ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 2311
ตอบกลับ: 6
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

๕ ผู้ต้องธรณีสูบในพุทธประวัติ

[คัดลอกลิงก์]
๕ ผู้ต้องธรณีสูบในพุทธประวัติ
๑. พระเทวทัต
“พระเทวทัต” ในสมัยพระพุทธกาลเป็นพี่ของพระนางยโสธรา (พิมพา) พระชายาของเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมาร (ที่ตรัสรู้มาเป็นพระพุทธเจ้าในกาลต่อมา) และเป็นลุงของลูกชายของพระพุทธเจ้าเอง(พระราหุล) พระเทวทัตนั้นตามจองล้างพระพุทธเจ้ามานานหลายภพหลายชาตินับไม่ถ้วน
เหตุตั้งต้นคือว่าในอดีตชาตินานมาแล้วนั้น พระเทวทัตได้เป็นพ่อค้าวานิช มีจิตละโมบทุจริต(อธรรม)และในชาตินั้นพระพุทธองค์ก็ได้เสวยพระชาติเป็นพ่อค้าวานิชด้วยเช่นกันแต่เป็นฝ่ายสุจริต(ธรรม)
วันหนึ่ง หญิงชราซึ่งเป็นผู้ดีตกยาก มีถาดทองคำของต้นตระกูลเหลืออยู่ จึงนำออกมาขาย พระเทวทัตเห็นเช่นนั้นจึงลวงด้วยเล่ห์ต่อหญิงชรานั้นว่า ถาดนั้นมิใช่ทองคำแท้เป็นทองปลอม จึงเสนอขอซื้อราคาถูกแต่หญิงชรานั้นรู้ดีว่าถาดที่แกนำออกมาขายนั้นทำด้วยทองคำแท้จึงมิยอมขายให้ ในเวลาถัดมาพระพุทธองค์ซึ่งเสวยพระชาติเป็นพ่อค้ามาพบเข้า เห็นเป็นถาดทำด้วยทองคำแท้ก็ให้ราคาตามความเป็นจริง สร้างความโกรธแค้นให้แก่พระเทวทัตเป็นยิ่งนัก ถ้าไม่มีพระพุทธองค์มาซื้อถาดทองคำนั้น ในมิช้าหญิงชราก็จักต้องนำถาดทองคำมาขายแก่ตนเพราะความยากจนเป็นแน่แท้ ด้วยเหตุนี้พระเทวทัตจึงผูกพยาบาทด้วยการกอบเม็ดทรายขึ้นมา ๑ กำมือแล้วหว่านลงกับพื้นดินประกาศว่า
“... เราจะจองล้างจองผลาญท่านต่อไปเท่าเม็ดทรายในกำมือนี้ ...โดย๑ เม็ดทราย เท่ากับ ๑ ชาติ ...”
จึงตามเบียดเบียนพยาบาทจองเวรกันมานับภพชาติไม่ถ้วนเรื่อยมา
จนกระทั่งพระชาติสุดท้ายก่อนที่จะมาตรัสรู้ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือได้เสวยพระชาติเป็น “พระเวสสันดร” ส่วนพระเทวทัตก็ได้มาเกิดเป็นพระพราหมณ์นามว่า
“ ชูชก ” ซึ่งมีเมียเด็กสาวชื่อ “นางอมิตตดา”นั้นเอง จนกระทั่งมาถึงพระชาติที่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระเทวทัตมีจิตริษยาพระพุทธเจ้านับตั้งแต่เยาว์วัย ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าทรงบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วนั้น เจ้าชายเทวทัตได้ออกบวชด้วยเช่นกัน