ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 6140
ตอบกลับ: 18
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ หลวงตาผนึก สิริมังคโล วัดป่าเขวาสินรินทร์ ~

[คัดลอกลิงก์]


ประวัติและปฏิปทา
หลวงตาผนึก สิริมงฺคโล


วัดป่าเขวาสินรินทร์
ต.เขวาสินรินทร์  อ.เขวาสินรินทร์  จ.สุรินทร์


จากหนังสือประวัติโดยย่อหลวงตาผนึก สิริมงฺคโล

คำนำ

การเรียบเรียงประวัติของหลวงตาผนึก สิริมงฺคโล ในครั้งนี้เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะหลวงตาท่านไม่ค่อยเล่าประวัติของท่าน นอกจากมีผู้ถามท่านก็จะเล่าเพียงเล็กน้อยยิ่งเรื่องทางโลกแล้วท่านจะไม่ค่อยพูดถึงเลย เป็นปกตินิสัยของท่านที่พูดน้อย แม้แต่การเทศนาเองถ้ามีคนเขานิมนต์เทศน์ท่านเทศน์เพียงไม่กี่คำเท่านั้น แต่มีความหมายลึกซึ้ง นอกจากผู้ที่มีความขัดข้องทางด้านการภาวนามาถามท่าน หลวงตาจะตอบบ้างหรือไม่ถ้ามีคนมาถามถึงเรื่องโลกๆ แล้วท่านจะไม่ค่อยพูดเลย ท่านเคยบอกว่า “พูดไปทำไม อยากรู้ไปทำไมไม่มีประโยชน์ ให้ขยันภาวนา เดินจงกรม นั่งสมาธิ นั่นของแท้” ท่านเคยบอกว่า “ในตัวของคนเรานี้มีอยู่ ๒ ตัว...ตัวที่หนึ่งนี้ตายได้  อีกตัวหนึ่งนั้นไม่ตาย ให้ไปหานะ หาให้เจอนะตัวที่ไม่ตาย”...การจัดทำอย่างรีบด่วน เพราะไม่ได้วางแผนเตรียมการมาก่อน จึงได้จัดทำเท่าที่มีข้อมูลอยู่ฉะนั้น การเรียบเรียงประวัติของท่านในครั้งนี้ จึงเป็นการเรียบเรียงแบบย่อๆ พอได้ใจความเกี่ยวกับประวัติของหลวงตาก่อน ถ้ามีโอกาสได้จัดทำประวัติหลวงตา ในครั้งต่อไปคงจะได้ข้อมูลประวัติมาเรียบเรียงแก้ไขปรับปรุงใหม่ให้สมบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้น

คณะศิษย์จึงขอน้อมกราบขอขมาด้วยเศียรเกล้าแด่องค์หลวงตาผนึก สิริมงฺคโล และขออภัยทุกท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้อง หากการจัดทำประวัติหลวงตาในครั้งนี้ได้ผิดพลาด ล่วงเกินประการใดไป ขอได้โปรดงดซึ่งโทษที่ได้ล่วงเกินนั้นด้วย เพื่อการสำรวมระวังในการต่อไป...

คณะศิษย์ ๒๐ พ.ย. ๒๕๕๑

ขออภัย! โพสต์นี้มีไฟล์แนบหรือรูปภาพที่ไม่ได้รับอนุญาตให้คุณเข้าถึง

คุณจำเป็นต้อง ลงชื่อเข้าใช้ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? ลงทะเบียน

x
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-14 08:07 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ชาติภูมิ

หลวงตาผนึก สิริมงฺคโล เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ ๒๖ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๔๖๑ ที่บ้านโชค หมู่ที่ ๓ ตำบลเขวาสินรินทร์  อำเภอเขวาสินรินทร์ (เดิมเป็นเขตอำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์) เป็นบุตรของคุณพ่อพุ่ม-คุณแม่เอี่ยม พโยมแจ่ม ท่านมีพี่น้องร่วมสายโลหิตทั้งหมด ๔ คน มีชื่อตามลำดับดังนี้

