ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

พระองค์ที่ ๙ : สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว)

[คัดลอกลิงก์]
31#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-6-8 16:16 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

“หอไตร” ปราสาทยอดปรางค์แบบขอม


• การปฏิสังขรณ์พระอารามในสมัยรัชกาลที่ ๕

เมื่อสิ้นสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว
ครั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ช่างปฏิสังขรณ์สิ่งชำรุดทรุดโทรมทั่วทั้งพระอาราม

เสร็จแล้วได้โปรดเกล้าฯ ให้แบ่งพระบรมอัฐิของรัชกาลที่ ๔
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมชนกนาถ
บรรจุลงในกล่องศิลาแล้วนำมาประดิษฐานไว้ภายใน พระพุทธอาสน์  
ณ พระวิหารหลวง
ตามพระกระแสรับสั่งของพระองค์

การอัญเชิญพระบรมอัฐิของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ก่อนๆ
ไปประดิษฐานในที่อันสมควรนั้น
ก็เพื่อป้องกันมิให้พระบรมอัฐิเหล่านั้นต้องกระจัดกระจายไปอยู่ในที่ต่างๆ
เพราะว่าในขณะที่พระราชโอรส และพระราชธิดา
ผู้ที่ทรงรับแบ่งพระบรมอัฐินั้นไปรักษาไว้ ขณะยังทรงพระชนม์อยู่ก็ไม่เป็นไร

แต่ถ้าสิ้นพระชนม์ไปแล้วจะขาดผู้รักษาต่อ
ด้วยผู้ที่จะมารับมรดกจะนิยมศรัทธาในพระบรมอัฐินั้นๆ หรือไม่ ก็ไม่ทราบได้

อนึ่ง การประดิษฐานพระบรมอัฐิของพระเจ้าอยู่หัวไว้เป็นที่เป็นทางนั้น
ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าสักการบูชา
หรือบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายตามอัธยาศัยได้สะดวกอีกด้วย

ในสมัยรัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าอยู่หัว
จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมพระบรมอัฐิ
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลก่อนๆ จำนวน ๓ รัชกาล
บรรจุลงในกล่องศิลาแล้วอัญเชิญไปประดิษฐานไว้ภายใน พระพุทธอาสน์
ของพระประธานในพระอุโบสถวัดสำคัญประจำรัชกาล
ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์นั้นทรงสร้างหรือบูรณะไว้
คือ

พระบรมอัฐิในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑
ประดิษฐานไว้ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม

พระบรมอัฐิในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒
ประดิษฐานไว้ที่วัดอรุณราชวราราม

พระบรมอัฐิในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓
ประดิษฐานไว้ที่วัดราชโอรสาราม

ส่วนพระบรมอัฐิในพระองค์นั้น ทรงมีพระราชประสงค์จะให้บรรจุไว้
ที่พระพุทธอาสน์ของพระประธานในพระวิหารหลวง
ณ วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม ที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นดังกล่าวแล้ว


32#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-6-8 16:17 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

“หอพระจอม” ปราสาทยอดปรางค์แบบขอม


• การสร้างปราสาทยอดปรางค์แบบขอม

ในสมัยรัชกาลที่ ๖ พ.ศ. ๒๔๕๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างปราสาทยอดปรางค์แบบขอมขึ้น ๒ หลัง
ตั้งอยู่บนลานไพที ด้านตะวันออกและด้านตะวันตกของพระวิหาร
ปราสาททั้งสองหลังนี้ มีรูปร่างส่วนสัดคล้ายกันมากและมีขนาดเท่าๆ กัน

เดิมที ที่ตรงที่สร้างปราสาททั้งสองหลังนี้ เป็นเรือนไม้
สร้างในคราวเดียวกับการสร้างวัด
ครั้นถึงรัชกาลที่ ๖ เรือนไม้ทั้งสองก็ชำรุดทรุดโทรมลง
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้โปรดเกล้าฯ
ให้ช่างกรมศิลปากรรื้อสร้างใหม่เป็นปราสาทยอดปราค์แบบขอม
สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ประดับด้วยลวดลายสวยงามมาก
ผู้ออกแบบปราสาทยอดปรางค์แบบขอม
กล่าวกันว่าเป็นฝีมือของ พระยาจินดารังสรรค์
ผู้เคยออกแบบและสร้างอนุสาวรีย์รูปปรางค์ ๓ ยอด แบบขอม
ในสุสานหลวงวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม มาก่อน
ในส่วนรายละเอียดของปราสาททั้งสองหลังนั้น มีดังนี้

