ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 19576
ตอบกลับ: 6
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

มารู้จัก ป่าช้า วัดดอน กันดีกว่า...จากอดีต - ปัจจุบัน

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย morntanti เมื่อ 2014-10-5 23:16

ตำนาน ป่าช้าวัดดอน



เสียงลือเสียงเล่าอ้างมากมายจากปากหลายต่อหลายคนมักพูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่า “ที่นี่เฮี้ยนจริงๆ”

   วัดดอนหรือปัจจุบันเปลี่ยนชื่อมาเป็นวัดบรมสถล มีพื้นที่ป่าช้ากินอาณาเขตนับร้อยไร่โดยการดูแลของสามองค์กรได้แก่ สมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย มูลนิธิปอเต็กตึ้ง และสมาคมไหหลำด่านเกเต้ ร่างอันไร้วิญญาณนับหมื่นที่ถูกฝัง ล้วนเป็นศพไม่มีญาติที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเสียส่วนใหญ่ ความน่ากลัวของป่าช้าแห่งนี้จึงทวีความน่ากลัวมากยิ่งขึ้นด้วยเหตุผลที่ว่าแต่ละศพล้วนเป็นศพที่ “ตายโหง”
“ก่อนหน้านี้มันกว้าง แล้วมันก็ไม่เจริญเหมือนสมัยนี้ ต้นไม้ต้นหญ้าขึ้นรกไปหมด มันก็เลยดูน่ากลัว เมื่อก่อนใครตายก็เอามาฝังถมๆกันไป พอเยอะจริงๆก็ล้างป่าช้ากันที”

อรุโณทัย เกริกไกรแพทย์ สัปเหร่อร่างท้วมวัยเลยครึ่งอายุคน ผู้ที่เกิดและเติบโตมาในชุมชนวัดดอน เล่าถึงบรรยากาศย้อนหลังเมื่อ ๓๐ ปีก่อน สมัยป่าช้าวัดดอนยังคงความน่าสะพรึงกลัว และซ่อนเรื่องราวเร้นลับในโลกของความเชื่อเรื่องภูต ผี วิญญาณ อันฝังรากลึกมาแต่ครั้งบรรพบุรุษ
“คนเค้าเจอกันบ่อยไป ยิ่งแท็กซี่นะใครโบกบอกให้มาส่งวัดดอน ไม่มีใครกล้ามาหรอก กลัวมีเพื่อนกลับออกไปด้วย”
“ตัวเองเนี่ยยังไม่เคยเจอ แต่เค้าก็เล่ากันนะว่าเจอมาโบกข้างทางมั่ง มายืนอยู่มั่ง พวกขี้เมางี้เจอกันประจำ สร่างเลย วิ่งไม่คิดชีวิตไปนั่งหอบหน้าบันไดโน่น”

“พวกแท็กซี่เข้ามาส่งผู้โดยสารสิ เจอกันประจำ คนแถวนี้เค้าเห็นนั่งข้างคนขับเลย”
เปลือกนอกอันไร้วิญญาณที่ธรรมชาติได้ฝากทิ้งไว้ในผืนดินของป่าช้าวัดดอน ปัจจุบันซากของบรรพบุรุษหลายรุ่นได้ถูกทำพิธีล้างป่าช้าขึ้นไปเสียหมดแล้ว ทิ้งไว้แต่เรื่องเล่า ความหลังอันน่าขวัญผวา ที่เริ่มจางหายตามชนรุ่นต่อๆมาอีกนับหลายรุ่น ไม่หลงเหลือร่องรอยในอดีตอีกต่อไป ภาพของป่าช้าอันน่ากลัวของวัดดอน ที่บวกความเจริญทางสังคม กลายเป็นสวนที่ใช้ออกกำลังกาย สนาม ลานกีฬา โรงเรียน รวมถึงชุมชนที่รอการเจริญเติบโตในวันเวลาอันใกล้นี้





2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-10-5 23:14 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
จุดเปลี่ยน...ป่าช้าวัดดอน

คอลัมน์ ที่สุด


ปัญหาเบสิคของมหานครใหญ่ๆ ในโลก คือ ความแออัดของประชากร นำไปสู่ปัญหาการจราจรติดขัด ปัญหามลพิษ อาชญากรรม

ส่งผลถึงสุขภาพร่างกาย และสุขภาพจิตของผู้คนตามมาด้วย ไม่เว้นกรุงเทพมหานคร ที่มีประชากรราว 10 ล้านคน บนพื้นที่ขนาด 1,500 ตารางกิโลเมตร หรือราว 980,000 ไร่ ก็ประสบปัญหานี้เช่นกัน

