ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก
เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด
เข้าสู่ระบบ
บ้านหลวงปู่
คศช.
ข่าวสารล่าสุด
ประสบการณ์
โชว์วัตถุมงคล
สอบถาม
นานาสาระ
นครนาคราช
ร่วมประมูล
บูชาวัตถุมงคล
เพื่อน
กระทู้แนะนำ
บุ๊คมาร์ก
ไอเท็ม
เหรียญ
ภารกิจ
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
ดูบริการทั้งหมด
เว็บบอร์ด
BBS
บูชาวัตถุมงคลหลวงปู่ชื่น
ศรีสุทธรรมนาคราช
ร้านจอมพระ
ศูนย์พระเครื่องจอมพระ
ค้นหา
ค้นหา
HOT TAG:
พระศรีราม
ขุนแผนแสนตรีเวทย์
พระเจ้าชัยวรมัน
บอร์ดนี้
บทความ
เนื้อหา
สมาชิก
Baan Jompra
›
นานาสาระ
›
ตำนาน เรื่องเล่า เกร็ดความรู้ เรื่องลี้ลับ
»
วิธีพบคนธรรพ์
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
ดู: 11739
ตอบกลับ: 2
วิธีพบคนธรรพ์
[คัดลอกลิงก์]
oustayutt
oustayutt
ออฟไลน์
เครดิต
22903
ไปยังโพสต์
1
#
โพสต์ 2014-9-23 18:56
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
|
โพสต์ใหม่ขึ้นก่อน
|
โหมดอ่าน
อ่านเอาสนุกนะครับ
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=533605
วิธีพบคนธรรพ์
ศรัทธาญาติโยมทั่วสารทิศที่มาถ้ำเสือ ชอบซักถามอาตมาถึงเรื่องความลึกลับอาถรรพณ์ต่าง ๆ ของถ้ำเสือ เรื่องผีสางเทวดาหรือคนธรรพ์อะไรเหล่านี้ อาตมาก็เล่าให้ฟังหลายเรื่องหลายกรณี
คือมันมีอะไรแปลก ๆ อยู่มากเป็นเรื่องของพลังลึกลับแฝงเร้นที่พิสูจน์ในทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ จะปฏิเสธก็ไม่ได้ เพราะมันยังมีอยู่และผู้คนจำนวนไม่น้อยก็ได้เห็นได้ประสบ รวมทั้งอาตมาด้วย จะเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟังดังนี้
คือมีผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นใครนั้นฟังไปแล้วก็จะรู้เอง ผู้หญิงคนนี้ชอบไปเที่ยวปลุกพระสงฆ์องค์เจ้าตลอดจนปลุกพวกแม่ชีในสำนักถ้ำเสือให้ตื่นนอนขึ้นทำวัตรสวดมนต์ ทั้งพระทั้งแม่ชีต่างก็แปลกใจสงสัยว่าเป็นผู้หญิงมาจากที่ไหนกันหนอ เป็นหญิงสาวที่สวยงามผิดมนุษย์
จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง แม่ชีละเอียด ไม่สบาย มีอาการเจ็บปวดที่หัวเขาลุกไม่ขึ้น ไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้เลย ต้องนอนซมอยู่กับที่เจริญภาวนาซึ่งเป็นช่องลมอยู่บนภูเขาสูง เวลาขึ้นลงลำบากต้องแข็งแรงจริงจึงจะขึ้นไปได้