หลังที่อยู่ด้านทิศตะวันออก หน้าบันของซุ้มประดับด้วยรูปปั้นปูนนูน
เป็นภาพพระพุทธประวัติ ปางประวัติ และเสด็จดับขันธปรินิพพาน
ภายในปราสาทหลังนี้ใช้เป็นที่เก็บพระไตรปิฎก และคัมภีร์ต่างๆ
จึงเรียกกันว่า “หอไตร”

ส่วนหลังที่อยู่ด้านทิศตะวันตกนั้น ยอดปรางค์ประดับด้วยพรหมสี่หน้า
หันไปทางทิศทั้งสี่ หน้าบันของซุ่มประดับภาพปูนปั้นรูปพระนารายณ์บรรทมสินธุ์
ตามวรรณคดีพระนารายณ์จะต้องบรรทมอยู่บนหลังพญานาค
แต่ที่หน้าบันของปราสาทหลังนี้กลับเป็นรูปพระนารายณ์บรรทมสินธุ์บนหลังมังกร
เบื้องหลังมีพระลักษมี และเศียรนาคแผ่พังพาน
ภายในปราสาทใช้เป็นที่ประดิษฐาน พระบรมรูปหล่อรัชกาลที่ ๔
พระบรมรูปยืนเต็มพระองค์ และขนาดเท่าพระองค์จริง
จึงเรียกกันว่า “หอพระจอม”


“ประตูเซี่ยวกาง” ตามคตินิยมของจีน
33#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-6-8 16:18 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
• ปูชนียวัตถุ-ปูชนียสถานของวัดราชประดิษฐฯ

วัดราชประดิษฐ์ฯ  ถึงแม้จะเป็นพระอารามหลวงที่มีขนาดเล็ก
ซึ่งมีเนื้อที่ตั้งวัดอยู่เพียง ๒ ไร่ ๒ งาน กับ ๙๘ ตารางวาเท่านั้น
แต่ภายในบริเวณวัดได้บรรจุเอาความสวยงามวิจิตรตระการตาเป็นสง่าภาคภูมิ
ไม่น้อยไปกว่าพระอารามหลวงอื่นๆ ที่มีบริเวณพระอารามใหญ่กว่าเลย

ดังจะเห็นว่า เมื่อก้าวพ้นประตูวัดทางด้านทิศเหนือซึ่งมีบานประตูเป็นไม้สักสลัก
เป็นรูป “เซี่ยวกาง” มีลักษณะเป็นนักรบจีนหนวดยาวหน้าตาขึงขัง
นายทวารบาลตามคตินิยมของจีน กำลังรำง้าวอยู่บนหลังสิงห์โต
ก็จะเห็น “พระวิหารหลวง” ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นไพที
ทรวดทรงทั่วไปสวยงามมาก มีมุขหน้าและหลัง
ทั้งหลังประดับด้วยหินอ่อนตลอด หลังคามุงด้วยกระเบื้องสีส้มอ่อนๆ

มีช่อฟ้า ใบระกา ประดับเสริมด้วยพระวิหารหลวง
ทำให้เด่นประดุจตั้งตระหง่านอยู่บนฟากฟ้านภาลัย
หน้าบันทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
เป็นตราพระราชลัญจกรประจำพระองค์รัชกาลที่ ๔
คือเป็นรูปมหาพิชัยมงกุฎบนพระแสงขรรค์
ซึ่งมีพานแว่นฟ้ารองรับมหาพิชัยมงกุฎและพระขรรค์นั้น

พานแว่นฟ้าประดิษฐานอยู่บนหลังช้าง ๖ เชือก
ทั้งสองข้างประดับด้วยฉัตร ๕ ชั้น
พื้นของหน้าบันเป็นลายกนกลงรักปิดทองทั้งหมด

ตัวหน้าบันเป็นไม้สักแกะสลักเป็นลวดลายดังกล่าวนั้น
นับว่าเป็นหน้าบันที่งดงามวิจิตรพิสดาร
เป็นยอดของสถาปัตยกรรมอันดับหนึ่งของประเทศไทย


ซุ้มหน้าต่างพระวิหารหลวง ทรงมงกุฎ


ซุ้มประตูและซุ้มหน้าต่างทุกบานประดับรูปลายปูนปั้น
ลงรักปิดทองติดกระจกสีเป็นรูปทรงมงกุฎ
ตัวบานประตูหน้าต่างสลักด้วยไม้สักเป็นลายก้านแย่ง
ซ้อนกันสองชั้นลงรักปิดทองติดกระจกสี ทำให้ดูงดงามยิ่งขึ้น