คนที่หนึ่งชื่อ นางแป๊ะ (เสียชีวิตแล้ว)
คนที่สองชื่อ นางโปม (เสียชีวิตแล้ว)
คนที่สามคือ หลวงตาผนึก สิริมงฺคโล (มรณภาพแล้ว)
คนที่สี่ชื่อ นางปอม (เสียชีวิตแล้ว)

การศึกษาเมื่ออายุถึงเกณฑ์ ท่านได้เข้าเรียน ณ โรงเรียนวัดโพธิรินวิเวก จนจบชั้นประถมปีที่ ๑
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-14 08:08 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

หลวงตาผนึก สิริมงฺคโล


มุ่งสู่เพศพรหมจรรย์ครั้งแรก

เมื่ออายุ ๑๙ ปี ท่านได้เข้าบรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดโพธิรินวิเวก บ้านเขวาสินรินทร์ ตำบลเขวาสินรินทร์ อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ในสมัยนั้น (ปัจจุบันคืออำเภอเขวาสินรินทร์ จังหวัดสุรินทร์) เป็นเวลาประมาณ ๑ ปี ก็ได้ลาสิกขาออกมา ต่อมาเมื่ออายุ ๒๑ ปี ท่านได้เข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดโพธิรินวิเวก เป็นเวลา ๔ ปี แล้วก็ได้ลาสิกขาออกมาอีกครั้ง เนื่องจากทางบ้านไม่มีใครมาช่วยพ่อ-แม่ทำนา

ชีวิตในการครองเรือน

เมื่อถึงวัยอันควร ท่านผนึก พโยมแจ่ม (ท่านองค์หลวงตาผนึก) ได้แต่งงานใช้ชีวิตการครองเรือนกับคุณยายปิ่ม พโยมแจ่ม (ปัจจุบันคุณยายเสียชีวิตแล้ว) ซึ่งเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน มีบุตรด้วยกัน 5 คน แต่คนแรกนั้นได้เสียชีวิตตั้งแต่เยาว์วัย (เป็นหญิง) ปัจจุบันยังเหลือบุตรอยู่ 4 คน ที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นชายทั้งหมด แต่ก่อนนั้นท่านได้เคยปรารภปรึกษากับภรรยาของท่านว่าจะขอบวชอีกครั้ง ภรรยาบอกว่า “รอให้ใช้หนี้ให้หมดก่อน แล้วฉันจะเป็นเจ้าภาพบวชให้เอง” แต่เมื่อใช้หนี้เขายังไม่หมด ภรรยาก็ได้ด่วนถึงแก่กรรมเสียชีวิตไปก่อน การจัดงานศพของภรรยาท่านยังไม่เสร็จเรียบร้อยดี ทางด้านจิตใจของท่านก็หวนคิด คำนึงถึงแต่เรื่องการจะบวชตอนนี้เรามีโอกาสแล้วโชคดีแล้ว ตามที่เคยตั้งใจไว้ แต่ยังติดอยู่ที่เรื่องเป็นหนี้เท่านั้น ต่อมาเมื่อการจัดงานศพภรรยาของท่านเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลูกๆ ได้ช่วยกันใช้หนี้ให้จนหมดสิ้น
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-14 09:43 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

หลวงปู่ดูลย์  อตุโล


เข้าสู่ใต้ร่มผ้ากาสาวพัตรอีกครั้ง

หลังจากที่ลูกๆ ได้ช่วยใช้หนี้ของครอบครัวจนหมดสิ้นแล้ว ท่านได้เข้าสู่เพศบรรพชิตอีกครั้งเมื่อ อายุท่านได้ ๖๐ ปี อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดบูรพาราม พระอารามหลวง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์  เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ เวลา ๑๓.๔๕ น. โดยมีพระรัตนากรวิสุทธิ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ภายหลังเป็นพระราชวุฒาจารย์), พระครูสถิตสารคุณ (หลวงพ่อเสถียร) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ (ภายหลังเป็นพระรัตนกรวิสุทธิ์ เจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์ ในอดีต) และพระครูนันทปัญญาภรณ์ (สมศักดิ์ ปัณฑิโต) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ (ภายหลังเป็นพระราชวรคุณ เจ้าคณะจังหวัดสุรินทร์ รูปปัจจุบัน) ได้รับฉายาว่า สิริมงฺคโล

