ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 1963
ตอบกลับ: 2
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

จิตพระอริยะอยู่เหนือกิเลส : หลวงปู่สิม พุทธาจาโร

[คัดลอกลิงก์]


ธรรมโอวาท
ของ
พระญาณสิทธาจารย์
(หลวงปู่สิม พุทธาจาโร)

วัดถ้ำผาปล่อง ต.บ้านถ้ำ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

แสดงพระธรรมเทศนาไว้เมื่อ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๙


   

จิตพระอริยะอยู่เหนือกิเลส


ต่อไปนี้ให้พากันตั้งใจนั่งสมาธิภาวนา ปล่อยวางอารมณ์ภายนอกภายในออกไปให้หมด ตั้งใจบริกรรมภาวนา วันนี้เป็นวันสิริมงคลวันหนึ่ง เป็นวันอุโบสถในทางพุทธศาสนา ให้พวกเราทั้งหลายได้ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติภาวนา ที่ถ้ำผาปล่องนี้สถานที่ที่เราอาศัยอยู่ เป็นสถานที่สิริมงคล เมื่อเรามาสู่สถานที่สิริมงคลแล้ว อย่าปล่อยให้จิตใจฟุ้งซ่านไปที่อื่น จงตั้งอกตั้งใจภาวนา ดำเนินกายภายในดวงจิตดวงใจ


คำว่าภาวนานี้ ได้แก่สงบจิตสงบใจ ไม่ให้ใจวุ่นวายคิดถึงบ้านเรือน คิดถึงลูกหลาน วุ่นวายไปภายนอก ให้พากันระลึกถึงมรณภัย มรณกรรมฐานมันใกล้เข้ามาทุกวันทุกคืน ไม่ใช่ว่าเราอยู่ที่เก่า สังขารธรรมทั้งหลาย รูปร่างกายของเราทุกคน มีความเจ็บไข้ได้ป่วย มีความชำรุดทรุดโทรม เสื่อมไปสิ้นทุกวันคืน แม้ผู้ที่ยังเด็กยังหนุ่ม ก็อย่าประมาทมัวเมาว่าข้าพเจ้าไม่แก่ การตายไม่เฉพาะแต่คนแก่ บางคนคนหนุ่มนั้นตายก่อนคนแก่ก็มี คนแก่ยังยืนยาวคราวไกลไปก็มี ทุกคนจงระลึกถึงมรณภัยคือความตาย ไม่มีทางหลบหลีก แม้หลบหลีกได้ว่า ในเวลาเราหนุ่มแน่น กำลังดีไม่ตาย เมื่อถึงวัยแก่วัยชราก็ไม่มีทางหลบ จำเป็นต้องแตกดับทำลาย


แต่ผู้ใดภาวนาดี ละกิเลสความโกรธหมดไป ละกิเลสความโลภหมดไป ละกิเลสความหลงหมดไป ผู้นั้นก็ไม่ทุกข์ ไม่เดือดร้อนประการใด แม้ความตายมาถึงเข้า ท่านก็ยอมตาย คือ ท่านเห็นแล้วว่า ตายเป็นเรื่องของธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม มันกระจัดกระจายไปเขาก็เรียกว่าตาย ใช้การไม่ได้ เขาก็เรียกว่าตาย จิตใจมันไม่ได้ตาย


จิตใจไม่ได้ตายนั้น ย่อมส่อแสดงให้เห็นแล้วว่า แม้พระอริยเจ้าทั้งหลาย ที่เราว่าท่านดับขันธ์เข้าสู่นิพพานแล้ว มันก็เป็นแต่ว่าดวงจิตดวงใจของท่านส่วนหนึ่ง ร่างกายของท่านแตกดับไป แต่จิตใจเป็นของไม่ตาย แต่จิตนี้เมื่อละกิเลสราคะ โทสะ โมหะ หมดไปแล้ว ออกจากจิตใจไปแล้ว เหลือแต่จิตอันบริสุทธิ์ผ่องใส จะอยู่ที่ใดเป็นอะไร ก็ชื่อว่าอยู่ในนิพพาน ไม่มีเรื่องราวอะไร ที่จะมาทำให้ท่านเป็นทุกข์เป็นร้อน อย่างสามัญชนคนเราทั่วไป


