ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 2224
ตอบกลับ: 4
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ดับให้หมด (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร)

[คัดลอกลิงก์]


ธรรมโอวาท
ของ
พระญาณสิทธาจารย์
(หลวงปู่สิม พุทธาจาโร)
วัดถ้ำผาปล่อง ต.บ้านถ้ำ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่


กิจวัตรที่เป็นมหกรรมประจำหน้าแล้งของถ้ำผาปล่อง
ได้แก่ การเตรียมป้องกันและดับไฟป่า  
การทำทางกันไฟนั้น เริ่มลงมือจริงจังในปี พ.ศ. ๒๕๒๖
โดยทำเป็นทางกว้าง ๑ เมตรก่อน ภายหลังจึงขยายให้กว้างเป็น ๒ เมตร
ตั้งแต่นั้นมา จึงไม่มีไฟไหม้ในเขตวัดเลย

แต่ด้วยความเมตตาไม่มีประมาณของหลวงปู่ต่อสรรพชีวิตในป่า
งานผจญไฟของพระเณรจึงไม่ได้จำกัดแค่ในเขตวัด
ทุกครั้งที่ทราบว่า เกิดไฟไหม้
ไม่ว่าต้นไฟอยู่ห่างจากวัดออกไปเพียงใดก็ตาม
หลวงปู่สั่งเองเลย ให้หน่วยเฉพาะกิจออกปฏิบัติการทันที
โดยไม่เลือกเวลาปฏิบัติการ ฯลฯ
คำสั่งสั้นๆของท่าน คือ “ดับไฟให้หมด”

   

  ดับให้หมด


ถ้ำผาปล่อง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๑


"...ไฟนั้นเป็นธรรมชาติ ไม่เหมือนใจคน
แต่ถึงกระนั้นก็ตามก็ต้องมีวิธีกั้นมัน เอาหญ้า เอาต้นไม้ออกจากทาง
ไฟน่ะมันไปได้ทุกทิศทุกทาง แล้วมันก็ไม่นอนกลางวันเหมือนคนด้วย
คนนี้กลางคืนก็นอน กลางวันก็นอน

ไฟถ้ามันลุกขึ้นมาแล้วไม่ได้นอนหรอก เพาะแพะๆ ไหม้ไปเรื่อย
ถึงมันไม่มีจิตใจแต่ว่ามันก็เหมือนมีจิตใจ  
ไฟมาลมก็พัดแรงเข้า ถ้ามันลุกติดแล้วเราถึงจะไปดับไฟน่ะ มันดับไม่ได้ละ..มันแรง
จะเอาน้ำไปดับมันก็อยู่ไกล ดับบ่ค่อยได้ ดับมันบ่ค่อยได้หรอก
ฉะนั้นเปิ้นจึงมีวิธีกั้นด้วยเอาหญ้าเอาคา เอาใบตองออกหนีจากทางมันมา...ทางไฟ
เวลาเราทำทางใหม่ๆ นั้น เหมือนกับว่ามันจะไม่มีอะไร ไม่มีไฟมาผ่านได้
แต่สักประเดี๋ยวเมื่อทำสำเร็จเสร็จแล้วจะได้เห็น
ใบไม้ทุกใบที่อยู่ในต้นเวลานี้นะมันกำลังร่วงหล่นลงมา
เวลาวันไหนมีลมแรงๆใบไม้มันจะตกลงมาเป็นเส้น เป็นสาย
ใบไม้ที่มันหล่นลงมานั้นละ เป็นทางไฟ ไต่เข้ามาหาในวัดถ้ำผาปล่องได้
จะต้องได้กวาดได้ดูแลเวลาไฟมาอีกทีหนึ่ง

2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-6-17 15:44 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ไฟป่ามันมาเพราะมีขี้เยื่อใบตองฉันใด
ไฟราคะ โทสะ โมหะของคนเรา มันก็มีเชื้อเพลิงอยู่


จิตลืมกรรมฐานไป ไม่ได้พิจารณากรรมฐาน ๕ ตั้งแต่วันบวช
วันบวชนั้น ก่อนจะบวชนุ่งผ้าเหลือง นุ่งผ้ากาสาวพัสตร์กันนั้น
พระพุทธเจ้าสั่งสอนว่าให้เรียนกรรมฐาน
ตจปัญจกกรรมฐาน ๕ อย่าง เกศา - ผม โลมา - ขน
นขา - เล็บ ทันตา - ฟัน ตโจ - หนัง ตโจ ทันตา นขา โลมา เกศา
เพิ่นให้ว่ากลับไปกลับมาจนจำได้ เพื่อได้นำไปพิจารณา

และอุปัชฌาย์ท่านก็แนะนำพอเป็นหัวข้อไว้
ว่าผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นของไม่งาม เป็นของปฏิกูล
แต่จิตมนุษย์คนเราปุถุชนน่ะ มันเห็นว่าเป็นของสวยของงาม
เพราะมันเห็นหน้าเดียวคือไม่เห็นสี่หน้า เห็นแต่ทางหน้า ทางหลังไม่เห็น
มันก็เข้าใจว่าร่างกายสังขารนี้มันเป็นของสวยของงาม

ที่นี้ถ้ามันแก่ชรามากแล้ว ก็เกลียดชังมันละที่นี้
เมื่อใดมันจะตาย เมื่อใดมันจะหมดเรื่องหมดราวเสียที
นั่นคือว่าไม่ได้กำหนดพระกรรมฐาน กรรมฐานนั้น
ท่านให้กำหนดร่างกายสังขารของเราทุกคนตามธรรมดามันเป็นอย่างไร ?
ได้มาจากอะไร ? ได้มาจากที่ไหน ?

