ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 9145
ตอบกลับ: 2
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

"นางกิ่งแก้ว ลอสูงเนิน'' นักโทษประหารหญิงคนที่ 2

[คัดลอกลิงก์]
"นางกิ่งแก้ว ลอสูงเนิน'' นักโทษประหารหญิงคนที่ 2   
                                    
สำหรับคนที่ขี้เกียจอ่าน ฟังได้จากนี้นะครับ


''นางกิ่งแก้ว ลอสูงเนิน'' นักโทษประหารหญิงคนที่ 2

นางกิ่งแก้ว ลอสูงเนิน เธอคนนี้คนไทยเองน้อยคนไม่ค่อยรู้จัก แต่ไม่ยากที่จะค้นหา เพราะประเทศไทยเรามีนักโทษประหารหญิงไม่กี่คน ซึ่งนางกิ่งแก้วนั้นเป็นนักโทษประหารชีวิตด้วยการยิงเป้าคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ของไทยเรา

เรื่องราวของนางกิ่งแก้ว ลอสูงเนินน่าเชื่อว่ามาจากเนื้อหาหนังสือที่เชาวเรศน์จารุบุณย์เชาวเรศน์ จารุบุณย์เพชฌฆาตคนสุดท้ายที่ลั่นกระสุนปืนประหารชีวิตนักโทษหลายราย ก่อนที่การประหารชีวิตไทยจะเปลี่ยนเป็นฉีดยาพิษเข้าเส้นเลือดแทน ซึ่งหนังสือดังกล่าวถูกตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ ทำให้คนต่างชาติรู้เรื่องการประหารชีวิตยิงเป้ามาก ซึ่งพอดีผมไปค้นที่ห้องสมุดไม่เจอหนังสือดังกล่าว ดังนั้นผมขอแปลเท่าที่จะทำได้ล่ะกันน่ะครับ ผิดพลาดประการใดขออภัย มา ณ ที่นี้ด้วย

นางกิ่งแก้ว ลอสูงเนินเป็น พี่เลี้ยงเด็กชาวโคราชที่ทำงานในกรุงเทพ ที่คุ้นเคยและได้รับวางใจกับครอบครัวหนึ่งที่ได้จ้างเธอมาเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ชายอายุ 6 ขวบ ซึ่งวันที่เกิดเหตุนั้นเธอได้ไปรับเด็กชายที่โรงเรียน ซึ่งเธอเป็นที่รู้จักกันดีในคุณครูในโรงเรียนดีอยู่แล้วและส่งให้เธอโดยไม่ เกิดความสงสัยใดๆ แต่กลายเป็นนางกิ่งแก้วได้ร่วมมือกับพวกโจรผู้ชาย (2 คน) จับเด็กชายไปเรียกเงินค่าไถ่จากพ่อแม่เด็ก โดยตามแผนการนั้นพ่อแม่เด็กจะต้องโยนเงินออกจากรถไฟที่กำลังแล่นและใกล้กับ ธงที่กำหนด ที่นี้ก็เกิดปัญหาขึ้นเมื่อเวลาส่งมอบเงินดันเป็นตอนกลางคืน ผู้ปกครองเด็กมองไม่เห็นธง และส่งเงินผิดพลาดไม่ตรงจุดที่กำหนด ส่งผลทำให้การเลือกเปลี่ยนเงินค่าไถ่ล้มเหลว พวกโจรโกรธแค้นและแทงเด็กตายเพื่อปิดปาก แม้ว่านางกิ่งแก้วพยายามห้ามพวกโจรไม่ทำร้ายเด็ก แต่สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจแทงเด็กตายและนำศพไปฝัง ก่อนที่จะแยกย้ายกันหลบหนี (จากการชันสูตรศพต่อมาพบว่ามีเศษดินในปอดแสดงให้เห็นว่าเด็กยังมีชีวิตอยู่ หลังฝังศพของเขาบนดินแล้ว)
ด้วยการกระทำของเธอในการฆาตกรรมเด็กชาย