แม่ชีละเอียดเป็นคนแข็งแรงจึงชอบขึ้นไปนั่งเจริญภาวนาบนช่องลมที่ว่านี้ เพราะอากาศเย็นสบายดีสงัดวิเวก ไม่มีใครผ่านไปมารบกวนสมาธิ
แต่เมื่อแม่ชีละเอียดเจ็บปวดหัวเข่าเช่นนี้ก็น้อยใจวาสนาของตัวเอง ที่ไม่สามารถลุกขึ้นปีนป่ายลงมารับอาหารบิณฑบาตได้ ก็ร้องไห้เสียใจเรียกว่าขาดสติไปหน่อย
ขณะที่ร้องไห้เสียใจอยู่นี้เอง ก็มีผู้หญิงสาวนางหนึ่งโผล่ขึ้นไปหา แล้วพูดปลอบโยนอย่างไพเราะอ่อนหวานว่า
“แม่ชีอย่าร้องไห้เลยค่ะ น้อยใจไปทำไมคะ เรื่องเวทนาความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี มันเป็นเรื่องธรรมดา ๆ อาจารย์จำเนียรสอนแล้วมิใช่หรือว่า เวทนาความสุขหรือความทุกข์นั้น เป็นเพียงเรื่องของจิตนึกคิดปรุงแต่งไปเองไม่ใช่ตัวเราของเรา สักแต่ว่าเป็นเรื่องของรูปนามขันธ์ห้า
เราอย่าไปยึดมั่นถือมั่น รูปกายไม่ใช่เรา นามจิตก็ไม่ใช่เรา พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้มานานแล้ว แม่ชีทำไมไม่จดจำ ทำไมจะต้องเสียใจทำไมจะต้องร้องไห้
กำหนดจิตพิจารณาให้ดี ๆ ซิคะว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่ตัวเราของเรา พิจารณาให้ดี ๆ เป็นวิปัสสนานะคะ”
แม่ชีละเอียดตกใจตะลึงพรึงเพริด เมื่อแลเห็นว่าผู้ที่มาพูดตักเตือนด้วยน้ำเสียงไพเราะอ่อนหวานนี้ เป็นหญิงสาวร่างสูงสง่า ดวงหน้านวลผ่องงามผิดมนุษย์ธรรมดา ผิวขาวอมเหลืองนุ่งผ้าห่มสไบแพร ไว้ผมยาวดำเป็นมันยาวถึงเอว ก็รู้ว่านี่ไม่ใช่มนุษย์เสียแล้ว จะเป็นผีหรือนางเทพธิดาก็ยังไม่แน่ใจ ให้รู้สึกกลัวก็หยุดร้องไห้เพราะร้องไม่ออก สาวงามผู้มาอย่างลึกลับยิ้มอ่อนหวานพูดว่า
“ดีแล้วค่ะ แม่ชีนิ่งได้ไม่ต้องร้องไห้อีกต่อไป กำหนดจิตตั้งสติให้ดีนะคะ ดิฉันก็ปฏิบัติธรรมเหมือนกัน เรามาพิจารณาถึงเรื่องรูปกายก็ดี นามจิตก็ดี มันไม่ใช่ตัวเราของเรา
รูปกายเป็นเพียงธาตุดินน้ำลมไฟรวมกันเข้าเป็นกลุ่มก้อน เป็นเพียงพาหนะที่อาศัยของนามจิตชั่วระยะเวลาไม่นานอะไรเลย
ส่วนนามจิตนั้นก็เป็นเพียงธรรมชาติรู้ที่ไม่มีตัวตน เป็นธรรมชาติที่รู้หลงผิดคือรู้ไม่จริง ถูกกิเลสตัณหา อุปาทานอันเป็นพลังงานแอบแฝงของนามจิตปรุงแต่งจิตให้หลงผิดไปต่าง ๆ ว่าเป็นตัวเราของเราซึ่งแท้ที่จริงแล้วไม่มีอะไรเลย มันเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตน พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนไว้อย่างนี้มิใช่หรือคะแม่ชีจำไม่ได้หรือคะ”
