ป่าช้าวัดดอน ยังน่ากลัวเหมือนเดิม
ป่าช้าวัดดอน ยังน่ากลัวเหมือนเดิม
..........................................
ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังก้มลงเปิดประตูรถแท็กซี่ที่เทียบอยู่ข้างบาทวิถี ในช่วงเวลากลางดึก “พี่ไปวัดดอนครับ”
โชเฟอร์แท็กซี่มองหน้าชายหนุ่ม พร้อมส่ายหน้าพลางปฏิเสธเสียงแข็ง ก่อนขับรถจากไปอย่างรวดเร็ว
นั่นเป็นภาพอดีตที่ใครก็รู้กิตติศัพท์กันดีสำหรับชื่อเสียงของวัดดอน บางรัก หรือป่าช้าวัดดอนถ้าหากเอ่ยถึงเรื่องของภูตผีวิญญาณ แม้ว่าทุกวันนี้สภาพของป่าช้า สุสานจีนมากมายนับร้อยไร่จะถูกล้างไปเกือบหมดแล้ว แต่เค้าความน่ากลัวเดิมเมื่อเดินทางมาเยือนบริเวณสถานที่ฝังร่างอันไร้วิญญาณในอดีตที่นี่นั้น สายลมที่พัดอาจยังพอที่จะหนาวเข้ากระดูกได้เหมือนกัน
ภาพของกองดินพะเนิน อันเป็นบ้านสุดท้ายที่หลายคนฝากร่างทิ้งไว้เพื่อเป็นเครื่องยืนยันถึงการได้เกิดมาใช้สภาพความเป็นคน ปัจจุบันเปลี่ยนสภาพเป็นโรงเรียนที่เกิดขึ้นตลอดพื้นที่ป่าช้าเก่าที่ทำการล้างป่าช้าไปเมื่อประมาณ 20 ปีก่อน แต่น่าสังเกตอยู่เหมือนกันว่าทำไมชุมชนเมืองที่น่าจะเติบโตถึงขยายมาอยู่บนพื้นที่ซอยเจริญกรุง 57 น้อยมากหากเทียบกับชุมชนอื่น หรือนั่นอาจเป็นเพราะว่า ภาพของความน่ากลัวยังขจัดไม่ออกจากจิตใจของชาวชุมชน
วัดดอนหรือปัจจุบันเปลี่ยนชื่อมาเป็นวัดบรมสถล มีพื้นที่ป่าช้ากินอาณาเขตนับร้อยไร่โดยการดูแลของสามองค์กรได้แก่ สมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย มูลนิธิปอเต็กตึ้ง และสมาคมไหหลำด่านเกเต้ ร่างอันไร้วิญญาณนับหมื่นที่ถูกฝัง ล้วนเป็นศพไม่มีญาติที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเสียส่วนใหญ่ ความน่ากลัวของป่าช้าแห่งนี้จึงทวีความน่ากลัวมากยิ่งขึ้นด้วยเหตุผลที่ว่าแต่ละศพล้วนเป็นศพที่ “ตายโหง”
เสียงลือเสียงเล่าอ้างมากมายจากปากหลายต่อหลายคนมักพูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่า “ที่นี่เฮี้ยนจริงๆ”
“ก่อนหน้านี้มันกว้าง แล้วมันก็ไม่เจริญเหมือนสมัยนี้ ต้นไม้ต้นหญ้าขึ้นรกไปหมด มันก็เลยดูน่ากลัว เมื่อก่อนใครตายก็เอามาฝังถมๆกันไป พอเยอะจริงๆก็ล้างป่าช้ากันที”
อรุโณทัย เกริกไกรแพทย์ สัปเหร่อร่างท้วมวัยเลยครึ่งอายุคน ผู้ที่เกิดและเติบโตมาในชุมชนวัดดอน เล่าถึงบรรยากาศย้อนหลังเมื่อ ๓๐ ปีก่อน สมัยป่าช้าวัดดอนยังคงความน่าสะพรึงกลัว และซ่อนเรื่องราวเร้นลับในโลกของความเชื่อเรื่องภูต ผี วิญญาณ อันฝังรากลึกมาแต่ครั้งบรรพบุรุษ
“คนเค้าเจอกันบ่อยไป ยิ่งแท็กซี่นะใครโบกบอกให้มาส่งวัดดอน ไม่มีใครกล้ามาหรอก กลัวมีเพื่อนกลับออกไปด้วย”