นางกิ่งแก้ว ลอสูงเนินถูก ตัดสินประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า สำหรับการยิงเป้าของไทยนั้น นักโทษถูกผ้าปิดตาและผูกติดกับเสาหลักรูปไม้กางเขนฟันหน้าเข้ากับกำแพง ไม่ว่าจะเป็นเอว หน้าอก ข้อศอกทั้งสองข้างต้องติดกับไม้กางเขนทั้งสองด้าน และที่ข้อมือมีลักษณะพนมมือโอบรอบเสา ซึ่งต้องมัดให้แน่นจนนักโทษขยับตัวไม่ได้ และจากนั้นก็ตั้งปืนไรเฟิลอัตโนมัติชี้ไปยังหัวใจบริเวณแผ่นหลังของนักโทษ ประหาร (ซึ่งจะทำเครื่องหมายบริเวณหัวใจนักโทษเอาไว้) เมื่อถึงเวลาประหารเพชฌฆาตที่ อยู่ด้านหลังนักโทษจะทำการยิงกระสุนเข้าไปสิบห้านัดเข้าไปบริเวณที่ทำ เครื่องหมาย เพื่อให้นักโทษประหารตายทันทีไม่ให้ทรมานมากเกินไป

นาง กิ่งแก้ว ลอสูงเนินถูกประหารชีวิตเมื่อวันที่ 13 มกราคม 1976 ในเวลานั้นสภาพจิตใจนางกิ่งแก้วย้ำแย่มาก (เคยพยายามฆ่าตัวตายเพื่อหนีโทษประหาร) ซ้ำยังหน้ามืดจะเป็นลม มีอาการทางจิตประสาท ทำให้พี่เลี้ยงต้องคอยดูแลอาการและคอยให้ยาดม ในระหว่างรอประหารเธอก็ยังคงยืนยันความบริสุทธิ์ของเธอในคดีฆาตกรรมเด็กชาย ว่า “ฉันไม่ได้ทำ ฉันไม่ได้เป็นคนฆ่าเด็ก” เธอขอร้อง “ได้โปรดอย่าฆ่าฉัน ฉันไม่ได้ฆ่าเขา” เธอพูดซ้ำซากแบบนี้ตลอดเวลา แต่หมดสิ้นความหวังเพราะเธอก็ถูกส่งไปยังเวทีประหาร ปืนถูกโหลดและเพชฌฆาตเล็ง อีกสักครูก็มีกระสุนกว่าสิบนัดถูกยิงออกมาเข้าไปจุดที่เชื่อว่าจัดขั้วหัวใจของนางกิ่งแก้ว
ไม่ นานหลังจากยิงปืนเสร็จสิ้น หมอได้เดินเข้ามาใกล้ผู้หญิงแล้วตรวจหาชีพจรก็พบว่าเธอเสียชีวิตแล้ว จุดที่ถูกยิงมีเลือดออกมาปริมาณมาก พวกเขาจัดการแก้ร่างของเธอและวางคว่ำหน้าของเธอลงบนพื้น ซึ่งตอนนั้นเธอก็ชักและกระตุกเล็กน้อย หน้าอกของเธอปริออกเพราะแรงกระสุน ร่างของเธอถูกย้ายไปที่ห้องเก็บศพและวางอยู่บนเตียง ขณะที่เจ้าหน้าที่คนอื่นเตรียมประหารคนต่อไปที่รอคิวอยู่

แต่แล้วก็เกิดเรื่องเหลือเชื่อขึ้น นางกิ่งแก้วยังไม่ตาย เธอเริ่มส่งเสียง (ดูเหมือนจะพูดว่า"ฉันไม่ผิดๆๆๆๆๆๆๆ") และ พยายามลุกขึ้นนั่ง พี่เลี้ยงต้องวิ่งเข้าไปห้องเด็บศพ และพวกเขาพยายามกลิ้งเธอหลายครั้งและกดบนหลังของเธอเพื่อให้เลือดออกเร็ว ขึ้นให้ธอตายสงบ (บางคนพยายามที่จะบีบคอ) แต่เธอก็ยังอ้าปากหายใจ ไม่เสียชีวิตในทันที แม้จะทำยังไงเธอก็หายใจและยังมีชิวิตอยู่ แม้เลือดจะออกมามากมายก็ตาม ผลสุดท้ายเธอก็ถูกยกกลับไปเวทีประหารและประหารชีวิตใหม่ด้วยการยิงกระสุนอีก 15 นัดอีกครั้ง เธอจึงเสียชีวิต