พระประธานในพระวิหารหลวง มีพระนามว่า พระพุทธสิหังคปฏิมากร
เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ มีหน้าตักราว ๑ ศอก ๖ นิ้ว
ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีภายใต้ษุษบก
ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔
โปรดเกล้าฯ ให้หล่อจำลองจากพระพุทธสิหิงค์ องค์ที่ประดิษฐาน
ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรค์ ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร
34#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-6-8 16:19 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เนื่องจากทรงโปรดปรานในพุทธลักษณะและทรงมีพระราชศรัทธาเป็นพิเศษ
จึงอัญเชิญมาประดิษฐาน ณ พระวิหารหลวง วัดราชประดิษฐ์ฯ แห่งนี้
และถวายพระนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า “พระพุทธสิหังคปฏิมากร”

อนึ่ง ภายหลังพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตแล้ว
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
จึงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญ พระบรมอัฐิ (บางส่วน) ของสมเด็จพระบรมชนกนาถ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔
มาบรรจุภายในพระพุทธอาสน์ของ “พระพุทธสิหังคปฏิมากร”


ทั้งนี้ แม้วัดราชประดิษฐ์ฯ จะเป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๔
แต่ “ประตูเซี่ยวกาง” ก็เป็นศิลปะที่ยังคงได้รับอิทธิพลจากจีนอยู่
คำว่าเซี่ยวกาง สันนิษฐานว่ามาจากคำว่า “เซ่ากัง” ที่แปลว่า ยืนยาม นั่นเอง

วัดราชประดิษฐ์ฯ เป็นพระอารามหลวงที่ไม่มีพระอุโบสถ
มีเฉพาะพระวิหารหลวงใช้ประกอบพิธีสังฆกรรม
ดังนั้น พระวิหารหลวงจึงถือว่าเป็นพระอุโบสถของวัดด้วย


ในพระวิหารหลวงมีภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังฝีมือของขรัวอินโข่ง
ที่วาดเป็นรูปเกี่ยวกับพระราชพิธี ๑๒ เดือน นับเป็นภาพวาดที่มีค่ายิ่ง
โดยรัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้วาดไว้
เพราะทำให้คนรุ่นหลังได้ทราบถึงเรื่องราวในอดีต
อย่างเช่นพระราชพิธีเดือนอ้าย หรือเดือนธันวาคม
จะมีพิธีตรุษเลี้ยงขนมเบื้อง ซึ่งในปัจจุบันนี้ไม่มีแล้ว


ภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังเกี่ยวกับพระราชพิธี ๑๒ เดือน


นอกจากนี้ยังมีภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังจำลองเหตุการณ์
เป็นพระรูปรัชกาลที่ ๔ ทรงเสด็จไปทอดพระเนตรสุริยุปราคา
ตามความจริงนั้นพระองค์เสด็จไปที่ตำบลหว้ากอ เมืองประจวบคีรีขันธ์
เมื่อวันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ ซึ่งพระองค์ทรงคำนวนได้อย่างถูกต้อง
แต่ในภาพนี้ได้วาดฉากให้เป็นการทอดพระเนตรที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย

ด้านหลังพระวิหารหลวงมีพระเจดีย์ทรงลังกาองค์ใหญ่
คือ ปาสาณเจดีย์ เป็นเจดีย์ทรงกลมฐานสี่เหลี่ยม
ก่ออิฐถือปูน ภายนอกประดับด้วยกระเบื้องหินอ่อนทั้งองค์
เป็นที่มาของคำว่า ปาสาณเจดีย์ ซึ่งหมายถึงเจดีย์หิน

และด้านหน้าปาสาณเจดีย์ เป็นที่ประดิษฐาน
พระรูปหล่อของสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว)
ซึ่งหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ประดับด้วยกระเบื้องหินอ่อน
ในท่านั่งแสดงพระธรรมเทศนา ฝีมือช่างชาวสวิส ชื่อ เวนิง
ซึ่งการสร้างพระวิหารและมีพระเจดีย์อยู่ด้านหลังนี้
ถือเป็นแบบแผนการสร้างวัดของรัชกาลที่ ๔
เพราะถือว่าเมื่อไหว้พระประธานในพระวิหารแล้ว
ก็จะได้ไหว้พระเจดีย์ไปด้วยพร้อมกันในคราวเดียว