เมื่อบวชแล้วได้โลกีย์ญาณ มีความชำนาญในอภิญญา สามารถนิรมิตกายเหาะเหินเดินอากาศได้ จึงเกิดความกำเริบใจเพราะอกุศลกรรมเก่าเข้าสนับสนุน ใช้ฤทธิ์แปลงกาย(ปลอม)เป็นพระศาสดา กล่าวให้ร้ายในพรหมจรรย์ของพระพุทธองค์ ว่ายังอนุญาตให้สงฆ์สาวกฉันเนื้อสัตว์ที่ถูกนำมาถวายเป็นพระกระยาหาร และก็เริ่มต้นสร้างความเลื่อมใสด้วยการฉันมังสวิรัติ ให้เห็นว่าสิ่งที่พระพุทธองค์ยินยอมให้พุทธสาวกปฏิบัตินั้นคือความเสื่อม มิเพียงเท่านั้น ยังลวงเจ้าชาย “อชาติศัตรู”ให้กบฏต่อพระราชบิดา(พระเจ้าพิมพิสารกษัตริย์แห่งกรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ)แล้วตั้งตัวเองเป็นพระราชาแทน พระเจ้าอชาติศัตรูนั้นเคยเลื่อมใสพระพุทธองค์ แต่เมื่อถูกพระเทวทัตลวงก็ตัดอุปนิสัยแห่งมรรคผลเบื้องต้นเสีย ทำตัวเองไปสู่ความพินาศอย่างใหญ่หลวงถึงขั้นทำกรรมหนักปลงพระชนม์พระราชบิดา(ปิตุฆาต) พระเทวทัตเองก็คิดปลงพระชนม์พระพุทธองค์แล้วจะตั้งตนเป็นพระศาสดาแทนเสียเอง
โดยอกุศลกรรมที่พระเทวทัตก่อขึ้นตั้งแต่ต้น คือส่ง “นายขมังธนู”เพื่อปลงพระชนม์พระพุทธองค์ ยุยงให้พระเจ้าอชาติศัตรูมอมเหล้าช้าง “ นาฬาคีรี ” จนมึนเมาดุร้ายแล้วปล่อยออกไปทำร้ายพระพุทธองค์ ตลอดจนกระทั่งยุยงหมู่พระสงฆ์ให้แตกแยก (สังฆเภท) ให้เห็นความมัวหมองในพรหมจรรย์ของพระพุทธองค์ ขณะเดียวกันพระเทวทัต ได้หันมาฉันมังสวิรัติเป็นการโอ้อวดพรหมจรรย์ที่สูงกว่า และยังได้กลิ้งก้อนหินลงมาจากภูเขาคิชฌกูฏเพื่อให้ทับพระพุทธองค์ แต่ด้วยบุญบารมีของพระพุทธเจ้าจึงโดนแค่เพียงเศษหินทำให้พระบาทห้อพระโลหิตเท่านั้น ถึงแม้ว่าพระพุทธองค์จะโดนทำร้ายนานัปการอย่างใดก็แล้วแต่ พระพุทธองค์ก็ไม่ผูกโกรธและอาฆาตพยาบาทจองเวรแก่พระเทวทัตเลย ได้แต่อโหสิกรรมและแผ่เมตตาให้ตลอดมา แต่ความเลวร้ายของพระเทวทัตนั้นหนักหนามาก จนแผ่นดิน(พระแม่ธรณี)ที่รองรับอยู่นั้นทนมิได้ แยกตัวออกและสูบเอาพระเทวทัตตกลงสู่ “ขุมนรกมหาอเวจี” ยืนเสวยอกุศลวิบากกรรมอันเจ็บปวดทุกข์ทรมานแสนสาหัสอีกนานเท่านาน จนแทบจะนับกาลเวลาไม่ได้
๒. พระเจ้าสุปปพุทธะ