ไม่ มีใครทราบว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น บางทีอาจเป็นเพราะผูกติดกับเสาหลักไม่แน่นพอ ทำให้เธอดิ้นจนกระสุนเลยจุดตาย และอีกทั้งหัวใจของเธอนั้นอยู่ด้านขวาไม่ใช่ด้านซ้ายเป็นเหตุทำให้การประหาร ผิดพลาดดังกล่าว

(มี เหตุหลังจากนี้นิดหน่อย มีเรื่องเล่าว่าหลังจากที่นำศพของเธอมาไว้ห้องเก็บศพ ยังคงมีคนได้ยินเสียง “ฉัน ไม่ ผิด” ดังจากในห้องซ้ำแบบนี้ตลอดเวลา และทุกวันนี้ยังมีผู้พบเห็นเธอเป็นผีวนเวียนที่เรือนจำบางขวาง)

2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-9-16 16:35 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
อีกเรื่องเล่าหนึ่งจากปากพัสดี

พัสดีหลายคนเล่าว่า นางกิ่งแก้วรักเด็กคนนี้มาก รักเหมือนลูกของตน และเมื่อวันที่เด็กถูกสังหาร เป็นวันที่นางกิ่งแก้วไม่อยู่ ทางฝ่ายสามีจึงลงมือสังหารเด็กเสีย ฝ่ายนางกิ่งแก้วกลับมาและไม่พบเด็ก ก็รู้ได้ทันทีว่าอาจเกิดอันตรายกับเด็กคนนั้น นางจึงออกตามหาเด็กคน และมาพบรอยดินที่เหมือนพึ่งฝังเสร็จใหม่ นางกิ่งแก้วจึงลงมือขุดจนพบร่างเด็ก แต่ไม่ทันการเสียแล้ว เด็กหมดลมหายใจไปเสียก่อน นางกอดศพและร้องไห้อยู่พักนึง เป็นเวลาเดียวกับที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนำกำลังบุกจับพอดี นางกิ่งแก้วจึงตกเป็นผู้ต้องหาในคดีฆ่าคนตาย นี่คือคำสารภาพที่นางกิ่งแก้ว พูดกับพัสดีภายในเรือนจำ

พัสดีเล่าต่อว่า ขณะที่นางกิ่งแก้วโดนจองจำอยู่นั้น สุขภาพจิตของเธอแย่มาก ได้แต่ร้องไห้และพร่ำเพ้อว่า ฉันไม่ผิด ฉันไม่ผิด ฉันไม่ผิด อยู๋อย่างนั้น ดั่งคนเสียสติ จนนักโทษในเรือนจำเกิดความเวทนานางกิ่งแก้วมาก และเป็นอย่างนี้อยู่ประจำ

จนเมื่อถึงวันประหาร ขณะที่นางกิ่งแก้วโดนคุมตัวไปยังแดนประหาร นางพร่ำเพ้ออยู่ตลอดว่า ฉันไม่ผิด ฉันไม่ผิด ฉันไม่ผิด
เมื่อเข้าสู่หลักประหาร เพชรฆาตก็เตรียมตัวลั่นไกไปที่หัวใจของนางกิ่งแก้ว เสียงปืนชุดแรกดังขึ้น กระสุนพุ่งสู่ร่างนางกิ่งแก้ว จากนั้นเลือดก็สาดพร้อมกับเสียงโหยหวนของนางกิ่งแก้วว่า ฉันไม่ผิด ฉันไม่ผิด ฉันไม่ผิด เพชรฆาตตกใจมากที่นางกิ่งแก้วยังไม่ตาย จึงยิงใส่อีกชุดนึงเพื่อที่จะให้นางกิ่งแก้วพ้นทุกข์โดยเร็ว ปรากฎว่า นางกิ่งแก้วก็ยังไม่หมดลมหายใจและยังตะโกนโหยหวนด้วยความทรมารว่า ฉันไม่ผิด ฉันไม่ผิด ฉันไม่ผิด ทางพัสดีและหมอประจำเรือนจำจึงรีบเข้าไปตรวจสอบที่่ร่างนางกิ่งแก้วอีกครั้ง และผลปรากฏว่านางมีหัวใจอยู่ด้านขวา ทางพัสดีจึงต้องวัดเป้าอีกครั้งและทำการประหารใหม่ และคราวนี้นางกิ่งแก้วได้พ้นทุกข์เแล้วสียที พร้อมกับพูดสุดท้ายว่า ฉันไม่ผิด