แม่ชีละเอียดพูดอะไรไม่ออกรู้สึกทั้งกลัว ทั้งอายและเคารพนับถือหญิงสาวลึกลับนางนี้ ที่มาตักเตือนพูดจี้หัวใจในข้อปฏิบัติธรรม เมื่อเตือนสติพอสมควรแล้วก็ผละจากไป
แม่ชีละเอียดก็ปฏิบัติตามคือตั้งสติ กำหนดเพ่งพิจารณาทุกขเวทนาคืออาการเจ็บหัวเข่าซึ่งเป็นทุกข์
พิจารณาไป ๆ จิตสงบลงจนลืมความเจ็บปวด เกิดธรรมปีติ ต่อมาอาการเจ็บปวดหัวเข่าก็ทุเลาสามารถลงมาข้างล่างได้ จึงนมัสการเล่าให้อาตมาฟังว่า
“ท่านอาจารย์คะ นางเทพธิดามาหาดิฉัน นางสวยจังค่ะ นางมาสอนให้กำหนดจิตพิจารณาทุกขเวทนา”
อาตมาก็ซักไซ้ไล่เลียงเอาความจริงว่า แม่ชีละเอียดประสาทหลอนหรือเปล่า ฝันไปหรือเปล่า แม่ชีละเอียดก็ยืนยันว่า ไม่ได้ฝันไปหรือประสาทหลอนเลย หากได้เห็นจริง ๆ อาตมาก็รับฟังเอาไว้ยังไม่วิจารณ์อะไร
ต่อมาก็เกิดเป็นเรื่องขึ้นอีก พอเริ่มใกล้จะรุ่งสาง ทางสำนักถ้ำเสือตีระฆังให้พระสงฆ์และแม่ชีตื่นขึ้นทำวัตรสวดมนต์ไหว้พระ อากาศยามใกล้รุ่งมันเย็นสบายนอนเพลินดีนัก พระบางรูปและแม่ชีบางรูปก็ขี้เกียจลุกขึ้น อยากจะนอนต่อ
ตอนนี้แหละผู้หญิงสาวลึกลับร่างสูงสง่านุ่งห่มผ้าแพรสไบนางนั้นจะเที่ยวร้องเรียกให้ตื่นขึ้น
เหตุการณ์เป็นอยู่เช่นนี้หลายวัน จนพระและแม่ชีทั้งหลายแปลกใจสงสัยก็ถามขึ้นว่า ใครเป็นคนไปปลุกไปเรียกในตอนเช้า ๆ ให้ลุกขึ้นทำวัตรสวดมนต์
ต่อมาอีก พอตีระฆังแล้วใครไม่ลุกขึ้นไปทำวัตรสวดมนต์ เป็นต้องถูกเรียกให้ตื่นขึ้นทั้งนั้น เสียงหวานเยือกเย็นจนขนลุกซู่ ๆ ใครได้ยินเสียงเรียกแล้วเป็นผวาตื่น นอนต่อไปไม่ได้บางครั้งแสดงตัวให้เห็นด้วย ซึ่งก็เป็นหญิงสาวคนเดียวกันกับที่ไปเตือนสติแม่ชีละเอียดนั่นแหละ
ต่อมาอาตมาซื้อที่ดินเพิ่มเติมขยายเขตสำนักถ้ำเสื้อ ๙ ไร่เป็นเงินหนึ่งหมื่นหกพันบาท ก็สร้างกุฏิที่พักย้ายเอาพวกแม่ชีออกมาจากภูเขา ให้มาอยู่ข้างนอกกุฏิสร้างใหม่
ปรากฏว่าหญิงสาวลึกลับนางนั้นหรือจะเรียกนางเทพธิดา ได้ติดตามออกมาเรียกพวกแม่ชีให้ตื่นขึ้นทำวัตรเช้าตอนตีระฆังอีก และมีผู้ชายเพิ่มมาด้วยอีกคน คือ คนธรรพ์
ทีนี้ก็มีการประทับทรง ผู้เข้าประทับทรงเป็นเทพเจ้ามีร่างเป็นพญางู เมื่อเข้าประทับร่างคนทรงแล้วก็บันดาลให้คนทรงทำท่าเหมือนงูเลื้อยลงหน้าผาสูงชันได้อย่างน่าอัศจรรย์