หลังจากที่ได้อุปสมบทเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ได้มาอยู่จำพรรษาที่วัดหนองเวียน ซึ่งเป็นวัดสายธรรมยุต ที่อยู่ใกล้บ้านเกิดของหลวงตาเอง คือบ้านโชค หมู่ที่ ๓ ตำบลเขวาสินรินทร์ อำเภอเขวาสินรินทร์ เป็นเวลา ๑ พรรษา หลังจากออกพรรษาแล้วหลวงตาได้เดินทางไปฝึกปฏิบัติกรรมฐานกับหลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ (พระโพธิธรรมาจารย์เถร) ที่วัดถ้ำศรีแก้ว อำเภอภูพาน จังหวัดสกลนคร เป็นเวลา ๑ พรรษา หลังจากออกพรรษาแล้ว ก็ได้ขอกราบลาหลวงปู่สุวัจน์ เดินทางกลับจังหวัดสุรินทร์ เพื่อจัดการแบ่งปันมรดกให้ลูกๆ

5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-14 09:44 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

พระราชวรคุณ (สมศักดิ์ ปณฺฑิโต)


เมื่อแบ่งปันมรดกให้ลูกๆ เรียบร้อยแล้วหลวงตาก็ได้อยู่จำพรรษาที่วัดหนองเวียนอีก ๑ พรรษา พอออกพรรษาแล้วตั้งใจจะกลับไปหาหลวงปู่สุวัจน์ หลวงตาท่านก็ได้ออกเดินทางไปวัดถ้ำศรีแก้วอีกครั้ง ในช่วงตอนบ่ายๆ วันหนึ่ง ท่านองค์หลวงตา กับหลวงตาดุน ๒ รูป ก็ได้ตั้งใจจะออกเดินทางไปวัดถ้ำศรีแก้วอีกครั้ง โดยเดินทางด้วยเท้าไปแบบไม่รีบเร่ง แล้วก็ได้เดินทางมาแวะพักที่ป่าใกล้ๆ ที่ไม่ไกลจากอำเภอเขวาสินรินทร์ ซึ่งปัจจุบันป่าแห่งนั้น ก็คือ วัดป่าเขวาสินรินทร์ นี่เองพอมาอยู่ตรงนี้ ก็ได้ปรึกษากันว่า ถ้าปักกลดในป่าลึก หลวงตาดุน ท่านจะเดินบิณฑบาตไปไม่ถึงหมู่บ้าน จึงได้ออกมาปักกลดอยู่ชายป่าซึ่งเป็นบริเวณที่ดินของนายโชย-นางใบ ไกรพูน เพื่อให้สะดวกในการออกเดินบิณฑบาต พอเจ้าของที่ดินทราบข่าวว่ามีหลวงตา ๒ รูป มาปักกลดในที่ดินของตนก็ได้มานิมนต์ให้พักภาวนาอยู่ต่อไป เพราะว่าเจ้าของที่ดินเขาก็มีศรัทธาที่จะถวายที่ดินตรงนี้ให้สร้างเป็นวัดอยู่แล้ว พอท่านองค์หลวงตา ได้ไปกราบเรียนหลวงปู่ดูลย์ อตุโล เมื่อท่านได้ทราบ หลวงปู่ดูลย์ ก็ได้เดินทางมาดูพื้นที่ที่โยมถวายด้วยตนเอง และหลวงปู่ดูลย์ท่านได้บอกกับหลวงตาผนึก ว่า

“ให้อยู่ตรงนี้แหละ อยู่ไปไม่ต้องคิดการก่อสร้าง ตั้งใจภาวนา สร้างจิตสร้างใจตัวเอง ให้เป็นธรรม ให้มีภูมิอรรถภูมิธรรม มีคุณธรรมประจำใจ ส่วนทางด้านวัตถุ สิ่งของ ปัจจัย ๔ นั้นจะมีศรัทธาญาติโยมมาสร้างให้เองไม่ต้องคิดก่อสร้างให้ลำบากเขามีเจ้าของหมดแล้ว”

ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา หลวงตาผนึก สิริมงฺคโล ก็ได้อยู่จำพรรษาที่นี่ ตลอดมาจนกระทั่งถึงวาระสุดท้าย

6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-14 09:52 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

หลวงตาผนึก สิริมงฺคโล-หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ


ช่วงนิมิตเห็นวัดป่าเขวาสินรินทร์

ครั้งเมื่อจำพรรษาอยู่ที่วัดหนองเวียน หลวงตาได้นิมิตเห็นศาลาวัดป่าเขวาสินรินทร์ เมื่อสร้างศาลาหลังแรกเสร็จท่านจึงได้พูดบอกข้าพเจ้าว่า

(๑) ศาลาหลังนี้มันเหมือนที่ในนิมิตเห็นทุกอย่าง เช่น เชือกราวตากผ้าสีแดง ศาลาหลังเล็กๆ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๘ ในพรรษา หลวงตาได้อาพาธไม่สบายต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสุรินทร์ หลวงตามีอาการท้องเสีย ห้องน้ำก็อยู่ไกลกุฎี ท่านเดินเข้าเดินออกห้องน้ำหลายๆ รอบ ข้าพเจ้าได้ดูอยู่ห่างๆ เพราะเพิ่งบวชมาใหม่ยังไม่คุ้นเคยกับองค์หลวงตามากนัก ช่วงบ่ายวันนั้นเองมีฝนตกพรำๆ อยู่ตลอด เมื่อหลวงตามีอาการเพลียมาก ก็ยืนจับต้นไม้อยู่เพื่อพักเอาแรงเนื่องจากท้องเสียหนัก พอมีแรงแล้วจึงเดินไปเพื่อเข้ากุฎีอีก ส่วนข้าพเจ้า (พระใหม่ในตอนนั้น) จะเอาร่มไปให้ก็ไม่ก็กล้า ได้แต่มองด้วยสายตาไปมา...

พอหลวงตาหมดแรงแล้วก็นั่งอยู่บนโซฟาหน้ากุฎี ข้าพเจ้าเห็นท่านนั่งอยู่นานผิดสังเกตจึงเดินไปดูทั้งกล้าๆ กลัวๆ เห็นท่านหลวงตานั่งนิ่งอยู่ ข้าพเจ้าก็เรียกดูท่านเงียบอยู่ ข้าพเจ้าเดินวนรอบกุฎีหนึ่งรอบ แล้วกลับมาเรียกท่านหลวงตาอีกครั้ง ก็ยังนั่งนิ่งเงียบอยู่เหมือนเดิม พอเดินรอบที่สามได้มาหยุดนั่งใกล้ๆ แล้วเรียกเบาๆ หลวงตาท่านก็ยังนิ่งอยู่เหมือนเคย องค์ท่านนั่งในถ้าขัดสมาธิอยู่ ตัวองค์ท่านเริ่มสั่นแล้วมีอาการแรงขึ้นเรื่อยๆ ข้าพเจ้าจึงเรียกด้วยเสียงดังขึ้น องค์ท่านจึงได้ลืมตาขึ้นมา ข้าพเจ้าจึงพยุงตัวองค์ท่านลุกขึ้นแล้วพาองค์ท่านเข้าในกุฎี ประคองตัวท่านให้นอนลง องค์ท่่านนอนกำหนดสติทำสมาธิไปด้วย