ยังมีเรื่องเล่าหลังจากจากนางกิ่งแก้วเสียชีวิตไปแล้ว ว่ามีนักโทษและชาวบ้านแถวนั้นพบเจอวิญญาณนางกิ่งแก้วออกมาปรากฎตัวอยู่บ่อยครั้ง บ้างก็เห็นนางกิ่งแก้วเดินร้องไห้และพูดว่า ฉันไม่ผิด ฉันไม่ผิด ฉันไม่ผิด และหายเข้าไปในกำแพงเรือนจำ บ้างก็เห็นว่าเธอลอยอยู่บนเหนือกำแพงเรือนจำ ส่งเสียงร้องไห้โหยหวนว่า
ฉันไม่ผิด ฉันไม่ผิด ฉันไม่ผิด...และทุกวันนี้ก็ยังมีคนพบเจอวิญญาณของนางกิ่งแก้วอยู่ แม้เวลาจะผ่านมาหลายสิบปีแล้วก็ตาม

ที่มา: https://www.facebook.com/neverendingstory666/photos/a.489597844392241.116936.489594214392604/630244960327528/?type=1&theater

กิ่วนางแก้ว

กิ่งแก้วฯถูกควบคุมตัวในห้องควบคุมของ สน.บางรัก ห้องควบคุมผู้ต้องหาหญิงและชายแยกกัน อยู่คนละฟากมีช่องทางเดินตรงกลาง แบ่งเป็นห้องซอยหลายห้อง สภาพห้องขังด้านหลังและด้านข้างทั้งสองด้านเป็นกำแพงคอนกรีต มีเฉพาะด้านหน้าที่ติดกับทางเดินเป็นลูกกรง ทำด้วยเหล็กกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑ นิ้ว จากพื้นถึงเพดาน กิ่งแก้วฯถูกขังเดี่ยว

กิ่งแก้วฯไม่เคยทำผิด ไม่เคยถูกคุมขังมาก่อน ไม่คุ้นเคยกับห้องขัง ถูกผู้ต้องหาชายข่มขู่ เกิดความเครียดคิดสั้น ประมาณตีสองคืนนั้น กิ่งแก้วฯเตรียมเชือกซึ่งทำจากเสื้อฉีกเป็นเส้นผูกโยงติดต่อกัน กิ่งแก้วฯคิดว่าผู้ต้องหาชายห้องตรงข้ามหลับแล้ว จึงค่อยๆไต่ลูกกรงสูงขึ้นไปแล้วเอาเชือกผูกลูกกรงด้านบน เตรียมผูกปลายเชือกอีกด้านหนึ่งเข้ากับคอเพื่อโดดลงมา การกระทำของกิ่งแก้วฯหาได้รอดพ้นสายตาของผู้ต้องหาชายซึ่งนอนอยู่ในห้องควบค ุมตรงข้าม ผู้ต้องหาชายเก๋ากว่าคิดอยู่แล้วว่ากิ่งแก้วฯจะต้องชิงฆ่าตัวตาย พอเห็นกิ่งแก้วฯเริ่มปีนลูกกรงก็ตะโกนเรียกสิบเวรซึ่งอยู่หน้าห้องควบคุม สิบเวรเข้ามาทันการ หยุดการกระทำของกิ่งแก้วไว้ได้ จากนั้นกิ่งแก้วฯก็ถูกจับตาและเข้มงวดเป็นพิเศษ ผู้ต้องขังชายต่างบอกกิ่งแก้วฯว่า“ ผูกคอตายมันง่ายไป มึงต้องตายโดยการถูกยิงเป้า ”คดีนี้กลายเป็นคดีใหญ่ โหดเหี้ยมสะเทือนขวัญ กองกำกับการสืบสวนซึ่งเป็นที่รวมบรรดานักสืบจึงต้องเข้ามาช่วยสืบสวนจับกุม จากการสอบสวนปากคำกิ่งแก้วฯให้การว่า ผู้ร่วมกระทำผิดอีก ๒ คนคือ

