แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2013-5-10 06:55
อานิสงส์การอุปัฏฐาก
พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นรุกขเทวดาที่ต้นทองกวาว
ใจที่ฝึกดีแล้วย่อมทำอะไรๆ ได้เหนือความคาดหมายของปุถุชน ใจที่ฝึกดีแล้วย่อมนำความสุขและความสำเร็จมาให้ การฝึกใจด้วยการทำสมาธิเป็นบุญละเอียดอ่อน เป็นการแก้ไขสิ่งที่ไม่ดีให้ดีขึ้น สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ สิ่งที่ไม่สำเร็จให้สำเร็จ สิ่งที่ยากให้ง่าย สิ่งที่เหลือวิสัยให้อยู่ในวิสัย เมื่อจิตใจตั้งมั่น หยุด นิ่ง เฉย ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในตัวของเราในทางที่ดีขึ้น จากอ่อนแอเป็นเข้มแข็ง จากสิ้นหวังเป็นสมหวัง จากสับสนเป็นสงบ จากว้าเหว่เป็นอบอุ่น จากห่อเหี่ยวเป็นเบิกบาน จากทุกข์เป็นสุขอย่างไม่มีขอบเขต และเปลี่ยนแปลงชีวิตของปุถุชนให้เป็นพระอริยเจ้าได้ เวลาที่ให้กับการนั่งสมาธินั้นไม่มีสูญเปล่า เพราะเป็นเวลาที่มีคุณค่า และมีประโยชน์เกินกว่าที่จะคาดคิด ชีวิตจะมีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป แม้สมบัติโลกทั้งหมดก็เทียบค่าไม่ได้กับเวลาที่ใจหยุดนิ่ง...
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ใน อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต ว่า..
“ผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตน มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง ย่อมบำรุงพระตถาคตหรือพระสาวก การบำรุงนี้ ย่อมเยี่ยมกว่าการบำรุงทั้งหลาย ย่อมเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งปวง เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน”
ศรัทธาคือความเชื่อในพระรัตนตรัย ถือว่าเป็นทรัพย์อันประเสริฐประการแรก เมื่อเรามีศรัทธาแล้วชื่อว่าเป็นผู้ไม่ยากจนในการเดินทางข้ามวัฏสงสารอันยาวไกลนี้ ความทุกข์ยากจะน้อยลงและหนทางก็จะสั้นเข้า พระบรมศาสดาของเราจึงได้ตรัสไว้ว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทรัพย์ ๕ ประการนี้แล คือ ผู้ใดมีความเชื่อในพระตถาคต ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว มีศีลอันงาม ที่พระอริยเจ้าชอบใจสรรเสริญ มีความเลื่อมใสในพระสงฆ์ และมีความเห็นตรง บัณฑิตทั้งหลายกล่าวผู้นั้นว่า เป็นคนไม่ขัดสน ชีวิตของผู้นั้นไม่เปล่าประโยชน์ เพราะเหตุนั้น ผู้มีปัญญา เมื่อนึกถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายแล้ว พึงประกอบด้วยศรัทธา ศีล ปสาทะ และความเห็นธรรมอยู่เนืองๆ
อย่าว่าแต่มนุษย์เลย เมื่อปรารถนาความสุข อยากมีความปลอดภัยในการเดินทางในสังสารวัฏ แม้ในกาลที่เทวดาจะจุติจากหมู่เทพเพราะสิ้นอายุ ในกาลนั้น เทวดาผู้มาปลอบจะเปล่งเสียงอวยพร ๓ ประการ โดยให้มีศรัทธาเป็นประการแรกว่า
"ดูก่อนท่านผู้เจริญ เมื่อท่านจากที่นี่ไปจงไปสู่สุคติ จงได้ความเป็นมนุษย์ เมื่อเป็นมนุษย์แล้ว จงมีศรัทธาชั้นเยี่ยมในพระสัทธรรม ศรัทธาของท่านผู้ตั้งมั่นแล้วจงมั่นคงอยู่เนืองนิตย์ อย่าคลอนแคลนในสัทธรรมที่พระอริยเจ้าประกาศไว้ดีแล้วจนตลอดชีวิต ท่านจงกระทำกุศลอันไม่มีความเบียดเบียน ไม่มีอุปธิกิเลส ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจให้มาก และท่านจงทำบุญกุศลด้วยทานให้มาก จงแนะนำแม้สัตว์อื่นๆ ให้ตั้งอยู่ในพรหมจรรย์ในสัทธรรม หมู่สัตว์ผู้รู้ตามเป็นจริง จะพลอยยินดีตามท่าน เพราะความอนุเคราะห์นี้ ขอท่านจงกลับมาหาพวกเรา"
ดังนั้นเมื่อเรามีความศรัทธาแล้ว ถือว่าเราได้ต้นทุนอันมหาศาลในการสร้างบุญบารมีที่ยิ่งๆ ขึ้นไป แม้ในขณะนี้เราจะไม่ได้บรรลุอะไร แต่เมื่อมีศรัทธาตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ก็ย่อมจะได้บรรลุธรรมขั้นสูงจนกระทั่งหมดกิเลสได้อย่างแน่นอน ขอเพียงให้รักษาต้นกล้าแห่งศรัทธานี้ไว้ ให้เป็นกล้าแห่งธรรมที่จะเติบโตต่อไป
ดังเรื่องของ พระอานนท์ ผู้มีศรัทธาออกบวชแล้วได้บำรุงพระตถาคตเจ้าด้วยศรัทธา แต่เกิดความเป็นห่วงว่าจะไม่บรรลุธรรม เมื่อบุญส่งผลเต็มที่ ในที่สุดท่านก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เรื่องก็มีอยู่ว่า ในเวลาปัจจุสมัยใกล้รุ่งแห่งราตรี วันที่พระบรมศาสดาจักปรินิพพานนั้น ท่านพระอานนท์เถระมานึกถึงตนเองว่า "ก็เรายังเป็นเพียงพระโสดาบันเท่านั้น พระศาสดาของเราก็จักปรินิพพานเสียแล้ว การอุปัฏฐากบำรุงที่เรากระทำแก่พระศาสดามาตลอดเวลา ๒๕ ปี น่าจักไร้ผลกระมัง" เมื่อท่านนึกอยู่อย่างนี้ จึงเกิดความเศร้าโศก ได้ยืนเหนี่ยวไม้สลักประตูห้องในอุทยานร้องไห้อยู่
พระศาสดาเมื่อไม่ทรงเห็นพระอานนท์ จึงตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า อานนท์ไปไหน ครั้นได้ทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว จึงรับสั่งให้เรียกท่านมา ทรงประทานโอวาท แล้วตรัสปลอบให้กำลังใจว่า "อานนท์ เธอเป็นผู้ได้ทำบุญไว้ดีแล้ว จงหมั่นประกอบความเพียรต่อไปเถิด เธอจักหมดสิ้นอาสวะโดยเร็วพลัน เธออย่าได้คิดเสียใจไปเลย การอุปัฏฐากที่เธอกระทำแก่เราในบัดนี้ เพราะเหตุไรจักไร้ผลเล่า การอุปัฏฐากที่เธอกระทำแก่เรา แม้ในชาติที่เรายังมีราคะ โทสะ โมหะอยู่ ก็ยังมีผลมากเลย" แล้วจึงทรงเล่าเรื่องในอดีตกาลว่า
|