(๒) และเกิดนิมิตขึ้น ได้มีรถแสตนเลต สีขาวสวยงาม มีคนขับนั่งอยู่โดยไม่พูดไม่จาอะไร องค์ท่านได้พิจารณาในจิตรู้ได้ทันทีว่า รถคันนี้คือ ยานพาหนะ ที่จะพาดวงจิตวิญญาณ ขององค์ท่่านไปเกิดอีก องค์ท่านจึงพูดอยู่ในจิตว่า “เรารู้แล้วท่านจะมาพาเราไปเกิดอีก เราจะไม่ไปเกิดอีกแล้ว” ทั้งรถทั้งคนนั้นก็หายแวบไป ส่วนข้าพเจ้าก็ได้ออกจาก กุฏิมาเรียกพระอีกรูปหนึ่งให้ไปบอกโยม ให้มาช่วยดูท่านหลวงตาหน่อย ว่าองค์ท่านเป็นอะไรไป แล้วพอโยมมา พาองค์ท่านไปอยู่ที่ศาลา มีแคร่ไม้ไผ่ให้องค์ท่่านนอนพักอยู่บนนั้น พอมาพากันนั่งดูอยู่ เห็นองค์ท่านนอนนิ่งอยู่นานผิดสังเกต จึงเข้าไปจับตัวองค์ท่านดูองค์ท่่านไม่ขยับตัวเลย จึงได้กดหน้าท้ององค์ท่่านดูพบว่า หน้าท้องขององค์ท่าน แข็งเหมือนกะลามะพร้าว จึงพากันนำตัวองค์ท่่านเข้าโรงพยาบาลสุรินทร์ เมื่อหมอตรวจเช็คดู ก็พบว่าลำไส้อักเสบ จะต้องรักษาด้วยการผ่าตัดลำไส้ที่เสียออก เมื่อหมอทำการผ่าตัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว อาการป่วยขององค์ท่านก็ไม่ดีขึ้น หมอก็ได้เรียกลูกๆ ขององค์ท่านมาปรึกษาว่า จะขอผ่าตัดรักษาองค์ท่่านอีกครั้ง พอองค์ท่านได้ยินว่าจะผ่าตัดอีกครั้ง องค์ท่านจึงบอกกับลูกๆ ว่าให้เอาตัวองค์ท่านไปตายที่วัดดีกว่า
7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-14 09:53 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ลูกๆ จึงขออนุญาตหมอนำองค์ท่านกลับวัดป่าเขวาสินรินทร์ มานอนพักอยู่ที่ศาลาวัด ฉันอาหารอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้ำก็ฉันไม่ได้ทำให้องค์ท่่านคอแห้ง พูดเสียงไม่ออกต้องเอาหูแนบใกล้ปากท่านพอฟังได้ความ ขณะนั้นโยมได้ไปนิมนต์ท่่านพระอาจารย์สุพร (พระครูภาวนาปัญญาภรณ์) มาแสดงธรรมให้ฟังหนึ่งกัณฑ์ เมื่อแสดงธรรมจบ ท่านพระอาจารย์สุพร ได้ถามองค์หลวงตาว่าท่านอยากฉันอะไรบ้าง องค์ท่านก็บอกว่าอยากฉันโค้ก ท่านพระอาจารย์สุพร จึงได้หันมาบอกกับญาติโยมว่าท่านอยากฉันโค้ก ญาติโยมได้ฟังต่างก็ตกใจเพราะหมอสั่งห้ามไว้ว่าห้ามฉันน้ำอัดลมทุกชนิด พระอาจารย์สพร ก็แย้งไปว่าจะให้ท่านอดตาย หรือว่าให้ท่านหายอยากแล้วค่อยตาย พอท่านพระอาจารย์สุพร ให้โยมเอาโค้กมาแล้วเทใส่แก้วเอาเกลือใส่ไปด้วยแล้วให้องค์หลวงตาฉันโดยการใช้หลอดดูดหมดแก้ว แล้วถามองค์ท่านว่าเอาอีกไหม หลวงตาบอกว่าเอาอีกท่านพูดพอได้ยินเสียงบ้าง ท่านพระอาจารย์สุุพร จึงเทครึ่งขวดที่เหลือลงแก้วใส่เกลือเช่นเดิมให้องค์ท่่านฉันจนหมด หลังจากนั้นท่านพระอาจารย์สุพร ได้บอกโยมให้ซื้อโค้กไว้เป็นลัง ท่านก็นิมนต์กลับวัดป่าประสาทจอมพระ  อำเภอจอมพระ จังหวัดสุรินทร์