คนเราทั่วไปที่มันทุกข์มันร้อนอยู่ ก็คือว่ากิเลสทางตา ได้แก่ รูป ตาเห็นรูปก็เกิดกิเลส หูได้ยินเสียงก็เกิดกิเลส เพราะกิเลสมันยังไม่ดับ จึงจำเป็นต้องตั้งอกตั้งใจภาวนา อย่ามีความท้อถอย ผู้ใดท้อถอยชื่อว่าเป็นผู้มัวเมา จะต้องมาเวียนว่ายตายเกิด ในภพน้อยภพใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด ยุ่งเหยิงอยู่ด้วยกิเลสกาม วัตถุกาม

ตั้งแต่วันนี้ไป ให้พากันตัดบ่วงห่วงอาลัย อารมณ์สัญญาที่คิดถึงบ้านถึงเรือน ถึงลูกถึงหลาน ถึงอะไรต่อมิอะไรให้ตัดขาด ว่าสถานที่เรานั่งสมาธิภาวนาอยู่นี้ เท่ากันกับว่าเป็นสถานที่วิเศษ เป็นทางที่จะให้เราทุกคนละกิเลสให้หมดไปสิ้นไปได้ ถ้าตั้งใจภาวนา แต่ไม่ใช่ว่าสถานที่จะมาละกิเลสให้เรา ใจเรานี้แหละภาวนาละกิเลสเอาเอง


กิเลสนั้น เมื่อผู้ใดเลิกได้ละได้แล้ว ไม่เลือกว่าเณร ไม่เลือกว่าพระ ไม่เลือกว่าจะสมมุติว่า เป็นธรรมยุต เป็นมหานิกาย อะไรก็ได้ทั้งนั้น ไม่ใช่สมมุตินั้นละกิเลส การละกิเลสมันเป็นเรื่องภายในจิตใจของแต่ละดวงจิตดวงใจ ผ้าขาวผ้าเหลืองไม่ได้มาละกิเลสให้ สถานที่ก็ไม่ได้มาละกิเลสให้แก่เรา จิตใจเรานั้นเองเป็นผู้ละกิเลส
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-6-16 14:02 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เมื่อภาวนาพุทโธๆ เมื่อภาวนามรณกรรมฐานได้ทุกลมหายใจเข้าออก จนดวงจิตดวงใจผู้รู้อยู่นี้ไม่ไปไหน อยู่ภายในสงบนิ่งแน่วเป็นดวงเดียว ตั้งมั่นอยู่ภายในจิตใจได้ตลอดเวลา นั่นแหละต้นทางที่จะเป็นไปเพื่อละกิเลส ตัดกิเลสตัณหาได้ เพราะกิเลสตัณหานั้นมีอยู่ภายใน ไม่ใช่มีแต่ภายนอก

เมื่อคนเราจิตไม่สงบระงับ ก็เข้าใจว่าสิ่งภายนอกเป็นกิเลส รูปเป็นกิเลส เสียงเป็นกิเลส กลิ่นเป็นกิเลส รสโผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์เป็นกิเลส ความจริงตัวกิเลสจริงๆ ก็คือจิตใจผู้รู้อยู่ภายในใจของเราทุกคนนี้แหละ ในจิตดวงผู้รู้นั้น มีกิเลสราคะอยู่ที่นั้น มีกิเลสโทสะอยู่ที่นั้น มีกิเลสโมหะอยู่ที่นี้ เมื่อใดการภาวนาละกิเลสภายในใจของเรา ยังไม่พร้อมมูลบริบูรณ์แล้ว อาสวะกิเลสเหล่านี้ก็ต้องอยู่ในใจตลอดเวลา