     อย่างไรก็ดี หากสังเกตในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา กรุงเทพฯ แม้จะมีปัญหาดังที่ว่า แต่ก็มีทิศทางดีขึ้นมาก

โดยเฉพาะความร่มรื่นในเมือง 'คีย์แมน' สำคัญในเรื่องนี้คือ 'นิคม ไวยรัชพานิช' รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 อดีตข้าราชการ กทม.กว่า 30 ปี ตำแหน่งสุดท้ายก่อนสมัครรับเลือกตั้งคือ รองปลัด กทม. ซึ่งทุ่มเทในการสร้างพื้นที่สีเขียวให้ชาว กทม.มาตลอด

     ผลงานชิ้นโบว์แดง 'นิคม' มีมากมาย โดยเฉพาะการสร้างสวนสาธารณะหลายแห่งใน กทม. เช่น สวนรถไฟ ลานคนเมือง พิพิธภัณฑ์เด็ก ลานกีฬาใต้ทางด่วน หรือการจัดประชุมเอเปคครั้งที่ผ่านมา ที่เนรมิตเมืองกรุงให้สวยงามภายใน 60 วัน มีการทาสีเกาะรัตนโกสินทร์ อาคารราชดำเนิน ท่าช้าง หน้าพระลาน รวมถึงต้นไม้บริเวณเกาะกลางของหลายเส้นทาง


แม้แต่ศูนย์กีฬาข้าง 'มติชน' ก็เป็นฝีมือของอดีตข้าราชการ กทม.คนนี้

แต่ใครจะรู้บ้างว่า แรงบันดาลใจที่ทำให้รองนิคมเดินหน้า 'ฟื้นสีเขียว' ให้กรุงเทพฯ นั้นค่อนข้างชวน 'ขนหัวลุก' อยู่พอสมควร นั่นคือ การพลิก 'ป่าช้าวัดดอน' ที่มีศพราว 70,000 ศพ บนพื้นที่ 150 ไร่ ให้กลายเป็นสวนสาธารณะกลางกรุง

     'เรื่องของเรื่องคือ เมื่อปี 2538 ผมเป็น ผอ.เขตคลองสาน และคิดว่าจะขอย้ายศาลเจ้าพ่อกวนอู ไปอยู่ที่สวนสมเด็จย่า เพราะศาลเจ้าขวางทางน้ำเวลาน้ำท่วม ผมก็ไปเชิญท่านว่า ให้ไปอยู่กับผมที่นั่น เพราะตรงนี้ท่านอยู่บนน้ำคลำ ขวางที่สาธารณะ ถ้าย้ายไปจะเป็นอานิสงส์ด้วย ในที่สุดผมก็ทำพิธีอันเชิญย้ายศาลเจ้า ไปที่นั่น จากนั้นผมก็โดนย้ายไปเป็น ผอ.เขตสาทร ทันที' รองนิคมเล่า

ด้วยความที่ปีนั้นเกิดน้ำท่วมใหญ่ และยังเกิดสุริยุปราคา เจ้าตัวคิดหนัก คิดว่าเป็นเพราะไปย้ายศาลเจ้าหรือไม่

วันแรกไปทำงานที่เขตสาทร 28 มีนาคม 2538 จึงไปเดินดูศพไร้ญาติ เพื่อปลงที่ป่าช้าวัดดอน เห็นสภาพ มืดครึ้ม เสื่อมโทรม น่ากลัว


...และแล้ว ไอเดียการอยู่ร่วมกันระหว่างคนเป็น-คนตาย จึงบังเกิด

'ผมไปเดินถือโทรโข่งถามชาวบ้านย่านนั้นอยู่เกือบเดือนว่า เอาด้วยหรือไม่ในการปรับปรุงป่าช้าเป็นสวนสาธารณะ ปรากฏว่าเขาเอาด้วย ผมจึงไปคุยกับสมาคมแต้จิ๋ว ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ ตอนแรกเขาหวง ตอนหลังเขายินดี เพราะถึงยังไงก็ย้ายศพออกไปไม่ได้อยู่แล้ว จากนั้นผมจึงวิ่งไปหาซินแสฝั่งคลองสาน แกก็บอกว่า ลื้อทำได้ แต่ต้องทำก่อนวันที่ 5 เมษายน ที่เป็นวันเชงเม้ง และอย่าลืมเอาน้ำแดงไปเซ่นไหว้ด้วย เพราะเขาอยากกิน'