๑ นายเกษมหรือเสริม สิงห์ลา บ้านอยู่ อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ
๒ นายปิ่น พี่งญาติ บ้านอยู่ อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา


คดีนี้กองปราบปรามก็เข้ามาช่วยสืบสวนจับกุม แบ่งชุดไล่ล่าเป็น ๓ ชุด กองปราบปราม ๑ ชุด สน.บางรัก ๑ ชุด กองสืบสวนนครบาลใต้โดยผมเป็นหัวหน้าอีก ๑ ชุด ผมรับหน้าที่ตามล่าตัวนายปิ่นฯเพราะเป็นคนบางปะหันด้วยกัน การไล่ล่าเป็นไปอย่างทุลักทุเล ชุดที่ติดตามนายเกษมฯระดมค้นบ้านที่ชัยภูมิ บ้านพ่อบ้านแม่ บ้านญาติพี่น้องถูกค้นหมด ไม่พบตัว ได้ข้อมูลว่าหนีขึ้นเขา ชุดของ สน.บางรักต้องปีนเขาติดตาม กลางคืนกางเต้นนอน พอสว่างเดินต่อ นำอาหารเป็นสะเบียงใส่เป้สะพายหลังไปด้วย ใช้เวลาเป็นครึ่งเดือนไม่พบตัว ชุดของผมค่อยดีหน่อย แค่บางปะหันอยุธยา ผมเกิดและโตที่นั่น การข่าวก็เลยดี ไม่ต้องเหนื่อยมาก ได้ข้อมูลมาว่า ตอนเกิดเหตุใหม่ๆนายปิ่นฯกับนายเกษมฯพากันหลบหนีมาอยู่บ้านญาติๆที่บางปะหัน ตอนนั้นตำรวจยังไม่ทราบว่าผู้ร่วมกระทำผิดเป็นใครบ้าง เพราะยังจับกุมตัวกิ่งแก้วฯไม่ได้ เป็นความจริงอย่างหนึ่งคือ เมื่อคนร้ายก่อคดีแล้วมักจะหลบหนีกลับภูมิลำเนาเป็นอันดับแรก เพราะต้องสั่งเสียลูกเมียพ่อแม่ บางทีก็ไปขอเงินเป็นค่าใช้จ่ายในการหลบหนี สมัยก่อนไม่มีโทรศัพท์ ทั้งโทรศัพท์บ้าน(พื้นฐาน) และโทรศัพท์มือถือ ต้องไปพบปะหากัน ต่างกับสมัยนี้ คนร้ายจะใช้โทรศัพท์ติดต่อ ตำรวจสมัยนี้ไม่เหนื่อยมากเหมือนสมัยก่อน ใช้เทคโนโลยีในการไล่ล่าคนร้าย โดยการตรวจสอบการใช้โทรศัพท์ และตรวจสอบหาตำแหน่ง (BASE) ยิ่งคนร้ายใช้โทรศัพท์มาก การสืบสวนติดตามก็ยิ่งง่ายตามไปด้วย
ชุดไล่ล่าที่ขึ้นไปจังหวัดชัยภูมิอ่อนเปลี้ยกลับเข้า ก.ท.ม. ส่วนชุดของผมอยู่ใกล้กรุงเทพฯ ขึ้นๆล่องๆกรุงเทพ-อยุธยาหลายสิบเที่ยว การข่าวเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ถึงแม้จะยกกำลังกลับแต่ผมวางสายลับให้คอยส่งข่าว สิ่งจูงใจผู้ให้ข่าวก็คือ “ เงิน ” เงินจำนวนมากๆทำให้คนใกล้ชิดกับคนร้ายคอยให้ข่าวความเคลื่อนไหว ไม่ช้าผมก็ได้ข่าวว่านายเกษมฯกับนายปิ่นฯหลบหนีไปด้วยกัน และทั้งคู่หวลกลับไปที่จังหวัดชัยภูมิอีก ( ตามความคิดของคนร้าย สิ่งที่ปลอดภัยที่สุดคือสถานที่ๆตำรวจตรวจค้นแล้ว ) ผมวางแผนย้อนรอย โดยเดินทางไปประสานกับนายตำรวจรุ่นพี่ซึ่งเป็นผู้บังคับกองอยู่ที่อำเภอจัตุ รัส ให้ช่วยหาข้อมูลให้ นายตำรวจรุ่นพี่ผู้นี้ทำงานอย่างมืออาชีพ ทำด้วยตนเองไม่ใช้ลูกน้อง ข่าวจึงไม่รั่วเหมือนตอนที่ตำรวจ สน.บางรักบุกเข้าจับกิ่งแก้วฯ การหาข่าวใช้เวลาเพียงวันเดียวก็ทราบแหล่งกบดานของนายเกษมฯ โดยนายเกษมฯพักที่บ้านญาติหลังหนึ่ง ที่ตำบลบ้านกอก อำเภอจัตุรัส ข่าวว่านายเกษมฯพาเพื่อนมาด้วยอีก ๑ คน แต่ไม่ทราบว่าจะพักบ้านหลังเดียวกันหรือไม่