หลังจากท่านพระอาจารย์สพร กลับวัดได้หนึ่งอาทิตย์ ต่่อมาได้มีญาติโยมไปกราบนมัสการท่านพระอาจารย์สุุพร ท่านได้ถามโยมถึงอาการป่วยขององค์หลวงตาว่าท่านเดินได้หรือยัง โยมตอบท่านพระอาจารย์สุพร ว่ายังครับ องค์หลวงตาพูดได้แต่แผลที่ผ่าตัดเกิดติดเชื้อมีหนองอย่างมาก แต่แรกลูกคนที่ดูแลหลวงตาเกิดการท้อใจจึงงดให้ยากับหลวงตา แต่เมื่อมีหนองมากขึ้นจึงทำความสะอาดแผลให้ใหม่ให้ฉันยาแก้อักเสบเหมือนเดิมแผลที่อักเสบนั้นค่อยๆ หายจนปกติ และองค์หลวงตาก็ลุกขึ้นนั่งได้และเดินได้ตามลำดับพอออกพรรษาเดินได้แข็งแรง

ท่านองค์หลวงตาก็คิดถึงพระครูบาอาจารย์ไม่เคยมาเยี่ยม ตอนตัวเองป่วยไม่สบาย แต่องค์หลวงตากลับคิดถึง องค์หลวงตาไปเยี่ยม ทุกๆ รูปที่คิดถึง โดยทิ้งให้พระบวชใหม่เพียงพรรษาเดียวเฝ้าวัดอยู่ท่านองค์หลวงตาเป็นพระที่ไม่ถือตัวไม่มีทิฐิมานะถือตัวถือตนอะไรกับใคร

(๓) นิมิตเห็นในกลางหน้าอก ว่ามีดวงแก้วคล้ายตะเกียงเปาะดูด้านหนึ่งดังดวงแก้วสุกใส แต่อีกด้านหนึ่งยังเป็นเงาสลัวๆ องค์ท่่านพิจารณาแล้วเห็นว่า จิตใจยังไม่บริสุทธ์เต็มที่ จึงได้เร่งปฏิบัติอย่างไม่ลดละ

(๔) นิมิตเห็นว่ามีตอไม้ผุดขึ้นมามีสีเหลืองคล้ายสีจีวรเมื่อเพ่งดูไป มันหมุนแล้วละลายไปต่อหน้า เมื่อพิจารณาแล้วรู้ได้ว่าไม่มีเชื้ออะไรเกิดอีกต่อไปแล้ว

(๕) นิมิตเห็นคนถากไม้ แต่ไม้ที่ถากอยู่เป็นแก่นไม่มีกระพี้ จิตของท่านผุดคิดขึ้นมาว่าไม้ท่อนนี้จะเอาไปทำอะไรก็ได้ เอาไปสร้างบ้านสร้างเรือนก็ได้ทั้งนั้น แต่คนที่กำลังถากไม้อยู่นั้นพูดขึ้นว่า “จะทำไหมนาแปลงนี้ถ้าทำจะได้ข้าวปีละ ๒๐ เกวียน (ข้าพเจ้าผู้เขียนตรึกถึงอายุสังขารของท่านจะอยู่ได้อีกประมาณ ๒๐ ปี) ตอนไปเยี่ยมหลวงตาคืน ปสนฺโน ที่วัดหน้าเรือนจำ ได้โอกาสเข้านมัสการท่าน กราบ...แล้วพูดว่าผมมาขอปฏิบัติด้วย...ขอให้ดูผมให้เต็มที่เพราะผมมีกิเลสมาก แล้วกลับมายังที่พัก เมื่อปวารณาตนเช่นนั้น หลวงตาก็ไม่กล้าพักจำวัดได้ไปเดินจงกรมอยู่นาน หลวงตามีอาการแน่นหน้าท้องคล้ายจะตายให้ได้ ท่านจึงเดินเข้าไปในกลดแล้วนอนตะแคงขวาดูว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา พอจิตสลัดออกจากร่างทันที จิตเห็นร่างอยู่ส่วนร่าง วิญญาณอยู่ส่วนวิญญาณ จิตอยู่ส่วนจิต จิตนี้ไม่มีตัวไม่มีตน จิตคิดว่านี่เราตายแล้วหรือว่าเรามาตายโดยไม่มีใครรู้เห็น น่าสังเวชยิ่งนัก จิตร้องไห้อยู่คนเดียวพอได้สติ จิตคิดว่า อ้อ คนตายเป็นอย่างนี้นี่เอง จิตจึงหยุดร้องไห้จิตถอนออกมา จึงรู้ได้ว่าคนตายเป็นอย่างนี้แหละหนอ จึงได้เล่าให้หลวงตาคืนฟัง และรอเวลาจะเรียนให้หลวงปู่สุวัจน์ ทราบเมื่อหลวงปู่กลับมาจากเมืองนอก หลวงตาได้เข้าไปกราบเรียนท่านหลวงปู่สุวัจน์ ให้ทราบความตามที่ตนได้ประสพพบเห็น หลวงปู่สุวัจน์ บอกหลวงตาว่าถูกทางแล้วปฏิบัติต่อไป...
8#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-14 09:53 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
(๖) หลวงตาเร่งปฏิบัติอย่างเต็มที่ไม่นานนักก็เกิดนิมิตขึ้นอีก ท่านเห็นตนเองผุดขึ้นมาจากใต้ดิน ตัวท่านดำเหมือนตอตะโก จิตคิดพิจารณาได้ว่าตัวเองพึ่งพ้นจากนรก จิตตกนรกไม่ใช่กายตกนรก “เราปิดทางนรกได้แล้ว เราจะไม่ตกนรกอีกแล้ว” ท่านพูดอย่างนี้


หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต   


ครั้งต่อมาท่านองค์หลวงตาได้มีโอกาสขึ้นไปกราบนมัสการหลวงปู่หล้า เขมปตฺโต ที่วัดภูจ้อก้อ จังหวัดมุกดาหาร  หลวงปู่หล้าได้เล่าภูมิธรรมชั้นโสดาบัน ให้หลวงตาฟังแล้วกำชับกับญาติโยม ที่ตามไปด้วยว่า “อย่าไปถามเลขถามหวยกับท่านนะ ท่านไม่รู้อะไรหรอก”

(๗) นิมิตเห็นพระพุทธรูป ๒ องค์ และมีเสียงดังบอกมาว่ายังมาไม่ครบขาดอีก ๑ องค์...หนีกฎแห่งกรรมไม่พ้น
9#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-14 09:54 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

หลวงตาผนึก สิริมงฺคโล  


เมื่อสมัยตอนหลวงตายังเป็นฆราวาส เป็นธรรมดาเองที่จะต้องทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง การดำเนินชีวิตแบบบ้านนอกคอกนา มีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงตาได้ทำอาวุธชนิดหนึ่งสำหรับการล่าสัตว์ อาวุธชนิดนั้นคือหน้าไม้ซึ่งเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพมาก มีความเร็วสูงชนิดหนึ่ง เมื่อหลวงตาทำเสร็จเรียบร้อยแล้วต้องมีการเอาไปทดลองความแม่นยำ และได้ทำลูกดอกเพียงดอกเดียว แล้วเดินทางไปที่ทุ่งนาตรงไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง สายตาเหลือบไปเห็นนกเอี้ยงตัวหนึ่งเกาะอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่อยู่โพล่แต่หัวมาให้เห็น จึงยกหน้าไม้ขึ้นใส่ลูกดอกแล้วเล็งไปที่หัวนกตัวนั้นแล้วเหนี่ยวไกทันที อนิจจาแม่นเหมือนจับวางไม่มีผิด หลวงตาเกิดความดีใจมากในตอนนั้น อำนาจความดีใจนี้เองทำให้มีการจองเวรจองกรรมซึ่งกันและกันขึ้น