“พระเจ้าสุปปพุทธะ”เป็นกษัตริย์โกลิยะวงศ์เป็นพระราชบิดาของพระเทวทัตและพระนางพิมพา(ยโสธรา) เมื่อทราบว่าโอรสคือพระเทวทัตถูกธรณีสูบลงมหาอเวจีนรกก็มิได้สำนึกในบาปบุญคุณโทษแต่อย่างใด กลับมีจิตอาฆาตพยาบาทพระพุทธองค์ เพราะนอกจากจะทำให้พระเทวทัตต้องธรณีสูบแล้วพระพุทธองค์ยังทำให้เจ้าหญิงยโสธรา ซึ่งเป็นธิดาของพระเจ้าสุปปพุทธะเป็นหม้าย จึงกลั่นแกล้งพระพุทธองค์ด้วยการเกณฑ์อำมาตย์ข้าราชบริพารไปนั่งเสพเมรัยขวางทางที่พระพุทธองค์จะออกบิณฑบาตโปรดเวไนยสัตว์ ซึ่งทางนั้นมีเพียงทางเดียวเท่านั้นที่พระพุทธองค์จะทรงเสด็จดำเนินไปได้ เมื่อเสด็จดำเนินผ่านไม่ได้เพราะพระเจ้าสุปปพุทธะกับบริวารขวางอยู่วันนั้น พระพุทธองค์ทรงอดพระกระยาหาร ๑ วัน พระอานนท์จึงทูลถามอยากจะทราบโทษของพระเจ้าสุปปพุทธะ พระพุทธองค์จึงทรงได้มีพุทธฎีกาตรัสว่า “ อานันทะดูก่อนอานนท์ หลังจากนี้ไปนับได้ ๗ วัน พระเจ้าสุปปพุทธะจะลงอเวจีตามเทวทัตไป ”
เมื่อบริวารของพระเจ้าสุปปพุทธะกลับไปถวายรายงาน พระเจ้าสุปปพุทธะก็มีจิตต้องการให้พุทธฎีกาของพระพุทธองค์มิเป็นความจริง จึงขึ้นประทับ ณ ปราสาท ๗ ชั้น แต่ละชั้นมีนายทวารป้องกันแข็งขัน ทรงตรัสกับนายทวารที่มีร่างกายกำยำนั้นว่า “ ในระหว่าง ๗ วันนี้ ถ้าฉันลงมาละก็ พวกเธอจงขัดขวางเอาไว้ไม่มีใครทำโทษ ” โดยประกาศต่ออำมาตย์ ข้าราชบริพาร และพระบรมวงศานุวงศ์ไว้ดังนั้น เพื่อมิให้นายทวารทั้งหลายต้องโทษ จนกระทั่งถึงวันที่ ๗ วันนั้นปรากฏว่า “ม้าแก้ว” ซึ่งเป็นม้าทรงศึกที่พระเจ้าสุปปพุทธะโปรดปรานมาก อาละวาดกระทืบโรง ร้องเสียงดังมาก พระเจ้าสุปปพุทธะเกิดเป็นห่วงม้าขึ้นมา ด้วยอาการขาดสติจึงทรงรีบลงจากปราสาทชั้น ๗ แต่ปรากฏว่านายทวารและพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งหลายก็มิได้ขัดขวาง ด้วยคิดว่าเลยครบกำหนด ๗ วันแล้ว พอพระเจ้าสุปปพุทธะย่างพระบาทเหยียบแผ่นดิน ก็ถูกพระธรณีสูบหายไปสู่ “มหานรกอเวจี” ตรงตามพุทธะฎีกาที่ตรัสไว้แก่พระอานนท์นั้นเอง
๓. นางจิญจมาณวิกา
“นางจิญจมาณวิกา”เบียดเบียนพระพุทธองค์โดยรับอาสาจากพวก “ ปริพาชก ” ซึ่งเป็นบุคคลในลัทธิอื่นที่มีจิตริษยาในลาภสักการะของพระพุทธองค์ จึงคิดกลั่นแกล้งด้วยการจ้างนางจิญจมาณวิกา แกล้งทำเป็นคนท้อง ให้เขากลึงไม้นูนผูกรัดไว้ที่เอว แล้วก็ไปร้องบอกสมณะโคดมขณะนั่งประทับเทศนาว่า “ ท่านสมณะโคดม ” จะมัวมานั่งเทศน์หน้านวลอยู่ทำไม นี่เธอทำให้ฉันมีครรภ์เช่นนี้กลับมิดูแล อย่ามัวเทศน์โปรดพุทธบริษัทอยู่เลย จงไปตัดฟืนไว้เพื่อฉันดีกว่า เวลาคลอดแล้วลูกเราจะได้มิลำบาก ”