     แม้เจ้าตัวจะเชื่อเรื่องฮวงจุ้ย แต่ไม่เชื่อเรื่องผีสาง แต่คืนก่อนทำพิธีวันที่ 1 เมษายน 2539 ก็ได้ฟังเรื่องเสียวสันหลัง เพราะลูกน้องที่ไปรอต้นไม้มาส่ง ตอนตี 2 โทรศัพท์เสียงสั่นมาเล่าให้ฟังกลางดึกว่า ไปกัน 3 คน รอต้นไม้อยู่ เลยไปกินบะหมี่แถวนั้น ปรากฏว่าคนขายยกมาให้ 4 ชาม น้ำ 4 แก้ว

'ไม่รู้ว่าใครมากินกับลูกน้องผมด้วย' เจ้าตัวยิ้มแห้งๆ

แต่งานก็ผ่านไปด้วยดี ไม่มีใครเจออาถรรพ์ โดยวันที่ทำพิธี หัวเรือใหญ่ประเดิมด้วยการ เซ่นไหว้เจ้าที่เจ้าทางและบรรดาศพ ด้วยหัวหมู และน้ำแดง ตามที่ซินแสแนะนำ และนำชาวสาทรเคลียร์พื้นที่ 4-5 ไร่ ด้านหน้าก่อน โดยไร้เงาผู้ว่าฯกทม.ในสมัยนั้นคือ ร.อ.กฤษฎา อรุณวงศ์ ณ อยุธยา

'ท่านคงคิดว่าผมบ้ามั้ง เพราะคนจีนเขาถือ' เจ้าตัวหัวเราะเอิ๊กอ๊าก

     จากนั้น วันที่ 3 เมษายน จึงลุยดายหญ้า ปลูกต้นไม้ ทั้งพื้นที่ จนได้สวนสวยๆ เป็นที่ออกกำลังกายของชาวสาทร รวมถึงเป็นที่ผันน้ำขังโดยธรรมชาติเวลาน้ำท่วม เพราะป่าช้าวัดดอนมีลำรางสาธารณะ ออกไปเขตยานนาวา ลงแม่น้ำเจ้าพระยาได้

และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทำให้รองนิคมมุ่งมั่นเดินหน้าสร้างเมืองให้น่าอยู่ ซึ่งตลอด 10 ปีที่ผ่านมา มีต้นไม้เพิ่มกว่าล้านต้นในกรุงเทพฯ พื้นที่สีเขียว เมื่อ 12 ปีที่แล้ว ที่ 2.59 ตารางเมตรต่อคน วันนี้อยู่ที่ 3.19 ตารางเมตรต่อคน ขณะที่เกณฑ์มาตรฐานของนานาชาติ มหานครขนาด 10 ล้านคน หารกับพื้นที่ จะอยู่ที่ 4 ตารางเมตรต่อคน ขาดอยู่ 5-6 พันไร่ ก็จะเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน


ขอขอบคุณ
ที่มา :
มติชนออนไลน์ วันที่ 03 สิงหาคม พ.ศ. 2551 หน้า 11

3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-10-5 23:15 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ป่าช้าวัดดอน ยังน่ากลัวเหมือนเดิม

                                    ป่าช้าวัดดอน ยังน่ากลัวเหมือนเดิม


                           

                                        ..........................................

                 ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังก้มลงเปิดประตูรถแท็กซี่ที่เทียบอยู่ข้างบาทวิถี ในช่วงเวลากลางดึก  “พี่ไปวัดดอนครับ”

                โชเฟอร์แท็กซี่มองหน้าชายหนุ่ม พร้อมส่ายหน้าพลางปฏิเสธเสียงแข็ง   ก่อนขับรถจากไปอย่างรวดเร็ว

                 นั่นเป็นภาพอดีตที่ใครก็รู้กิตติศัพท์กันดีสำหรับชื่อเสียงของวัดดอน บางรัก หรือป่าช้าวัดดอนถ้าหากเอ่ยถึงเรื่องของภูตผีวิญญาณ แม้ว่าทุกวันนี้สภาพของป่าช้า สุสานจีนมากมายนับร้อยไร่จะถูกล้างไปเกือบหมดแล้ว แต่เค้าความน่ากลัวเดิมเมื่อเดินทางมาเยือนบริเวณสถานที่ฝังร่างอันไร้วิญญาณในอดีตที่นี่นั้น สายลมที่พัดอาจยังพอที่จะหนาวเข้ากระดูกได้เหมือนกัน

