ย้อนหลังกลับไป เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2545 ชาวบ้านต่างเดินทางไปที่ วัดสนมลาว หมู่ที่ 2 ต.โคกแย้ อ.หนองแค จ.สระบุรี ด้วยเกิดเหตุปรากฏการณ์ความมหัศจรรย์ ภายหลังการมรณภาพลงอย่างสงบของ “หลวงพ่อผินะ ปิยธโร” สิริอายุ 89 ปี เจ้าอาวาสวัดสนมลาว ร่างหลวงพ่อผินะ ปิยธโร นั่งหมดลมหายใจในท่านั่งขัดสมาธิอย่างสงบ เหตุที่ไม่ปกติเพราะท่านมรณภาพเมื่อเวลาประมาณ 05.14 นาฬิกา แต่เวลาล่วงเลยกว่า 12 ชั่วโมงแล้วร่างกายเนื้อตัวท่านยังอ่อนนิ่ม ไม่คล้ายดังคนที่หมดลมหายใจแต่อย่างใด

ก่อนหน้านี้หลวงพ่อผินะได้ ทำหนังสือเขียนสั่งไว้ มีใจความว่า “เมื่อฉันละสังขาร ขอให้ปฏิบัติตามนี้ คือ ห้ามฉีดยาศพโดยเด็ดขาด ให้เก็บศพไว้ในสภาพนั่งขัดสมาธิ ให้บรรจุศพไว้ในที่เตรียมไว้ ณ สุสานผินะ ไม่ต้องมีการสวดศพ ไม่ต้องบอกคนมาก ห้ามเผาศพโดยเด็ดขาด” สั่ง ณ วันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ.2545 ลงชื่อ พระผินะ ปิยธโร พระอาจารย์ใหญ่ประธานคณะปฏิบัติธรรม วัดสนมลาววิหาร

รูปถ่ายตอนท่านนั่งสมาธิถอดจิตมรณภาพ

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-5-24 09:48 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


อัตโนประวัติ

หลวงพ่อผินะ ปิยธโร มีนามเดิมว่า ทวาย หาญสาริกิจ เกิดเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2456 บ้านหัวลำโพง อ.ทัพทัน จ.อุทัยธานี วัยเด็กหลวงพ่อมีโรคประจำตัวรักษาไม่หาย หลังการร้องไห้ทุกครั้ง จะต้องมีอาการชักจนหน้าเขียว โยมมารดาพาไปหาหมอรักษาโรคแต่อาการไม่ดีขึ้น ครั้นพอหมดหนทางจึงได้พาบุตรชายไปหาหลวงพ่อสิน เจ้าอาวาสวัดหนองเตา ต.โนนขี้เหล็ก อ.เมือง จ.อุทัยธานี

หลวงพ่อสินระบุว่า ชื่อทวาย เป็นกาลกิณี ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นผินะ มาจากคำว่าผิน แปลว่า หันหน้า, หันหลัง, เปลี่ยนทิศทาง, ไม่แยแส, หรือเลิกคบกัน นับแต่นั้นอาการดังกล่าวได้ทุเลาลง

พ.ศ.2481 โยมบิดาได้ล้มป่วยและเสียชีวิต จึงได้บรรพชาเป็นสามเณรเพื่ออุทิศส่วนกุศล พออายุครบบวชจึงได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดหนองเต่า โดยมีพระครูอุดมคุณาภรณ์ เจ้าคณะอำเภอทัพทัน เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระมหาอำนวย เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ในระหว่างเป็นพระภิกษุ พระผินะได้ขออนุญาตเจ้าอาวาสออกไปจำพรรษาที่วัดเกาะเทโพ อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท ได้ศึกษาพระธรรมจากหลวงตาคำ ให้รู้ถึงสังขารร่างกายมนุษย์และสัตว์ ล้วนมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ร่างกายเน่าเปื่อย

พ.ศ.2481 ท่านสอบได้นักธรรมตรี และออกธุดงค์ ฝึกปฏิบัติกัมมัฏฐาน ณ วัดถ้ำตะโกพุทธโสภา อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี ก่อนจะเดินธุดงค์ไปในหลายจังหวัด ในภาคเหนือ ภาคใต้ ประเทศพม่า ลาว เขมร อินเดีย

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-5-24 09:49 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พ.ศ.2485 พระผินะได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร, หลวงปู่ฝั้น อาจาโร, หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน และพระอาจารย์อีกหลายรูปที่ได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์

