ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก
เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด
เข้าสู่ระบบ
บ้านหลวงปู่
คศช.
ข่าวสารล่าสุด
ประสบการณ์
โชว์วัตถุมงคล
สอบถาม
นานาสาระ
นครนาคราช
ร่วมประมูล
บูชาวัตถุมงคล
เพื่อน
กระทู้แนะนำ
บุ๊คมาร์ก
ไอเท็ม
เหรียญ
ภารกิจ
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
ดูบริการทั้งหมด
เว็บบอร์ด
BBS
บูชาวัตถุมงคลหลวงปู่ชื่น
ศรีสุทธรรมนาคราช
ร้านจอมพระ
ศูนย์พระเครื่องจอมพระ
ค้นหา
ค้นหา
HOT TAG:
พระศรีราม
ขุนแผนแสนตรีเวทย์
พระเจ้าชัยวรมัน
บอร์ดนี้
บทความ
เนื้อหา
สมาชิก
Baan Jompra
›
นานาสาระ
›
ตำนาน เรื่องเล่า เกร็ดความรู้ เรื่องลี้ลับ
»
ท่านพ่อลีระลึกชาติ
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
ดู: 2311
ตอบกลับ: 2
ท่านพ่อลีระลึกชาติ
[คัดลอกลิงก์]
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
ไปยังโพสต์
1
#
โพสต์ 2014-5-4 08:25
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
|
โพสต์ใหม่ขึ้นก่อน
|
โหมดอ่าน
ท่านพ่อลีระลึกชาติ
ท่านพ่อลีเล่าว่า...
เมื่อเราเกิดมาได้เพียง ๙ วัน มีอาการร้องไห้กระจองอแงรบกวนพ่อแม่เป็นอย่างมาก ไม่มีใครสามารถจะเลี้ยงให้ถูกใจได้ เป็นเด็กที่เลี้ยงยาก ซุกซนที่สุด มักร้องไห้เอาแต่ใจเสมอ เมื่อโยมแม่ออกไฟได้ ๓ วัน เราเกิดเจ็บป่วยด้วยโรคบนศีรษะ ไม่ยอมกินไม่ยอมนอนเป็นเวลาหลายวัน
“อันโรคเจ็บป่วยบนศีรษะที่เป็นมาตั้งแต่เกิด” นั้น เป็นบุพพกรรมมาตั้งแต่อดีตชาติที่เคยพรากชีวิตสัตว์ไว้ เราเคยเกิดเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่รบได้ชัยชนะมาทั้ง ๔ ทิศ ได้สร้างกรรมหนักหน่วงด้วยการฆ่ามนุษย์ ทรมานนักโทษด้วยเครื่องบีบศีรษะ และเครื่องทรมานอื่นๆ อันเป็นเครื่องทรมานที่สุดแสนจะทารุณ เพื่อให้เขายอมรับผิดและพูดความจริงถึงความลับของอริราชศัตรู แต่การได้ชัยชนะเหล่านั้นมา กลับเป็นการสร้างเวรกรรมที่ไม่มีวันจะจบสิ้น...ส่งผลให้ชาติปัจจุบัน เราต้องมีอาการปวดศีรษะและจะอายุสั้น เพราะเราได้ฆ่ามนุษย์ไว้มากในชาติที่เป็นกษัตริย์นั้น
เนื่องจากท่านพ่อลี ธมฺมธโร ได้เคยปรารภถึงเรื่องในอดีตชาติ ก่อนที่จะมาเกิดในชาตินี้ซึ่งเป็นชาติสุดท้ายของท่านไว้ว่า