พระพุทธองค์ได้ทรงสดับ จึงหยุดเทศนาและกล่าวกับนางจิญจมาณวิกาว่า
“ ภัคคินี ดูก่อนน้องหญิง เรื่องที่เธอกล่าวนั้น คนอื่นเขามิได้รู้เรื่องด้วยดอกนะ จะมีเธอกับฉันเพียงสองคนเท่านั้นละที่รู้กัน ”
พระพุทธองค์ทรงกล่าวด้วยความอิ่มเอมใจท่ามกลางความสงสัยของพุทธบริษัท เรื่องนี้เดือดร้อนถึง “พระอินทร์”(ท้าวสักกะเทวราช)ที่ต้องทำหน้าที่รักษาผู้ทรงคุณธรรมอันสูงส่ง จึงทรงแปลงกายเป็นหนูไปกัดเชือกที่ผูกไม้ ทำให้ไม้ที่ผูกติดไว้เหมือนเช่นคนมีครรภ์นั้นหลุดตกลงมา พุทธบริษัทเห็นมารยากล่าวให้ร้ายที่นางจิญจมานวิกากระทำต่อพระพุทธองค์ ดังนั้นก็ดุด่าไล่ขว้างด้วยก้อนหินและไม้ นางจิญจมาณวิกา ได้วิ่งหลบหนี พอพ้นคลองจักษุของพระพุทธองค์ นางจิญจมาณวิกา ก็ถูกธรณีสูบลงสู่นรก “มหาอเวจีนรก”ด้วยกรรมอันหนักนั้น
ในอดีตชาตินางจิญจมาณวิกาเมื่อชาติก่อนหน้านั้นนางเกิดเป็น “นางอมิตตดา” ภริยาวัยเด็กสาวของ “ชูชก”หรือพระเทวทัตในชาติเดียวกันกับที่พระโพธิสัตว์ได้เกิดเป็น “พระเวสสันดร”นั่นเอง
๔. นันทยักษ์
“นันทยักษ์”มิได้สร้างกรรมต่อพระพุทธองค์โดยตรง แต่กระทำเบียดเบียนต่อพระสารีบุตร(เป็นธรรมเสนาบดีหรืออัครสาวกเบื้องขวาผู้มีปัญญาเลิศของพระศาสดา) โดยขณะที่ท่านกำลังบำเพ็ญธรรมอยู่นั้น ในครั้งนั้น “นันทยักษ์”ผู้มีฤทธิ์เดชเหาะมาบนอากาศพร้อมด้วย “เหมตายักษ์” เมื่อเหาะมาถึงตรงที่พระสารีบุตรกำลังเข้านิโรธสมาบัติอยู่ในอากาศธาตุ ในบริเวณนั้นว่างเปล่าจากอากาศธาตุนันทยักษ์เหาะผ่านไม่ได้ จึงเกิดบันดาลโทสะ ด้วยในชาติปางก่อนนั้น นันทยักษ์ได้อาฆาตพยาบาทพระเถระเอาไว้ จึงมีจิตคิดกระทำปาณาติบาตต่อพระสารีบุตรด้วยความพาลในสันดาน เหมตายักษ์ได้ทัดทานให้ละเว้นเสีย แต่นันทยักษ์ก็มิฟัง เหาะขึ้นบนอากาศ ใช้กระบองซึ่งเป็นอาวุธแห่งตนฟาดลงบนศีรษะของพระสารีบุตร ซึ่งความแรงแห่งการฟาดนั้น สามารถพังภูเขาในคราวเดียวกันได้ถึง ๑๐๐ ลูก แต่พระสารีบุตรซึ่งอยู่ในนิโรธสมาบัตินั้น หาได้รับอันตรายจากการประทุษร้ายของนันทยักษ์ไม่ เมื่อเห็นพระสารีบุตรมิได้รับอันตราย นันทยักษ์ก็บังเกิดเพลิงเร่าร้อนในอารมณ์ กล่าวออกมาด้วยเสียงอันดังว่า “ เราร้อน ... เราร้อน ” แล้วตกลงมาจากอากาศ แผ่นดินเปิดช่องดึงร่างของนันทยักษ์ หายลับตาไปในบัดดลดิ่งลงสู่ “มหานรกอเวจี” อันลึกสุดเสวยทุกข์ทรมานตราบนานเท่านาน
๕. นันทมานพ