พ.ศ.2527 หลวงพ่อผินะจาริกธุดงค์ผ่านมาถึงวัดโบราณ บ้านสนมลาวเขาโบถส์ ต.โคกแย้ อ.หนองแค จ.สระบุรี เป็นวัดร้าง แต่มีสถานที่เหมาะสำหรับการปฏิบัติธรรม ชาวบ้านจึงนิมนต์ให้จำพรรษาที่วัดแห่งนี้ ปัจจุบันกลายเป็นวัดสนมลาว และกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการ

หลวงพ่อผินะ เคยปรารภกับคณะศิษยานุศิษย์ว่า สถานที่แห่งนี้มีความเหมาะสมใช้เป็นที่ละสังขาร และได้มอบหมายให้จัดสร้างเตรียมไว้ล่วงหน้า เป็นอ่างน้ำด้านล่าง ที่ใส่สังขารอยู่ด้านบน อันเป็นปริศนาธรรม หมายถึงการอยู่เหนือพ้นน้ำ ดังเช่น บัวสี่เหล่าที่พระพุทธองค์ได้ทรงกล่าวเทศนาไว้ หรืออีกนัยหนึ่งคือ เหนือการตาย เวียนว่ายตายเกิด สำหรับสุสานที่เก็บสังขารหลวงพ่อผินะ คณะศิษยานุศิษย์ได้จัดสร้างเจดีย์ ลักษณะคล้ายองค์พระปฐมเจดีย์ครอบไว้สูงประมาณ 10 เมตร ด้านหน้ามีรูปหลวงพ่อผินะ ใต้ฐานเจดีย์เป็นน้ำ มีปลาแหวกว่าย ทุกวันจะมีสาธุชนที่ศรัทธาเลื่อมใสเดินทางมากราบไหว้สังขารหลวงพ่อผินะที่บรรจุในโลงแก้วอยู่เป็นประจำ

หลวงพ่อผินะ ท่านเป็นพระผู้ทรงอภิญญา มีฤทธิ์ทางใจเป็นอัศจรรย์ วัตถุมงคลยอดขลัง ประสบการณ์มหัศจรรย์ ท่านสำเร็จกสิณ 10 สามารถ แสดงฤทธิ์ต่างๆได้ ตามประสงค์ รู้วาระจิตของคนอื่น ปลุกเสกวัตถุมงคลขึ้นมาเหมือนมีชีวิตจิตใจ สามารถบนบอกได้ ขอได้ พูดกันรู้เรื่อง ขอให้มีของท่าน อะไรก็ได้ ใช้ได้เหมือนกัน


ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-5-24 09:50 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
คำบูชาหลวงพ่อผินะ ปิยธโร

จุดธูป 5 ดอก ตั้งนะโม 3 จบ

อะหัง สุขโต ผินะ ปิยะธะโร นามะเต อาจาริโยเม ภันเต โหหิ (ว่า 3 จบ)

คาถาบูชาวัตถุมงคลของพ่อผินะ

“นะเตสุเต” สวดเท่าอายุ ปิดท้ายด้วย “มหาสุเตนะชา”

อธิษฐานตามจิตปรารถนา

คัดลอกมาจาก ::
หนังสือพิมพ์ข่าวสด หน้า 30
คอลัมน์ สดจากหน้าพระ โดย เสรี สุพรรณ์นอก
วันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2548 ปีที่ 15 ฉบับที่ 5447
5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-5-24 09:51 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


พระพิศาลมงคลวัตร เจ้าคณะจังหวัดสระบุรี (ธรรมยุต) ในขณะนั้น กล่าวว่า ได้ทำการบรรจุศพในวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2545 และทำตามที่ท่านสั่งไว้ โดยสั่งช่างทำโลงแก้วบรรจุศพในท่านั่งขัดสมาธิ และนำไปตั้งไว้ที่สุสานผินะ ที่ท่านสั่งให้สร้างไว้แล้ว

