ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ หลวงปู่หลุย จันทสาโร วัดถ้ำผาบิ้ง ~

[คัดลอกลิงก์]
111#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 15:40 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ในปี ๒๕๒๑ ท่านกลับไปโปรดศรัทธาญาติโยมทางจังหวัดอุดรฯ จำพรรษาที่วัดป่าหนองแซง อำเภอหนองวัวซอ ปี ๒๕๒๒ ก็กลับมาจำพรรษาที่โรงนาแห่งหนึ่งที่คลอง ๑๖ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก

ปี ๒๕๒๓ ก็ไปพักจำพรรษาที่วัดอโศการาม ตำบลบางปิ้ง อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ

พ.ศ. ๒๕๒๔ ไปอยู่ที่ศรีราชา จังหวัดชลบุรี แต่ละจุด แต่ละแห่ง ท่านก็ได้เทศนาอบรมผู้คนในละแวกใกล้เคียงกับสถานที่ที่จำพรรษาอยู่เสมอ นอกจากนั้น ในระหว่างพรรษาแต่ละปีท่านก็ไม่อยู่เป็นที่ประจำ ท่านคงเดินทางธุดงค์ไปเรื่อย ๆ

ในระยะนั้น เมื่อมีผู้ทราบกิตติศัพท์ของท่าน ก็มากราบนมัสการนิมนต์ให้ท่านไปพักอยู่ตามที่ต่าง ๆ การธุดงค์ระยะนี้ของหลวงปู่ ซึ่งเจริญชนมายุกว่า ๗๐ แล้วก็ไม่ได้เดินด้วยเท้า เหมือนอย่างที่ท่านเคยกระทำมาแต่สมัยยังเป็นพระหนุ่ม หรือในช่วงมัชฌิมวัย กล่าวคือ มีรถยนต์นำไป

ท่านมักพูดอย่างขมขื่นว่า ตอนนี้กลายเป็น “กัมมัฎฐานขุนนาง” ไปแล้ว ! คือไม่ได้สะพายบาตร แบกกลด เดินด้วยเท้าอย่างสมัยก่อน ๆ แต่กลับเดินทางด้วยรถ เป็นการธุดงค์ด้วยรถ !

ระหว่างนอกพรรษา ท่านมักจะพาลูกศิษย์ไปกราบเยี่ยมนมัสการพระเถระผู้ใหญ่ตามที่ต่าง ๆ อย่างเช่น ขณะที่ท่านอยู่ที่วัดป่าหนองแซงในปี ๒๕๒๑ ลูกศิษย์ชาวกรุงเทพฯ ได้ติดตามไปกราบท่านที่วัดในวันสุดสัปดาห์ เมื่อฟังธรรมและภาวนาเสร็จแล้วท่านได้พาออกไปกราบครูบาอาจารย์องค์อื่น ๆ ที่ท่านเห็นสมควรว่า จะได้มีความคุ้นเคย ได้กราบท่านเหล่านั้นให้เป็นบุญตาบุญใจ หรือสำนวนท่านพูดว่า ไปกราบท่านที่ เป็นขวัญตาขวัญใจ ของเรา อย่างเช่น หลวงปู่ขาว อนาลโย ที่วัดถ้ำกลองเพล พาไปกราบหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ที่วัดป่าสัมมานุสรณ์ อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย พาไปกราบหลวงปู่คำดี ปภาโส ที่วัดถ้ำผาปู่ อำเภอเมือง จังหวัดเลย พาไปกราบหลวงปู่ชามา อจุตโต ที่วัดป่าอัมพวัน ตำบลไร่ม่วง จังหวัดเลย หรือมิฉะนั้นก็จะพาไปยังจังหวัดสกลนคร เพื่อดูสถานที่ที่ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้เคยจำพรรษาอยู่ถึง ๕ พรรษา คือ วัดป่าบ้านหนองผือ เป็นอาทิ การที่ท่านเมตตาพาไปนี้ทำให้ได้มีโอกาสเห็นจริยานุวัตรที่ท่านปฏิบัติต่อกันตามพรรษาอ่อนหลังกัน ได้ฟังธรรมสากัจฉาที่ท่านสนทนากันเป็นบุญตา บุญใจ เป็นทัสนานุตริยะอันงามยิ่ง

ขณะนั้นหลวงปู่มีอายุมากเกือบ ๘๐ ปีแล้ว แต่ท่านก็ยังมีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์ดีมาก ท่านยังไปคล่องมาคล่อง อย่างที่เราแอบปรารภกันว่า ใครจะสามารถทำได้อย่างท่าน ที่หลวงปู่ไปเยี่ยมลูกศิษย์ได้วันละ ๕- ๖ บ้าน แทนที่ลูกศิษย์จะมากราบนมัสการท่าน วันไหนว่างไม่มีคนมา ท่านก็จะพาออกไปเที่ยวเยี่ยมตามบ้านต่าง ๆ ซึ่งทำให้ลูกศิษย์ส่วนใหญ่รู้สึกในพระคุณของท่านเป็นอย่างยิ่ง ท่านมีเมตตาแผ่มาโดยไม่มีประมาณ คนอายุเกือบ ๘๐ ก็ยังสามารถไปมาได้อย่างน่าอัศจรรย์

ความจริงระยะนั้นท่านก็มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว คือโรคหัวใจและเบาหวานมิหนำซ้ำยังเป็นฝีคัณฑสูตรอยู่นานแล้วด้วย แต่ท่านไม่ยอมบอกให้ใครทราบเรื่องเหล่านั้นท่านทำเป็นเฉยอยู่

หลวงปู่มีเมตตาโปรดไปทั่วไป ดังที่เราจะขอกล่าวว่า อันนั้นเป็นการโปรยปรายสายธรรมของท่านโดยเฉพาะ ท่านไม่ได้เมตตาแต่เฉพาะชาวอีสานถิ่นกำเนิดหรือเฉพาะจังหวัดเลย ท่านบอกว่าคิดถึงโดยเฉพาะคนภาคกลาง คนจังหวัดพระนครเพราะคนทางนี้ได้ส่งปัจจัยไปช่วยเหลือเจือจานทางฝ่ายอีสาน ทั้งสิ่งก่อสร้าง ศาสนวัตถุต่าง ๆ ในจังหวัดอีสานนั้น ได้อาศัยปัจจัยไปจากชาวจังหวัดพระนครและจังหวัดใกล้เคียงมาก ท่านถือเป็นบุญคุณที่จะต้องตอบแทน ให้ผู้ที่เลื่อมใสศรัทธาในศาสนาได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างถูกต้อง

ทุก ๆ วันหยุดพวกบรรดาศิษย์จะได้เห็นภาพที่หลวงปู่นำพระเถรานุเถระและบรรดาพวกญาติโยมที่มาทำบุญกันทั้งหลายทำวัตรสวดมนต์ โดยท่านจะกล่าวสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ไม่เฉพาะแต่ภาษาบาลีที่เคยทราบหรือเคยได้ยิน ได้ฟังกัน แต่จะมีคำแปลอย่างวิจิตรลึกซึ้ง ให้สมกับที่เราจะได้ระลึกถึงพระคุณของพระรัตนตรัย

คำสวดของท่านจะเริ่มตั้งแต่ “ยมหํ” ในแบบที่ท่านฝึกมาจากท่านพระอาจารย์บุญ อาจารย์องค์แรกของท่านด้วย และท่านจะเติมถ้อยคำคำแปลเป็นภาษาไทยเพิ่มขึ้นไปด้วย
112#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 15:40 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ครั้งแรกที่เราฟังกัน เราจะไม่ทันรู้สึกซาบซึ้งถึงถ้อยคำคำแปลนั้นมากนักแต่เมื่อคิด....นึกตามไปก็จะยิ่งเข้าใจลึกซึ้งมากขึ้น ๆ