นอกจากนี้แล้วยังมีสถาปัตยกรรมอื่นๆ ภายในวัดที่สำคัญอันน่าชมยิ่ง
เช่น พระปรางค์ขอม ตั้งอยู่บนพื้นไพทีด้านหลังพระวิหารหลวง
เป็นปราสาทก่ออิฐถือปูน ทรงสี่เหลี่ยม มียอดปรางค์แบบขอม
ภายในบรรจุ พระอังคารของสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว)
สรีรังคารของพระสาสนโสภณ (อ่อน อหิงฺสโก)  
และ สรีรังคารของพระพรหมมุนี (แย้ม อุปวิกาโส)
อดีตเจ้าอาวาสวัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม ทั้ง ๓ รูป

ด้านข้างถัดจาก “หอพระจอม” ออกไป คือ ศาลาการเปรียญ
ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของพระวิหารหลวง เป็นอาคารคอนกรีตชั้นเดียว
ลักษณะสถาปัตยกรรมแบบโบสถ์ขนาดเล็กของกรีกโบราณ
เพดานประดับด้วยดวงตราประจำพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔

บริเวณนี้เป็น เขตหวงห้ามสำหรับสตรี หรือเขตสังฆาวาส
อันเป็นบริเวณที่ห้ามสตรีผ่านเข้าออกมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ จนถึงปัจจุบัน
เนื่องจากเป็นบริเวณที่ตั้งกุฏิสงฆ์ มีป้ายปิดที่ประตูว่า ห้ามสตรีเพศผ่าน
ด้วยเพราะธรรมยุติกนิกายนั้นเคร่งครัดในพระธรรมวินัยมาก


ภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังพระรูปรัชกาลที่ ๔
ทรงเสด็จไปทอดพระเนตรสุริยุปราคา

35#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-6-8 16:20 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

พระบรมรูปหล่อรัชกาลที่ ๔ เท่าพระองค์จริง ณ หอพระจอม


• ศิลาจารึกวัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม

ด้านหลังพระวิหารหลวงมีซุ้มซึ่งแกะสลักด้วยหินอ่อนทั้งแผ่น
ภายในซุ้มเป็นที่ประดิษฐาน ศิลาจารึก
ประกาศในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๒ ฉบับ

ฉบับแรกเป็นประกาศการสร้างวัดถวายพระสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย
จารึกในปีพุทธศักราช ๒๔๐๗
ฉบับหลังเป็นประกาศเรื่องงานพระราชพิธีผูกพัทธสีมาวัด
จารึกในปีพุทธศักราช  ๒๔๐๘
ประกาศทั้ง ๒ ฉบับลงพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว


ข้อความในศิลาจารึกทั้ง ๒ ฉบับนั้นนับว่ามีความสำคัญ
ซึ่งเป็นมหามรดกล้ำค่าที่เป็นมหาสมบัติของคณะธรรมยุติกนิกาย
ที่ได้รับพระราชทานตกทอดมาจากล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๔

ศิลาจารึกตอนบน

อิมํ ภนฺเต วิหารารมภูมี สมนฺตโต ปาการมูเลสุ หิฎฺฐกา จยปริจฺฉินฺนํ
วิสํคามเขตตฺตํ กตวา ปริจฺฉิชฺชมานํ อาคตานาคตสฺส จาตุทฺทิสฺส
ธมฺมยุตฺติกนกายิกสํฆสฺส อนญฺญนิกายิกสส โอโนเชม สาธุ ฯลฯ สุขาย.

ฯข้าฯ ผู้มีชื่อเขียนไว้ในท้ายหนังสือนี้ ขอประกาศว่า
ที่ภายในพระนครติดต่อไปข้างใต้ จังหวัดตึกดินเก่า ซึ่งบัดนี้เป็นสนามทหาร
แลติดต่อข้างด้านตะวันออกหลังวังหม่อมเจ้าดิศช่างหล่อ
แลติดต่อข้างเหนือวังกรมหมื่นอมเรนทรบดินทร์
แลติดต่อข้างด้านตะวันตกถนนริมคลองโรงสีคิดที่ยาวไปข้างตะวันออก ๓๕ วา
กว้างไปข้างเหนือต่อใต้ ๓๑ วา ๓ ศอก เดิมเป็นที่หลวงอยู่ข้างตึกดิน