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-5-24 09:51 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
sritoy
วันนี้ขอเล่าเรื่องสุนัขของหลวงพ่อ
    ช่วงที่กระผมได้พบกับหลวงพ่อนั้นหลวงพ่อท่านมีสุนัขคู่ใจ
สองตัว ชื่อเจ้าคุ้มและเจ้าครอง เป็นสุนัขพันธุ์ไทยเพศผู้สังเกตุ
น่าจะตอนแล้วตัวโต เวลาเห่าเสียงดังน่าตกใจยิ่งนักเจ้าสองตัวนี้
อยู่กับหลวงพ่อจนจนวาระสุดท้ายของหลวงพ่อหลังจากนั้นเจ้าสองตัว
มีอาการซึมเสร้าอย่างเห็นได้ชัด เหมือนขาดที่พึ่งที่สนิทใจเช่นเดียวกับ
ใครบางคนก็คือตัวกระผมเองเคว้งคว้างต้องใช้เวลาปรับใจพักใหญ่แล้ว
เจ้าคุ้มและเจ้าครอง ก็อยู่ในการดูแลของพระท่านมารักษาการเรื่อยมา
นานๆได้กลับไปวัดหลวงพ่ออีกครั้ง ทราบข่าวว่าทั้งสองตัวได้หมดอายุขัย
ที่ไล่เลี่ยกันคิดถึงเสียงของทั้งสองครับกระตุ้นสติดีนักแล กล่าวถึงสุนัขทำ
ให้นึกถึงคาถากันสุนัขกัดที่หลวงปู่เเคยให้ไว้ท่องป้องกันตัว ตอนทำงานใน
กรุงเทพโดนสุนัขกัดที่นิ้วชี้เย็บสี่เข็ม ไปหาหลวงพ่อจะขอพระเอาไว้ปลอบขวัญ
ตัวเองท่านบอกว่าไม่ต้องเสียเงินเสียทองก็ได้แค่ท่องคาถาเสกน้ำลาย"อิติ ปุระติ"
ลูบแข้งลูบขารับรองสุนัขกัดไม่เข้าถ้ากัดเสียหมาแน่ ท่านเล่าประสบการณ์แทรกด้วยว่า
มีหนุ่มไปจีบสาวที่บ้านสุนัขดุ กัดน่องเข้าให้เลยตัดพ้อเจ้าของบ้าน ลุงคนเจ้าของบ้านและ
เจ้าของลูกสาวบอกว่าให้ใช้คาถากันสุนัขกัดสิได้ผล ถ้าสุนัขกัดเข้าจะยกลูกสาวให้ หนุ่มเลย
ลองดูสักหน่อย ใจจริงอยากให้กัดเข้าจะได้ลูกสาวเค้าแบบไม่ต้องลงทุน(ฮา)หลวงพ่อบอกว่า
สุนัขกัดไม่เข้าตามคาดจริงๆ ปัจจุบันไม่รู้ว่าหนุ่มคนนั้นได้ศรีภรรยาเป็นคนบ้านสุนัขดุหรือเปล่า
วันนี้ขอเล่าเพียงนี้ครับ

7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-5-24 09:52 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
sritoy
ภาพถ่ายสักใบน่าจะใช้แทนตัวหลวงพ่อได้ครับ
ไม่จำป็นต้องทันหลวงพ่อก็ได้ครับ ประหยัด ปลอดภัย
ได้สาระดี

8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-5-24 09:53 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
sritoy
วันนี้ขอเล่าเรื่อง"คำสอนของหลวงพ่อ"
คำสอนของหลวงพ่อส่วนใหญ่จะปฏิณกะคำพูดสั้นๆ และที่ท่านชอบพูด
อยู่เสมอคือ"คนดีชอบทำ คนระยำชอบติ.."กระผมได้ยินแล้วสะดุ้งจิต
จริงๆครับ ทำให้เราย้อนมาดูตัวเองอยู่เสมอก่อนจะพูดถึงเรื่องของคน
อื่นต้องระมัดระวังใจตัวเองให้ดี ว่าที่เราพูดไปคนรับฟังจะรู้สึกอย่างไร
เราติหรือชมเขาหรือเปล่า หลวงพ่อท่านเน้นให้เราทำให้เป็นธรรมทุก
ก็ลงตัวและคำพูดที่ฝังในหัวของกระผมอยู่ทุกวันนี้คือ"ตัวตายแต่ชื่อยังอยู่
ชั่วฟ้าดินสลาย"ท่านมากระซิบที่ข้างหูตอนที่ผมกำลังเขียนข้อความ"สุสาน
พระอาจารย์ผินะ ปิยะธโร"ที่ข้างเชิงตะกอนที่หลวงพ่อเตรียมเอาไว้ก่อน
ท่านมรณภาพ  ทำให้เราต้องเร่งปฏิบัติความดีให้ดีถึงที่สุดเต็มความสามารถ
ก่อนตาย ตามรอยพระพุทธองค์ และพระสุปฏิปันโนทั้งหลาย..ครับ