อย่างที่ท่านกล่าวในตอนต้นตอนหนึ่งที่พูดถึงการบรรยายพระคุณของพระพุทธเจ้า ท่านบอกว่า คนที่จะบรรยายพระคุณของพระพุทธเจ้านั้น ดุจคล้าย ๆ กับนกบินไปในอากาศ ฟังเผิน ๆ ก็ดูแค่นั้น แต่ถ้าคิดลงไปให้ลึกซึ้งแล้วละก้อ จะเข้าใจได้ว่าอากาศที่นกน้อยจะต้องบินอยู่นั้น แสนจะเวิ้งว้าง กว้างใหญ่ไพศาลจนสุดที่จะหยั่งได้หรือบอกได้ว่า ความกว้างใหญ่ไพศาลของอากาศนั้นเป็นเช่นไร ส่วนตัวของเรานั้นเช่นกัน เกิดมาชีวิตนั้นช่างน้อยนิดนี่กระไร และถ้าจะไปเทียบกับพระคุณของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งแผ่ไพศาลไปดุจห้วงอวกาศ ไม่แต่โลกนี้ หากเป็นทั่วทั้งไตรภพ เจ้านกน้อยตัวนั้นจะสามารถรู้ถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าได้เช่นไร นกที่มีความรู้สึกต่ออากาศฉันใด ก็เป็นเช่นเราต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฉันนั้น อากาศยังเป็นอาหารที่ช่วยให้นกได้สูด ได้ดมกลิ่นอากาศอันบริสุทธิ์ พระคุณของพระพุทธเจ้า คำสั่งสอนของพระองค์ท่านที่มีต่อปวงสาธุชนก็เช่นเดียวกัน เป็นอาหารวิเศษทางใจ เหมือนกับที่เราจะขาดอากาศไม่ได้ เพราะเท่ากับจะขาดชีวิต เช่นนั้นด้วยถ้อยคำเพียงสั้น ๆ แค่นี้ ถ้าเราเพียงแต่จะคิดไปให้ลึกซึ้งเท่านั้น จะได้ความที่ซาบซึ้งพรรณนาไปได้กว้างไกลเหลือเกิน

นอกจากการไหว้พระสวดมนต์ ท่านยังให้ปฏิญาณตนรับพระไตรสรณคมน์ด้วย ท่านอธิบายว่า

“...แม้เรารับพระไตรสรณาคมน์มาแต่ก่อนแล้ว อาจจะขาดบ้างทะลุบ้าง ด่างพร้อยบ้าง เหมือนกับพระเป็นอาบัติ ซึ่งต้องแสดงต่อสงฆ์จึงจะเกิดความบริสุทธิ์ได้....”

ดังนั้น ท่านมักกล่าวนำลูกศิษย์ให้ปฏิญาณตนถึงพระไตรสรณาคมน์ก่อนการรับศีลเสมอ ๆ

สำหรับการรักษาศีล โดยเฉพาะในวันอาทิตย์ ท่านจะเน้นให้บรรดาศิษย์รักษาศีลเพิ่มขึ้นจากศีล ๕ เป็นศีล ๘ โดยท่านให้เหตุผลว่า สำหรับวันพระซึ่งควรเป็นวันรักษาศีลอุโบสถนั้น ส่วนใหญ่พวกเราต้องทำราชการผิดการงานต่าง ๆ ไม่ได้มีโอกาสมาวัดเลย เมื่อได้มาก็มาเฉพาะวันหยุดคือวันอาทิตย์ ก็ควรจะต้องรักษาให้ได้ใช้วันอาทิตย์เป็นวันพระแทน

ท่านได้อธิบายอานิสงส์ของศีลให้ฟังว่า

“ศีล ๕ นี่ พระพุทธเจ้าท่านมีเมตตาต่อผู้ครองเรือน ให้รักษาศีล ๕ อย่าดูถูกศีล ๕ นะ เพราะผู้รักษาศีล ๕ ย่อมสำเร็จโสดาบันได้ สำหรับศีล ๘ นั้น ก็จะสำเร็จถึงอนาคามีได้....”

ท่านจะไม่บังคับว่าใครควรจะรักษาศีล ๕ ใครควรจะรักษาศีล ๘ โดยท่านจะกล่าวนำ เริ่มต้นจากศีล ๕ ซึ่งทุกคนจะต้องกล่าวตาม จากนั้นก่อนที่ท่านจะกล่าวนำศีลข้อ ๖-๘ ท่านจะแนะนำให้ผู้ที่รักษาศีล ๕ กราบแล้วนั่งอยู่ ไม่ต้องกล่าวตาม เฉพาะผู้ที่จะรักษาศีล ๘ ให้กล่าวตามคำที่ท่านกล่าวนำต่อไป

“...เพื่อจะรักษาให้ศีลให้บริบูรณ์ สิ้นวันหนึ่งกับคืนหนึ่งด้วยอำนาจกุศลนี้ ขอจงเป็นบุพนิสัยเพื่อจะกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน”

ต่อจากนั้นท่านจะเทศน์อบรมก่อนแล้วจึงให้พร พระธรรมเทศนาที่หลวงปู่มักจะหยิบยกขึ้นมาย้ำเตือนเสมอได้แก่ เรื่องการบริจาคทาน การรักษาศีล และการเจริญภาวนา

ท่านมักจะเน้นเรื่องศีลอยู่เสมอ เพราะศีลแปลว่า ความปกติ เป็นการรักษาใจให้ปกติ ศีลเป็นบาทเบื้องต้นของการภาวนาด้วย ถ้าหากเรารักษาศีลให้บริสุทธิ์แล้วการภาวนาก็จะเจริญงอกงามไปอย่างรวดเร็ว ผู้ที่มีศีลย่อมต้องมีจิตใจผ่องใส เป็นที่รักของญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง และในสังคมที่เราอยู่ด้วย ถ้าทุกคนรักษาศีลอยู่ได้ เพียงแคศีล ๕ บ้านเมืองก็จะสงบราบรื่น ปราศจากขโมย ลักเล็กขโมยน้อย ไม่มีการฆ่าฟันกันอิจฉาริษยา เกลียดชังกัน เพราะอานุภาพแห่งศีลย่อมรักษาตัวผู้รักษาศีล และสังคมโดยรอบ ได้

ส่วนด้านการภาวนา ท่านก็จะนำชาวนาในตอนกลางคืน โดยท่านเทศนาให้ฟัง แล้วให้ศิษย์ภาวนาไปด้วย ระหว่างฟังเทศน์ท่านถือว่า ก่อนจะเริ่มการภาวนาเราต้องแต่งตัวให้เรียบร้อย อาบน้ำชำระจิตใจให้สะอาด ฟอกจิตของเราด้วยการรักษาศีลการบำเพ็ญทานนั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้จิตโน้มน้าว ตัดความตระหนี่ให้มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ถึงกัน

ศีลก็มี ทานก็มี แล้วยิ่งมีการภาวนาด้วย ก็จะยิ่ง ต่อ ไปได้ไกล
113#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 15:41 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เรื่องจิตภาวนานั้น ท่านเน้นมากว่า ถ้าไม่หัดไว้ก็แสนจะลำบาก ท่านมักจะกล่าวบ่อย ๆ ว่า การภาวนานั้นมีอานิสงส์มาก อย่างแค่ “ช้างพัดหู งูแลบลิ้น” แค่นั้น ก็ยังมีอานิสงส์มหาศาล ถ้าได้มากกว่านั่นก็จะยิ่งดีขึ้น ท่านเคยพูดว่า

“...จิตติดที่ไหน ย่อมไปเกิด ณ ที่นั้น จิตติดเรือนก็อาจจะมาเกิดเป็นจิ้งจกตุ๊กแกได้ แม้แต่พระภิกษุติดจีวรยังไปเกิดเป็นเล็น น่าหวาดกลัวนัก แล้วกิเลสมิร้อยแปดประตู พุทโธมีประตูเดียว เพราะฉะนั้น ให้ฝึกหัดปฏิบัติให้คุ้นเคย วาระที่เราจะเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติจะเข้าจิตได้ทันหรือเปล่า.....”