ท่านเคยเกิดเป็นชาวจังหวัดจันทบุรี มีฐานะมั่งคั่งพรั่งพร้อม มีชีวิตความเป็นอยู่สะดวกสบาย เป็นบุตรชายคนที่สอง พ่อแม่รักถนอมดั่งดวงใจ
เมื่อผู้เขียนได้ศึกษาประวัติของท่านพ่อมาถึงตรงนี้จึงเกิดความคิดสะกิดใจ ใคร่รู้ใคร่เห็นในชาติที่ท่านเกิดครั้งนั้นว่าน่าจะมีอะไรที่น่าสนใจมากกว่านี้ สมควรที่จะไขปริศนาความลี้ลับแห่งภพชาติหนหลังของท่าน อันจะเป็นกุญแจไขไปสู่ประตูแห่งนรกสวรรค์ และพระนิพพานได้เป็นอย่างดี
ด้วยเหตุนี้จึงพยายามสืบค้นหาความจริงยืนยันในเรื่องนี้ เมื่อเป็นที่แน่ใจแล้ว ผู้เขียนและทีมงานจึงเดินทางไปพบกับ
คุณลุงสถิต ไมตรีเวช
ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานชายของท่านพ่อลีทันที ณ บ้านเลขที่ ๖๒๙/๑๒๐ ตำบลท้ายบ้าน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ
เมื่อคุณลุงสถิต ซึ่งมีตำแหน่งเป็นสรรพากรจังหวัดสระบุรี ก่อนที่จะเกษียณอายุราชการ ได้เข้าใจถึงสาเหตุที่พวกเรามาพบแล้ว คุณลุงจึงเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่พอจะจำได้ให้พวกเราฟังว่า
ชาติก่อนนั้นท่านพ่อลีเป็นน้องชายของพ่อผม คือ ขุนแพทย์ไพบูลย์ (ไพบูลย์ ไมตรีเวช) ทั้งคู่เป็นบุตรของ ก๋ง (ปู่) จันทร์ และคุณย่าฮ้วย ไมตรีเวช ซึ่งเป็นคนรวย มีที่ดินและห้องแถวให้เช่าอยู่จังหวัดจันทบุรี แต่ย่าเป็นคนมีนิสัยค่อนข้างหนักไปทางตระหนี่ถี่เหนียว ไม่ชอบทำบุญสุนทานอะไรเลย ชาตินั้นท่านพ่อลีอายุสั้นมาก ตายตอนอายุได้แค่ ๘ ขวบเท่านั้น ท่านตายไปได้ไม่กี่ปีท่านก็มาเกิดใหม่อีกในชาตินี้ คุณแม่และพี่ชายของท่านยังมีชีวิตอยู่ เรียกได้ว่า “ทวิภพ” คือ “ท่านเป็นคน ๒ ภพ” คือตายแล้วเกิดใหม่ พ่อแม่เก่าและญาติพี่น้องก็ยังคงอยู่ เป็นเรื่องน่าพิศวง
ฉะนั้น ผมซึ่งเป็นหลานของท่านจึงทันได้พบท่าน และพอรู้เรื่องราวจากพ่อผมเล่าให้ผมฟังว่า ในปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ท่านพ่อลีซึ่งบวชเป็นพระแล้ว ได้มาหาย่าที่บ้าน ย่าก็รู้สึกแปลกใจสงสัยว่าพระมาทำไม? ไม่ได้รู้จักกันซักหน่อย ด้วยความที่ย่าเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวมาก ก็กลัวว่าพระจะมาขอเรี่ยไรเงิน จึงถามท่านพ่อว่า
“ท่านชื่ออะไร? มาจากไหน? มาทำไม?”