9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-5-24 09:53 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ในเมืองไทยนั้นมักมีเรื่องราวที่เกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าพระภิกษุสงฆ์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นพระสงฆ์ที่ได้เจริญตามรอยแห่งพระพุทธเจ้าโดยแท้จริง หากได้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดก็จะมีปรากฏการณ์มหัศจรรย์แห่งจิตเกิดขึ้น ศาสนาพุทธนั้นเป็นศาสนาที่เน้นเรื่องจิตวิญญาณเป็นหลักใหญ่ และให้ปล่อยวางสังขารทั้งหลายเสีย เพราะร่างกายสังขารเหล่านั้นย่อมเป็นไปตามกฏแห่งไตรลักษณ์ อันเกิดขึ้นตั้งอยู่แปรเปลี่ยนและดับไป และจิตนี้สามารถแสดงกฤษดาปาฏิหารย์ต่างๆได้อย่างเต็มพลัง

หลายคนเคยได้ยินหรือเห็นเรื่องราวของ หลวงพ่อผินะ มาบ้างแล้ว ซึ่งชื่อนี้เพิ่งเริ่มมาปรากฏขึ้นตามสื่อต่างๆเมื่อสามปีที่แล้ว เพราะท่านเป็นพระที่นั่งสมาธิถอดจิตมรณภาพ และสังขารท่านไม่เน่าเปื่อย ท่านได้รู้วันมรณภาพของท่านก่อน อีกทั้งยังได้สั่งว่า “ จงเก็บร่างของฉันไว้ตรงนี้สิบปี อีกสิบปีข้างหน้าฟ้าจะผ่าที่นี่ แล้วให้ดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ในเมืองไทยนั้นมีพระที่มรณภาพแล้วสังขารไม่เน่าเปื่อยมากมาย แต่ที่นั่งสมาธิมรณภาพเหมือนหลวงพ่อผินะแล้วสังขารไม่เน่านั้นมีไม่กี่รูป หลวงพ่อผินะได้มรณะภาพตั้งแต่ปีพ.ศ. 2545 เป็นการนั่งสมาธิมรณภาพถอดจิตออกจากร่าง ในสมัยก่อนนั้นได้เคยมีรายการทีวีไปขอสัมภาษณ์ท่านแต่ท่านก็ปฏิเสธ การสร้างวัดของท่านก็ไม่เคยไปรบกวนญาติโยมให้เป็นที่เหนื่อยใจแก่บรรดาลูกศิษย์ลูกหา ที่สำคัญท่านได้สร้างตามนิมิตที่เกิดขึ้น เหมือนดั่งจำลองสรวงสวรรค์ลงมาบนโลกมนุษย์ และได้ทำให้เป็นปริศนาธรรมเพื่อให้คนเรานั้นได้คิด มีแต่ว่าใครศรัทธาก็มาทำบุญกันไปตามกำลังอันควร แนวทางการสอนธรรมะของท่านก็เน้นเรื่องการแก้ไขสัญญาวิปลาสที่ยึดติดอยู่ในรูปร่างกายที่มักเห็นว่าเป็นของสวยงาม แต่แท้จริงแล้วเต็มไปด้วยรังแห่งโรค เป็นที่น่าสกปรก เน่าเสียเปลี่ยนแปลงไปทุกวันไม่คงที่ ซึ่งที่เราเรียกว่าอสุภกรรมฐาน นอกจากนี้ท่านยังได้แผ่บารมีช่วยเหลือลูกศิษย์ตามเรื่องเดือดร้อนของคนนั้นๆเป็นรายๆไป จนมีความเจริญรุ่งเรืองตามลำดับ ลูกศิษย์ของท่านมีตั้งแต่ตำรวจทหารที่มียศมีตำแหน่ง นายแพทย์ผู้มีชื่อเสียง ข้าราชการและพ่อค้า รวมไปถึงผู้ที่นิยมชมชอบเรื่องการนั่งกรรมฐาน