ท่านละเอียดพิถีพิถันมากในการที่จะนำศิษย์ให้รู้จัก ศีล ทาน ภาวนา การไหว้พระสวดมนต์ แม้แต่การ “กราบ” ซึ่งทุกคนรู้สึกว่าเป็นเรื่องหญ้าปากคอกหลวงปู่ก็จะหัดให้ศิษย์บางคนแสดงท่ากราบให้ดู สุภาพสตรีผู้มีบรรดาศักดิ์ได้รับพระราชทานตราจุลจอมเกล้า มีคำนำหน้าเป็นคุณหญิง หลายท่านจึงออกตกใจเมื่อมากราบนมัสการท่าน แล้วจู่ ๆ ท่านก็สั่งว่า “ไหนลองกราบให้ดูซิ” แล้วเมื่อเธอท่านนั้นได้กราบด้วยท่าทางที่เก้งก้างตามวิสัยชาวกรุงเทพฯ ซึ่งทำอะไรก็มักจะรีบร้อนลุกลน ถือเสียว่าการกราบก็กราบเพียงสักแต่ว่าให้เสร็จเรื่อง

ท่านจะนำการกราบให้ดูโดยท่านจะแสดงท่านั่งกระหย่ง พร้อมกับอบรมว่า กราบอย่างนี้เรียกว่า “กราบแบบเบญจางคประดิษฐ์”

ท่านอธิบายว่า “นอกจากเข่าทั้งสอง มือสองมือ ศอกจรดพื้นหน้าผากต้องแตะถึงพื้นด้วย ถึงจะเป็นท่ากราบที่งดงาม”

แล้วก็ไม่ใช่ท่าที่รีบร้อนจะไปไหน ในขณะที่จะกราบก็ต้องค่อย ๆ กราบลงไป พร้อมกับที่จิตน้อมรำลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า นั่นเป็นครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สองก็นึกถึงพระธรรม คำสั่งสอนของท่านที่สืบต่อพระศาสนามาจนทุกวันนี้ กราบครั้งที่สามระลึกถึงคุณพระสงฆ์ สาวกของพระพุทธองค์ ซึ่งเป็นสมมุติสงฆ์แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สืบพระศาสนามาจนทุกวันนี้ พร้อมกับการกราบทุก ๆ ครั้ง ต้องน้อมจิตให้รำลึกไปด้วยเสมอ จิตจะเอิบอาบในการบุญ จิตจะเป็นจิตที่อ่อนน้อมควรแก่การงาน เมื่อฝึกอยู่เช่นนี้ก็จะเข้าใจดีขึ้น จะเป็นผู้ที่นอบน้อมถ่อมตน น่ารัก ท่านเคยพูดเล่น ๆ ว่า มองดูแค่การกราบก็สามารถบอกได้ทันทีเลยว่า เป็นลูกศิษย์มีครูหรือไม่

จะสังเกตได้ว่า ในภายหลังผู้ที่ผ่านการอบรมจากหลวงปู่จะกราบได้อย่างงดงาม ทั้งหญิง ทั้งชาย ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ เวลาเมื่อกราบพร้อม ๆ กันจะดูงดงามยิ่งนักเป็นระเบียบที่น่าชม


หลวงปู่ ณ ที่พักสงฆ์ กม. ๒๗ ดอนเมือง สมัยแรก ๆ

ช่วงระยะเวลาเหล่านั้น ท่านคงถือที่พักสงฆ์ ก.ม. ๒๗ ดอนเมือง เป็นคล้าย ๆ กับฐานที่ตั้งซึ่งจะเดินทางไปที่อื่นต่อไป เมื่อไปที่ใดกลับมาก็จะพักที่ที่พักสงฆ์ ก.ม. ๒๗ ซึ่งท่าน พล.อ.อ.โพยม เย็นสุดใจ และคุณหญิง ได้เป็นศรัทธาที่น่าเลื่อมใสเคารพครูบาอาจารย์ จัดที่พักของท่าน ให้เป็นที่ครูบาอาจารย์ชั้นผู้ใหญ่ ได้มาพักระหว่างเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เป็นเวลาที่ครูบาอาจารย์จะได้สามารถเทศนาอบรมสั่งสอนคนกรุง ซึ่งมัวแต่วุ่นวายกับธุรกิจการงาน จนลืมนึกถึงที่สงบทางใจ

ในระยะหลัง ได้มีผู้เลื่อมใสศรัทธา จัดสร้างที่พักในบ้านของตน โดยหาที่ว่างส่วนหนึ่งในบริเวณบ้านจัดสร้างขึ้น พอให้มีที่พักได้หลายแห่งอยู่ ในระยะนี้หลวงปู่ไม่ได้เดินทางไปไหนแต่เพียงองค์เดียว เริ่มมีพระปฏิบัติไปด้วยกับท่านด้วยแต่ก็เพียงองค์เดียว อย่างไรก็ดี ต่อมาก็เริ่มขอติดตามท่านมากขึ้น เพราะท่านเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็มีความประสงค์ที่จะได้รับการฝึกฝนอบรมจากท่านด้วย เพราะการอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่นั้น เท่ากับว่าได้อาจารย์ที่จะฝึกหรือไปตลอดทั้ง ๒๔ ชั่วโมง
114#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 15:41 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
การฟังคำเทศนาสั่งสอนของท่านก็ดี การอบรมของท่านในระหว่างกลางคืนหรือตอนเจ้าก็ดี นั่นเป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่สิ่งที่จะได้จากท่านนอกเหนือไปกว่านั้นคือ ให้รู้ในสิ่งที่ท่านทำ ทำตามที่ท่านสอนก็จะได้ประโยชน์มหาศาล ปฏิปทาของท่านกิริยาอาการของท่าน ทุกอย่างมีความหมาย เป็นเนติ เป็นแบบอย่างให้ศึกษา ให้ปฏิบัติตามต่อไปทั้งนั้น

พระเณรใดที่ได้ปฏิบัติใกล้ชิดครูบาอาจารย์ ก็เท่ากับว่าผ่านการฝึกปรืออย่างหนักแล้ว ส่วนใหญ่จึงพยายามหันเข้าหาครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่

ระยะนี้หลวงปูก็เหมือนกับต้นพฤกษาใหญ่ มีนก กา มาอาศัยความร่มเย็นของท่านอยู่มาก ตั้งแต่ระยะแรก ๗- ๘ องค์ ก็เพิ่มเป็น ๑๐ กว่าองค์ ท่านก็เมตตาไปอยู่ตามบ้านต่าง ๆ ที่พักที่จัดเป็นที่แสดงธรรม ที่ท่านต้องไปตามบ้านที่พักเหล่านั้นบ้างก็เพราะว่า ท่านเล็งเห็นหมดว่า การคมนาคมในจังหวัดพระนครนั้นลำบาก รถติดทำให้เสียเวลาในการเดินทาง หากไปอยู่ที่ต่าง ๆ ฯ้ที่อยู่ใกล้เคียงก็สามารถเข้ามาฟังธรรมรับการอบรมได้

ระยะแรก ๆ ท่านพิถีพิถัน สถานที่ที่จะให้แสดงธรรม ผู้เขียนยังจำได้ว่าท่านมาดู ท่านตรวจหมดว่า ที่ไหนควรจะนั่งได้ให้จัดสถานที่เตรียมไว้ ท่านลงมาอำนวยการโดยละเอียด โดยเฉพาะทางจงกรม เพราะท่านไม่นิยมที่จะให้มีการนั่งภาวนาไปนาน ๆ ท่านบอกว่าจะกลายเป็นอัมพาต ต้องพยายามทำความเพียรแบบชนิดที่เปลี่ยนแปลงอิริยาบถให้สลับกันทั้งอิริยาบถ ๔ คือ เดิน ยืน นั่ง นอน แต่ท่านมักจะพูดหัวเราะ ๆ ว่า "พวกเรามักจะไปติดอยู่ในอิริยาบถที่ ๔ ...นอน กันมากกว่า"

การเมตตาโปรดญาติโยมนี้ ท่านก็ไม่ได้เลือกเฉพาะที่เป็นมนุษย์เท่านั้นท่านยังกล่าวถึงเสมอว่า เราจะต้องแผ่เมตตาไปทั้งผู้ที่เป็นอมนุษย์ด้วย ทุกผู้ทุกคนก็ควรจะได้รับกระแสแห่งความเมตตานั้นเสมอกัน มาพบในบันทึกของท่านในระยะหลังนี้หลายครั้งว่า การที่ท่านแผ่เมตตาไปนั้น พวกเทพยดาอารักษ์ อมนุษย์ทั้งหลายนั้นชอบมาก “ดีใจมาก เพราะได้รับกระแสแห่งความเมตตา....เป็นที่เยือกเย็น” แม้แต่สัตว์ต่าง ๆ เวลาท่านจะจากมาก็มีความอาลัย ท่านกล่าวว่า เขาชอบนัก เพราะได้ความเมตตา

