|
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย รามเทพ เมื่อ 2014-5-30 09:28
ดังนั้นช่วงเวลา พ.ศ. 2552-2562 ที่ อ.พลูหลวงได้ทำนายเอาไว้ว่าประเทศไทย (รวมถึงประเทศต่างๆ ทั่วโลก) จะต้องประสบกับความวิปโยคนั้น จึงไม่ใช่สิ่งที่เกินไปจากความเป็นจริงเลยครับ
ครับ ข้อความข้างต้นไม่ได้อธิบายรายละเอียดของที่มาที่ไป ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของผมที่ศึกษาวิชาโหราศาสตร์ ระบบพลูหลวง หรือเกษตรเรือนเดียว มานานเกือบ ๓๐ ปี เพื่อไขข้อข้องใจให้กับผู้ศึกษา และผู้สนใจในระบบพลูหลวง ได้รับทราบโดยทั่วกัน ส่วนจะเชื่อถือได้แค่ไหน ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละบุคคลก็แล้วกัน
ก่อนอื่นเรามาพูดถึงมูลเหตุที่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแห่งสยามประเทศในวาระแรก คือ ระหว่างวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๔๘๑ ถึง วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๔๘๗ (๒ สมัย ในช่วงแรก) อันเป็นช่วงที่ท่าน อ.พลูหลวง ได้เรียกว่า “ยุคกาลี” ว่า มีเหตุผล และความจำเป็นมากเพียงใด ที่จะต้องมีการเปลี่ยนชื่อจาก “สยาม” มาเป็น “ไทย” ทั้งๆ ที่ประเทศสยามนั้นเป็นประเทศเก่าแก่ มีอยู่ในแผนที่โลก เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกนานมากกว่าพันปี
คำว่า “สยาม” มาจากคำว่า “เสียม” ที่เป็นภาษาจีน คนจีนเรียกคนไทยว่า “เสียมนั้ง”
และเรียกประเทศไทยว่า “เสียมก๊ก” ต่อมาเพี้ยน หรือออกเสียงเป็นภาษาไทยว่า
“สยาม” (Siam)
ฝรั่งต่างชาติ คนทั่วโลกรู้จักกันเป็นอย่างดี ถือเป็นเอกลักษณ์แสดงความเป็นชาติ ของชนชาติไทย ถ้าจะว่าด้วยเหตุผลแล้ว ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องเปลี่ยนชื่อด้วยซ้ำ
แต่ที่จอมพล ป. กล้าหาญชาญชัย ใช้หลักนโยบายเผด็จการทหาร คือ
ทุกคนต้องเชื่อผู้นำ ชาติจึงจะพ้นภัย
จึงประกาศรัฐนิยมออกมามากมายถึง ๑๒ ฉบับ รวมทั้งการเปลี่ยนชื่อประเทศ “สยาม” เป็นประเทศไทยด้วย ซึ่งการกระทำดังกล่าว เพียงเพื่อยกตนขึ้นข่มท่าน คือ ประกาศเป็นนโยบาย ระเบียบข้อบังคับคนในสังคม
แทนที่จะประกาศเป็น “พระบรมราชโองการ”
หรือตราเป็นพระราชบัญญัติออกมา เพราะจอมพล ป. คิดอยู่เสมอที่จะ “ล้มเจ้า” หรือ “ล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์” นั่นเอง รายละเอียด เรื่องนี้ หาอ่านได้จากบทความเรื่อง “จอมพล ป. ล้มเจ้า”
รัฐนิยม เป็นนโยบายของรัฐบาลของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม เพื่อปลุกระดมความรักชาติและปรับปรุงวัฒนธรรมให้เหมือนอารยประเทศ โดยออกประกาศทั้งหมด ๑๒ ฉบับ และ ฉบับที่ ๑ได้ประกาศให้ใช้ชื่อประเทศไทย แทนประเทศสยาม และประชาชน สัญชาติ ก็ใช้คำว่า “ไทย” แทน “สยาม” เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๘๒ โดยมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๔๘๒ โดยให้เหตุผลไว้ในประกาศรัฐนิยม ฉบับที่ ๓ ที่ให้เรียกคนไทยภาคต่างๆ ว่า “คนไทย” ดังนี้
เรื่องการเรียกคนในประเทศว่า “คนไทย” แม้มีเชื้อสายอื่นก็ให้ถือว่ามี สัญชาติไทย มิให้แบ่งแยก เป็นความต่อเนื่องจากรัฐนิยมแบบแรก นั่นคือการเรียกชื่อว่า “ไทยเหนือ ไทยอีสาน ไทยใต้ ไทยอิสลาม” ให้เรียกว่า “ไทย” โดยรวมเพื่อขจัดความแตกต่าง ซึ่งกำหนดให้เลิกเรียกชื่อชาวไทยโดยใช้ชื่อไม่ต้องตามเชื้อชาติ และนิยมของผู้เรียก แต่ให้ใช้คำว่า “ไทย” แก่ชาวไทยทั้งมวลโดยไม่แบ่งแยก ทั้งนี้รัฐบาลมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมความเป็นปึกแผ่นดินมั่นคงของประเทศ และความกลมเกลียวสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาติไทยทั่วทุกภาคของประเทศ กล่าวได้นับว่านับเป็นครั้งแรกที่มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่า
