"ขอผลแห่งทานนี้จงสำเร็จแก่พวกญาติของเราเถิด" บรรดาเปรตญาติเหล่านั้นต่างก็ได้เสวยสมบัติ ส่วนเปรตที่พวกญาติมิได้ทำบุญอุทิศให้คือเปรตพวกที่ทะเลาะกันและพากันเผาโรงครัวนั้น ต่างก็พากันเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้ากัสสปะและกราบทูลถามว่าจะได้รับผลบุญอย่างพวกเขาบ้างไหม พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ยังไม่ได้ แต่ในอนาคต 92 กัป จากภัทรกัปนี้ จะมีกษัตริย์พระนามว่า "พิมพิสาร" สมัยของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "โคดม" พระองค์ได้เป็นญาติของเธอ เวลาผ่านไปพระราชโอรสพร้อมทั้งบริวาร 1,000 คน จุติจากสวรรค์ได้มาเกิดในสกุลพราหมณ์ในกรุงราชคฤห์ ต่างพากันออกบวชเป็นฤาษี และได้เป็นชฏิล 3 พี่น้อง ตั้งสำนักอยู่คยาสีสะประเทศ นายอำมาตย์ในหมู่บ้านได้มาเกิดเป็นพระเจ้าพิมพิสาร เมื่อพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลกแล้ว ผ่านไป 7 สัปดาห์ ก็ได้เสด็จมายังกรุงพาราณสีทรงโปรดพระปัญจวัคคีย์ โปรดชฏิล 3 พี่น้องพร้อมทั้งบริวาร 1,000 คน แล้วจึงเสด็จไปยังกรุงราชคฤห์เพื่อโปรดพระเจ้าพิมพิสารจนได้บรรลุธรรมขั้นพระโสดาบัน พระเจ้าพิมพิสารทรงนิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งภิกษุสงฆ์ เพื่อรับภัตตาหารในวันรุ่งขึ้น รุ่งเช้าพระพุทธเจ้าจึงเสด็จไปรับมหาทานในพระราชนิเวศน์ ส่วนพวกเปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสารก็ได้รอรับถวายทานแล้ว ก็ทรงดำริว่าจักหาสถานที่ประทับของพระพุทธเจ้าว่าจะทรงประทับที่ไหน จึงทำให้ทรงลืมอุทิศส่วนบุญไปให้พวกเปรตญาติเสียสนิทพวกเปรตญาติที่รออยู่ เมื่อไม่ได้รับผลบุญจึงเสียใจใน คืนนั้น จึงพากันร้องโหยหวนน่าสะพึงกลัวอย่างยิ่ง ในที่ใกล้พระราชนิเวศน์ ที่บรรทม พระเจ้าพิมพิสารก็ทรงตกพระทัย พอรุ่งเช้าจึงทรงเสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แล้วกราบทูลเรื่องเสียงนั้นให้ทรงทราบ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า เสียงร้องนั้นมิได้เป็นนิมิตรร้ายแต่ประการใด แต่เป็นเสียงเปรตญาติของพระองค์มารอส่วนบุญที่เมื่อวันก่อนพระองค์ถวายทานแล้วมิได้อุทิศแก่พวกเขา พวกเขาจึงพากันผิดหวังและมาส่งเสียงร้องดังกล่าว และได้รับคำแนะนำให้กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้พวกเขา
|