“นันทมานพ”มิได้ทำร้ายพระพุทธองค์ แต่ทำร้ายสาวกของพระพุทธองค์ คือพระ “ อุบลวรรณาเถรี ”(อัครสาวิกาเบื้องซ้ายของพระพุทธเจ้า) พระอุบลวรรณาเถรีเป็นพระอรหันต์ขั้นปฏิสัมภิทาญาณ ออกบวชตั้งแต่อายุ ๑๖ ปี มีความสวยงามมาก ซึ่งก่อนนั้นที่เป็นฆราวาสความสวยเป็นที่เลื่องลือ และเป็นที่หมายปองของพระราชาคหบดี และมหาเศรษฐีมากมาย แต่พระอุบลวรรณาเถรีเบื่อหน่ายชีวิตฆราวาส เห็นเป็นทุกข์จึงออกบวชเป็นภิกษุณี เมื่อบวชได้ไม่นานก็บรรลุอรหัตผลมีฤทธิ์มาก แต่ว่านันทมาณพมีความต้องการด้านกามราคะฝังแน่นในใจมาช้านาน
วันหนึ่งนันทมานพทราบว่า พระอุบลวรรณาเถรีจำพรรษาอยู่ในป่า ในกระท่อมเล็ก ๆ ด้วยจิตอันฝังแน่นด้วยราคะตัณหานันทมาณพได้แฝงตัวแอบรออยู่จนถึงเช้า พระอุบลวรรณาเถรีออกบิณฑบาตแล้ว นันทมานพได้หลบเข้าไปแอบซ่อนอยู่ใต้เตียงนอนในกระท่อม เมื่อพระอุบลวรรณาเถรีกลับจากบิณฑบาต ยังมิได้ฉันข้าว นั่งพักสงบอยู่บนเตียง นันทมาณพได้ออกมาจากที่ซ่อนเข้าปลุกปล้ำ พระอุบลวรรณาเถรีแม้นจะร้องหาคนช่วยก็ไม่เป็นผล เพราะไม่มีใครอยู่ใกล้ จึงกล่าวให้สติแก่นันทมาณพว่า “ จงอย่าทำเช่นนี้ .. ความหายนะจะมาสู่ท่าน ” นันทมาณพมิได้ฟังกลับปลุกปล้ำพระอุบลวรรณาเถรีจนสำเร็จความใคร่ดังใจปรารถนา พอก้าวลงจากแคร่ก็ถูกแผ่นดินสูบตกลงสู่ “มหานรกอเวจี”ด้วยกรรมลามกนั้นหนักมาก
พระอุบลวรรณาเถรี ถูกวิจารณ์ว่าการสัมผัสเช่นนี้ พระอุบลวรรณาเถรีจะไม่มีความยินดีไม่ได้ พระพุทธองค์จึงทรงตรัสบอกต่อพุทธสาวก... “ พระอรหันต์นั้นมิใช่ไม้ผุ ไม่มีกิเลส ไม่มีความยินดีในกิเลส เฉกเช่นตุ๊กตาที่ไม่มีความปรารถนาในการสัมผัสฉันใด พระอรหันต์ก็เป็น เช่นนั้น ..”







ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
ขอผู้รู้ช่วยตีความบทนี้ให้หน่อยครับ
“ พระอรหันต์นั้นมิใช่ไม้ผุ ไม่มีกิเลส ไม่มีความยินดีในกิเลส เฉกเช่นตุ๊กตาที่ไม่มีความปรารถนาในการสัมผัสฉันใด พระอรหันต์ก็เป็น เช่นนั้น ..”
toywater ตอบกลับเมื่อ 2014-10-10 09:46
ขอผู้รู้ช่วยตีความบทนี้ให้หน่อยครับ
“ พระอรหันต์นั ...

เสี่ยต้อย

เลิกปราถนาในการสัมผัสหรือยัง ครับ
Sornpraram ตอบกลับเมื่อ 2014-12-10 19:41
เสี่ยต้อย

เลิกปราถนาในการสัมผัสหรือยัง ครับ  ...

เป็นระยะ ๆ ครับกัปตัน
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้