“ชาวไทยมุสลิม” เป็นคนไทยเช่นเดียวกับคนไทยทั่วไปชนผืนแผ่นดินไทย มีข้อความว่าด้วยรัฐบาลเห็นว่า “การเรียกว่าไทย” บางส่วนไม่ต้องตามชื่อเชื้อชาติ และความนิยมของผู้ถูกเรียกก็ได้ การเรียกชื่อแบ่งแยกคนไทยออกเป็นหลายพวก หลายเหล่า เช่น ไทยเหนือ ไทยอีสาน ไทยใต้ และไทยอิสลาม ก็ดีไม่สมควรแก่สถานะของประเทศไทย ซึ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจะแบ่งแยกมิได้ จึงประกาศไว้ในรัฐนิยมไว้ ดังนี้
1 ให้เลิกการเรียกชาวไทยโดยใช้ชื่อที่ไม่ต้องตามเชื้อชาติ และความนิยมของผู้เรียก
2 ให้ใช้คำว่า ไทย แก่ชาวไทยทั้งมวลโดยไม่แบ่งแยก รัฐนิยมฉบับนี้ ซึ่งกำหนดให้เลิกการเรียกชาวไทยโดยใช้ชื่อที่ไม่ต้องตามเชื้อชาติ และความนิยมของผู้ถูกเรียก แต่ให้ใช้คำว่า “ไทย” แก่ชาวไทยทั้งมวล โดยไม่แบ่งแยก ทั้งนี้โดยรัฐบาลมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมความเป็นปึกแผ่นมั่นคงของประเทศ และความกลมเกลียวสามัคคี เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชนชาติไทย ทั่วทุกภาคของประเทศ กล่าวได้ว่านับเป็นครั้งแรกที่มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่า ชาวไทยมุสลิมเป็นคนไทยเช่นเดียวกับคนไทยทั่วไปชนผืนแผ่นดินไทย
เหตุผลสรุปโดยรวมก็คือ “เพื่อความกลมเกลียว เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชาติ โดยไม่มีการแบ่งแยก” แล้วผลออกมาเป็นอย่างไร เราท่านก็ทราบกันดีอยู่แล้ว จากวันนั้น จนถึงวันนี้ เราก็ยังแบ่งแยกกันอยู่ เรายังมีไทยเหนือ ไทยอีสาน ไทยใต้ ไทยกลาง กันเหมือนเดิม ภาษาแต่ละท้องถิ่นก็ยังคงเดิม วัฒนธรรมท้องถิ่นก็เหมือนเดิม คือ ยังมีความแตกต่างเหมือนเดิม แม้แต่ศาสนาก็เถอะ มีทั้ง ไทยพุทธ ไทยคริสต์ ไทยมุสลิม ดังนั้น
การใช้ชื่อ “สยาม” คงเดิม หรือใช้ “ไทย” ก็ไม่ได้มีเหตุเพียงพอในการเปลี่ยนชื่อประเทศ
เปลี่ยนชือ เปลี่ยนสัญชาติของคนไทย
การประกาศรัฐนิยมฉบับอื่นๆ ของจอมพล ป. ก็เช่นกัน เจตนาที่แท้จริงนั้นทำเพื่อ “ยกตนข่มท่าน” หรือ “แสดงอำนาจบาตรใหญ่” ของการเป็นผู้นำเผด็จการเท่านั้น ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของเหตุผล และการยอมรับของคนทั้งประเทศ ไม่ได้ตราเป็นพระราชบัญญัติ หรือกฎหมาย เหมือนกับกฎหมายอื่นๆ เพราะต้องการริดรอนอำนาจ หรืออิทธิพลของผู้ที่นิยมเจ้า และต้องการให้ไทยกลับมามีการปกครองแบบเดิม
(โดยเราจะเห็นได้ว่ามีการยกเลิกรัฐนิยมหลายฉบับในเวลาต่อมา)
ถือเป็นการทำลายดวงเมืองบางกอก
ที่พระปฐมบรมกษัตริย์แห่งบรมราชจักรีวงศ์ได้สถาปนาเอาไว้
จึงส่งผลเสียอย่างร้ายแรงแก่คนไทยตามมา และจะมีอิทธิพลต่อเนื่องกันไป
จนกว่าจะสิ้นสุดราชวงศ์จักรี หรือไม่ก็กลับมาใช้ชื่อ “สยาม” อย่างเดิม
ทีนี้เราจะมาวิเคราะห์คำพยากรณ์ ๑๐ ยุคๆ ละ ๑๐ ปี ที่ท่านอาจารย์พลูหลวงได้พยากรณ์ไว้ จะเรียกว่า พยากรณ์ทั้งหมดก็ไม่ได้ เพราะท่านได้ประมวลเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น นับแต่มีการเปลี่ยนชื่อประเทศ ประกอบกับกาลชะตาที่ผูกขึ้น เมื่อจับทางของดวงดาวได้ ท่านจึงได้พยากรณ์ออกมา ถ้าจะนับในเรื่องของการพยากรณ์จริงๆ ก็จะอยู่ในข้อที่ ๗, ๘, ๙ และ ๑๐ เท่านั้น เพราะท่านได้จากโลกนี้ไปก่อนที่เหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้น
ข้อความเนื้อหาจาก..https://www.facebook.com/plutoastrologer/posts/634679559926145
|
|