ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 3923
ตอบกลับ: 12
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

พระองค์ที่ ๒ : สมเด็จพระสังฆราช (ศุข)

[คัดลอกลิงก์]


พระประวัติและปฏิปทา
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศุข)

พุทธศักราช ๒๓๓๗-๒๓๕๙


วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ ราชวรมหาวิหาร
แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร


หัวข้อ

•        พระประวัติในเบื้องต้น
•        อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุรูปที่ ๑
•        การสังคายนาพระไตรปิฎก
•        สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
•        พระกรณียกิจสำคัญต่อพระพุทธศาสนา
•        พระกรณียกิจพิเศษ
•        พระเมตตาต่อชีวิตสามเณรลูกวัด
•        พระกรณียกิจในรัชกาลที่ ๒
•        จัดสมณทูตไทยไปลังกาครั้งแรกในยุคกรุงรัตนโกสินทร์
•        พระอวสานกาล

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-29 10:10 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

พระประธาน ณ พระอุโบสถวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์


พระประวัติในเบื้องต้น

สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศุข)
ทรงมีพระประวัติในเบื้องต้นเป็นมาอย่างไรไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด
เช่นเดียวกับ สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี)
เมื่อครั้งกรุงธนบุรี ทรงเป็นพระราชาคณะที่ พระญาณสมโพธิ ณ วัดมหาธาตุ
ถึง พ.ศ. ๒๓๒๓ ในสมัยกรุงธนบุรี จึงได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นที่ พระธรรมเจดีย์
จวบจนกระทั่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
รัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนสมณศักดิ์ขึ้นเป็นที่
พระพนรัตน *   ซึ่งเป็นตำแหน่งรองสมเด็จพระสังฆราช
ดังที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายไว้ว่า

“ตำแหน่งพระพนรัตนนั้น นับว่าเป็นสังฆราชองค์ ๑
รองแต่สมเด็จพระอริยวงษญาณ ลงมา
ในทำเนียบสมณศักดิ์ตั้งแต่ครั้งกรุงเก่ามา
มีตำแหน่งสังฆปริณายก ๒ องค์ เรียกว่า “พระสังฆราชซ้ายขวา”
สมเด็จพระอริยวงษญาณเป็นพระสังฆราชฝ่ายขวา ว่าคณะเหนือ
พระพนรัตนเป็นพระสังฆราชฝ่ายซ้าย ว่าคณะใต้
เกียรติยศมีสุพรรณบัตรจารึกพระนาม
เมื่อทรงตั้งทั้ง ๒ องค์ แต่ที่พระพนรัตน โดยปรกติไม่ได้เป็นสมเด็จ
ส่วนพระสังฆราชฝ่ายขวานั้น เป็นสมเด็จพระอริยวงษญาณทุกองค์
จึงเรียกว่า “สมเด็จพระสังฆราช” และจึงเป็นมหาสังฆปริณายก
มีศักดิ์สูงกว่าพระสังฆราชฝ่ายซ้ายที่ พระพนรัตน
แต่ก่อนมาทรงยกเกียรติยศเป็นสมเด็จแต่บางองค์
พึ่งเป็นสมเด็จทุกองค์ ตั้งแต่รัชกาลที่ ๒ เป็นต้นมา”

3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-29 10:10 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

พระอุโบสถ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์


อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุรูปที่ ๑

สมเด็จพระสังฆราช (ศุข) ทรงเป็นอธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุ รูปที่ ๑
ในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่ครั้งยังทรงสมณศักดิ์ที่พระธรรมเจดีย์
ซึ่งสมัยนั้นวัดมหาธาตุยังเรียกว่า “วัดสลัก” เป็นพระอารามที่อยู่ในเขตพระนคร
และเป็นพระอารามหลวงมาตั้งแต่ครั้งกรุงธนบุรี

วัดสลักนั้นเป็นวัดที่สร้างมาแต่ครั้งกรุงเก่า
ในสมัยที่สมเด็จพระสังฆราช (ศุข) ทรงเป็นอธิบดีสงฆ์  
วัดสลักได้เปลี่ยนชื่อถึง ๓ ครั้ง คือ
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕
สมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
ทรงปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ และทรงขนานนามเปลี่ยนเป็น วัดนิพพานาราม

