ประหารชีวิต
ห่างหายไปหลายเวลา จะว่าไม่ว่างก็ว่าไม่ได้ จริงๆ แล้วผู้เขียนก็ทำงานทุกวันแหละ เว็บไซต์อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ ต้องอัพเดทข้อมูลข่าวสารทุกวันอย่างน้อยวันละหนึ่งครั้ง บางวันก็หลายครั้ง ทั้งนี้เพราะมีข่าวเข้ามามากเราก็ต้องนำเสนอมากว่ากันไปตามน้ำตามเนื้อ เว้นแต่กรณีจำเป็น เช่นไปต่างเมือง ก็จำเป็นต้องโพสต์ข้อความ "ลากิจ" ต่อท่านผู้อ่านให้ชมอักษรวิ่งเหมือนการแปรอักษรบนอัฒจรรย์ในสนามกีฬาไปพลางๆ วันนี้ไม่มีเรื่องอะไรจะเขียน ไม่ว่าเรื่องการเมืองหรือการศาสนา แต่มีเรื่องโบราณๆ มาเสนอ คือไปค้นดูหนังสือเก่าๆ ก็พบกับภาพเก่าๆ เห็นแล้วก็นึกถึงท่านผู้อ่านที่ยังไม่เคยเห็น จึงคิดว่า "เอ..เราน่าจะส่งไปให้แฟนๆ อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ ได้ชมกันบ้าง" สมัยก่อนเรื่องรูปเรื่องร่างนั้นส่งให้กันยาก แต่ปัจจุบันนั้นอะไรก็ดูง่ายไปหมด พวกเว็บ ฮิฮะ หรือHi-5 ที่ให้ใครต่อใครใช้เป็นโฮมเพจเป็นคอลเล็คชั่นส่วนตัว ก็มีการเก็บรูปไว้ดูรวมถึงส่งหรือแชร์ให้แก่เพื่อนๆ ดังนั้นวันนี้ "อะลิตเติ้ลบุ๊ดด่ะ" จะเอามั่ง แฮ่ม ! เป็นภาพเก่าสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเวลานั้นยังมีการลงโทษประหารชีวิตด้วยการให้เพชฌฆาตใช้ดาบ "ตัดคอ" แถมยังฆ่ากันกลางแจ้งเหมือนหนังกลางแปลงที่มีผู้ชมเข้าไปดูโดยไม่ต้องตีตั๋ว เห็นแล้วก็ขนหัวลุก ความจริงแล้ว สมัยโบราณนั้นมีการประหารชีวิตในรูปแบบต่างๆ เช่น ทุบด้วยท่อนจันทน์ สำหรับเจ้านายเชื้อพระวงศ์ที่ถูกลงโทษระดับเด็ดขาด ก็จะถูกจับยัดถุงแดงแล้วให้เพชฌฆาตที่ภาษาจีนใน "สามก๊ก" เรียกว่า "บู๋ซู" ใช้ไม้ค้อนทำด้วยท่อนจันทน์ขนาดเขื่อง เล็งเป้าไปที่ต้นคอหรือท้ายทอย จัดการทุบตรงนั้นดับตุ๊บ ก็จะสิ้นใจ นำไปฝังเป็นอันเสร็จพิธี หรือบางทีก็มีการทำพิธีสะกดวิญญาณด้วย ทั้งนี้เพราะผีตายโหงนั้นท่านว่าเฮี้ยนจัด อาจจะอาละวาดเอาคนสั่งฆ่าตนเองให้ตายตกตามกันได้ แบบว่าฆ่าในสมัยเป็นคนไม่ได้ก็ขอเป็นวิญญาณมาหลอน เรื่องนี้หลายคนไม่เชื่อ แต่ก็ไม่กล้าลบหลู่ เรื่องประเพณีการตายนั้น คนไทยสมัยโบราณถือว่า ถ้าตายแบบธรรมดาก็จะทำพิธีเผาด้วยฟืนบนกองฟอน แต่สำหรับเด็กและผู้หญิงตายทั้งกลม ไม่ว่าจะตายทั้งแม่ทั้งลูกหรือตายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง กรณีนี้จะไม่นิยมเผา หากแต่ท่านว่าต้องฝัง