คือเอาตัวเสือกคลานไปตามพื้นเอาหัวลงไปก่อน ถ้าเป็นคนธรรมดาต้องพลัดตกหน้าผาลงไปคอหักตาย แต่นี้ไม่เป็นไรเพราะเทพเจ้างูเข้าสิงทำให้เลื้อยลงไปได้ เทพเจ้าองค์นี้อยู่บริเวณถ้ำเสือนี้แหละ
อาตมาก็ถามเทพเจ้าพญางูว่า
“ผู้ชายคนนั้น คนที่อาตมาพบที่ปากถ้ำคนธรรพ์นั้นเป็นใคร”
เทพเจ้าในร่างคนทรงตอบว่า
“คนนั้นที่เดินถอยหลังหนีไม่ยอมให้อาจารย์จับตัว ก็เพราะเขามีร่างเป็นทิพย์ มนุษย์จับต้องถูกตัวเขาไม่ได้หรอกเขาเป็นคนธรรพ์ ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาเขาเป็นคนธรรพ์ที่นับถืออาจารย์
“คนธรรพ์คือผีหรือเทพยดา”
“คนธรรพ์เป็นคนพวกหนึ่ง ถือสัจจะเคร่งครัด ถือศีลห้าเคร่งครัด ทางภาคอื่นเรียกว่าพวกลับแลหรือบังบด
คนธรรพ์หรือลับแลนี้ทำมาหากินเหมือนคนในโลกนี้ คือทำไร่ทำนา ไปจ่ายตลาดซื้อข้าวของ ต้องหุงข้าว ทำอาหารการกิน ต้องนุ่งห่มเสื้อผ้า แต่เวลาอยู่ในหมู่พวกเดียวกันแล้วคนธรรพ์จะนุ่งห่มเสื้อผ้าอีกแบบหนึ่งซึ่งไม่เหมือนคนทั้งหลาย ถ้าเข้าไปในหมู่บ้านหรือในตลาดพวกคนธรรพ์ต้องแต่งกายเหมือนชาวบ้านชาวเมือง ต้องพูดภาษาท้องถิ่นนั้น ๆ
พวกคนธรรพ์ถือศีลเคร่งครัดที่สุด มีสัจจะ พูดอะไรแล้วต้องทำตามนั้น อำนาจศีลอำนาจสัจจะทำให้พวกคนธรรพ์มีความสามารถพิเศษพิสดารเก่งกว่ามนุษย์ เช่น กำบังตาหรือหายตัวได้ในพริบตาเป็นต้น”
“อาตมาอยากจะพูดคุยกับพวกคนธรรพ์ว่าจะต้องทำอย่างไร ช่วยติดต่อให้ได้ไหม”
“ติดต่อให้ได้ แต่อาจารย์จำเนียรจะต้องรักษาสัจจะให้ได้ ๒ ปี เมื่อสามารถรักษาสัจจะได้แล้ว อาจารย์จำเนียรจะพบปะพูดคุยกับพวกคนธรรพ์ได้ทุกเวลา”
“รักษาสัจจะต้องทำอย่างไรบอกมาซิ”
“คือทำอย่างนี้นะ ถ้าอาจารย์พูดว่ากินต้องกิน พูดว่าลุกขึ้นก็ต้องลุกขึ้น พูดว่าทำต้องทำ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ผิดคำพูดที่ได้พูดออกไปแล้วไม่ได้”
“ถ้าให้ถือสัจจะแบบนี้อาตมาทำไม่ได้ ถ้าอาตมาเดินธุดงค์ไปผู้เดียวสามารถทำตามสัจจะได้ ทำตามที่พูดได้ เพราะไม่มีห่วงอาลัยสิ่งใดทั้งสิ้น
แต่เวลานี้อาตมาเป็นประธานสงฆ์ถ้ำเสือ ต้องปกครองพระสงฆ์และแม่ชีจำนวนมาก ทีนี้สมมติว่าอาตมาสั่งลูกศิษย์ว่า ไปขุดดินกันเถอะ ก็ไปกัน อาตมาก็ช่วยขุด ขณะที่ขุดยังไม่เสร็จเกิดมีชาวบ้านนิมนต์ไปให้ช่วงสงเคราะห์ ถ้าเราไม่ไปชาวบ้านเสียหายเราต้องรับนิมนต์ อย่างนี้อาตมาเสียสัจจะแล้วเพราะขุดดินยังไม่เสร็จ