สำหรับพระราชทานข้าราชการที่ต้องพระราชประสงค์ใช้ใกล้ๆ อาศัยอยู่
แลแต่ก่อนมีผู้สร้างโรงธรรมลงในด้านตะวันออกของที่นี้
โรงนั้นได้เป็นที่มีธรรมเทศนา แลทำบุญให้ทานของชาวบ้านอยู่ใกล้เคียงที่นี้ช้านาน
แลเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปพระบดเขียน
เหมือนกับเป็นพระอารามวิหารโดยสังเขป

ครั้นมาเมื่อแผ่นดินพระบาทพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ต้องพระราชประสงค์ที่นี้เป็นสวนกาแฟ จึงให้ไล่บ้านเรือนที่อยู่ในที่นี้เสียสิ้น
เจ้าของโรงธรรมการเปรียญต้องรื้อโรงธรรมไปปลูกที่อื่นเสียด้วย
ที่นี้ก็เป็นที่สวนกาแฟมาหลายปีจนแผ่นดินปัจจุบันนี้

แลบัดนี้ไม่ได้ทำสวนกาแฟก็รกร้างว่างเปล่าอยู่
ก็บัดนี้เจ้านายแลข้าราชการข้างหน้าบ้างข้างในบ้าง
ซึ่งเคยเป็นศิษย์ศึกษาประพฤติการทำบุญให้ทาน
ตามคติลัทธิอย่างธรรมยุตติกา พากันบ่นว่าวัดพระสงฆ์คณะธรรมยุตติกาอยู่ไกล
จะทำบุญให้ทานก็ยากไปต้องไปไกลลำบาก

ฯข้าฯ ผู้มีชื่อเขียนไว้ข้างล่าง เดิมเป็นครูอาจารย์ต้นลัทธิชำระข้อปฏิบัติต่างๆ
ให้เป็นเยี่ยงอย่างในคณะพระสงฆ์ธรรมยุตติกนิกาย
คิดถึงการพระพุทธศาสนาซึ่งตนได้ชำระไว้
มีความปรารถนาจะใคร่ได้พระสงฆ์คณะธรรมยุตติกนิกายนั้นมามีอยู่ในที่ใกล้ที่ตัวอยู่
แลจะให้สมประสงค์ ท่านทั้งหลายชายหญิงทั้งปวงถือชอบใจดังว่าแล้วนั้นด้วย

อนึ่งคิดว่าศาลาโรงธรรมการเปรียญก็สมมติว่าเป็นที่ดังหอพระพุทธรูป
หรือหอพระไตรปิฎก หรืออาสนศาลาที่ประชุมสงฆ์
เป็นที่นมัสการทำบุญให้ทานของทายกสัปบุรุสผู้มีศรัทธาคล้ายกับอารามวิหาร
เป็นที่เจดีย์สถานแลที่อยู่พระสงฆ์โดยสังเขปก็โรงธรรมศาสลาการเปรียญเก่า
ซึ่งมีในที่นั้นเจ้าของรื้อไปเสียแล้ว ควรจะปลูกสร้างขึ้นใหม่ด้วย

36#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-6-8 16:20 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เพราะเหตุดังกล่าวแล้วนั้น

ฯข้าฯ ผู้มีชื่อเขียนไว้ท้ายหนังสือนี้
จึงได้คิดจะทำเจดีย์ แลธรรมสภาแลวิหารที่อยู่พระสงฆ์คณะธรรมยุตติกนิกาย
ตามประสงค์ของตน แลท่านทั้งหลายชายหญิงอื่นเป็นอันมากนั้น
ในที่นี้ใกล้พระบรมมหาราชวังซึ่งเป็นที่อยู่
จึงคิดว่าที่นี้เป็นที่สวนกาแฟของหลวงของแผ่นดินเป็นของกลางอยู่
ไม่ควรจะยกเอามาถวายเฉพาะเป็นของพระสงฆ์คณะธรรมยุตติกนิกายเป็นที่พิเศษได้
เห็นว่าจะเป็นทำให้เสียประโยชน์แผ่นดินไป

จึงได้สั่งให้กรมพระนครบาลวัดที่นี้กะลงเป็นตารางละวาแล้วตีราคาตารางละบาท
ที่นี้ยาวไปข้างตะวันตกมาตะวันออก ๓๕ วา กว้างไปข้างเหนือต่อใต้ ๓๑ วา ๓ ศอก
เป็นตารางวาได้ ๑,๐๙๘ วา