หลวงพ่อผินะท่านได้เดินธุดงค์ไปห้าประเทศในเอเซียเป็นเวลาหลายสิบปี ได้เคยไปกราบท่านอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พระผู้เป็นแม่ทัพธรรมแห่งแดนอีสาน ได้รับคำแนะนำเรื่องการปฏิบัติธรรมจากครูบาอาจารย์หลายท่าน เชื่อกันว่าหลวงพ่อผินะนั้นเป็นผู้ที่สำเร็จกสิณต่างๆ เป็นผู้ที่มีจิตเข้มแข็งล่วงรู้อดีตและอนาคตได้ สามารถอธิษฐานจิตช่วยเหลือผู้ที่มีเคราะห์กรรมให้ผ่านพ้นไปได้ ที่สำคัญหลวงพ่อผินะได้สร้างวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังได้อย่างศักดิ์สิทธิ์เข้มขลังอย่างมาก วัตถุมงคลและเครื่องรางของท่านนั้นผู้ที่ได้ไปบูชาติดตัวอยู่ต่างก็รับรู้ถึงประสบการณ์ที่สามารถพิสูจน์ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคุ้มครองแคล้วคลาด โชคลาภ เมตตามหานิยม คงกระพันชาตรี กันเสนีดจัญไรคุณไสย์ต่างๆ เรียกได้ว่าครอบจักรวาลไม่เป็นที่สองรองใคร เพราะเครื่องรางยุคต้นของท่านนั้นได้ทำจากสิ่งที่เอาได้ยากของสตรี ผสมกับว่านสมุนไพรต่างๆที่ท่านได้รวบรวมตอนที่ท่านธุดงค์อยู่ในป่า และที่สำคัญอีกอย่างก็คือเครื่องรางของท่านมีเอกลักษณ์เป็นรูปเดือนและดาว เครื่องรางรูปดาวอาถรรพ์ นี้ถือว่าเป็นเครื่องรางที่สร้างขึ้นมาไม่เลียนแบบใคร ท่านได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นปริศนาธรรมตามนิมิต โดยด้านหนึ่งเป็นดาวห้าแฉกอันหมายถึงพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ของภัทรกัปป์นี้ อีกด้านเป็นดาวแปดแฉกอันหมายถึงพระอรหันต์แปดทิศที่คุ้มครองทิศทั้งแปด เครื่องรางดาวอาถรรพ์นี้สร้างน้อยมาก มีหลายเนื้อหลายพิมพ์ทั้งใหญ่และเล็ก เชื่อว่าแต่ละพิมพ์นั้นสร้างเป็นหลักสิบและหลักร้อยต้นๆเท่านั้น ที่สำคัญก็คือเป็นที่หวงแหนของลูกศิษย์เป็นอย่างมาก ส่วนใหญ่จะอยู่กับผู้มีอันจะกินทั้งตำรวจทหารและนายแพทย์ ผู้ที่ได้ครอบครองก็มักจะได้รับรู้ถึงพลังที่หลวงพ่อผินะได้ประจุเอาไว้ หลวงผ่อผินะได้เรียกเครื่องรางชนิดนี้ว่า “แม่เนื้อหอม” ท่านมักจะให้ใช้น้ำหอมมาเป็นเครื่องบูชาและทำการอธิษฐานในเรื่องที่ตัวเองปรารถนาเอาไว้ นอกจากนี้ก็ยังบนบอกให้ช่วยเหลือก็ได้ มักจะได้รับความสำเร็จเป็นคราวๆไป ดาวอาถรรพ์ที่ถูกสร้างขึ้นในยุคต้นประมาณปี 2500 นั้น ตอนนี้กำลังเป็นที่เสาะหากันเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นของที่สร้างน้อยมาก และเมื่อมีคนนำไปใช้ก็เห็นผลเป็นอย่างมาก จึงทำให้ราคาในการที่จะได้มาก็หลายหมื่น เท่าที่ปรากฏเมื่อปลายปีที่แล้วได้แตะหลักสิบสองหมื่นไปแล้ว ซึ่งราคาในขณะนี้ยังคงขึ้นไปเรื่อยๆ เรียกได้ว่าเป็นเครื่องรางที่แซงทางโค้งไล่คู่คี่ของพระผงพรายกุมารของหลวงปู่ทิมมาติดๆ ส่วนรุ่นหลังๆราคาก็ยังคงไม่แพงนัก การใช้เครื่องรางยุคแรกที่เรียกว่าแม่เนื้อหอมนั้นหลวงพ่อผินะท่านไม่ให้แขวนรวมกับพระเครื่อง เพราะบางส่วนที่นำมาผสมนั้นเกี่ยวข้องกับสตรี ท่านได้ให้แขวนไว้แถวเอว แต่ถ้าแขวนเดี่ยวก็แขวนคอได้เลย ส่วนดาวอาถรรพ์ยุคหลังนั้นแขวนรวมกับพระเครื่องทั่วไปได้ ที่สำคัญ หลวงพ่อผินะท่านให้แขวนแบบเอียง ๆ หลวงพ่อท่านบอกว่าใจคนนั้นไม่ตรงเท่าไหร่ จะเห็นได้ว่าทุกอย่างที่ท่านได้บอกกล่าวนั้นล้วนแต่เป็นปริศนาธรรมทั้งสิ้นเพื่อให้ผู้มีปัญญาทั้งหลายได้ขบคิดตีความตามแนวทางเฉพาะตัวของท่านในการสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาเพื่อให้คนทั้งหลายมีดวงตาเห็นธรรม ยังมีอีกเรื่องที่มักปรากฏกับผู้ที่ได้รับแม่เนื้อหอมไปแล้ว ก็คือหากเก็บรักษาไม่ดีเท่าที่ควร แม่เนื้อหอมก็จะหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ บางทีก็เหลือแต่กรอบเปล่าก็มี คล้ายกับสมเด็จเสด็จกลับของหลวงปู่สุภาที่จังหวัดภูเก็ต