ท่านพ่อท่านก็ไม่มีลีลามาก ท่านก็พูดโต้งๆ ซื่อๆ ว่า
“อาตมาชื่อ ‘ลี’ มาจากวัดป่าคลองกุ้ง มาหาคุณแม่ คุณแม่เป็นโยมแม่ของอาตมาเมื่อชาติปางก่อน” คุณย่าได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ไม่เชื่อ คิดว่าท่านพ่อลีมาหลอก เพราะทราบว่า “ตัวเป็นคนรวย คงอยากได้เงินได้สมบัติละสิ”
ในส่วนตัวผมคิดว่า ท่านหวังจะมาโปรดให้คุณย่ารู้จักทำบุญทำทานเสียบ้าง อายุมากแล้ว ตอนนั้นก็อายุตั้ง ๗๙ ปี ยังไม่รู้จักการให้ทานรักษาศีลสักเท่าไร...งกที่สุด
จากนั้นท่านพ่อจึงบอกว่า “โยมแม่” อาตมาไม่ได้หวังอะไรในสมบัติของโยมเลย โปรดฟังอาตมาก่อน แล้วค่อยตัดสินใจว่าสิ่งที่อาตมาพูดเป็นความจริงหรือความเท็จหรือแต่งเรื่องขึ้นมา
บุ๊คมาร์ก
0
ตอบกลับ
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
2
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-5-4 08:25
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
คุณย่าจึงเรียกพ่อผมมาฟังด้วย เพราะฟังคนเดียวเดี๋ยวโดนพระหลอก
ท่านพ่อลีจึงเล่าเรื่องแต่ปางก่อนอย่างช้าๆ ว่า...“โยมแม่จำได้ไหมว่า ไฟเคยไหม้ที่ตลาดของเรา เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๕ ตอนนั้นอาตมาอายุได้เพียง ๘ ปี โดนไฟครอกพุพองไหม้เกรียมไปทั้งร่าง โยมแม่ร้องไห้แทบเป็นแทบตาย เบื้องต้นอาตมายังไม่ตาย โยมแม่เฝ้าถนอมรักษาอยู่นานวัน หลังจากนั้นไม่นานอาตมาก็ถึงแก่ความตายตอนอายุ ๘ ปี
หลังจากตายไป ๔ ปี คือ ในปี พ.ศ. ๒๔๔๙ อาตมาก็มาเกิดใหม่ที่จังหวัดอุบลฯ ตอนนี้แม่ที่อุบลฯ ก็ตายแล้ว อาตมาอยากตอบแทนบุญคุณแม่ที่ยังไม่ตาย คือ แม่ที่นั่งอยู่ต่อหน้าต่อตาอาตมานี้เอง
คุณย่าฮ้วยและพ่อผมนั่งฟังนิ่ง พยายามลำดับเรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีต ตามที่ท่านพ่อลีเล่า ถึงแม้เรื่องนี้จะผ่านมานานแล้ว แต่คุณย่ายังจำฝังใจไม่มีวันลืมเลือนในเหตุการณ์ครั้งนั้น ถ้าหากท่านพ่อลีเล่าผิดนิดเดียวนั้นแสดงว่าหาข้อมูลมาโกหก แม้ที่ท่านพ่อลีพูดมานั้นจะถูกต้องทุกเรื่อง แต่ก็มิได้ทำให้คุณย่าฮ้วยเชื่อและลงใจ แกก็ยังลังเลที่จะเชื่อว่าเป็นลูกของตัวจริงๆ
ท่านพ่อลี จ้องหน้าคุณย่าด้วยสายตาคบกริบและพูดอย่างหนักแน่นว่า...“โยมแม่!...อาตมาลืมบอกไปเรื่องหนึ่ง คือตอนที่อาตมาเป็นเด็ก ในครั้งนั้นอาตมามีแผลเป็นอยู่ตรงขาด้านซ้าย ซึ่งเกิดจากตอนเป็นเด็กซุกซนมาก ขามีแผลเหวอะหวะ คุณแม่ยังเอายามาคอยทาให้ เรื่องนี้นอกจากคุณแม่ และพี่ชาย และอาตมาแล้วคงไม่มีใครอาจรู้ได้”