การภาวนาละกิเลสต้องละภายใน ไม่ใช่ละภายนอก ภายนอกนั้นเป็นแต่ว่าอุปกรณ์กิเลส เราให้คิดดูดีๆว่า ถ้าหากว่า คน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์เป็นกิเลส ก็ลองคิดดูว่า ถ้าเราฆ่าคนทั้งโลกนี้ให้ตายหมด ยังเหลือแต่เราคนเดียว กิเลสเรามันจะหมดไปสิ้นไปหรือไม่ มันก็ยังไม่หมด คนทั้งโลก สัตว์ทั้งโลก สมมติว่าให้เขาตายไปหมดเสีย กิเลสของเรามันจะหมดไปไหม มันก็ไม่หมด เมื่อไม่หมดแสดงว่าอันนั้นก็ไม่ใช่ตัวกิเลส


ตัวกิเลสจริงๆ ก็จิตเรานี่แหละ จิตขี้เกียจขี้คร้านภาวนา จิตไม่รักษาศีล จิตไม่มีทาน จิตไม่มีศีล จิตไม่มีภาวนา จิตไม่ละกิเลส เมื่อจิตไม่ละกิเลสก็นี่แหละคือตัวกิเลส ตัวกิเลสเป็นตัวอย่างไร ตัวกิเลสก็เป็นตัวเหมือนตัวเรานั่นเอง ขาสอง แขนสอง ศีรษะหนึ่ง ดวงใจครองอยู่ในร่างกายอันนี้ นั่นแหละตัวกิเลส


ดูเวลากิเลสความโกรธมันเกิดขึ้น ตาแดง ตาพอง ทุบต่อย ตีกัน ประหัตประหาร ฆ่าฟันรันแทงกัน อะไรมันตี อะไรมันทำ ก็คือจิตนั่นแหละมาใช้รูปร่างกายนี้ ให้ดุด่าว่าร้ายออกมา จนถึงรบราฆ่าฟันกันเป็นธรรมดาโลก นั่นแหละ กิเลสมันอยู่ภายใน แต่เวลามันจะทำ มันมาใช้รูปขันธ์นี้ให้ทำ รูปขันธ์ร่างกายนี้มันไม่ได้กลัวบุญกลัวบาป มันเป็นเพียงธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เท่านั้น สุดแท้แต่จิตที่มีกิเลสหรือไม่มีกิเลสภายในใช้ให้ทำอะไร มันก็ทำ


นี่แหละร่างกายสังขาร ตัวกิเลสก็ตัวเราทุกคนนั่นแหละ จิตเราทุกคนนั่นแหละ กิเลสความโลภ กิเลสความไม่อิ่มไม่พอในวัตถุข้าวของทรัพย์สินเงินทอง กิเลสกาม วัตถุกาม มันอยู่ที่ไหน มันก็อยู่ที่กายนี้ อยู่ที่จิตนี้แหละ ดวงจิตนั่นแหละเป็นตัวกิเลสราคะตัณหา แล้วเวลามันใช้ ก็มาใช้รูปขันธ์ ทำให้เกิดลูกมา เกิดหลานมา เป็นทุกข์เป็นร้อนวุ่นวาย มันมาจากไหน ก็มาจากจิต จิตราคะตัณหา

พระภิกษุสามเณร แม่ขาว นางชีอยู่ดีๆไม่ได้ ต้องสึกไป ก็เพราะอะไร ก็เพราะอำนาจกิเลสโลภะ กิเลสราคะตัณหา ไม่ภาวนาละกิเลสในจิตใจอันนี้ออกไป เมื่อกามตัณหา ภวตัณหามีอยู่ในจิต ไม่เลิกไม่ละ ไม่สงบระงับ มันก็วุ่นวายสร้างภพสร้างชาติขึ้นมา สร้างรูปสร้างนามขึ้นมา มันมีอยู่ภายใน ไม่ใช่อยู่ภายนอกอย่างเดียว ตัวสำคัญมันอยู่ที่จิต