                 ภาพของกองดินพะเนิน อันเป็นบ้านสุดท้ายที่หลายคนฝากร่างทิ้งไว้เพื่อเป็นเครื่องยืนยันถึงการได้เกิดมาใช้สภาพความเป็นคน ปัจจุบันเปลี่ยนสภาพเป็นโรงเรียนที่เกิดขึ้นตลอดพื้นที่ป่าช้าเก่าที่ทำการล้างป่าช้าไปเมื่อประมาณ 20 ปีก่อน แต่น่าสังเกตอยู่เหมือนกันว่าทำไมชุมชนเมืองที่น่าจะเติบโตถึงขยายมาอยู่บนพื้นที่ซอยเจริญกรุง 57 น้อยมากหากเทียบกับชุมชนอื่น หรือนั่นอาจเป็นเพราะว่า ภาพของความน่ากลัวยังขจัดไม่ออกจากจิตใจของชาวชุมชน

                วัดดอนหรือปัจจุบันเปลี่ยนชื่อมาเป็นวัดบรมสถล มีพื้นที่ป่าช้ากินอาณาเขตนับร้อยไร่โดยการดูแลของสามองค์กรได้แก่ สมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย มูลนิธิปอเต็กตึ้ง และสมาคมไหหลำด่านเกเต้ ร่างอันไร้วิญญาณนับหมื่นที่ถูกฝัง ล้วนเป็นศพไม่มีญาติที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเสียส่วนใหญ่ ความน่ากลัวของป่าช้าแห่งนี้จึงทวีความน่ากลัวมากยิ่งขึ้นด้วยเหตุผลที่ว่าแต่ละศพล้วนเป็นศพที่ “ตายโหง”

                 เสียงลือเสียงเล่าอ้างมากมายจากปากหลายต่อหลายคนมักพูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่า “ที่นี่เฮี้ยนจริงๆ”     

                 “ก่อนหน้านี้มันกว้าง แล้วมันก็ไม่เจริญเหมือนสมัยนี้ ต้นไม้ต้นหญ้าขึ้นรกไปหมด มันก็เลยดูน่ากลัว เมื่อก่อนใครตายก็เอามาฝังถมๆกันไป พอเยอะจริงๆก็ล้างป่าช้ากันที”

                 อรุโณทัย   เกริกไกรแพทย์ สัปเหร่อร่างท้วมวัยเลยครึ่งอายุคน ผู้ที่เกิดและเติบโตมาในชุมชนวัดดอน เล่าถึงบรรยากาศย้อนหลังเมื่อ ๓๐ ปีก่อน สมัยป่าช้าวัดดอนยังคงความน่าสะพรึงกลัว และซ่อนเรื่องราวเร้นลับในโลกของความเชื่อเรื่องภูต ผี วิญญาณ อันฝังรากลึกมาแต่ครั้งบรรพบุรุษ

                 “คนเค้าเจอกันบ่อยไป ยิ่งแท็กซี่นะใครโบกบอกให้มาส่งวัดดอน ไม่มีใครกล้ามาหรอก กลัวมีเพื่อนกลับออกไปด้วย”

                 “ตัวเองเนี่ยยังไม่เคยเจอ แต่เค้าก็เล่ากันนะว่าเจอมาโบกข้างทางมั่ง มายืนอยู่มั่ง พวกขี้เมางี้เจอกันประจำ สร่างเลย วิ่งไม่คิดชีวิตไปนั่งหอบหน้าบันไดโน่น”

                 “พวกแท็กซี่เข้ามาส่งผู้โดยสารสิ เจอกันประจำ คนแถวนี้เค้าเห็นนั่งข้างคนขับเลย”

                 เปลือกนอกอันไร้วิญญาณที่ธรรมชาติได้ฝากทิ้งไว้ในผืนดินของป่าช้าวัดดอน ปัจจุบันซากของบรรพบุรุษหลายรุ่นได้ถูกทำพิธีล้างป่าช้าขึ้นไปเสียหมดแล้ว ทิ้งไว้แต่เรื่องเล่า ความหลังอันน่าขวัญผวา ที่เริ่มจางหายตามชนรุ่นต่อๆมาอีกนับหลายรุ่น ไม่หลงเหลือร่องรอยในอดีตอีกต่อไป ภาพของป่าช้าอันน่ากลัวของวัดดอน ที่บวกความเจริญทางสังคม  กลายเป็นสวนที่ใช้ออกกำลังกาย  สนาม ลานกีฬา โรงเรียน รวมถึงชุมชนที่รอการเจริญเติบโตในวันเวลาอันใกล้นี้