คุณย่าฮ้วยกับพ่อผมได้ฟังดังนั้น เหมือนฟ้าดินถล่มภายในดวงใจ ถึงกับน้ำตาไหล ย่าฮ้วยจ้องมองท่านพ่อลีด้วยนัยตาแห่งความอ่อนโยนอันสื่อมาจากความรักเอ็นดูของแม่ สงสารท่านพ่อลีเป็นกำลัง ถ้าไม่ใช่พระ คุณย่าคงเข้าไปโอบกอดท่านแล้ว
“แม่...เรื่องในครอบครัวนี้ไม่มีใครจะสามารถรู้ได้ นอกจากพวกเราเอง” พ่อผมพูดขึ้น
“โถ...ลูกแม่” ย่าฮ้วยอุทานพร้อมทั้งน้ำตาที่ไหลออกมาเป็นสาย
“พระท่านสอน บุญบาปมี ชาติหน้ามีจริง นรกสวรรค์มีจริงแท้ๆ”
ย่าฮ้วยอุทานอีกครั้ง
“บุญค้ำจุนแท้ๆ ที่ได้พบกัน”
ย่าฮ้วยพร่ำรำพันแล้วรำพันเล่า
และท่านพ่อลีก็ได้เล่าเรื่องต่างๆ ในอดีตมากมายให้ย่าฮ้วยฟัง เสียดายผมจำมาจากพ่อไม่ได้หมด คุณลุงสถิตบ่นเสียดาย “ผมสรุปสั้นๆ ก็แล้วกันว่าคุณย่าเชื่อสนิท”
จากนั้นท่านพ่อก็ไปๆ มาๆ ที่บ้านย่าฮ้วยเป็นประจำ มาดูแลย่า เช่น ยามเวลาย่าเจ็บป่วยก็ส่งคนมาช่วยดูแล ส่วนท่านก็มาถามไถ่ว่า เป็นไงบ้างโยมแม่และหาของมาฝากมาให้เสมอ
คุณย่าก็ยิ่งรักท่านพ่อลี รักมากๆ รักเหมือนลูกในไส้ พวกเราทั้งตระกูลก็รักท่าน กาลต่อมาคุณย่ากราบขออ้อนวอนให้ท่านสึกมารับทรัพย์มรดก ท่านก็ไม่สึก
ท่านพ่อลีตอบว่าถ้าจะให้ก็ไม่ต้องให้ส่วนตัวหรอก ทำบุญไปเลย ให้วัดไปเลย อาตมาไม่เอา คุณย่าเห็นว่าท่านพ่อมีความตั้งใจอย่างนั้นจริงๆ จึงทำตามที่ท่านพ่อบอก
ที่จำได้ย่ายกสมบัติที่มีให้วัด ยกที่ให้โรงเรียน ส่วนหนึ่งของวัดป่าคลองกุ้งก็เป็นที่ย่า ติดกับบ้านที่ย่าอยู่มีสวนมะม่วงด้วย ผมเคยทานข้าวที่บ้าน แล้วไปนั่งส้วมที่สวนมะม่วง ใกล้กันมาก แหงนหน้ามีแต่มะม่วง เก็บมะม่วงได้ เพราะส้วมสมัยนั้นไม่มีหลังคา พ่อผมก็ยินดีที่ย่าเอาสมบัติส่วนของท่านพ่อลีทำบุญถวายวัดไป เพราะพ่อก็แน่ใจว่าท่านพ่อลีคือน้องชาย ที่ตายไปตอนอายุได้ ๘ ขวบจริงๆ
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
3
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-5-4 08:26
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ต่อมาภายหลัง พ่อกับย่ามาอยู่ที่บางคล้า แปดริ้ว พ่อมาเป็นคหบดีที่นี่ ย่ามาตายที่บางคล้า ยังไม่ทันเผาศพย่า พ่อก็ตายอีก พอท่านพ่อทราบข่าว ก็มาที่บางคล้า ถามไถ่ลูกหลานว่าเป็นยังไง ทำบุญยังไง งานศพคุณย่ากับงานศพพ่อทำที่วัดแจ้งเป็นงานใหญ่มาก ท่านพ่อลีแข็งขันมาก ท่านมาจูงศพให้เอง ทำเหมือนกับท่านเป็นเจ้าภาพองค์หนึ่ง ท่านมาจากเมืองจันท์ฯ มากันหลายคน ท่านนั่งตรงที่ตั้งศพ คนจันท์ฯ ก็จะนั่งอยู่ข้างๆ ความที่เราไม่รู้ประสีประสา ความคารวะอะไรเราก็ไม่รู้เรื่อง ได้แต่สงสัยว่าแหมเขาคอยอะไรนะ สักพักท่านพ่อคายชานหมาก เขาก็รีบรับมาแบ่งกัน แล้วก็บอกว่าอมเข้าไปแล้วจะรู้สึกคล้ายๆ อมพิมเสน จะเย็น แต่ท่านไม่เห็นให้ผมเลย ผมก็คิดว่าเอ...