ทีนี้พระพุทธเจ้าของเรา พระองค์รู้ว่ากิเลสทั้งหลายแหล่พาให้เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันอยู่ที่ดวงจิต พระองค์ก็เอาดวงจิตภาวนาทุกลมหายใจเข้าออก พระองค์ควบคุมจิตใจไม่ให้วิ่งหนีไปที่อื่น ทบทวนกระแสเข้ามาสู่ภายในดวงจิตดวงใจ ดวงที่รู้อยู่ภายใน ตอนแรกๆ ก็เอาลมหายใจเป็นที่ยึดเหนี่ยว คือว่าเอาลมหายใจเป็นที่สังเกต ลมเข้าไปจิตผู้รู้อยู่ที่นี้ดูจิตดูลม ไม่ให้หลง จิตเข้ามาจิตออกไป ตามอยู่ที่ลมนี้ ผู้รู้ว่าลมก็คือจิตนั่นเอง

แต่ว่าจิตใจของคนเรานั้น จะหาเป็นตัวเป็นตน เหมือนคนเหมือนวัตถุข้าวของไม่ได้ ไม่มีตัว ไม่มีตัวแต่มีอำนาจใหญ่ อำนาจกิเลสมันใหญ่ เหมือนกับธาตุลม ธาตุอากาศ ลมไม่มีตัวตน เวลามีลมแรงๆพัดมา พัดเอาบ้านเรือนตึกรามพังทลายไป นั่นลมไม่มีตัวแต่ทำไมมันมีกำลัง นี่แหละจิตใจคนเรานี้ก็เหมือนกัน จิตใจที่ยังมีกิเลส มันก็ใช้ให้เป็นไปตามอำนาจกิเลส


จิตใจที่มุ่งหวังเป็นทางพ้นทุกข์พ้นภัย ในโลก ในวัฏฏสงสาร ต้องเป็นทานบารมี การทำบุญให้ทาน ศีลบารมี รักษากาย วาจา จิตของตน ไม่ให้ทำผิดในหลักศีลห้า ศีลแปดขึ้นไป เมื่อบำเพ็ญประกอบกระทำอยู่ในสิ่งเหล่านี้ จิตใจของเราทุกคนก็ย่อมมีกำลังแก่กล้าในกองการกุศล ในการภาวนาละกิเลส ไม่ปล่อยให้ความลังเลสงสัยมาอยู่ในจิตในใจ ไม่ว่าจะนั่งจะนองจะยืนจะเดินไปมาที่ไหน


ภาวนามรณกรรมฐานเตือนจิตใจนี้อยู่เสมอ ว่าชีวิตของเรานี้ต้องถึงซึ่งความตาย ที่ใครคิดว่าเมื่อเกิดโรคภัยไข้เจ็บแล้ว ก็จะไปโรงพยาบาลให้มันดีมันหาย มันไม่มีทางที่จะหายได้ มันนับวันนับคืน นับชั่วโมงนาทีวินาที มันใกล้ไปสู่ความตายทุกวันเวลา เมื่อมันเจ็บไข้ได้ป่วยได้ แล้วจะไม่ตายนั้นไม่ได้ มันต้องตายแน่ๆ มันแสดงให้เห็นแล้วว่าหนีไม่พ้น เมื่อหนีไม่พ้นแล้วนั้น มันก็มีทางพ้นอยู่ก็คือการภาวนา เอาจิตใจให้มันหลุดมันพ้นออก ไม่ให้ใจหลงใจเมามาอยู่ภายในนี้


ท่านจึงมีวิธีการภาวนาพุทโธ ภาวนามรณกรรมฐาน ภาวนาลมหายใจ เพื่อให้จิตใจเราทุกดวงจิตดวงใจสงบระงับ ตั้งมั่นเป็นดวงหนึ่งดวงเดียว เดี๋ยวนี้จิตมันฟุ้งไปซ่านไปมัวเมาไป ไม่มีที่สุดที่สิ้น เลยวุ่นวายอยู่อย่างนั้นเอง