เหตุนี้ท่านจึงสอนว่า เมื่อลูกศิษย์ของท่านคนใดจะเดินธุดงค์ไปในที่ต่างจังหวัดหรือป่าเปลี่ยว ให้พึงแผ่เมตตาไปให้ผู้ที่เราไม่เห็นด้วยตาด้วย คือนอกจากให้เพื่อนร่วมทุกข์ทั้งหลายซึ่งมีชีวิตอยู่แล้ว ก็ให้นึกถึงเขาเหล่านั้นด้วย

นึกถึงเหตุการณ์ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นท่านได้รับนิมนต์ให้ไปพักภาวนาที่ชายทะเลแห่งหนึ่ง ใคร ๆ ก็เข้าใจว่าเป็นเพียงการเปลี่ยนอากาศ แต่จุดประสงค์อันหนึ่งที่ท่านไปอยู่ที่นั้นเนื่องจากท่านได้เมตตา ชาวบ้านในบริเวณนั้นซึ่งมีหน้าตาดำคร่ำเครียดไม่เคยพบแสงแห่งธรรมะเลย เนื่องจากพวกเขาเป็นชาวประมง ไปจับสัตว์น้ำ เหวี่ยงแหขึ้นมาทีหนึ่ง ลากแหขึ้นเรือครั้งหนึ่ง ปลาเล็กปลาน้อยเป็นพันเป็นหมื่นตัว ก็คือพัน - หมื่นชีวิตที่จะต้องดับไปสิ้นไป ซึ่งเป็นกรรมอันหนัก และเขาเหล่านั้นไม่รู้ ท่านก็ไปอยู่ใกล้เพื่อให้โอกาสเขาเหล่านั้นได้ทำบุญบ้าง เป็นการสร้างกรรมดีขึ้นมาเมื่ออาจจะได้ละลายกรรมชั่ว หรืออำนาจแห่งกรรมชั่วนั้นให้ลดลง แต่ท่านก็บ่นว่าจิตใจคนแถบนั้นรับธรรมะได้ช้า แต่ท่านก็เมตตาอยู่ โปรดพวกเขาได้มีโอกาสได้บุญบ้างเหล่านี้ย่อมเป็นเหตุการณ์ที่ประจักษ์ถึงความเมตตาอันมหาศาลของท่านอีกประการหนึ่ง
115#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 15:42 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ท่านเล่าถึงการภาวนาระยะนั้นว่า ได้มีผู้มาขอความเมตตามาก ตำจิตท่าน ท่านใช้คำว่า “ตำจิต” ท่านเล่าว่า ในระหว่างที่ท่านภาวนาจะมีผู้เข้ามาขอความเมตตาจากท่าน ไขว่คว้าหาที่พึ่งที่องค์ท่านภาวนา ซึ่งเปรียบเสมือนแสงสว่างที่อยู่กลางป่าใหญ่อันมืดสนิท ผู้ที่หลงติดอยู่ในความมืดมนอนธการ เมื่อมองเห็นแสงสว่างก็ย่อมกระเสือกกระสนเข้ามาขอพึ่งแสงสว่างนั้น ท่านบอกว่า ผู้ที่มาร้องทุกข์ขอบารมีจากท่านนั้นกลายเป็นทหารญี่ปุ่น ซึ่งมาตายระหว่างการสู้รบขณะที่ยกพลขึ้นบก ที่ชายทะเลของจังหวัดทางภาคใต้ของประเทศไทย ในช่วงระยะสงครามโลกครั้งที่ ๒ พวกเขาเหล่านั้นเมื่อตายไปแล้วก็ไม่รู้จะไปที่ใด ยังเซซังยึดติดอยู่ในภพ เมื่อมาเห็นประทีปสว่างอยู่ที่นี่ วิญญาณเหล่านั้นก็เข้ามาขอบารมีของท่านเป็นที่พึ่ง ท่านก็แผ่ออกไปบางครั้งวิญญาณเหล่านั้นก็ยังไม่เข้าใจจึงรับไม่ได้ ท่านจึงคิดจัดให้มีการทำบุญและถวายสังฆทาน เพราะการถวายสังฆทานนั้น มีอานิสงส์อยู่มากกว่าที่จะถวายเฉพาะพระภิกษุองค์ใด ซึ่งพระพุทธองค์เคยทรงมีพุทธดำรัสไว้ว่า “การถวายสังฆทานนั้น มีอานิสงส์มากกว่า แม้แต่ที่จะถวายพระพุทธเจ้าเสียอีก” หลวงปู่จึงให้จัดทำสังฆทาน ทำบุญอุทิศให้แก่ทหารญี่ปุ่นเหล่านั้นหลายครั้งติดต่อกัน และกล่าวว่า สุดท้ายวิญญาณที่มาขอส่วนบุญนั้นก็เงียบสงบไป

นี่เป็นเรื่องที่แสดงถึงเมตตาบารมีของหลวงปู่ที่แผ่ออกไปโดยรอบ มีลูกศิษย์กราบเรียนถามท่านว่า ทหารไทยเป็นอย่างไร ท่านเล่าว่า ทหารไทยเรานั้นที่เสียชีวิตมีจำนวนน้อยกว่าทหารญี่ปุ่นบาก แล้วจิตใจดั้งเดิมของทหารไทยนั้น มีความเลื่อมใสมั่นคงอยู่ในพุทธศาสนาอยู่แล้ว เข้าใจง่าย รับง่าย เมื่อท่านแผ่เมตตาไปให้แต่แรกก็รับไปได้หมด เหลืออยู่แต่ทหารญี่ปุ่น ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว

การเดินทางของท่านอย่างที่กล่าวมาแล้วว่า ท่านมาเร็วไปเร็ว และไปได้ง่ายเห็นจะสามารถยกตัวอย่างได้ถึงการที่ท่านโยกย้ายตัวเองไปได้เร็วที่สุด ในปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ซึ่งหลังจากที่ท่านจำพรรษาที่สวนปทุม พอออกพรรษาแล้วท่านก็รับนิมนต์ไปโปรดพวกญาติโยมตามที่พักต่าง ๆ แห่งละสามวัน เจ็ดวัน ตามแต่จะมีศรัทธามาฟังธรรมทำภาวนาน้อยมากเพียงไร ท่านไปพักวิเวกที่วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ ที่บางปะอินระยะ หนึ่ง


หลวงปู่ที่วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ บางปะอิน

พอปลายเดือนพฤศจิกายน ท่านเดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีศิษย์ขับรถพาไปส่ง ระยะนั้นมีท่านพระอาจารย์สำลี และท่านเจ้าคุณมหาเนียม เป็นพระติดตามไปด้วย ท่านให้พาไปนมัสการวัดเจดีย์หลวงเป็นลำดับแรก ท่านถือว่าเป็นวัดที่ท่านพระอาจารย์มั่น บูรพาจารย์ของท่านได้มาอยู่จำพรรษา รวมทั้งท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ด้วย เสร็จแล้วก็เลยไปวัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว เพื่อไปเยี่ยมหลวงปู่แหวน สุจิณโณ หลวงปู่แหวนก็เป็นยอดมณีอันมีค่าของจังหวัดเลยเช่นกัน อายุท่านรุ่นเดียวกับหลวงปู่ขาว อนาลโย แต่พรรษาที่ท่านมาญัตติเป็นธรรมยุตนั้น หลังหลวงปู่ขาว และหลวงปู่หลุย ถึง ๒ พรรษา

ท่านได้พบปะแสดงธรรมสากัจฉาซึ่งกันและกัน อยู่ได้ไม่กี่วัน ท่านทราบข่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะเสด็จพระราชดำเนินไปนมัสการหลวงปู่แหวน หลวงปู่หลุยก็รีบย้ายหนีไปที่อื่นทันที เพราะตอนนั้นท่านเกรงมากกับการที่จะพบ.... ท่านใช้คำว่า "เจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดิน" ท่านบอกว่า อาตมาพูดไม่เป็น