นอกจากเครื่องรางรูปดาวอาถรรพ์แล้ว ยังมีเครื่องรางอีกประเภทคือ “คุณพ่อปลัด” ปลัดของหลวงพ่อผินะนั้นท่านได้ทำค่อนข้างใหญ่ ยาวเกินคืบ ต้องคนที่ใจรักจริงๆถึงจะพกได้ แต่ที่สำคัญนั้นคุณพ่อปลัดของท่านมีฤทธิ์มากโดยเฉพาะเรื่องเสน่ห์เมตตามหานิยม โชคลาภ หลายคนที่ได้ใช้และรู้วิธีใช้ก็ได้เห็นผลกันมามากแล้ว คุณพ่อปลัดของหลวงพ่อผินะนั้นมีสองแบบโดยรวม คือแบบหัวคนหรือที่เรียกว่าหัวหอม และแบบหัวชมด แบบหัวชมดนี้มีทั้งที่ฝังพลอยและไม่ฝังพลอย นอกจากนี้ยังมีลิ้นหลายแบบ เช่น ลิ้นทองแดง ลิ้นทองเหลือง ลิ้นเงิน ลิ้นทองคำ นอกจากนี้แล้วยังมีหลายขนาด มีทั้งแบบใหญ่มากสำหรับบูชาที่บ้านหรือแบบพกพา( ขนาดพกพาก็ยาวเป็นคืบ ) แต่ที่เป็นตัวเล็กๆจริงๆนั้นหายากมากมักไม่ค่อยได้เห็นกัน คุณพ่อปลัดของท่านได้สร้างจากหลายเนื้อไม้ ตั้งแต่แก่นของพญาไม้ ไม้พญาสัตบรรณ ไม้สัก ไม้งิ้วดำ ไม้กัลปังหา โดยเฉพาะที่ทำจากกัลปังหานั้นตอนที่เสกอยู่ก็ถึงกับกระโดดออกจากบาตรของท่าน คุณพ่อปลัดตอนนี้ถือว่าเป็นเครื่องรางที่แพงรองจากดาวอาถรรพ์ เป็นที่นิยมและต้องการของคนเป็นจำนวนมากเนื่องจากคำร่ำลือถืออานุภาพฤทธิ์ในด้านเมตตาและโชคลาภ คนที่ได้ไว้ต่างหวงแหนเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งรูปแบบของคุณพ่อปลัดที่ทำเป็นหัวชมดนั้นก็เป็นรูปแบบของเฉพาะตัวของตระกูลเครื่องรางตามแบบหลวงพ่อเช่นกัน ราคาของเครื่องรางตอนนี้ก็อยู่ที่หลายหมื่น การใช้เครื่องรางของท่านก็พิศดารคือ ที่ด้านท้ายของคุณพ่อปลัดนั้น ท่านทำรูเอาไว้สองรู รูล่างมักจะอุดด้วยว่านและผงที่ศักดิ์สิทธิ์ รูบนท่านจะให้เขียนชื่อนามสกุลวันเดือนปีเกิดใส่ไว้ เพื่อกำกับว่าให้คุณพ่อปลัดคุ้มครองแก่ดวงชะตาของผู้นั้นๆ และที่สำคัญต้องบูชาด้วยน้ำหอมเช่นเดียวกับดาวอาถรรพ์ ดาวอาถรรพ์นั้นถือว่าเป็นคุณแม่ ส่วนคุณพ่อปลัดนั้นถือว่าเป็นคุณพ่อ เป็นปริศนาที่ว่ามนุษย์นั้นต้องเกิดมาจากบิดาและมารดา ถ้าเป็นคนจีนก็ต้องบอกว่าเป็นธาตุหยินและหยางรวมกันจึงก่อเกิดได้ การเลือกคุณพ่อปลัดของหลวงพ่อผินะนั้นต้องดูให้ดี เพราะเห็นว่าเริ่มมีของปลอมระบาดมากขึ้น ควรเลือกแบบที่มีสองรูด้านท้าย ที่สำคัญรอยแกะที่เป็นอักขระคาถาของท่านนั้นก็เป็นวิชากำกับคุณพ่อปลัดของท่านโดยเฉพาะ การเลือกนั้นให้ระวังที่เป็นตัวเขียนเมจิก เพราะโดยส่วนใหญ่นั้นท่านจะแกะอักขระลงไปบนตัวของคุณพ่อปลัดเลย การจะเลือกซื้อต้องดูที่มาที่ไป และซื้อกับคนที่เชื่อถือได้เท่านั้น และต้องดูอักขระให้เป็นด้วย
10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-5-24 09:54 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลังจากที่ได้เขียนตอนที่หนึ่งเสร็จก็ได้รับการติดต่อสอบถามเรื่องราวของท่านเป็นอันมากจากผู้อ่าน และมีผู้มาเล่าในความศักดิ์สิทธิ์เพิ่มขึ้น แม้แต่ผู้เขียนเองก็ได้รับอานิสงค์จากพลังที่ท่านได้ประจุอยู่ในวัตถุมงคลของท่านเป็นอันมาก อีกทั้งได้รับข่าวสารเพิ่มเติมถึงประสบการณ์ของผู้ที่ได้ใช้วัตถุมงคลของท่าน เช่น เมื่อไม่นานมานี้ได้มีผู้บูชา พระปางธรรมจักร ของหลวงพ่อผินะไปติดอยู่ที่น่ารถได้ประสบอุบัติเหตุรถชนกันอย่างแรงท่านชลบุรี ปรากฏว่าคนที่อยู่ในรถที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อที่มีพระปางธรรมจักรอยู่หน้ารถนั้นไม่เป็นอะไรเลยรวมถึงคนที่นั่งมาทุกคนด้วย แต่รถของคู่กรณีพังยับเยินแถมมีคนบาดเจ็บอย่างหนัก พอเกิดเรื่องอุบัติเหตุนี้ก็เลยได้กลับมาเล่าให้ที่วัดฟังแถมมาบูชาวัตถุมงคลเพิ่มอีกด้วยความมั่นใจในปาฎิหารย์ศรัทธาที่เต็มเปี่ยมกับหลวงพ่อ ผินะ หลวงพ่อเคยบอกว่าพระของท่านคุ้มครองได้ 7 คนต่อองค์ ตอนนี้ที่วัดยังพอมีเหลืออยู่บ้าง การบูชาวัตถุมงคลที่วัดนั้นก็ถือว่าได้สร้างบุญไปด้วยเงินที่ได้มาก็ได้นำไปบูรณะวัด เพราะที่วัดนั้นกำลังเริ่มปรับปรุงอยู่ โดยเฉพาะในเดือนมิถุนายนนี้จะมีการเททองหล่อรูปจำลองของหลวงพ่อผินะขึ้นมาเป็นครั้งแรกในวันที่ 10 มิถุนายน