          “เดี๋ยวนี้เป็นสนามบอลหมดแล้ว ไม่น่ากลัวเหมือนสมัยก่อน คนมันเยอะกลัวคนมากกว่า” คำยืนยันจากคนในชุมชนที่เผยถึงสภาพปัจจุบันของป่าช้าวัดดอน หลังก้าวผ่านห้วงของเวลา

                 สภาพของสุสานปัจจุบันได้ขจัดความน่ากลัวไปอย่างมากด้วยโครงการ “สวนสวยในป่าช้า” ของเขตสาธรที่รื้อความน่ากลัวของป่าช้าเก่าๆ เกือบหมดสิ้น หลังจากความเจริญทางสังคม รวมถึงวัตถุที่มีพัฒนาการที่ก้าวหน้าทุกๆวัน ความเจริญที่ไหลเข้ามาแทนที่ แท่งคอนกรีตของทางด่วนที่ตอกทับกองบนกระดูกบรรพบุรุษ รวมถึงการตัดถนนหลายจุดรอบๆป่าช้า เป็นของขวัญที่คนรุ่นหลังได้มอบไว้ ให้บรรพบุรุษ     

                 ลานกีฬาที่เกิดขึ้นโดยชาวชุมชนร่วมใจกันจัดสร้างบริเวณพื้นที่ของสุสานแต้จิ๋ว มีทั้งสนามบาสเก็ตบอล  ตะกร้อ  รวมทั้งลานฟิตเน็ตรวมผลนักกล้าม และยังมีถนนรอบสุสานให้วิ่งออกกำลังกาย แต่บรรยากาศภายในสุสานหากเดินเข้าไปข้างในแล้วจะพบต้นไทรใหญ่ครึ้มหลายต้นที่ขึ้นบนทางเดิน รวมทั้งป้ายหลุมศพของคนจีนตลอดฝั่งถนน ที่ยังพอคงเค้าความน่ากลัวอยู่ไม่คลาย

                 สถานที่เงียบสงัด ที่มองไปทางไหนต่างก็เห็นฮวงซุ้ย หลุมศพ หรีดหริ่งเรไรยามค่ำคืนส่งเสียงร้อง พร้อมสายลมเอื่อยๆที่พัดกลิ่นอับสางๆจากหลุมศพไร้ญาตินับพัน เพิ่มบรรยากาศทำให้ขุมขนทั่วร่างกายเริ่มชันตัวโต้อากาศรอบตัวในช่วงเวลายามค่ำคืน

                 หากมองในมุมกลับกันป่าช้า สถานที่สุดท้ายของชีวิต ที่ไม่ได้คงความน่ากลัวเพียงอย่างเดียว แต่ยังแฝงมิติทางสังคมอีกหลายอย่าง ทั้งด้านปรัชญา ความเชื่อ ประเพณี พิธีกรรม อีกทั้งยังอาจสะท้อนเรื่องราวของการเกิดมาใช้ชีวิตให้เป็นตัวอย่างแก่ชนรุ่นหลังรับรู้ เพราะถึงยังไงแล้วสุดท้ายป่าช้าก็เป็นบ้านสุดท้ายที่เราต้องจำต้องอาศัย หลังการพ้นสภาพตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติและเงื่อนไขของความเป็นคน                  

         

4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-10-5 23:27 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สุดท้ายท้ายสุด ถึงแม้ว่า ป่าช้าวัดดอน จะได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าช้ามาเป็นอาคาร สวนสาธารณะต่างๆมีถนนตัดแบ่งพื้นที่ป่าช้าออกเป็นส่วนๆ จนปัจุบันผู้ที่ผ่านเข้าไปจะเห็นว่าเหลือเนื้อที่ๆเป็นสุสานหรือป่าช้าอยู่ไม่มากก็ตาม  แต่ความเฮี้ยนความน่ากลัวอาถรรพ์ต่างๆของ ป่าช้าวัดดอน แห่งนี้น่าจะคงมีอยู่จริง  ไม่เชื่อลองถามศิษย์คศช.ที่ทำหน้าที่ไปนำดินที่ป่าช้าวัดดอนแห่งนี้เพื่อมาทำมวลสารดูสิครับว่าไปพบเจออะไรกันมาบางจนทำให้ผู้ที่ไปทำพิธีขอพลีดินที่ป่าช้าวัดดอนแห่งนี้ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ...ป่าช้าวัดดอนแห่งนี้น่าจะยังคงมีพลังงานบางอย่างที่มองไม่เห็นอยู่จริง ....แน่นอน
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวที่นำมาเล่าสู่กันฟังครับ
ขอบคุณสำหรับต้นเรื่องดีๆแบบนี้ครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้