ท่านจึงหลบไปพักที่วัดป่าอรัญญวิเวกที่ตำบลบ้านปง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ วัดนี้ก็เป็นวัดที่มีประวัติในสมัยบูรพาจารย์ท่านพระอาจารย์มั่น เคยมาพัก หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี และ หลวงปู่ชอบ ฐานสโมเคยมาจำพรรษาด้วยกันที่นี่ หลวงปู่แหวน สุจิณโณ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม และหลวงปู่หลายต่อหลายองค์ได้เคยมาพักอยู่ที่นี่ เป็นสถานที่มงคลอย่างยิ่ง ปัจจุบัน ท่านพระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป เป็นเจ้าอาวาส
116#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 15:42 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ท่านพักอยู่ที่วัดป่าอรัญญวิเวกอยู่นาน ด้วยถือว่าเป็นวัดของพ่อแม่ ครูอาจารย์เคยอยู่มาก่อน ใช้ที่วัดอรัญญวิเวกนี้เป็นศูนย์กลางสำหรับเมื่อไปเยี่ยมตามวัดต่าง ๆ ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ ท่านได้เดินทางเลยไปที่ดอยผาแด่น ซึ่งเป็นสถานที่ที่หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ไปจัดสร้างขึ้น อยู่บนยอดเขา ท่านไปในงานฉลองกุฏิใหม่ที่มีคนถวาย มีคณะศรัทธาญาติโยมจากกรุงเทพฯ ไปกันมาก

และระหว่างพักอยู่วัดป่าอรัญญวิเวกนั้น ท่านก็ยังพาคณะศรัทธาญาติโยมสวดมนต์ไหว้พระตามแบบฉบับของท่านเสมอ เมื่อคนโดยรอบบริเวณทำวัตรสวดมนต์ได้ตามแบบวิธีของท่านได้ และรู้จักการรักษาศีลภาวนาดีแล้ว ท่านก็จะย้ายไปวัดอื่นก็จะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ การย้ายสถานที่อยู่เรื่อย ๆ อย่างนี้เพราะหลวงปู่ต้องการโปรดญาติโยมในที่ต่าง ๆ ให้มีศรัทธายึดมั่นในพระไตรสรณาคมน์

เมื่อท่านย้ายที่บ่อย ๆ พระที่ติดตาม และคณะศรัทธาญาติโยมที่ตามมาก็ชักจะลดจำนวนไปเรื่อย ๆ จนเหลือเพียงพระผู้ปฏิบัติเพียงองค์เดียว ท่านก็ออกจากเชียงใหม่ไปที่จังหวัดพะเยา พักที่วัดรัตนวนาราม ซึ่งเป็นวัดของท่านพระอาจารย์ไพบูลย์ มังคโล ไม่ว่าที่วัดนั้นจะมีระเบียบทำวัตรสวดมนต์แบบใด ท่านก็คงนำตามวิธีของท่านอยู่ โดยให้ทำวัตรเช้าตั้งแต่ก่อนฉัน และสวดมนต์ไหว้พระในตอนเย็น จากนั้นท่านวิเวกไปพักที่วัดอรัญป่าน้อย และใช้วัดอรัญป่าน้อยนี้เป็นศูนย์กลางอีกครั้งหนึ่งเพื่อเยี่ยมเยียนวัดต่าง ๆ ทางภาคเหนือ

ท่านได้เลยต่อไปถึงจังหวัดเชียงราย หรือเชียงแสน จนกระทั่งปลายเดือนมีนาคม จึงย้ายมาที่จังหวัดลำปาง ไปเยี่ยมตามวัดต่าง ๆ เช่น วัดพม่า วัดดอยม่อนพญาแก้ว วัดถ้ำพระสบาย ระหว่างที่พักที่วัดพม่านั้น วิศวกรใหญ่ของการรถไฟที่พม่าได้มากราบนมัสการนิมนต์ให้ท่านไปโปรดที่พม่าด้วย ด้วยเกิดศรัทธาในปฏิปทาของท่าน ท่านรับนิมนต์จะไปพม่า แต่เกิดขัดข้องเพราะทางราชการได้ปิดพรมแดนระหว่างไทยพม่าขึ้นทุกเส้นทาง คงไปได้แต่ทางอากาศ ซึ่งจะต้องมีหนังสือเดินทางมีการจัดทำวีซ่า ท่านจึงต้องงดการไปพม่าในครั้งนั้น

ออกจากวัดพม่าไปอยู่วัดม่อนพญาแก้วเสร็จแล้ว ทางผู้อำนวยการศูนย์ ร.พ.ช. ภาคเหนือ คุณอุทัย ก็มานิมนต์ให้ไปโปรดชาวคณะ ร.พ.ช. ซึ่งระหว่างการปฏิบัติงานขณะนั้น จะมีอุบิตเหตุเกิดขึ้นบ่อย ๆ ท่านพักอยู่ที่บ้านรับรองของ ร.พ.ช ประมาณ ๑ เดือน โดยพาคณะศรัทธาที่นั่นไหว้พระสวดมนต์ตามตำรับของท่านและสอนให้รักษาศีล ฝึกหัดภาวนา แล้วก็ขอให้มีการทำบุญใหญ่ นิมนต์พระมาจากทั้งเชียงใหม่ ฝาง น่าน ลำปาง พะเยา ประมาณ ๕๐ รูป โดยท่านกล่าวว่า ขอให้มาแต่พระกัมมัฏฐาน เพื่อมาทำบุญให้กุศลนี้แผ่ไป อุบัติเหตุจะได้น้อยลง

ระยะนั้น การจัดทำทางของ ร.พ.ช. ภาคเหนือนั้นต้องเข้าไปในเขตที่มีผู้ก่อการร้าย ทำให้มีอุบัติเหตุหรือมีการขัดขวางจากฝ่ายตรงกันข้ามกับรัฐบาลมาก มีการเผารถแทร็กเตอร์บ้าง ยิงเจ้าหน้าที่บ้าง ทาง ร.พ.ช. ได้นิมนต์ท่านให้ไปดูตามจุดต่าง ๆ ของงานด้วย ซึ่งบางครั้งต้องเข้าไปในป่าลึก ซึ่งมีการยิงกันและต่อสู้กันระหว่างอีกฝ่ายหนึ่ง กับฝ่ายคณะผู้ปฏิบัติงานของรัฐบาล เมื่อไปยังจุดทำงานต่าง ๆเหล่านั้น ท่านก็ยังพาคณะทำงานนั้นสวดมนต์ไหว้พระ ทำวัตรเพื่อความเป็นสิริมงคลและปลอดภัยของทุก ๆ คนด้วย

ณ ที่ทำการ ร.พ.ช. นี้ท่านให้รื้อศาลพระภูมิออกเพราะท่านกล่าวว่า ศาลพระภูมินี้เป็นต้นเหตุทำให้ผู้อยู่อาสัยเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่เรื่อย ๆทั้ง ๆ ที่ได้สร้างศาลนี้ให้ใหญ่โตแล้วก็ตาม ท่านบอกว่า “การตั้งศาลพระภูมิเป็นการขาดพระไตรสรณาคมน์ ไม่ควรไปยึดถือเป็นใหญ่กว่าพระรัตนตรัย” ท่านจึงเป็นผู้ดำเนินการสั่งรื้อถอนเองแล้วนำไปไว้ที่วัด หลังจากรื้อศาลพระภูมิและทำบุญเลี้ยงพระ ๕๐ รูปแล้วท่านก็อยู่ให้ความอบอุ่นแก่คณะ ร.พ.ช. นี้อีกระยะหนึ่ง จนปลายเดือนพฤษภาคมท่านจึงกลับกรุงเทพฯ
117#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 15:43 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
การเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในครั้งนี้ เป็นการแสดงให้เห็นความอดทนแข็งแรงของหลวงปู่ได้เป็นอย่างดี กล่าวคือ ท่านเดินทางจากลำปางมาโดยรถยนต์มาถึงที่พักสงฆ์ ที่ ก.ม.๒๗ ดอนเมือง เวลาประมาณบ่าย ๒ โมง พอมาถึงกรุงเทพฯแล้ว ท่านก็ให้พาไปเยี่ยมตามบ้านศรัทธาญาติโยมต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ อีก ไปได้ถึง ๕ หลัง โดยแต่ละบ้านท่านจะเทศน์อีกประมาณแห่งละครึ่งชั่วโมง รวมทั้ง ๕ บ้านในวันที่กลับมาถึงกรุงเทพฯ นั้นเลย ถึงตอนเย็นเมื่อลูกศิษย์ชาวกรุงเทพฯ ทราบข่าวก็มากราบเยี่ยม ท่านก็พาสวดมนต์ทำวัตรเย็นอีก และยังเทศนาให้อีก ๑ กัณฑ์ คิดดู...ขนาดที่พวกเราอายุน้อยกว่า เดินทางไกลจากลำปางมากรุงเทพฯ ก็คงเหนื่อยอ่อนพอดูแล้ว ท่านยังไปแวะเยี่ยมตามศรัทธาญาติโยมอีก ๕ บ้าน เทศน์อีก ๕ กัณฑ์ ตอนกลางคืนนำไหว้พระสวดมนต์เอง เทศน์ให้อีก ๑ กัณฑ์ แล้วนำภาวนา อีกทั้งระยะนั้นท่านมีอายุถึง ๗๖ ปีแล้ว