ครั้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๓๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ทรงปรารภพร้อมด้วยสมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวรฯ
จะทำสังคายนาพระไตรปิฎก ทรงพระราชดำริเห็นว่าวัดนิพพานาราม
สมควรเป็นที่ประชุมสงฆ์ทำสังคายนา จึงโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามใหม่ว่า
วัดพระศรีสรรเพชญดาราม หรือ วัดพระศรีสรรเพชญ์
เยี่ยงในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งภายในพระราชวังกรุงศรีอยุธยา
ก็มีวัดพระศรีสรรเพชญดาราม เป็นที่สถิตของสมเด็จพระสังฆราชทุกพระองค์

ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๔๖ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
โปรดเกล้าฯ ให้ประชุมพระราชาคณะ สอบไล่พระปริยัติธรรมภิกษุสามเณร
ที่วัดพระศรีสรรเพชญดาราม แล้วจึงโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนนามพระอารามอีกครั้งหนึ่งว่า
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ แต่คนทั้งหลายนิยมเรียกว่า  “วัดมหาธาตุ”

ครั้นถึงรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงบริจาคทรัพย์เป็นส่วนของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ
ซึ่งสวรรคตเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๗ ให้ปฏิสังขรณ์
แล้วโปรดเกล้าฯ  ให้เพิ่มสร้อยต่อนามพระอาราม
เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช พระองค์นั้นว่า
“วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์” ดังที่ปรากฏสืบมาจนบัดนี้”
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-29 10:11 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

ตู้พระไตรปิฎกลายรดน้ำ


การสังคายนาพระไตรปิฎก

ในการสังคายนาพระไตรปิฎกเมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๑ อันเป็นการสังคายนาครั้งแรก
ในยุคกรุงรัตนโกสินทร์นั้น สมเด็จพระสังฆราช (ศุข) ซึ่งขณะนั้นทรงสมณศักดิ์ที่
พระพนรัตน ทรงเป็นพระเถระที่มีบทบาทสำคัญพระองค์หนึ่ง
คือทรงเป็นแม่กองชำระพระวินัยปิฎก การที่ทรงได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญดังนี้
ย่อมแสดงให้เห็นว่า ทรงเป็นผู้ชำนาญพระไตรปิฎกพระองค์หนึ่ง  
สอดคล้องกับที่ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่า
คงทรงเป็นเปรียญมาแต่ครั้งกรุงเก่า และกรุงธนบุรี  
ดังมีหลักฐานพระนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ  กรมพระยาดำรงราชานุภาพ  
ซึ่งกล่าวไว้ในหนังสือ  “ประวัติอธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุ”   เป็นความตอนหนึ่งว่า

“สมเด็จพระสังฆราช (ศุข) เห็นจะเป็นเปรียญมาแต่ครั้งกรุงเก่า  
เมื่อสังคายนาพระไตรปิฎกยังเป็นพระพนรัตน  ได้เป็นแม่กองชำระพระวินัยปิฎก  
เมื่อเป็นพระสังฆราชได้เป็นอุปัชฌาย์กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท  
กรมพระราชวังบวรสถานภิมุขและกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์  
และเข้าใจว่าเจ้านายที่ทรงผนวชในรัชกาลที่  ๑  ชั้นหลังโดยมาก...”


หมายเหตุ * พระพนรัตน - ใช้อักขรวิธีตามต้นฉบับ


5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-29 10:12 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

ครั้นเมื่อถึงปีพุทธศักราช  ๒๓๓๗ เดือน ๕ ปีขาล  จุลศักราช  ๑๑๕๖ นี้
สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศรี)
สมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สิ้นพระชนม์  
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑
ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนา พระพนรัตน (ศุข) วัดมหาธาตุ
ขึ้นเป็น สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช
นับเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
โปรดเกล้าฯ  ให้สถิตอยู่  ณ  วัดมหาธาตุ นั้นสืบไป
ด้วยเป็นพระอารามหลวงอยู่ระหว่างพระราชวัง สำคัญกว่าวัดระฆัง  
วัดมหาธาตุจึงเป็นที่สถิตของสมเด็จพระสังฆราชองค์อื่นๆ  ต่อมา
6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-29 10:12 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระกรณียกิจสำคัญต่อพระพุทธศาสนา

สมเด็จพระสังฆราช  (ศุข) ได้ทรงวางระเบียบการปฏิบัติไปตามแนวเดิม
ที่ได้วางไว้แต่ครั้งก่อน  คือ  ก่อนที่พระองค์ท่านจะได้รับตำแหน่งสมณศักดิ์
เป็นสมเด็จพระสังฆราช  โดยยึดถือตามแนวหลักเดิมอย่างครั้งกรุงศรีอยุธยา  
คือเรื่องการสอบพระปริยัติธรรม เพื่อเป็นบาเรียนหรือเปรียญในทุกวันนี้
ของพระภิกษุ  สามเณร  โดยแบ่งออกเป็น  ๓  ชั้น  คือ