การจู่โจมจับกุมทำกันในตอนตีสี่ของคืนนั้น รอสว่างไม่ได้ แค่ตีห้าคนบ้านนอกก็ตื่นกันแล้ว สมัยนั้นหมายค้นไม่ต้อง เพราะตัวผู้บังคับกองหัวหน้าสถานีตำรวจท้องที่ผู้มีอำนาจออกหมายไปค้นด้วยตน เอง คืนนั้นพวกเราไม่ได้นอนกันเลย ศึกษาแผนที่เส้นทางการเข้าจู่โจมจับกุม บ้านเป้าหมายเป็นบ้านแบบไทย ไต้ถุนสูง ปลูกอยู่โดดเด่นกลางทุ่งนา มีบันไดทางขึ้นด้านเดียวที่ชานหน้าบ้าน ห่างจากบ้านไปเล็กน้อยเป็นป่าละเมาะ
คืนที่ปฏิบัติการเป็นคืนเดือนมืด พวกเราวางแผนจะใช้กำลังโอบล้อมบ้าน โดยเกรงคนร้ายจะโดดบ้านวิ่งหนีเข้าป่า สิ่งที่พวกเรากลัวที่สุดก็คือหมา ไม่ทราบว่าบ้านที่จะเข้าจับกุมเลี้ยงหมาไว้ด้วยหรือไม่ เมื่อแบ่งหน้าที่กันเรียบร้อยประมาณตีสองพวกเราก็เริ่มเดินทางไปยังบ้านเป้า หมาย ไปโดยรถยนต์จิ๊ปกับรถปิกอัพ จอดรถไกลจากบ้านเป้าหมายเป็นกิโล กลัวเสียงเครื่องยนต์รถจะทำให้คนร้ายรู้ตัว
พวกเราปฏิบัติการณ์ไม่ต่างไปกว่าพวกโจร แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำเพื่อให้กลืนกับความมืด ผู้บังคับกองฯแต่งเครื่องแบบแต่มีเสื้อแจ๊กเก็ตสีดำคลุมทับ ทุกคนใช้อาวุธปืนพกสั้น เราประมาทคนร้ายไม่ได้เพราะเป็นคดีอุกฉกรรจ์ คนร้ายอาจต่อสู้ พอใกล้ถึงบ้านเป้าหมายระยะห่างประมาณ ๕๐๐ เมตร ถึงแม้จะเดือนมืดแต่ความที่บ้านอยู่เด่นกลางทุ่งนาจึงสามารถมองเห็นเป้าหมาย ชัด ผู้ที่มีหน้าที่โอบล้อมบ้านก็กระจายตัวออกไป ล้อมบ้านเป็นวงกลม พวกเราเดินย่องไร้เสียงเหมือนกับมีวิชาตัวเบา โชคดีที่ไม่มีเสียงหมา จะมีหมาหรือเปล่าไม่รู้ ตอนนั้นดาวหมาขึ้นแล้ว ถึงมีหมาๆก็จะหลับหมด