ท่านได้พักอยู่ในที่ต่าง ๆ อีกหลายแห่ง เช่น ไปโปรดญาติโยมแถบบริเวณชายทะเลศรีราชา แล้วจึงย้ายไปพักที่วัดธุดงคนิมิต จังหวัดกาญจนบุรี ออกจากกาญจนบุรีย้ายกลับมาพักที่เรือนไทย ลาดพร้าว ระหว่างนี้เองที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงทราบว่า หลวงปู่ชอบ ฐานสโม และ หลวงปู่หลุย จันทสาโร มาพักอยู่ จึงมีพระราชเสาวนีย์ให้องคมนตรีอัญเชิญแจกันดอกบัวสัตตบงกช และน้ำผึ้งมาถวายหลวงปู่ทั้ง ๒ องค์

จากนั้นท่านเข้าไปโปรดพวกโรงพยาบาลแพทย์ปัญญา ที่หัวหมาก และเพื่อที่จะรับการตรวจร่างกายด้วย เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อทางแพทย์ขอให้ท่านจัดทำทะเบียนประวัติ บัตรคนไข้ ท่านได้ให้ลงมือในทะเบียน แล้วท่านได้กรอกในช่องสังกัดที่อยู่ โดยท่านกรอกเองว่า “เที่ยวโปรดสัตว์เรื่อย ๆ ไป” และก็เช่นเคย ณ ที่โรงพยาบาลแพทย์ปัญญานี้ ท่านก็ได้พาคณะแพทย์และนางพยาบาลทั้งหมด สวดมนต์ไหว้พระตามตำรับของท่าน แม้การรับนิมนต์ออกไปฉันนอกสถานที่ ไปถึงท่านก็จะนำไหว้พระให้ศีล เทศน์ ยถาสัพพี เสร็จแล้วจึงฉันเช้า

พักที่โรงพยาบาลแพทย์ปัญญาพอสมควรแล้ว ท่านก็ย้ายไปพักที่บ้านนายแดง อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก อยู่จนกลางเดือนกรกฎาคม จึงย้ายกลับมาที่พักสงฆ์ ก.ม. ๒๗ จากนั้นท่านไปจำพรรษาที่ วัดป่าหนองแซง อำเภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี ซึ่งวัดนี้อดีตเคยเป็นวัดของ หลวงปู่บัว สิริปุญโญ ในการเดินทางที่จะไปอุดรฯ นี้ หลวงปู่ขอเดินทางในตอนกลางวันด้วยรถไฟขบวนรถเร็ว หลวงปู่ได้อธิบายว่า เพื่อจะได้ดูความเจริญของบ้านเมืองในเวลากลางวันด้วย

อันนี้เป็นตัวอย่างว่า การเดินทางโปรดพวกประชาชนคนไทยนั้น ท่านใช้เวลาอย่างไร หลังจากออกพรรษาปี ๒๕๒๐ จนถึงตอนที่จะเข้าพรรษาในปี ๒๕๒๑อันที่จริง ในระหว่างที่ท่านอยู่เชียงใหม่ ท่านยังแวะพักที่วัดป่าห้วยน้ำริน อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ วัดป่าแก่งปันเต๊า ของพระอาจารย์ มหาถวัลย์ ด้วย สำหรับวัดป่าห้วยน้ำรินนั้น เป็นที่สหธรรมิกของท่าน ชอบมาพัก คือ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่แหวน สุจิณโณ และ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ต่างเคยมาพักและมีประสบการณ์อันน่าอัศจรรย์เกี่ยวกับภพภูมิลึกลับมากมาย

ดูรายการและสถานที่ที่ท่านเดินทางอย่างนี้แล้ว ต้องเรียกว่า เป็นการเดินทางธุดงค์อย่างที่ท่านลงไว้ในทะเบียนช่องสังกัดที่อยู่ ณ โรงพยาบาลแพทย์ปัญญา ว่า “เที่ยวโปรดสัตว์เรื่อย ๆ ไป” อย่างจริงแท้แน่ทีเดียว

http://www.dharma-gateway.com/mo ... ouis-hist-04-12.htm
118#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 15:43 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พรรษาที่ ๕๘ พ.ศ. ๒๕๒๕ พิจารณาธาตุขันธ์จะแตกดับ

กลับไปจำพรรษาถ้ำเจ้าผู้ข้า ต.ไร่ อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

ในต้นปี ๒๕๒๕ นี้ หลวงปู่ไปพักที่วัดอโศการาม สมุทรปราการมีอาการอาพาธด้วยไข้หวัดใหญ่ หัวใจเต้นแรง ครั่นเนื้อครั่นตัว นอนไม่หลับ ไอมาก ท่านบันทึกไว้ ในวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๒๕ ถึงอาการของโรคและการภาวนาสู้โรคในครั้งนี้ว่า

“ลมตีขึ้นข้างบนแล้วโรคกำเริบ ถ้าลมตีลงข้างล่างแล้วโรคหายทำให้วิงเวียนหัว ทำให้ตามัวเป็นประจำ ดีอย่างเดียวไม่ปวดศีรษะนอนไม่หลับ กินข้าวไม่อร่อย (ไม่ได้) ทำให้ความดันค่อนข้างสูงอยู่บ่อย ๆ

“พิจารณาแต่การเป็นการตาย พิจารณาธาตุขันธ์จะแตกดับ มีเวทนามากน้อยเท่าไร พิจารณาออกจากสภาพใหม่ด้วยอาการกิริยาอย่างไรพิจารณาโลกมนุษย์เป็นทุกข์อย่างยิ่ง ต้องเปลี่ยนอิริยาบถทั้ง ๔ นั่ง นอน ยืน เดิน พยาบาลร่างกายให้ชีวิตทรงอยู่ พิจารณาอาพาธ ยังทรงอยู่ หรือกำเริบ หรือปานกลาง กำหนดให้รู้เท่าทัน ตรวจดูศีล สมาธิ ปัญญาสม่ำเสมอ เป็นกิริยาผู้ที่จะละโลกนี้ไปสู่สุคติภพ พ.ศ. ๒๕๒๕ ไม่มีที่พึ่ง นอกจากธรรมะไปแล้ว ตนช่วยตนเอง ให้ชำระความบริสุทธิ์ของจิตเสมอไป”

“พิจารณาก่อนตายให้ชำนิชำนาญ คล่องแคล่ว อารมณ์แห่งความตายเรื่อย ๆ ไม่ให้จิตส่งไปข้างนอก”

“วางอารมณ์เฉย ๆ โรคบรรเทาลงบ้าง แต่กำเริบเป็นบางครั้งบางคราว โรคชราพาธเป็นโรคจรมา มีร่างกายแปรไปต่าง ๆ อวัยวะภายในมีกำลังน้อย ต้านทานโรคไม่ได้ เขาเรียกว่า "ชราพาธ"" เป็นธรรมดาของคนแก่ยอมเป็นดังนี้ แก้ไขไม่ได้ รักษาแต่อารมณ์เข้าสู่มรณภาพเท่านั้น แก้ไขทางอื่นไม่ได้ เรียกเป็น ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา ของชีวิตแก้ไขอย่างหนึ่งแล้วย่อมเป็นอีกอย่างหนึ่งร่ำไป”

“ต้นไม้แก่ชราเต็มที่แล้ว ย่อมไม่ดูดดื่มปุ๋ยเลี้ยงลำต้นได้เลยมีแต่ทรุดโทรมหาความตายเสมอ ฉะนั้น วางธุระของขันธ์เข้าสู่อารมณ์แห่งความตายเสียดีกว่า เพราะไม่มันไม่เที่ยงของชีวิต”

“พุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า เกวียนซ่อมแซมด้วยไม้ไผ่ ไม่ยั่งยืนถาวรของชีวิต พระองค์ตรัสให้แก่สงฆ์ทั้งหลายทราบ ซึ่งมีมาในพระไตรปิฎก”

“นับตั้งแต่ป่วยมา ระวังตัวอยู่เป็นนิตย์ ไม่เพลิดเพลินต่อสิ่งใดเพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นของไม่เที่ยงอยู่แล้ว เราผู้ที่ไปติดก็ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มีอย่างเดียวรีบเร่งความบริสุทธิ์ทางใจเพราะชีวิตไม่อยู่นาน จะมีเวลาแตกดับโดยไม่ช้า จะเพลินเพลินอะไรกับโรคที่ไม่เที่ยง เป็นของที่ไม่แน่นอน”

“เราเกิดมาในโลกมาค้าขาย ขาดทุนใหญ่ ร่ำรวยใหญ่ มิจฉาทิฐิ ขาดทุนใหญ่ เป็นสัมมาทิฐิ ร่ำรวยใหญ่ ไม่ว่า กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร และไม่ว่ากษัตริย์มหาศาล พราหมณ์มหาศาล เศรษฐีมหาศาล”


หลวงปู่ได้ปฏิญาณฐานะของท่านต่อไปว่า

“เกิดมนุษย์อันเลิศแล้ว พบพุทธศาสนาอันเลิศแล้ว ได้บวชในศาสนาอันเลิศแล้ว ได้ปฏิบัติเดินธุดงค์อันเลิศแล้ว อายุ ๘๒ ปี พรรษา ๕๗ จำพรรษาวัดบ้าน ๒ ปี มหานิกาย ๑ ธรรมยุต ๑ รวม ๒ ปี”

ใครติดตามประวัติของท่านมาถึงช่วงนี้ ถ้าไม่น้ำตาซึมก็คงใจแข็งมากทีเดียว เพราะในวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๒๕ ซึ่งท่านบันทึกถึงอาการซึ่งกำลังเจ็บไข้ ไอ แน่นหน้าอก หายใจแทบไม่ออก และท่านกำลังชำระความบริสุทธิ์ของจิต ตรวจดูศีล สมาธิ ปัญญา...อยู่ เตรียมตัวที่จะละปล่อยวางขันธ์...แต่ต่อมาไม่นาน เมื่อท่านรู้สึกอาการว่าค่อยยังชั่วบ้าง ท่านก็บันทึกต่อไปว่า

ถ้าท่านไม่มากด้วยความเมตตาต่อศิษย์ ท่านคงไม่อดทนดังนี้ อันที่จริงท่านบันทึกไว้หลายตอน ถึงการที่ท่านป่วยอาพาธ เหน็ดเหนื่อยแทบหายใจไม่ออก แต่ก็พยายามฝืนสังขารเทศน์ หรือนำสวดมนต์ไหว้พระ นำภาวนา เพราะ “เราได้สละชีวิตให้ญาติโยมมาดูดกินเลือดเนื้อของเรา”...ดังที่ท่านบันทึกไว้

*****

หลังจากที่ท่านค่อยยังชั่วจากการป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่นี้ ทางคณะศิษย์ก็ได้จัดงานทำบุญต่ออายุถวายให้ท่าน ณ ที่วัดอโศการาม ตกถึงเดือนมีนาคม ท่านก็ออกจากกรุงเทพฯ ธุดงค์ไปถ้ำเจ้าผู้ข้า ซึ่งหลวงปู่ได้เคยไปภาวนาแต่สมัยสร้างวัดป่าหนองผือ พ.ศ. ๒๔๗๘ และในภายหลังได้ไปจำพรรษาในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ เป็นครั้งสุดท้าย
119#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 15:44 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

ถ้ำเจ้าผู้ข้า

ท่านมาพักภาวนาที่ถ้ำเจ้าผู้ข้า แต่เดือนมีนาคม และอยู่ตลอดไปจนอธิษฐานพรรษา แล้วรับกฐินในเดือนตุลาคม ท่านบันทึกไว้ว่า

“เดือนมีนาคม ๒๕ มาภาวนาถ้ำผู้ข้า สถานเป็นมงคลดี วิเวกดี อาศัยภาวนาเป็นยาโอสถ ศิษย์คั้นนวด กินยาแพทย์ปัญญาเอามาจากกรุงเทพฯ โรคค่อยหายเป็นปกติ กินข้าวอร่อย นอนหลับ ภาวนาพร้อมด้วยสมถวิธี วิปัสสนาวิธี ม้างกายกระดูกให้เห็นอสุภะ ให้เกิดนิพพิทาญาณความเบื่อหน่าย แล้วเจริญวิปัสสนาต่อ เมื่อเหนื่อยแล้ว เข้าสงบอารมณ์สมถะ หายเหนื่อยแล้วเจริญวิปัสสนาต่อ ภาวนาดังนี้ เสมอต้นเสมอปลาย จึงจะละกิเลสได้”

“ภาวนาสถานถ้ำผู้ข้าดูดดื่มมาก เพราะพระเถระมรณภาพที่ถ้ำนี้ ๒ องค์ มีท่านอาจารย์กู่ ๑ องค์ พระเถระอีก ๑ องค์ สละชีวิตเพื่อพรหมจรรย์ได้ อยู่แห่งอื่น สละชีวิตไม่ได้ แม้วัดป่าบ้านหนองผือ นาใน ถิ่นท่านอาจารย์มั่นมรณภาพก็ดุจเดียวกัน ล้วนแต่สถานที่วิเวกและเป็นมงคล ฉะนั้น พระโยคาวจรเจาควรสนใจสถานที่เช่นนั้น”


โดยที่บันทึกของท่านเกี่ยวกับการวิเวกภาวนาที่ถ้ำเจ้าผู้ข้านี้รวมอยู่ในสมุดบันทึกเล่มเดียวกัน และอยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุด ผู้เขียนจึงขอนำมาลงทั้งหมด เรียงกันไปตามหน้ากระดาษแต่ละตอนที่ท่านบันทึก และจะได้เห็นว่า ท่านมิได้บันทึกเรียงกันไปตามเหตุการณ์ความคิดที่เกิดขึ้นก่อนและหลัง หากทว่า พบกระดาษหน้าใดว่าง ท่านก็บันทึกไว้ มีความนึกคิดใดเกิดขึ้นอีก เปิดพบหน้าใดว่าง หรือภายในหน้ากระดาษแผ่นนั้น แม้จะบันทึกไปบ้างแล้ว แต่หากยังมีบางช่วงบางตอนในหน้านั้นว่าง ท่านก็จะบันทึกแทรกลงไป สังเกตได้จากสีหมึก เส้นหนักเบาต่างกัน หรือมีวันที่กำกับแสดงเวลาที่บันทึกคนละช่วง

ทั้งนี้เพื่อแสดงตัวอย่างเป็นพิเศษสำหรับ บันทึกในพรรษาหนึ่ง ของท่านซึ่งปกติจะรวมข้อความทั้งช่วงที่แสดงประวัติของท่าน ธรรมะที่อุบัติขึ้นระหว่างการภาวนา และความระลึกถึงอดีตที่ผ่านมา โอวาทที่ครูบาอาจารย์สั่งสอนอบรมท่านมา..เหล่านี้ด้วย.....