หรือเมื่อมีชาวบ้านมานิมนต์ไปฉันเพลเลี้ยงพระทำบุญที่บ้านของเขา พอถึงกำหนดเวลาจะไปอาตมาก็ครองจีวรให้เรียบร้อยถือตาลปัตรเตรียมตัวจะออกเดินทางไป ทีนี้โยมเจ้าภาพก็วิ่งกระหืดกระหอบมาบอกว่า งดทำบุญบ้านแล้ว ขอให้ท่านอาจารย์อย่าไปฉันเพลเลย ถ้าอย่างนี้อาตมาก็เสียสัจจะเพราะตกลงรับนิมนต์ไว้แล้วว่าจะไปฉันเพลใช่ไหม”
“ใช่ครับ อาจารย์อยู่ในสังคมผู้คนมากมายรักษาสัจจะลำบาก สภาพสังคมมนุษย์มันวุ่นวายเหตุการณ์ต่าง ๆ ไม่แน่นอนพลิกไปพลิกมา เพราะมนุษย์ในโลกนี้มีกิเลสตัณหากันมากเหลือเกินทำให้คนดี ๆ ถือสัจจะลำบาก”
“ถ้าอย่างนี้ก็เป็นอันว่า อาตมาไม่มีทางจะได้พบปะสนทนากับพวกคนธรรพ์หรือพวกลับแล”
“ถูกแล้ว ถ้าถือสัจจะอยู่ถึง ๒ ปีไม่ได้ อาจารย์ก็ไม่มีทางได้พบพวกคนธรรพ์” เทพเจ้าในร่างคนทรงตอบในที่สุด
ต่อมาอาตมาก็ไปสั่งพวกแม่ชีว่า ถ้านางเทพธิดามาอีกละก็ ให้บอกเธอว่า อาตมาขอพบนะ
อ้อ ลืมบอกไปนางเทพธิดาองค์นี้ชื่อ “แก้ว” นางแก้ว
พอวันต่อมานางแก้วก็ไปเรียกแม่ชีที่กุฏิในป่าตอนตีระฆังใกล้รุ่ง ร้องเรียกให้ตื่นไปสวดมนต์ไหว้พระ แม่ชีก็บอกนางแก้วว่า
“ท่านอาจารย์จำเนียรสั่งไว้ว่าอยากจะขอพบแม่นางแก้ว”
นางแก้ว ยิ้มละไมตอบว่า
“ไปบอกอาจารย์จำเนียรด้วยว่าท่านเป็นผู้ชาย ดิฉันพูดกับท่านไม่ได้ ถ้าพูดกับท่านก็ต้องแต่งงานกัน ถ้าไม่แต่งงานกันพูดไม่ได้เลย ตั้งแต่เกิดมาดิฉันไม่เคยพูดกับผู้ชายคนไหนเลยค่ะ”
อาตมาลองกระทบดูจึงสั่งแม่ชีให้ไปถามว่า
“ถ้านางแก้วไม่เคยพูดกับผู้ชายเลย พ่อของเธอเป็นผู้ชายใช่ไหม ถ้าพ่อเป็นผู้ชายแล้วไม่เคยพูดกับพ่ออย่างนั้นหรือ”
เรื่องนี้แม่ชีไม่กล้าถาม แต่ในวันต่อมามีแม่ชีอีกรูปมาเล่าให้อาตมาฟังว่า
“เมื่อคืนนี้ตอนตีระฆังสวดมนต์เช้า นางแก้วมาเรียกดิฉันค่ะ ตอนนั้นดิฉันตื่นนอนแล้ว แต่ยังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟัง คิดจะขังแม่นางเทพธิดาองค์นี้ไว้ในกุฏิเสียแล้วค่ะ เพราะชอบดูเธอสวยน่ารักดีจัง
นางแก้วได้ไปพูดกับแม่ชีอีกรูปว่า เธอเห็นท่านอาจารย์จำเนียรทุกวันเลย แต่ท่านอาจารย์ไม่เห็นเธอเอง ท่านอาจารย์เดินอยู่ตรงไหน นอนตรงไหนเธอเห็นหมด”
อาตมาได้ฟังแล้วก็ไม่ว่าอะไร เธอเป็นคนธรรพ์ มีตาทิพย์ หูทิพย์ย่อมเห็นเราได้สบาย แต่เราเป็นมนุษย์ธรรมดาจะไปเห็นเธอได้อย่างไร นอกจากจะเข้าสมาธิติดต่อพบกัน แต่เป็นพระเข้าสมาธิติดต่อกับนางแก้วไม่ได้แน่ เพราะเธอบอกแล้วว่า ถ้าพบกับอาตมา พบกันพูดกันเมื่อไรต้องแต่งงานกันอย่างนี้อย่าพบกันเลยดีกว่า