ก่อนที่จะได้ก้อนกรรมฐาน คือ ขาสอง แขนสอง ศีรษะหนึ่ง นี้
ต้องไปปฏิสนธิวิญญาณในครรภ์มารดา
อยู่ในท้องแม่เก้าเดือนสิบเดือน จึงได้รูปขันธ์ร่างกายอันนี้มา
เมื่อได้มาแล้วก็ไม่ได้กำหนดพิจารณาปัญจกกรรมฐาน
ที่นี่มันก็เห็นเป็นของดิบของดีไป บวชแรกๆ ก็อยู่ได้
ถ้านานเข้ามาละผ้าจีวรร้อนละบาดนี้ (ทีนี้) เพราะลืมกรรมฐาน
ฉะนั้น อย่าไปลืม

ผู้ใดลืมก็ให้ตั้งต้นใหม่ เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ
ผม อยู่บนศีรษะ ขน อยู่ตามสรรพางค์ร่างกาย
เล็บ อยู่ปลายมือปลายเท้า ฟัน อยู่คางข้างบนข้างล่าง
ที่หลงลืมไม่ได้ต้องเอามาพิจารณา
ฟัน ฟันเขี้ยว เราอมฟันตัวเองมาตั้งแต่เกิด
มีฟันขึ้นมาจนฟันหลุดไปบางคนก็ยังไม่ได้กำหนดพิจารณา
ให้เห็นเป็นอสุภกรรมฐานจิตใจมันก็วุ่นวาย

สิ่งเหล่านี้เหมือนกับเราทำทางกันไฟข้างนอก
ไม่ให้ลุกลามเข้ามาในวัด
ถ้าเรามากำหนดธาตุกรรมฐาน อสุภกรรมฐาน
อาทีนวโทษของร่างกายสังขารนี้ให้ดี
ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ มันลุกขึ้นมาไม่ได้


เพราะมันเห็นแจ้งว่าคนๆ ไหน ก็เหมือนกับตัวของเรา
ที่สมมุติว่าเป็นชาย ก็โดยสมมติ
ความจริง เป็นหญิงมันก็เป็นอันเดียวกับชาย
เป็นชายมันก็เป็นตัวของหญิง อันเดียวกัน
เพราะว่าพ่อแม่ของเราทุกคนก็เป็นหญิงเป็นชาย
ถ้าเราลืมกำหนดพิจารณาสิ่งเหล่านี้
ปล่อยให้สิ่งเหล่านี้ทับถมจนกระทั่งเห็นเป็นของสวยของงาม มั่นคงถาวร
เพลิดเพลินไปตามการอยู่การกิน แล้วจิตใจก็วุ่นวายว้าวุ่น

3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-6-17 15:45 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ฉะนั้น ต่อไปให้กำหนด เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ ของตัวเองให้เห็น
ไม่เห็นอย่าไปมัวนิ่งนอนใจ ให้กำหนดพิจารณาลงไป
ให้มันเห็นเป็นเพียงธาตุดิน เป็นเพียงธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม
ทรงอยู่ได้ชั่วระยะ ไม่ถึงร้อยปีก็จะแตกจะดับแล้ว

อย่าพากันมาหลงหนาวหลงร้อนอยู่ มาห่มผ้าให้สังขาร
แต่จิตใจไม่ภาวนา...ไม่ได้...หลงทาง
นี่เป็นอุบายธรรมอันหนึ่งในทางพระพุทธศาสนา


การแสดงธรรมอีกครั้งหนึ่ง
หลวงปู่ได้เปรียบเทียบระหว่าง ไฟนอก กับ ไฟใน ดังนี้

“กิเลส คือไฟราคะ โทสะ โมหะ นี้แหละ
มันเป็นของร้อนร้อนยิ่งกว่าไฟธรรมดา
ไฟธรรมดา อย่างไหม้ที่สุด
ก็ให้ชีวิตของบุคคลผู้นั้นแตกดับไป ก็หยุดแค่นั้น
แต่ว่าไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ
ไฟอวิชชา ตัณหา มานะ ทิฏฐิ ไฟอันนี้ไม่หยุดแค่นี้ๆ
จะต้องไหม้จากภพนี้ ชาตินี้ เดี๋ยวนี้ เป็นต้นไป
จนต่อเนื่องไปภพใหม่ ชาติใหม่ ก็ตามไปไหม้”

   

(๑) คัดลอกเนื้อหาจาก
หนังสือละอองธรรม สิงหาคม, ๒๕๕๕. หน้า ๖๙

(๒) ภาพและเนื้อหาจาก  
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk ... st-501.htm
                                                                                       
...................................................................

ที่มา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=44074

สาธุครับ
สาธุ สาธุ สาธุ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้