ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 1568
ตอบกลับ: 0
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

รักษาศีล

[คัดลอกลิงก์]
อานิสงส์การรักษาศีล
โดยพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง)

ผู้ถาม :- "หลวงพ่อคะ หนูขอทราบอานิสงส์ของ การรักษาศีล กับ การให้ทาน ค่ะ...?"

หลวงพ่อ :- "จำที่พระบอกในตอนท้ายได้ไหมล่ะ....

"สีเลนะ สุคติง ยันติ"
การรักษาศีล เป็นปัจจัยให้มีความสุข สุขทั้งชาตินี้ สุขทั้งชาติหน้านะ

"สีเลนะ โภคสัมปทา"
ถ้ามีศีล ชาตินี้ทรัพย์สมบัติก็ไม่ฝืดเคือง ชาติหน้าก็มีทรัพย์สมบัติมาก

"สีเลนะ นิพพุติง ยันติ"
ศีล เป็นปัจจัยให้เข้าถึงนิพพานได้โดยง่าย

นี่อานิสงส์ของศีล ท่านว่าไว้อย่างนี้

ส่วนการให้ทาน ท่านบอกว่า
"ทานัง สัคคโส ปาณัง" ทานเป็นบันไดให้เกิดบนสวรรค์

การให้ทานมากก็ตามน้อยก็ตาม ผลของทานทำให้เกิดในสวรรค์ ถ้าหากว่าพ้นจากสวรรค์มาแล้ว เป็นคนก็ไม่ยากจนเข็ญใจ แต่ว่าจะรวยเท่าไรนั้นเป็นเขตของทานนะ ท่านเรียกว่า "ปุญญักเขตตัง" เป็นเนื้อนาบุญ ถ้าเราให้ในเขตที่มีความบริสุทธิ์มาก เราก็รวยมาก ให้ในเขตที่มีความบริสุทธิ์น้อย เราก็มีทรัพย์สินน้อย แต่คำว่าอดตายไม่มีสำหรับคนให้ทาน"

ผู้ถาม :- "แล้ว ศีล กับ ทาน อย่างไหนจะอานิสงส์มากกว่าคะ"

หลวงพ่อ :- "อ้าว...มันคนละคนนี่หนู ต่างคนต่างแก่ต่างคนต่างกล้า

ทานเขาก็ให้ผลไปอย่างหนึ่ง ศีลก็ให้ผลมีกำลังอย่างหนึ่ง แต่ว่าทั้ง ๒ อย่างต้องร่วมกันนะ ถ้าแยกกันเมื่อไรก็พังเมื่อนั้นแหล่ะ เรามีแต่ทานอย่างเดียว แต่บกพร่องในศีลทั้ง ๕ ข้อ หรือข้อใดข้อหนึ่ง เราก็ตกนรก ต้องพ้นจากนรกมาก่อนแล้วจึงจะรวย ถ้าเรามีแต่ศีลอย่างเดียว ไม่มีทาน เกิดชาติหน้า อายุยืน หน้าตาสวย แต่อดตาย เอาซิ เอาอย่างไหนล่ะ เอาไงดี..?"

ผู้ถาม :- "หมายความว่าต้องทำคู่กันใช่ไหมคะ..?"

หลวงพ่อ :- "ต้องคู่กันไปหนู หนูไม่มีข้าวกิน มาที่นี่ได้ไหม...?

ร่างกายดี รูปร่างหน้าตาสวย เพราะศีลข้อที่ ๑

รักษาศีลข้อที่ ๒ ได้ ทรัพย์สินไม่เสียหายเพราะไฟเพราะน้ำ เพราะโจร

รักษาศีลข้อที่ ๓ ได้ คนที่อยู่ในปกครองว่าง่ายสอนง่าย พวกที่มีลูกดื้อหลานดื้อ เพราะพลาดศีลข้อที่ ๓

ถ้าทรงศีลข้อที่ ๔ ได้ เป็นผู้มีวาจาไพเราะ พูดแล้วคนอื่นชอบฟัง

รักษาศีลข้อที่ ๕ ได้ ไม่เป็นโรคเส้นประสาท ไม่เป็นโรคบ้า

แต่ว่าอด ไม่มีข้าวกินไหวไหม...? ดี ๕ อย่าง แต่ไม่มีอาหารจะกิน ไม่มีผ้าจะนุ่ง มันต้องคู่กันหนู จะว่าอย่างไหนสำคัญกว่ากันมันก็ไม่ควร

ทาน ศีล ภาวนา เป็นบุญกิริยาวัตถุ และ พระพุทธเจ้าตรัสว่า สิ่งที่เข้าถึงบุญกุศล ก็คือ

๑. การให้ทาน
๒. การรักษาศีล
๓. เจริญภาวนา ภาวนานี่หมายถึง สมถภาวนาหรือวิปัสสนาภาวนา คือใช้ปัญญาคิดอยู่

ทาน นั้นเป็นปัจจัยตัดโลภะ ความโลภ เป็นก้าวหนึ่งที่จะถึงนิพพาน

ศีล เป็นเหตุตัดโทสะ ความโกรธ เป็นก้าวที่สองที่จะทำให้ถึงนิพพาน

ภาวนา เป็นตัวตัดกิเลสตัวสำคัญทั้งใหญ่และเล็ก เป็นปัจจัยให้กิเลสหมดจริง เข้าถึงนิพพานแน่นอน

แล้วทั้ง ๓ อย่างนี้ จะถืออะไรสำคัญกว่ากันไม่ได้เลย ต้องถือว่าสำคัญเท่ากัน ถ้าเราขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง เราจะถึงนิพพานไม่ได้

เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อาหารการบริโภคมีความสำคัญในการครองชีพ ร่างกายเรา จะทรงตัวได้เพราะศีล ถ้าเรามีแต่อาหาร แต่ไม่มีร่างกายก็ไม่เป็นประโยชน์ใช่ไหม... เรามีร่างกายดี มีอาหารดี แต่ไร้ปัญญาก็เป็นเหยื่อของคนฉลาด เพราะตัววิปัสสนาญาณและตัวภาวนาเป็นตัวทำให้เกิดปัญญา

รวมความว่า ๑ เรามีอาหาร ๒ มีร่างกาย ๓ มีปัญญา ทั้ง ๓ อย่างนี้ต้องประกอบกัน หนูจะเลือกเอาอย่างไหนโดยเฉพาะล่ะ? เอาแต่ปัญญาดี ไม่มีร่างกาย ไม่มีอาหาร ดีไหม...? แล้วก็มีร่างกาย ไม่มีอาหาร ไม่มีปัญญา ดีไหม...? เอา ๓ อย่างเลยสบาย ๆ"
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้