ฯข้าฯ มีชื่อจดไว้ให้ท้ายหนังสือนี้จึงได้สละทรัพย์เป็นของนอกจำนวน
มิใช่ของขึ้นท้องพระคลัง ๑,๐๙๘ บาท คิดเป็นเงิน ๑๘ ชั่งตำลึงกึ่ง
ได้มอบเงินให้กรมพระนครบาลรับไปจัดซื้อที่อื่นที่ต้องการในราชการแผ่นดิน
คือที่เป็นที่ตั้งกองรักษาถนนหนทางบางบ้านเมือง
ที่ซึ่งจัดซื้อด้วยทรัพย์จำนวนนั้น
เจ้าพระยาศรีสุริยวงษ์สมันตพงษ์พิสุทธมหาบุรุษย์รัตโนดม สมุห์พระกลาโหม
ได้รู้เห็นตรวจตราให้จ่ายเงินจัดซื้อที่อื่นเป็นอันเปลี่ยนที่นี้เสร็จสมควรแล้ว
ก็บัดนี้ที่อันนี้ตกเป็นของ ฯข้าฯ ผู้มีชื่อเขียนไว้ในท้ายหนังสือนี้ผู้เดียว

จึง ฯข้าฯ ผู้มีชื่อเขียนไว้ในท้ายหนังสือนี้
ยอมยกที่นี้ให้เป็นส่วนเพื่อกุศลแก่บุตรภรรยาญาติพี่น้อง และบริษัทฝ่ายหน้าฝ่ายใน
บันดาที่มีน้ำใจเลื่อมใสศรัทธานับถือปรนนิบัติพระพุทธศาสนา
อย่างคติลัทธิพระสงฆ์ธรรมยุตติกนิกายทั้งปวงแล้ว
จึงพร้อมใจกันด้วยปรึกษากันบ้าง คาดใจกันบ้างขอยอมยกที่นี้ซึ่งได้ก่อคันขึ้นด้วยอิฐ
มีหลุมที่ปักเสาสีมานิมิตในทิศทั้งแปดนี้
ให้เป็นส่วนตัดขาดจากพระราชอาณาเขต เป็นแขวงวิเศษเรียกว่า
วิสุงคามสีมา มอบถวายแก่พระสงฆ์คณะธรรมยุตติกนิกาย

อันมีในทิศทั้ง ๔ อันมาแล้วก็ดี ยังไม่มาแล้วก็ดี
เพื่อว่าในที่กำหนดไว้จะสร้างพระเจดีย์แลที่ตั้งพระปฏิมากร
เนื้อที่เท่าใดพระเจดีย์แลชุกชีรอบได้ตั้งลง
ที่เท่าใดชุกชีแท่นพระพุทธรูปจะได้ตั้งลง ที่เท่านั้นยกถวายเป็นพระพุทธบูชา
แก่สมเด็จพระผู้ทรงพระภาค ซึ่งเป็นพระบรมศาสดา
อันเสด็จปรินิพพานแล้วที่นอกนั้นรอบคอบจังหวัดที่กำหนดแล้ว
ขอยกให้เป็นที่อยู่ที่อาศัยประพฤติพรหมจรรย์
แลประพฤติการพระพุทธศาสนาสั่งสอนศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย
แลทำสังฆกรรมน้อยใหญ่ตามวินัยกิจโดยสะดวกทุกประการ

แต่ที่นี้คงขาดเป็นของพระสงฆ์คณะธรรมยุตติกนิกาย
ผู้เป็นศิษย์ศานุศิษย์ศึกษาตามลัทธิซึ่ง

ฯข้าฯ ผู้มีชื่อเขียนไว้ในท้ายหนังสือนี้ ได้เริ่มได้ริได้ชำระตกแต่งตำราขึ้น
แลท่านผู้มีปัญญาละเอียดได้ชำระตกแต่งต่อไปนั้น
พวกเดียวก็ผู้จะได้อยู่ได้บริโภคที่นี้ต่อไปนั้น

ฯข้าฯ ผู้มีชื่อเขียนไว้ท้ายหนังสือนี้
ยอมให้อยู่แต่ท่านผู้ที่คนทั้งปวงรู้พร้อมกันว่าเป็นศิษย์ศึกษาต่อๆ ไปจาก
ฯข้าฯ ผู้มีชื่อเขียนไว้ในท้ายหนังสือนี้ๆ ไม่ยอมให้พระสงฆ์สามเณรพวกอื่น
ที่มีใช่ศิษย์ศานุศิษย์ศึกษาสืบไป