ผมพร้อมกำลังส่วนหนึ่งและผู้บังคับกองฯจัตุรัส ทำหน้าที่ช๊าจขึ้นบนบ้าน เราไม่รู้ว่าสภาพบนบ้านจะเป็นอย่างไร ตามแผนต้องเข้าประชิดตัวฝ่ายตรงข้ามให้เร็วที่สุด พวกเราแต่ละคนเตรียมไฟไปด้วย ผมสังเกตเห็นกำลังชุดที่โอบล้อมเข้าประจำที่หมดแล้ว ผมนำหน้าพากำลังชุดจู่โจมขึ้นบ้านเป้าหมายอย่างรวดเร็ว บ้านเป้าหมายไช้บันไดแบบไม้ไผ่พาด ขึ้นลงไม่ดีหัวทิ่มได้ ลักษณะบ้านเป็นห้องโล่งเหมือนกับศาลาวัดแต่เล็กกว่า พอขึ้นชานบ้านได้ก็ฉายไฟส่องดู เห็นมีมุ้งหลังใหญ่กางอยู่กลางบ้าน ผมเข้าถึงมุ้งพร้อมตะโกน “เจ้าหน้าที่ตำรวจ อย่าต่อสู้” ตำรวจคนอื่นๆที่วิ่งตามผมทุกคนตะโกนด้วยเสียงดัง มือข้างหนึ่งถือปืนอีกข้างฉายไฟ ลองคิดดู คนที่กำลังนอนหลับสนิทได้ยินเสียงตะโกนแบบนี้ รับรองขวัญหนีดีฝ่อ ผมตลบมุ้งขึ้นเห็นผู้ชายตัวดำๆนอนอยู่ จะมีคนอื่นนอนอยู่ด้วยหรือไม่มองไม่เห็น เพราะกำลังชุดที่ขึ้นบ้านด้วยกันปลดเชือกผูกมุ้งออก มุ้งหล่นคลุมตัวคนที่นอน ผมดึงตัวชายร่างดำๆออกมา สิ่งแรกที่ผมทำก็คือถามชื่อ

ตำรวจที่ไปจับกุมทั้งหมดไม่มีใครรู้จักหรือเห็นหน้านายเกษมฯ ตอนแรกชายที่ผมดึงตัวมาบอกว่าชื่อ “เสริม” ไม่ได้ชื่อ “เกษม” ผมชักใจไม่ดี บอกพรรคพวกให้ค้นหาดูคนอื่นๆว่ามีนายเกษมฯอยู่หรือไม่ พบแต่คนสูงอายุกับผู้หญิงและเด็ก ต้องให้เอาบัตรประจำตัวมาดู โชคดีที่ชายผู้นั้นพกบัตรประชาชนไว้ในกระเป๋าใส่สตางค์ พบว่าชื่อ “เกษม สิงห์ลา” ผมดีใจที่สุดที่สามารถทำงานได้สำเร็จ ผมคาดคั้นนายเกษมฯว่าทำไมโกหกไม่บอกชื่อจริง นายเกษมฯบอกว่า ตนมีสองชื่อ ( เป็นเรื่องธรรมดาทของคนร้ายต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะเอาตัวรอด )
หลังจากทำหลักฐานเอกสารการบันทึกตรวจค้นจับกุม ลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจเรียบร้อยแล้ว ผมกับพวกก็คุมตัวนายเกษม หรือเสริม สิงห์ลาเข้ากรุงเทพฯ ผมไม่ลืมขอบคุณผู้บังคับกองสถานีตำรวจภูธรจัตุรัส นายตำรวจมืออาชีพและตงฉิน ท่านผู้นี้มีความเจริญก้าวหน้าในชีวิตราชการ ครั้งสุดท้ายก่อนเกษียณได้เป็นนายพล ท่านผู้นี้คือ พล.ต.ต.สิทธิพงษ์ ตั้งใจ

คดีนี้จับกุมคนร้ายได้แล้วสองคน ส่วนนายปิ่น พึ่งญาติคนร้ายอีกคนหนึ่งยังติดตามหาตัวไม่พบ ผมมาได้ข่าวตอนหลังว่า ตอนที่ผมช๊าจเข้าจับนายเกษมฯนั้น นายปิ่นฯก็นอนอยู่บ้านเดียวกัน แต่อยู่คนละมุ้ง ตำรวจค้นไม่ทั่ว นายปิ่นฯซุกตัวในซอกที่เป็นกองเสื้อผ้า ตำรวจมองไม่เห็น ต้องยอมรับครับ ทุกคนมัวให้ความสนใจคนร้ายคนแรกที่จับได้ ไม่ทันคิดว่าจะมีอีกคน ประกอบกับบ้านเป้าหมายมืดไม่มีไฟฟ้า แสงสว่างที่ใช้คือตะเกียงน้ำมันก๊าด ผมเสียดายจริงๆที่พลาดโอกาสที่จะได้ตัวนายปิ่น