นอกจากเรื่องการคุ้มครองเรื่องอุบัติเหตุแล้วก็ได้มีอีกรายอยู่ที่จังหวัดเชียงรายได้บูชา พ่อปลัดแบบหัวชะมด ไปหนึ่งองค์ โดยทำบุญ 25,000 บาท เมื่อได้ไปลองใช้ตามคำแนะนำก็เกิดเห็นเป็นตัวเลขขึ้นมาเลยนำไปเสี่ยงโชคถูกหวยบนดินใต้ดินร่วมแสนกว่าบาทก็เลยได้กลับมาทำบุญบูชาแม่เนื้อหอมยุคแรกจากวัด 80,000 บาท ซึ่งเรื่องนี้สามารถสอบถามเจ้าอาวาสได้เลย จริงๆ แล้วอภินิหารอิทธิฤทธิ์ของท่านนั้นจะเล่าจริงๆ ก็คงไม่จบ เพราะมีทั้งมหาเสน่ห์ โชคลาภ แคล้วคลาด อีกทั้งยังสามารถพลิกดวงชะตาที่อับเฉาให้กลับมารุ่งเรืองได้อีกครั้งอย่างน่ามหัศจรรย์ แต่ต้องมีวิธีใช้ตามแบบของท่านด้วย และสามารถบอกกล่าวได้ บางครั้งแสดงฤทธิ์แบบเป็นตัวเป็นตนได้อย่างชัดเจนอย่างที่ไดที่มีอาถรรพ์อยู่ในบางครั้งดาวก็จะบอกให้ล่วงรู้ อย่างเมื่อไม่นานนี้ก็ได้มีนักธุรกิจไปเที่ยวเมืองจีนซึ่งหนาวมากอุณหภูมิลบ 2 องศา พอเดินผ่านประตูเมืองจีนที่เขาใช้สัตว์หรือคนฝังทั้งเป็นตอนทำประตูเมืองในสมัยโบราณนั้นดาวก็แสดงฤทธิ์ร้อนวูบวาบตลอดเวลา อันเป็นการแสดงพลังเข้าคุ้มครองผู้เป็นเจ้าของ พอกลับมาเมืองไทยเลยต้องหามาสะสมเพิ่มด้วยความเคารพศรัทธาแรงกล้า เพราะยังไม่เคยได้สัมผัสเครื่องรางที่ทรงพลังเช่นของหลวงพ่อผินะมาก่อน