อีกครั้งหนึ่งในช่วงนั้นก็แม่ชีปรีดาเป็นโรคหัวใจ เป็นลม ตัวอ้วน ล้มลงแต่ว่าสติยังดี มือสั่งเท้าสั่นลุกขึ้นไม่ได้ก็คิดว่านอนให้หายเอง นางแก้วกับผู้ชายที่อาตมาเคยเห็น สองคนมาหามแต่เขาไม่พูดกัน ช่วยกันหามแม่ชี แม่ชียังไม่ลืมตัวจำได้ว่าถูกหามแล้ว ผู้หญิงก็มาจับมือนิ่มมากและก็หอมดี กลิ่นหอมดี กลิ่นตัวหอมอยากให้หามนาน ๆ ก็ทำนอนเฉยก็หาม ๆ กันอยู่ พอดีแม่ชีเพื่อนด้วยกันที่ไปทำกุฏิในป่าก็มาเรียกหา “ปรีดา ปรีดา ๆๆ”
ผู้หญิงพูดว่า
“มีคนมาแล้ว” ก็เลยวางลงเลิกหามแม่ชี แล้วก็ชวนกันไปทางไหนก็ไม่รู้ หายไปเลย
แม่ชีก็เสียดาย บอก “อาจารย์มีผู้หญิงคน ผู้ชายคนมาหามฉัน แต่ผู้ชายแรงไม่มากหามไม่รอด ผู้หญิงยกรอดผู้ชายไม่แข็งแรงเท่าไร ผู้หญิงยกฉันข้างหัว ยกขึ้นแต่ผู้ชายยกทาเท้าไม่ขึ้นก็เปลี่ยนกันผู้หญิงมายกข้างเท้าและผู้ชายมายกข้างหัว ยกขึ้นแต่ผู้ชายยกทางเท้าไม่ขึ้นก็เปลี่ยนกันผู้หญิงมายกข้างเท้าและผู้ชายมายกข้างหัว ก็ยกไม่ขึ้นอีกจนกระทั่งเพื่อนมา เวียนกันอยู่หลายครั้ง ตอนหลังฉันเลยบอกว่าไม่ต้องยก ฉันไปเอง ฉันไปเอง พอดีมีคนมาเขาเลยวางลงแล้วออกเดินไปหมดทั้งสองคน”
แม่ชีทั้งสองคนก็ช่วยกันมองหาก็ไม่เห็น เที่ยวตามดูก็ไม่เจอ
“เสียดายถ้าเพื่อนยังไม่มาก็ดี มือนางแก้วหอมมากและก็นิ่มนวลมาก น่ารักมาก ฉันดีใจมาก” ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เห็นอีกเลย
โดย
ศิษย์หลาน
บุ๊คมาร์ก
0
ตอบกลับ
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
En130
En130
ออฟไลน์
เครดิต
704
2
#
โพสต์ 2014-10-11 09:45
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
.
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
taka_jipata
taka_jipata
ออฟไลน์
เครดิต
1788
3
#
โพสต์ 2014-10-11 12:38
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
โหมดขั้นสูง
B
Color
Image
Link
Quote
Code
Smilies
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ลงชื่อเข้าใช้
|
ลงทะเบียน
รายละเอียดเครดิต
ตอบกระทู้
ข้ามไปยังโพสต์ล่าสุด
ตอบกระทู้
ขึ้นไปด้านบน
ไปที่หน้ารายการกระทู้
Share To Facebook
Share To Twitter
Share To Google+
Share To ...