ฯข้าฯ นั้นเข้าอยู่เป็นเจ้าของเลยเป็นแต่ไปสู่มาหาหรืออาศัย
ในกำหนดวันเวลาตามน้ำใจยอมโดยชอบใจของพระสงฆ์คณะธรรมยุตติกนิกายนั้นได้
ก็ถ้าพระสงฆ์คณะธรรมยุตติกนิกายที่อยู่ในที่นี้ก็ดี ที่อื่นก็ดี
กลับจิตกลับใจกลับรีดลัทธิถืออย่างพระสงฆ์นิกายอื่นก็ดี
เข้ารีตฝรั่งแลศาสนาอื่นก็ดีแล้ว ก็เป็นอันขาดหลุดจากเป็นเจ้าของที่นี้
จะอยู่ในที่นี้ไม่ได้ ก็ถ้าด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง
พระสงฆ์คณะธรรมยุตติกนิกายสาบสูญสิ้นไม่มีในแผ่นดิน
เมื่อนั้นที่อันนี้จงตกเป็นของพระผู้มีพระภาคพระบรมศาสดาอรหังสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่ปรินิพพานแล้วนั้นเถิด

37#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-6-8 16:21 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ใครมีศรัทธาจะปรนนิบัตินมัสการพระเจดีย์ ก็จงปรนนิบัตรนมัสการเถิด
ใครจะใคร่จำศีลภาวนา ก็จงมาจำศีลภาวนาตามควรแก่ความเลื่อมใสเทอญ

เมื่อที่นี้เป็นของพระสงฆ์คณะธรรมยุตติกนิกายดังนี้แล้ว
ฯข้าฯ ผู้มีชื่อเขียนไว้ในท้ายหนังสือนี้
ถ้ายังยืนยงคงชีพอยู่ ก็จะอุสาหะสร้างทำพระเจดีย์
แลเรือนพระพุทธปฏิมากรแลโรงธรรมสภา แลกุฏิวิหารที่อยู่พระภิกษุสงฆ์
แลที่ต่างๆ เป็นเครื่องประดับพระอารามทั้งปวงไปตามกำลัง
จนบริบูรณ์สถิตธรรมยุตติการาม

แต่ที่นี้ใกล้พระราชวัง ถ้าพระเจ้าแผ่นดินในอนาคตไม่โปรด
จะต้องประสงค์ที่นี้ใช้ในราชการแผ่นดินก็ขอให้ซื้อที่อื่นเท่าที่นี้ หรือใหญ่กว่านี้
ด้วยราคาเท่าที่นี้ ในที่ใกล้บ้านคนถือพระพุทธศาสนา
ไม่รังเกียจ เกลียดชัง พระสงฆ์ธรรมยุตติกนิกายพอเป็นที่ภิกขาจารได้
แลไม่ใกล้เคียงชิดติดกับวัดอื่น เปลี่ยนก่อนจึงได้ของอะไร

ฯข้าฯ ผู้มีชื่อเขียนไว้ในท้ายหนังสือนี้
ได้สร้างสถาปนาการลงไว้ในที่นี้ ก็ต้องสร้างใช้ให้ดีให้งามเหมือนกัน
จึงควรจะเอาที่นี้เป็นหลวงใช้ในราชการได้
ถ้าจะโปรดให้เป็นวัดที่อยู่พระสงฆ์พวกอื่นเหล่าอื่นก็เหมือนกัน
ขอรับประทานให้ซื้อที่ใช้สร้างวัดใช้ก่อน
จึงจะเปลี่ยนให้พระสงฆ์พวกอื่นหมู่อื่นอยู่ได้

ถ้าไม่ได้ซื้อที่อื่นสร้างวัดใช้ ไล่พระสงฆ์คณะธรรมยุตติกนิกายของ ฯข้าฯ
ผู้มีชื่อเขียนไว้ในท้ายหนังสือนี้เสียเปล่า
พระสงฆ์พวกอื่นเข้ามาอยู่เป็นเจ้าของ
เอาอำนาจเจ้านายมาไล่เจ้าของเสียชิงเอา ก็จะเป็นปสัยหาวหารอทินนาทานไป

ขอท่านผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินในอนาคต จงโปรดประพฤติตาม
ฯข้าฯ ผู้มีชื่อเขียนไว้ในท้ายหนังสือนี้
ซึ่งเป็นเจ้าของที่ทำวัดราชประดิษฐ์นี้สั่งไว้จงทุกประการ
จึงจะมีความเจริญสุข