“๑๒ มิถุนา ๒๕

การทำความเพียร ถ้ำผู้ข้า จิตไปเอง ระลึกธรรมะได้เสมอ เพราะเป็นสถานที่เป็นมงคล ธรรมะสิ่งใดโดยไม่เกิดขึ้นแต่ก่อน ก็เกิดขึ้นเสมอตาลคำ จันทา มีศรัทธาเต็มที่ ต้องการอะไรได้ทุกอย่าง เขาอยากให้จำพรรษา ณ ถ้ำนี้ ติดต่อกับบ้านหนองผือ ต. นาใน ได้ดี”

การทำร่ม ธาตุแปรปรวนวิงเวียนศีรษะ แต่พออดทนทำได้ เพราะยินดีในการทำ ให้เป็นทาน ทำจนเป็นอาจิณกรรม มาอยู่ที่นี่ได้ทำก่อสร้างสะดวกดี”

ภาวนาเห็นนิมิตเป็นตัวคน ภายในจิตสมมติ นิมิตนั้นเป็นพระอรหันต์ฉันข้าว หลับตาเห็นความแยบคายของอาหารที่ฉันลงไป มีเมตตาจิตแก่แม่ชีมาก เพราะคิดถึงแม่กวย ให้ร่มแม่ชีไปประมาณ ๑๕ คน พร้อมด้วยมุ้งกางนอน จ่ายผ้าขาวแม่ชี หนองผือ ถ้ำผู้ข้า ชี ๑ ไม้กว่า ๆ รวม ๒ อาวาส”

ภาวนาเกิดความรู้แปลก ๆ ถ้าจะโคจรไปทางอื่น ไปง่าย สะดวก แต่เดินทางไกลไม่ได้ เพราะป่วยชราพาธ”

คั้นเอ็น (นวดเส้น...ผู้เขียน) มีผลมาก โรคหาย ภาวนาสะดวกดี”

120#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-27 15:44 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

กุฏิที่หลวงปู่จำพรรษาในปี ๒๕๒๕

๒๒ ส.ค. ๒๕ ถ้ำผู้ข้า

คนมีธรรมะเป็นที่สบายของจิต คนไม่มีธรรมะข่มจิต เป็นทุกข์อย่างยิ่ง เพราะแบกขันธ์ หาบขันธ์ ๕ ธรรมะความเกิดดับ แสดงเป็นอริยสัจอยู่เรื่อย ๆ ไม่ขาดสาย พราหมณ์ผู้เพ่งอยู่ของความแปรปรวน ย่อมรู้ธรรม เห็นธรรม จิตอยู่ที่ไหน ย่อมรู้แจ้ง ณ ที่นั้น ดังนี้ ขยายปฏิภาคมากไว้เช่นนั้น เห็นธรรมะอยู่เช่นนั้น ย่อมแก้ความสงสัย รู้ธรรม เห็นธรรมะอย่างสุขุมลุ่มลึก จิตอย่าออกจากกาย เห็นแปรปรวนอยู่เรื่อย ๆ”

พุทธศาสนาทำให้เชื่อกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ธรรมะไม่เป็นหมัน”

เห็นความเสื่อมของร่างกายอย่างเดียว ไม่เห็นความเจริญเลย ความเกิดมี แล้วมีความเสื่อมไปจนตายของร่างกายดังนี้ ธรรมะสว่างโร่ ทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่มีปิดบังด้วยประการใด ๆ”

พระพุทธองค์ตรัสว่า ความสะดุ้งกลัวมีแล้ว ขนพองสยองเกล้ามีแล้ว ธาตุจะ ตีลังกาเปลี่ยนภพ ในระหว่างนั้น นับว่าขวัญเสีย แต่ให้ระลึกถึงตถาคตเรื่อย ๆ ความกลัวจะหายไป เป็นวาจาพระองค์ ซึ่งมีราคาสูง ที่แย้มมาจากน้ำพระทัยของพระองค์ เป็นพระมหากรุณาอย่างยิ่ง เพราะพระองค์ไม่กลัวตาย น้ำพระทัยพระองค์ถึงอมตธรรม ดังนี้”

สังขารทั้งหลายเกิดมาแล้ว หันไปหาความตายอย่างเดียว ไม่ว่าสัตว์มนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน และต้นไม้ภูเขาก็ดุจเดียวกัน หันไปหาความตายด้วยธาตุขันธ์แปรปรวนดังนี้”

ทำความเพียรเด็ดเดี่ยว ยิ่งเห็นอานิสงส์ใหญ่โต แล้วจะเกิดวิบัติ วิบัติแล้วจะเกิดภาวนาดี หมายความว่า ความดีความชั่วเป็นคู่กันไป เมื่อเห็นดีแล้วเห็นชั่ว เห็นชั่วแล้วเห็นดี มืดกับแจ้งเป็นคู่กัน วิปัสสนูกับวิปัสสนาคู่กัน ทุกข์กับสุขเป็นคู่กัน

มนุษย์เป็นภูมิใหญ่ชั้นพิเศษ ได้ชื่อว่ามนุษย์เป็นฐานะที่เลิศ เป็นที่ที่ประชุมใหญ่ ให้ร้ายให้ดีก็เป็นชาติมนุษย์ อินทร์พรหม อบายภูมิ นรก...สู้มนุษย์ไม่ได้ มนุษย์มีฐานะอันเลิศ เลิศทั้งหญิง เลิศทั้งชาย มีอยู่ในชาติเป็นมนุษย์นี้ทั้งนั้น แม้ปรารถนาใด ๆ สำเร็จได้ในชั้นมนุษย์ มนุษย์แปลว่า ใจสูง ใจกล้าหาญ ทำบาป ทำบุญได้ทั้งนั้น เพราะบุคคลเกิดเป็นมนุษย์เป็นลาภอย่างยิ่ง ทั้งพบพระพุทธศาสนายิ่งลาภใหญ่ ปฏิบัติมรรคผลนิพพาน ได้”

มนุษย์ทำจริง เห็นจริง ในอริยสัจ แจ้งชัดจนสำเร็จมรรคผล เป็นชาติที่เลิศวิเศษมากกว่าสัตว์อื่น กว่าภพอื่น ดังนี้ เว้นจากมนุษย์ไปแล้วไม่มีจะให้เป็น พุทธเจ้า พระปัจเจก พระสาวก ได้ดังนี้

ราคะ โทสะ โมหะ เป็นผลร้ายที่สุด ที่ฝังอยู่ในจิตมนุษย์ มนุษย์กระทำได้ทุกอย่าง มีอำนาจได้ มีเดชานุภาพได้ ไม่เหมือนสัตว์อื่น

มนุษย์ แปลว่าใจสูง ใจแกล้วกล้า ประกอบด้วยความฉลาดประดิษฐ์การงานได้ทุกอย่าง ยิ่งกว่าประเภทสัตว์อื่นในไตรภพ เป็นธาตุที่พอทุกอย่าง จึงปฏิบัติสำเร็จมรรคผลได้ ใจไม่วางจากความเพียร ใจเด็ดเดี่ยว จึงเป็นพุทธเจ้า พระปัจเจก พระอรหันต์ได้ สัตว์อื่นไม่ได้ ต้องอาศัยพุทธเจ้าสั่งสอน กล้าหาญ สร้างพระบารมีให้สำเร็จได้ไม่ท้อถอย ที่แยกออกจากมนุษย์ทั้งดีและชั่ว มนุสสนิรยิโก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานที่มนุษย์ทำไม่ดี ทำบาป มนุสสพุทโธ พระปัจเจก พระอรหันต์ มนุสสเทโว มนุสสพรหมา...เหล่านี้เป็นต้น ล้วนแต่ทำความดีและชั่วในชั้นมนุษย์ทั้งนั้น เหตุนั้น มนุษย์เป็นที่ประชุมใหญ่ ที่ออกมาจากชาติมนุษย์ทั้งนั้น ได้นามว่า อคฺคํ มนุสฺเสสุ มนุษย์เลิศ มนุษย์ไม่ใช่หินชาติ... ต่ำ เป็นชาติที่สูงสุด

มนุษย์อยู่ในท่ามกลาง ข้างบนเทวดา ข้างล่างอบายภูมิ ๔ มัชเฌมนุส มนุษย์อยู่ในท่ามกลางของชาติที่เกิด มนุษย์พออริยสัจจึงปฏิบัติสำเร็จอรหันต์ คล้าย ๆ แม่ครัว แกงมัน พอพริกพอเกลือ เอร็ดอร่อยมาก ไม่ควรเหยียบย่ำชาติที่เกิดของตัวให้ตกต่ำ ตกนรก เปรต อสุรกายไปได้ ควรพากันปฏิบัติในศาสนา เป็นอุบาสกอุบาสิกาที่ดี ควรแก่การจะได้รับมรรคผล มัชเฌวัน ท่ามกลาง เดินปฏิบัติสายกลางให้สำเร็จดังนี้ สัตว์ทั้งหลาย รู้จักกิน รู้จักนอน รู้จักสืบพันธุ์ รู้จักทำความดี ความชั่ว ไปนรก สวรรค์ ได้ทั้งนั้น มนุษย์นั้นระคนด้วยบุญ บาป ชื่อว่า “คน” ก็ได้ ชื่อว่า “มนุษย์” ก็ได้ไม่ผิดแปลกกัน


ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้