๑. บาเรียนตรี  ใช้พระสูตรเป็นหลักสูตรตามคณะกรรมการกำหนดให้
ผู้เข้าสอบแปล  เมื่อแปลได้แล้ว  ก็เท่ากับสอบได้เป็นบาเรียนตรี

๒. บาเรียนโท  ใช้พระสูตรกับพระวินัย  เป็นหลักสูตร  
ตามแต่คณะกรรมการกำหนดให้ผู้เข้าสอบแปล  
เมื่อแปลได้แล้วก็เท่ากับสอบได้เป็นบาเรียนโท

๓.  บาเรียนเอก  ใช้พระสูตร  พระวินัย  และพระปรมัตถ์  เป็นหลักสูตร  
ตามแต่คณะกรรมการกำหนดให้ผู้เข้าสอบแปล  
เมื่อแปลได้แล้ว  ก็เท่ากับสอบได้บาเรียนเอก

7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-29 10:13 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระกรณียกิจพิเศษ

สมเด็จพระสังฆราช (ศุข) ทรงเป็นที่เคารพนับถือของพระราชวงศ์และ
ทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์ของพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูงหลายพระองค์คือ

๑. ทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์ของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์
ซึ่งทรงผนวชเป็นพระภิกษุเมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๗ ขณะทรงดำรงพระราชอิสริยยศ
เป็นสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงเสนานุรักษ์
ในคราวเดียวกันนี้ได้โปรดเกล้าฯ ให้ พระพงศ์อมรินทร์
ซึ่งเป็นราชบุตรของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี และนักองเอง ซึ่งต่อมาทรงสถาปนาเป็น
สมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดีฯ พระเจ้ากรุงกัมพูชา ทรงผนวชด้วย

๒. ทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์ของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท
ซึ่งทรงผนวชเป็นครั้งที่ ๒ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๘ ณ วัดมหาธาตุ
เป็นเวลา ๗ วัน  จึงทรงลาผนวช

พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑
ฉบับพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค)  ได้บันทึกเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ ไว้ว่า

“ปีเถาะ  สัปตศก  จุศักราช  ๑๑๕๗  (พ.ศ. ๒๓๓๖)  นั้น  
เมื่อ  ณ  เดือน ๘ ขึ้น  ๑๕  ค่ำ  สมเด็จพระอนุชาธิราช
กรมพระราชวังบวรสถานมงคล  เสด็จลงมาเฝ้าถวายบังคมลาทรงผนวช  
และขอรับพระราชทานอภัยโทษเจ้านันทเสน  
เจ้านครลานช้างที่ต้องโทษกำสมัครพรรคพวก  เจ้านันทเสนและบรรดานักโทษ
ที่ต้องพันธนาการอยู่ในเรือนจำให้พ้นโทษด้วย  ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  
โปรดพระราชทานนักโทษออกจากเวนจำ  
ตามที่สมเด็จพระอนุชาธิราชกราบทูลขอ  
เว้นแต่เจ้านันทเสนและพรรคพวก ซึ่งเป็นกบฏ  
และพวกพม่ารามัญข้าศึกและพวกโจรสลัดนั้นหาโปรดพระราชทานไม่  
กรมพระราชวังบวรสถานมงคลทรงพระราชศรัทธาบวช
ให้นักโทษที่พ้นโทษในครั้งนั้น ๓๒ คน”

“ครั้น  ณ  วันพุธ  เดือน  ๘  ขึ้น  ๑๕  ค่ำ  สมเด็จพระอนุชาธิราช  
กรมพระราชวังบวรสถานมงคลเสด็จทรงบรรพชาอุปสมบท  ณ  วัดพระศรีสรรเพชญ์  
สมเด็จพระสังฆราช เป็นอุปัชฌาย์  พระญาณสังวร  วัดพลับ เป็นพระกรรมวาจา  
พระธรรมกิติ เป็นอนุสาวนา  พระสงฆ์คณะหัตถบาส  ๔๑  รวมเป็น  ๔๔  รูป  
เสด็จทรงบณณพชาอุปสมบทเวลาบ่าย ๕ โมง ๗ บาท”  