จะด้วยคตินิยมอันใดก็ไม่ทราบ ทีนี้พอเอาศพไปฝัง พวกขมังเวทย์ก็จะหาฤกษ์งามยามดีไปปล้ำผีลุกปลุกผีนั่ง เอาเทียนไปลนที่คางหรือเต้านมซึ่งมีไขมันมาก วัตถุประสงค์ก็คือน้ำมัน พอได้แล้วก็นำมาเข้าพิธีกรรมทางไสยศาสตร์นำไปขายให้แก่ชายหนุ่มที่หลงรักหญิงสาว แต่ฝ่ายหญิงไม่เล่นด้วย เอาไปแค่หยดสองหยดก็คร้านว่าฝ่ายหญิงจะวิ่งมาหา นี่ท่านโฆษณาว่าอย่างนั้น น้ำมันจากศพนี้ท่านเรียกว่า น้ำมันพราย ส่วนศพเด็กนั้น ก็จะถูกขุดขึ้นมาทำพิธีสะกดวิญญาณแล้วเลี้ยงไว้ใช้งาน เรียกว่ากุมารทอง กุมารทองดังที่สุดนั้นเห็นจะเป็นกุมารทองในเรื่องขุนช้างขุนแผน ซึ่งมีพิธีกรรมที่หวาดเสียวสุดๆ เพราะเป็นการ "ฆ่าแม่เอาลูก" ซึ่งแม่ที่ว่านั้นก็หาใช่ใครไหนอื่น คือนางบัวคลี่ บุตรสาวของหมื่นหาญ ซึ่งขุนแผนเมื่อแรกเห็นนั้นเกิดอกุศลจิตคิดไปไกลว่า "จะต้องจีบนางสาวบัวคลี่มาเป็นเมียให้จงได้ เพื่อจะเอาลูกมาทำ..." เรื่องนี้ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เรียกเป็นภาษาฝรั่งว่า Thriller เรื่องก็ดังที่ปรากฏ (ขุนช้างขุนแผนมิใช่เรื่องจริง แต่เป็นนวนิยายที่แต่งขึ้น ฝรั่งเรียกว่า Fiction) คือขุนแผนลวงทั้งหมื่นหาญให้ยอมยก "บัวคลี่" ลูกสาวให้เป็นเมีย พอนางบัวคลี่มีท้องได้ไม่กี่เดือน ขุนแผนก็ออกลายทำทีทะเลาะกับพ่อตา ส่งผลให้ต้องทะเลาะกับเมียไปด้วย และแล้วคืนวันอันสยองก็มาถึง ตรงนี้เสภาขุนช้างขุนแผนแต่งไว้ว่า
ยืนขึ้นบนเตียงเข้าเคียงข้าง
พินิจนางนิ่งนอนถอนใจใหญ่
ไม่รู้เลยว่าร่างมันร้างใจ
จะฆ่าผัวเสียได้ช่างไม่คิด
แล้วชักมีดตั้งท่าง่าขยับ
ใจกลับมืออ่อนสะท้อนจิต
แล้วกลับนึกขึ้นถึงนางวางยาพิษ
เอาชีวิตเสียเถิดอย่าไว้มัน
เอามีดคร่ำตำอกเข้าต้ำอัก
เลือดทะลักหลวงทะลุตลอดเส้น
นางกระเดือกเสือกดิ้นสิ้นชีวัน
เลือดก็ดั้นดาษแดงดังแทงควาย
แล้วผ่าแผ่แล่แล่งตลอดอก
แหวกหวะฉะรกให้ขาดสาย
พินิจแน่แลเห็นว่าเป็นชาย
ก็สมหมายดีใจไม่รั้งรอ
อุ้มเอาทารกยกจากท้อง
กุมารทองมาเถิดไปกับพ่อ
หยิบเอาย่ามใหญ่ใส่สวมคอ
เอาผ้าห่อลูกชายสะพายไป |
กุมารทองของขุนแผนจึงเป็นลูกที่เกิดจากนางบัวคลี่ เรื่องนี้สมัยก่อนกระทรวงศึกษาธิการเคยกำหนดให้เป็นแบบอ่านเรียนเสริมทักษะภาษาไทยของนักเรียน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นการสนับสนุนให้เยาวชนทำผิดศีลธรรมหรือเปล่า นั่นแหละคือ "กุมารทอง" ตัวดังที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย
|