การติดตามจับกุมตัวนายปิ่นฯก็ทำไป ส่วนผู้ต้องหาสองคนที่จับกุมได้ก็สอบสวนกันไป การสอบสวนไม่ยุ่งยากเพราะผู้ต้องหารับสารภาพ สำนวนการสอบสวนเสร็จ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ประเทศไทยปฏิรูปการปกครอง โดย พลเรือเอกสงัด ชะลออยู่ เป็นหัวหน้าคณะปฏิรูป ยึดอำนาจการปกครอง คณะปฏิรูปมีคำสั่งให้เสนอสำนวนการสอบสวนเรื่องนี้ไปให้พิจารณา ในที่สุดคณะปฏิรูปมีคำสั่งให้ประหารชีวิต ๑ นางกิ่งแก้ว ลอสูงเนิน ๒ นายเกษมหรือเสริม สิงห์ลา โดยการ “ยิงเป้า” ส่วนนายปิ่นฯผู้ต้องหาที่หลบหนี ให้รีบดำเนินการจับกุมตัวให้ได้
ประมาณสองเดือนต่อมา ช่วงใกล้สางวันหนึ่ง ผู้คนที่อาศัยอยู่ใกล้ๆคุกบางขวางก็ได้ยินเสียงปืน“แบลคแม่น”ดังกังวาลเป็นช ุดๆ หลายชุด เพชรฆาตได้ส่งวิญญาณของนางกิ่งแก้วฯและนายเกษมฯ ไปสู่สวรรค์หรือนรกไม่ทราบได้ แต่หลังจากนั้นบรรดาผู้คนที่ผ่านคุกบางขวางในยามค่ำคืน จะเห็นผู้หญิงสาวผมยาวเดินเท้าไม่ติดพื้นอยู่ข้างๆกำแพงคุก คนขับสามล้อรับจ้างบางคนถูกหญิงคนดังกล่าวเรียกให้จอดรับด้วยเสียงเย็นยะเยื อก จนเป็นที่กล่าวขาน หนังสือพิมพ์ลงข่าวพาดหัวอีกครั้ง “วิญญาณกิ่งแก้วฯออกอาละวาด” จนผู้คนแถวนั้นต้องทำบุญสังฆทานอุทิศส่วนกุศลให้ วิญญาณกิ่งแก้วฯจึงได้เงียบไป เหตุการณ์นี้สอบถามคนแถวนั้นได้


ส่วนนายปิ่น พึ่งญาติ ไม่รอดจากการติดตามของผม ทุกครั้งที่ผมไปเยี่ยมญาติพี่น้องที่บางปะหัน จะถามข่าวคราวนายปิ่นฯ ครั้งหลังสุด หลังจากเหตุคดีนี้ผ่านพ้นไปประมาณ ๒๐ ปี ผมได้ข่าวว่านายปิ่นฯได้ไปบวชพระ บวชมานานแล้ว ตอนบวชใหม่ๆไม่มีใครบอกผม กลัวนายปิ่นฯจะถูกจับไปยิงเป้า เหตุที่นำข่าวมาบอกเพราะเห็นว่า น่าจะขาดอายุความการดำเนินคดีอาญาแล้ว ประกอบกับการปกครองในตอนนั้น เป็นประชาธิปไตยแล้ว คดีจะต้องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาล ผู้ต้องหารับสารภาพอาจได้รับการลดหย่อนโทษ ไม่ต้องถูกประหาร เรื่องของพระปิ่นฯเป็นความลับที่ผมรู้แต่เพียงผู้เดียว มาถึงวันนี้ผมยังไม่ได้ติดตามว่าพระปิ่นจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็น่าจะอายุ ๖๐ กว่าแล้ว ผมคงจะติดตามหาข่าวลำบาก เพราะคนที่คอยส่งข่าวผมก็โดนมะเร็งเล่นงาน ตายไปเมื่อปีที่แล้ว.






..http://cerelaccarfe.blogspot.com ... 2/blog-post_18.html

โพสต์เมื่อ 18th February โดย unchana phoduang

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้