8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-29 10:13 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
“ครั้น  ณ  เดือน  ๘  แรม  ๑  ค่ำ  ตรง  ขึ้นพลับพลาปริยาย  บำเพ็ญพระธรรมภาวนา  
ครั้นแรก  ๔  ค่ำ  เวลาบ่าย  ๔  โมง  พระสงฆ์  ๕๐๐  รูป  เจริญพระปริตร  
ณ  พระระเบียงอุโบสถวัดพระศรีสรรเพชญ์”


๓. ทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์ของสมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานภิมุข
กรมพระอนุรักษ์เทเวศร์ ในปี  พ.ศ.  ๒๓๔๔  ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม  
และในการทรงผนวชครั้งนี้  พระองค์เจ้าวาสุกรี  วัดพระเชตุพน  
กับพระองค์เจ้าฉัตรเป็นหางนาค  เมื่อทรงผนวชก็ประทับอยู่ที่วัดระฆังโฆสิตาราม

เรื่องการทรงผนวชของกรมพระราชวังบวรสถานพิมุขนี้  
กล่าวกันว่าได้ทำพิธีกันอย่างเงียบๆ  ทรงผนวชเมื่อมีพระชนมายุได้  ๕๖  พระพรรษา  
และหลังจากทรงผนวชได้  ๕  ปีก็ทิวงคต  เมื่อวันเสาร์  เดือนอ้าย  ขึ้น  ๑๑  ค่ำ  ปีขาล  
พ.ศ.  ๒๓๔๙  เวลาบ่าย  รวมพระชนมายุได้  ๖๑  พรรษา

พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์  รัชกาลที่ ๑
ฉบับพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค)  ได้บันทึกเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ ไว้ว่า

“ครั้น  ณ  เดือน  ๘  แรม  ๑  ค่ำ  ตรง  ขึ้นพลับพลาปริยาย  บำเพ็ญพระธรรมภาวนา  
ครั้นแรก  ๔  ค่ำ  เวลาบ่าย  ๔  โมง  พระสงฆ์  ๕๐๐  รูป  เจริญพระปริตร  
ณ  พระระเบียงอุโบสถวัดพระศรีสรรเพชญ์  รุ่งขึ้นฉันเป็นการฉลอง”


นอกจากนี้ ยังทรงเป็นพระอุปัธยาจารย์ของเจ้านาย
ที่ทรงผนวชในช่วงปลายรัชกาลที่ ๑ โดยมากด้วย
9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-29 10:14 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (ศุข)


พระเมตตาต่อชีวิตสามเณรลูกวัด

สมเด็จพระสังฆราช  (ศุข)  ทรงแผ่พระเมตตาช่วยชีวิตสามเณร  
ซึ่งทำไฟไหม้วัดพระศรีสรรเพชญ์  หรือวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์ไว้ครั้งหนึ่ง  
เมื่อวันศุกร์ เดือน ๔ แรม ๕ ค่ำ ปีระกา ตรีศก จุลศักราช ๑๑๖๓  
ตรงกับปี พ.ศ. ๒๓๔๙ โดยพระภิกษุสามเณรในวัดพระศรีสรรเพชญ์  
เล่นจุดดอกไม้เพลิงในเวลากลางคืน เศษลูกไฟลอยไปติดพระมณฑป
ทำให้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นเหลือแต่ผนังเท่านั้น  
ความทรงทราบถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช   
โปรดเกล้าฯ ให้สืบสวนหาตัวผู้เป็นต้นเพลิง  
เมื่อได้ตัวแล้วพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สึกเสีย  
ส่วนสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท จะให้ลงโทษประหารชีวิต  
แต่สมเด็จพระสังฆราช (ศุข) ถวายพระพรขอพระราชทานบิณฑบาตชีวิตไว้  
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทก็ทรงพระราชทานอภัยโทษให้
10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-29 10:14 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระกรณียกิจในรัชกาลที่ ๒

สมเด็จพระสังฆราช (ศุข) ทรงมีพระชนม์อายุยืนยาวมาถึงรัชกาลที่ ๒
และในรัชกาลนี้ก็ได้ทรงปฏิบัติพระกรณียกิจสำคัญอีกครั้งหนึ่งคือ
ทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์ของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์
ซึ่งทรงผนวชเป็นครั้งที่ ๒ หลังจากเสด็จกลับจากศึกพม่าถึงกรุงเทพฯ
เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๕๓ แล้วประชวรไข้ป่าพระอาการมาก
ครั้นหายประชวรแล้วจึงเสด็จออกทรงผนวชอีกครั้งหนึ่ง
ประทับอยู่วัดมหาธาตุฯ เป็นเวลา ๗ วันจึงทรงลาผนวช


พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒    
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้