ฯข้าฯ ผู้มีชื่อเขียนไว้ในท้ายหนังสือนี้
ได้แผ่ส่วนกุศลถวายแด่เทพยดารักษาพระนครทั้งปวง
แลได้ฝากวัดราชประดิษฐ์นี้ไว้แด่เทพยดาให้รักษาอยู่แล้ว

ประกาศไว้วัน ๖ ฯ ๑๒ ๑๒ ค่ำ ปีชวด ฉศก
พระพุทธศาสนกาล ๒๔๐๗ พรรษา ศักราช ๑๒๒๖
เป็นปีที่ ๑๔ เป็นวันที่ ๔๙๔๕ ในรัชกาลปัจจุบันนี้

อิทํ มยา ปรเมนฺทมหามกุฎสฺมา
สฺยามวิชิเต รชฺชํ การยตา.

บันทึกทั้งปวงในกระดาษนี้เป็นสำคัญ
แต่สมเด็จพระปรเมนทรมหามกุฎ พระจอมเกล้าเจ้ากรุงสยาม



ศิลาจารึกวัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม

38#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-6-8 16:22 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ศิลาจารึกตอนล่าง

ฯข้าฯ ผู้มีชื่อเขียนไว้ในท้ายหนังสือนี้
ขอประกาศเผดียงว่าในที่ภายในพระนคร ฯลฯ
ตามควรแก่ความเลื่อมใสเทอญฯ
จะว่าวัดสำหรับพระสงฆ์ทั้งแผ่นดินไม่ได้
แต่พัทธสีมานั้นตามพระวินัยจริงๆ จะผูกในบ้านก็ได้ ที่ของใครๆ ก็ได้

ฯข้าฯ ผู้มีชื่อในท้ายหนังสือนี้ ไม่มีสงสัยเลย
ขออาราธนาพระผู้เป็นเจ้าทั้งปวงผูกพัทธสีมาในที่นี้
ด้วยปาสาณนิมิตรคือเสาใหญ่ซึ่งปักไว้ในทิศทั้ง ๘ นี้เถิด เสาทั้ง ๘ นั้น

ฯข้าฯ ผู้มีชื่อเขียนไว้ในท้ายหนังสือนี้
ขอถวายเสาศิลาในทิศซึ่งปักไว้ในทิศทั้ง ๘
เพื่อจะให้เป็นนิมิตรมหาพัทธสีมา แลอีกเสาสองต้นประกับกัน
เพื่อจะให้เป็นที่สังเกตที่สวดสมมติให้ท่ามกลางรวม ๑๐ ต้นนี้
เป็นของพระสงฆ์ในคณะธรรมยุตติกนิกาย
ประดับพระอารามนี้ด้วย มอบถวายอีกพร้อมกันทั้งเสาศิลา ๑๐ ต้นปักอยู่ในกลางสอง
อยู่ในทิศทั้งแปดอีกแปด เพื่อจะให้เป็นนิมิตรในทิศทั้งแปด
แลเป็นสำคัญที่พระสงฆ์ยืนสวดผูกสีมาในท่ามกลางด้วย
เพื่อจะได้สมมติสีมา

ณ วัน ๖ ฯ ๑๗ ค่ำ ปีฉลู สัปตศก พระพุทธศาสนกาล ๒๔๐๘ พรรษา
จุลศักราช ๑๒๒๗ เป็นปีที่ ๑๕ หรือเป็นวันที่ ๕๑๔๐ ในรัชกาลปัจจุบันนี้

อิทํ มยา รญฺญา ปรเมนฺทมหามกุฎสฺมา
สฺยามวิชิเต รชฺชํ การยตา.

หนังสือนี้ แต่ข้าพระพุทธเจ้า
สมเด็จพระปรเมนทรามหามกุฎ พระจอมเกล้าเจ้ากรุงสยาม




    

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *


หมายเหตุ : โปรดติดตามอ่าน

วัดประจำรัชกาลที่ ๔ : วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=24&t=19383

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

รวบรวมและเรียบเรียงมาจาก ::
หนังสือชุดพระเกียรติคุณ สมเด็จพระสังฆราชแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ :
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว),
วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม, สุเชาวน์ พลอยชุม เรียบเรียง, มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑.
http://www.dharma-gateway.com/
http://mahamakuta.inet.co.th/
http://www.mbu.ac.th/
http://www.rajapradit.com/


กระทู้ในบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13527

.............................................................................................

ที่มา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=22&t=21489

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้