“ตัวเองเนี่ยยังไม่เคยเจอ แต่เค้าก็เล่ากันนะว่าเจอมาโบกข้างทางมั่ง มายืนอยู่มั่ง พวกขี้เมางี้เจอกันประจำ สร่างเลย วิ่งไม่คิดชีวิตไปนั่งหอบหน้าบันไดโน่น”
“พวกแท็กซี่เข้ามาส่งผู้โดยสารสิ เจอกันประจำ คนแถวนี้เค้าเห็นนั่งข้างคนขับเลย”
เปลือกนอกอันไร้วิญญาณที่ธรรมชาติได้ฝากทิ้งไว้ในผืนดินของป่าช้าวัดดอน ปัจจุบันซากของบรรพบุรุษหลายรุ่นได้ถูกทำพิธีล้างป่าช้าขึ้นไปเสียหมดแล้ว ทิ้งไว้แต่เรื่องเล่า ความหลังอันน่าขวัญผวา ที่เริ่มจางหายตามชนรุ่นต่อๆมาอีกนับหลายรุ่น ไม่หลงเหลือร่องรอยในอดีตอีกต่อไป ภาพของป่าช้าอันน่ากลัวของวัดดอน ที่บวกความเจริญทางสังคม กลายเป็นสวนที่ใช้ออกกำลังกาย สนาม ลานกีฬา โรงเรียน รวมถึงชุมชนที่รอการเจริญเติบโตในวันเวลาอันใกล้นี้
“เดี๋ยวนี้เป็นสนามบอลหมดแล้ว ไม่น่ากลัวเหมือนสมัยก่อน คนมันเยอะกลัวคนมากกว่า” คำยืนยันจากคนในชุมชนที่เผยถึงสภาพปัจจุบันของป่าช้าวัดดอน หลังก้าวผ่านห้วงของเวลา
สภาพของสุสานปัจจุบันได้ขจัดความน่ากลัวไปอย่างมากด้วยโครงการ “สวนสวยในป่าช้า” ของเขตสาธรที่รื้อความน่ากลัวของป่าช้าเก่าๆ เกือบหมดสิ้น หลังจากความเจริญทางสังคม รวมถึงวัตถุที่มีพัฒนาการที่ก้าวหน้าทุกๆวัน ความเจริญที่ไหลเข้ามาแทนที่ แท่งคอนกรีตของทางด่วนที่ตอกทับกองบนกระดูกบรรพบุรุษ รวมถึงการตัดถนนหลายจุดรอบๆป่าช้า เป็นของขวัญที่คนรุ่นหลังได้มอบไว้ ให้บรรพบุรุษ
ลานกีฬาที่เกิดขึ้นโดยชาวชุมชนร่วมใจกันจัดสร้างบริเวณพื้นที่ของสุสานแต้จิ๋ว มีทั้งสนามบาสเก็ตบอล ตะกร้อ รวมทั้งลานฟิตเน็ตรวมผลนักกล้าม และยังมีถนนรอบสุสานให้วิ่งออกกำลังกาย แต่บรรยากาศภายในสุสานหากเดินเข้าไปข้างในแล้วจะพบต้นไทรใหญ่ครึ้มหลายต้นที่ขึ้นบนทางเดิน รวมทั้งป้ายหลุมศพของคนจีนตลอดฝั่งถนน ที่ยังพอคงเค้าความน่ากลัวอยู่ไม่คลาย
สถานที่เงียบสงัด ที่มองไปทางไหนต่างก็เห็นฮวงซุ้ย หลุมศพ หรีดหริ่งเรไรยามค่ำคืนส่งเสียงร้อง พร้อมสายลมเอื่อยๆที่พัดกลิ่นอับสางๆจากหลุมศพไร้ญาตินับพัน เพิ่มบรรยากาศทำให้ขุมขนทั่วร่างกายเริ่มชันตัวโต้อากาศรอบตัวในช่วงเวลายามค่ำคืน
หากมองในมุมกลับกันป่าช้า สถานที่สุดท้ายของชีวิต ที่ไม่ได้คงความน่ากลัวเพียงอย่างเดียว แต่ยังแฝงมิติทางสังคมอีกหลายอย่าง ทั้งด้านปรัชญา ความเชื่อ ประเพณี พิธีกรรม อีกทั้งยังอาจสะท้อนเรื่องราวของการเกิดมาใช้ชีวิตให้เป็นตัวอย่างแก่ชนรุ่นหลังรับรู้ เพราะถึงยังไงแล้วสุดท้ายป่าช้าก็เป็นบ้านสุดท้ายที่เราต้องจำต้องอาศัย หลังการพ้นสภาพตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติและเงื่อนไขของความเป็นคน
|