มีหลายคนถามถึงเรื่องวัตถุมงคลของท่านว่ามีอะไรบ้างนอกเหนือจาก ดาว และ คุณพ่อปลัด อีกทั้งยังอยากทราบรายละเอียดเรื่องดาวและปลัดเพิ่มเติมอีก ทำให้ผู้เขียนเองต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเติมจากลูกศิษย์สายตรง จึงพอสรุปได้ว่าดาวของท่านน่าจะแบ่งเป็นสองประเภทคือ ดาวอาถรรพ์ และ ดาวมหามงคล ดาวอาถรรพ์ที่เป็นยุคแรกนั้นจะมีส่วนผสมของดีที่เห็นได้ง่ายแต่เอายากในสัดส่วนที่มาก ซึ่งท่านเริ่มทำตั้งแต่ราวๆ ปี 2500 ซึ่งดาวอาถรรพ์ในครั้งนั้นเราเรียกว่าดาวนายพล เพราะใส่ผงและน้ำมันอาถรรพ์มากจึงเรียกว่าดาวอาถรรพ์ จนกระทั้งหลวงพ่อท่านได้มาอยู่ที่วัดพระสนมลาว พ.ศ. 2527 ท่านก็ได้เริ่มทำดาวอาถรรพ์อีกครั้ง หลวงพ่อเรียกว่า แม่เนื้อหอม ซึ่งมีลักษณะคล้ายกลีบบัวสำหรับผู้ชายและหยดน้ำเล็กสำหรับผู้หญิง ราวๆ ปี พ.ศ. 2534 ผงดาวอาถรรพ์เริ่มลดน้อยลงหลวงพ่อท่านจึงอาศัยไม้มงคลต่างๆ 12 ชนิดมาผสม ส่วนผงอาถรรพ์นั้นใส่น้อยมากๆ ตรงนี้นี่เองทางวัดจึงเรียกว่า ดาวมหามงคล เพราะใส่ส่วนผสมของไม้มหามงคลมากและที่สำคัญพระของหลวงพ่อผินะโดยส่วนใหญ่นั้นเป็นเนื้อดินดิบผสมว่าน จะไม่ได้ผ่านการเผาแบบเนื้อดินเผา ซึ่งหลวงพ่อเคยกล่าวว่าที่ไม่ทำแบบดินเผาเพราะว่านไม้มงคลต่างๆ จะเสื่อมฤทธิ์ อยากให้คุณวิเศษทั้งหลายของว่านไม้ต่างๆ อยู่แบบเต็มร้อย เวลานำไปใช้จึงได้ผลคงความศักดิ์สิทธิ์ตลอดเวลา ดาวมหามงคลนี้จะมีรูปดาวกับเดือนที่เราเรียกว่าดาวเปาบุ้นจิ้น และมีแบบที่มีแปดแฉกห้าแฉกใหญ่และเล็ก หลวงพ่อท่านจะเรียกว่าแบบใหญ่ว่า นายร้อยนายพัน (สำหรับผู้ชายใช้ ตอนนี้ที่วัดยังมีเหลืออยู่เล็กน้อย) ส่วนแบบเล็กเรียกว่า นายสิบ (สำหรับผู้หญิงใช้ ตอนนี้ที่วัดยังมีเหลือเช่นกัน) นอกจากนี้ก็มี แบบติดดาว ซึ่งหลวงพ่อผินะจะติดให้เฉพาะผู้ที่มีอาชีพเป็นตำรวจและทหารเท่านั้น ส่วนการติดพลอยนั้นไม่ได้ติดทุกองค์เพราะติดไม่ทันกัน แต่ได้บรรจุเม็ดกริ่งทุกองค์ บางครั้งกริ่งจะขัดเขย่าไม่ดัง ดาวของท่านดีทุกทางจริงๆ ผู้เขียนเองยังไม่เคยเจอวัตถุมงคลที่มีพลังเช่นนี้มาก่อนเลย อีกทั้งของสิ่งนี้ก็ได้สร้างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวตามนิมิตของท่านเอง ซึ่งหลวงพ่อพูดอยู่เสมอว่า เมื่อจิตสงบปัญญาก็เกิดเอง ปัญญานี้แหละที่ทำให้จิตเกิดความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้