เคี้ยวกันเองก็ได้ ทำไมต้องคอยจากที่ท่านคายออกมา
ท่านพ่อลีมีปานดำที่ลิ้น ลิ้นของท่านดำ
ฉะนั้น ชานหมากของท่านจึง “เฮี้ยน!” (ขลัง) ต้องแย่งกัน
ถ้ามีใครขออะไรท่าน ท่านจะบอกว่าให้นั่ง “พุทโธ”
ตอนที่ย่าตาย มีปัญหาจัดการเรื่องมรดกไม่ลงตัว พี่น้องมีปากมีเสียงกันนิดหน่อย พอท่านพ่อลีขอ ก็เลิกๆ กันไป ท่านสอนไม่ให้โลภ
ท่านเคยมาเยี่ยมผม ท่านก็ถามสบายดีไหม ถ่ายรูปดีไหม ขยันๆ เน้อ
ตอนนั้นผมเปิดร้ายถ่ายรูป ท่านก็พูดธรรมดา ไม่เคยสอนไม่เคยให้อะไรมาก ไม่ให้คาถาด้วย ก่อนที่ท่านจะกลับเมืองจันท์ฯ ท่านมาเยี่ยม คืนนั้นถ่ายรูปท่านตอนประมาณ ๒-๓ ทุ่ม รูปที่ท่านนั่ง ผมเป็นคนถ่ายที่บ้านผม สมัยนั้นใช้กล้องใหญ่ถ่าย กล้องแบบขาตั้ง คลุมหัวแล้วก็หมุน
สมัยนั้นกล้องเล็กๆ ไม่ค่อยมีหรอก ไฟก็ไม่มีต้องใช้ตะเกียงเจ้าพายุ แล้วก็รีบล้างให้ท่าน ไม่สะดวกเหมือนสมัยนี้
ท่านจะลงอักขระที่รูปให้ ก็เหลืออยู่แผ่นเดียวรูปนี้ ตอนท่านมาอยู่วัดอโศการาม ผมได้ไปหาท่าน ท่านให้พระดินที่ท่านสร้างพร้อมกับยันต์ หน้าท่านพ่อลีคล้ายพ่อผมมากเลย กราม เกริมอะไรนี่ เหมือนมาก ทุกวันที่ ๒๓ เมษายน ผมต้องไปทำบุญที่วัดอโศฯ ทุกปี บูชารูปมาบ้าง ผมเคารพนับถือท่านพ่อลีมาก
ที่มา :
http://www.watasokaram.com/board/simple/?t314.html
รวมคำสอน “ท่านพ่อลี ธมฺมธโร”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=38679
ประวัติและปฏิปทา “ท่านพ่อลี ธมฺมธโร”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=21381
......................................................................................................
ที่มา
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=47650
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
โหมดขั้นสูง
B
Color
Image
Link
Quote
Code
Smilies
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ลงชื่อเข้าใช้
|
ลงทะเบียน
รายละเอียดเครดิต
ตอบกระทู้
ข้ามไปยังโพสต์ล่าสุด
ตอบกระทู้
ขึ้นไปด้านบน
ไปที่หน้ารายการกระทู้
Share To Facebook
Share To Twitter
Share To Google+
Share To ...