ครั้นแล้วเมื่อหลวงตามาบวช กฎกรรมอันนั้นก็ตามสนององค์ท่าน เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๔๕ หลวงตามีอาการปวดศีรษะต้องนำส่งโรงพยาบาล ฉันอะไรไม่ได้ ฉันไปสักพักหนึ่งก็มีอาการอาเจียนออกมาหมด เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่ฉันอาหารและน้ำเข้าไป ตอนแรกๆ หมอยังหาสาเหตุไม่พบ หลวงตาต้องทนทุกขเวทนาพอสมควร ภายหลังหมอได้พาหลวงตาไปทำการเอ็กซเรย์สมอง จึงได้พบเห็นว่ามีเลือดขังอยู่ในสมอง แต่อยู่ในรอบนอกสมองซีกซ้ายด้านหน้ากดทับสมองอยู่ทำให้สมองไม่สั่งงาน หมอจึงทำการรักษาด้วยการเจาะกะโหลกเพื่อที่จะเอาเลือดที่ขังอยู่ออก แล้วหมอก็ใส่สายยางให้เลือดที่เหลือไหลออกมา จุดนี้เองซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกับที่หลวงตาเคยยิงนกเอี้ยงตัวนั้น สายยางที่ติดอยู่บนหัวของหลวงตา อยู่ไม่ต่างอะไรกับลูกดอกที่ปักหัวนกเอี้ยงตัวนั้นเลย

ทุกครั้งที่หลวงตาเล่าเรื่องนี้ให้ลูกศิษย์จึังจบลงองค์ท่าน ก็จะหัวเราะ...ฮึ...ฮึ...เบาๆ...นี่แหล่ะท่านทั้งหลายกรรมที่กระทำแล้วบางครั้งก็คิดว่าเป็นกรรมที่เล็กน้อยคิดว่าไม่เป็นอะไร...แต่หาใช่เป็นไปตามอย่างที่เราคิดไม่ มันอยู่ที่การเจตนาที่ทำลงไปต่างหาก กรรมจะหนักหรือเบาอยู่ที่เจตนานะท่านทั้งหลาย...
10#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-14 09:54 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

หลวงตาผนึก สิริมงฺคโล ในอิริยาบทสบายๆ  


คติธรรมของหลวงตา

องค์หลวงตามักจะพูดธรรมะสั้นๆ ว่า
“ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยากำลัง”
“ทำจิตทำใจให้เกิดศีล”
"ทำจิตทำใจให้เกิดสมาธิ”
"ทำจิตใจให้เกิดปัญญา”

“จงมอบกายถวายชีวิตให้แก่...พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เสียสละให้หมด...พุทธะ คือผู้รู้...ผู้ตื่น...ผู้เบิกบาน...ผู้สว่างไสว...สวรรค์อยู่ในอก...นรกอยู่ในใจ...นิพพานอยู่ที่ไหน...ก็อยู่ในใจนี่เอง...ทำใจให้หมดความอยาก...สั่งสมบุญให้เกิดให้มี สร้างบารมีไปเรื่อยๆ ไม่ใช่เกิดมาเป็นคนแล้วจะเกิดแต่เป็นคนอยู่อย่างนั้นไม่ใช่...เดียวจะขาดทุนไม่มีกำไร...ตกนรกซ้ำอีกนะไม่ใช่ของดีนะ...เดียวตกนรกนะ...แล้วก็ยกหัวแม่มือชี้ไปยังผู้นั่งฟังแล้ว...หัวเราะ...กำชับแล้วกำชับอีกจนกว่าผู้ฟังจะกลับไป...”

“ทำจิตทำใจ ให้มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ให้มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ในใจ ไปที่ไหนอยู่ที่ไหนให้ระลึกถึงคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตลอดเวลานะ ไม่มีอะไรแจกหรอกมีเท่านี้แหละ...”

หลวงตาแนะนำคณะญาติโยม ที่มาทำบุญและผู้ไปมาคารวะองค์หลวงตา ท่านจะให้ธรรมะเป็นเครื่องเตือนใจอยู่เสมอว่า “จงทำจิตใจของตัวเองให้มีศีล ให้รู้จักศีลของตัวเอง ให้มอบกายถวายชีวิตแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้ประทับที่จิตใจ ให้ใจมีคุณธรรม”

หลวงตาท่านสอนและให้ธรรมะปฏิบัติแก่พระ-เณร ที่มากราบคารวะท่านว่า “บวชมาแล้วให้ตั้งจิตตั้งใจประพฤติตนให้ดี ตรวจดูศีลของตน รักษาศีลให้บริสุทธิ์ ชีวิตนี้เกิดมาแล้วมีแต่ความทุกข์ ให้ภาวนาให้เกิดแสงสว่างในใจ”

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้