พระพุทธเจ้า พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านมีความสุขกาย สบายใจ ไม่เดือดร้อนวุ่นวาย เพราะท่านภาวนาละกิเลส ภาวนาละกิเลสนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เมื่อใดยังมีกิเลสราคะ โทสะ โมหะอยู่ เราอย่าได้ถอยความเพียร มันจะคิดไปที่ไหน อย่าไปตามอำนาจกิเลสที่มันคิด ให้มาอยู่ภายในดวงจิตดวงใจของตนให้ได้


ใจเป็นธาตุรู้มีอยู่ในใจทุกๆ คน การภาวนาไม่ใช่ว่าเรามาภาวนามาปรุงมาแต่งเอาใจใหม่ มันไม่ใช่อย่างนั้น ใจมันมีอยู่แล้ว จิตมันมีอยู่แล้ว แต่จิตนี้เป็นจิตที่หลงใหลไปตามจิตสังขาร จิตวิญญาณ จิตกิเลส จิตตัณหา มันดิ้นรนวุ่นวายไปตามกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหาตลอดเวลา หาเวลาสงบระงับไม่ได้ ท่านจึงสอนว่า ให้สงบจิตสงบใจลงไป ภาวนาพุทโธ ให้จิตใจมาจดจ่อในพุทโธ สงบระงับลงไป ไม่ต้องไปตามอารมณ์อะไรของใครทั้งหมด เรื่องราวอดีตอนาคตมันอยู่ข้างหน้า อนาคตกาลก็อย่าไปเป็นทุกข์เป็นร้อน อดีตที่มันล่วงมาแล้ว สิ่งเหล่านั้นมันก็ล่วงมาแล้ว จิตอย่าไปหลงไปยึดเอามา เดี๋ยวนี้เวลานี้ ดวงจิตดวงใจภาวนาอยู่ที่นี้ นั่งอยู่ที่นี้บริกรรมอยู่ที่นี้ จิตอย่าวุ่นวายไปที่อื่น ให้รวมจิตใจเข้ามา ตั้งให้มั่น เอาให้มันจริง


เมื่อเอาจิตใจสงบระงับตั้งมั่นแล้ว จิตใจดวงที่สงบระงับตั้งมั่นนี้ก็จะมองเห็นทีเดียวว่า กิเลสราคะไม่ดีอย่างไร ก็จะได้ทำการละกิเลสราคะ ตัดต้นตอให้มันหมดไปสิ้นไป กิเลสโทสะไม่ดีอย่างไร ต้นตอของกิเลสโทสะมันอยู่ที่ไหน จะได้ตัดละกิเลสความโกรธออกไป กิเลสความหลงไม่ดีอย่างไร จะได้ทำความเพียรละกิเลสความหลงให้หมดสิ้นไป เมื่อเลิกเมื่อละถอนออกไปหมดแล้ว จิตใจก็จะเย็นสบาย มีความสุขไม่ทุกข์ร้อนประการใด


เหตุนั้น การภาวนาทำความเพียรปฏิบัติบูชา ในทางพุทธศาสนานี้ จงตั้งจิตเจตนาลงให้มั่นคง อย่าได้ให้ใจอ่อนแอท้อแท้กลัวตาย การสร้างบุญบารมี ภาวนาละกิเลสมันไม่ตาย ถ้าหากว่าผู้ใดภาวนาเด็ดเดี่ยวแล้วก็ตายเอาตายเอา จะมีพระพุทธเจ้าได้หรือ เพราะว่าภาวนาเคร่งเครียดเข้าไปก็ตาย ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า ภาวนามากเข้าไปจะได้เป็นพระอรหันต์ก็ไม่ได้ มันตายเสียก่อน ถ้ามันเป็นอย่างนี้ก็ไม่มีพระซิ ที่มันมีพระอยู่ก็คือว่ามันไม่ตาย


ที่มา
http://www.dharma-gateway.com/monk/prea ... x-page.htm                                                                                       
..............................................................................

ที่มา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=44252

สาธุ สาธุ สาธู
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้