ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 1805
ตอบกลับ: 1
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

การเปรียบเทียบบาปกับบุญ : หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

[คัดลอกลิงก์]


การเปรียบเทียบบาปกับบุญ
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี


เรื่องนี้มีคนถามมาหลายคนว่า ทำบาปมาตั้งมากมายแต่ทำบุญนิดเดียวแล้วจะไปสวรรค์ได้อย่างไร ก็ขอเอาถ้อยคำของพระนาคเสนกล่าวตอบพระยามิลินท์มาให้ทราบ พระนาคเสนท่านเปรียบบาปมีอุปมาเหมือนก้อนหิน บุญมีอุปมาเหมือนเรือ เรือจะใหญ่มากใหญ่น้อยจอดลอยไว้ ก้อนหินจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม ถ้าเอาก้อนหินโยนลงไปในเรือ เมื่อหินตกลงไปในเรือแล้วหินจะจมน้ำไม่ได้ แต่ถ้าเราเอาก้อนหินโยนลงไปในน้ำหินมันก็จม การที่หินในเรือไม่จมก็เพราะเรือขวางไว้ ข้อนี้มีอุปมาฉันใดจิตใจของคนก็เหมือนกัน ที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า “จิตเต สังกิลิฎเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา” ถ้าจิตออกจากร่างมีอารมณ์เศร้าหมองก็ไปสู่ทุคติ คือ อบายภูมิ ๔ มีนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน “จิตเต ปริสุทเธ สุคติ ปาฏิกังขา” ถ้าเวลาจิตจะออกจากร่างมีความบริสุทธิ์ นึกถึงสิ่งที่เป็นกุศลก็ไปสู่สุคติ คือสวรรค์ก่อน ถ้าหมดอำนาจของความดีคือบุญ ก็จะกลับมารับโทษตามเดิม เว้นไว้แต่บำเพ็ญบารมีต่อ ข้อนี้อุปมาได้เหมือนกับคนเรา ถ้าเป็นหนี้เขามากๆ เจ้าหนี้เขาทวง ดีไม่ดีใช้หนี้เขาไม่หมดจะต้องติดตะรางแทนหนี้ แต่ในขณะที่เจ้าหนี้ทวงอยู่นั้น บังเอิญเราถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ ๑ สัก ๒-๓ ใบ มีทุนใหญ่แล้วไม่ชำระหนี้ หนีเจ้าหนี้ไปอยู่ต่างประเทศ เจ้าหนี้ก็ไม่มีโอกาสจะทวงได้ เราก็เป็นสุขสบายเพราะทรัพย์สินที่เรามีอยู่ แต่ถ้าหากว่าเราไม่ไปก่อร่างสร้างตัวให้เป็นผู้มีอันจะกินต่อไป กินทุนเก่าถ้าหมดทุนกลับมาที่เก่าเมื่อไร เจ้าหนี้ทวงใหม่ เมื่อนั้นก็จะมีโทษตามที่เราเป็นหนี้เขา ข้อนี้มีอุปมาฉันใด เรื่องบุญกับบาปก็เหมือนกัน

พระพุทธเจ้าทรงทราบว่า สุปติฎฐิตเทพบุตรคนนี้ สมัยที่เป็นมนุษย์เป็นมิจฉาทิฐิอย่างหนัก คือ เกิดมาตั้งแต่เด็กพอทำงาน แกก็มีปาณาติบาต ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตตลอดเวลา วันดีไม่ละวันพระไม่เว้น ฆ่าสัตว์เป็นอาจิณกรรม อทินนาทานลักขโมยเขา ถ้ามีโอกาสก็เอามาก กาเมสุมิจฉาจาร ท่านชอบจริงๆ ผู้หญิงสาวๆ เด็กๆ ท่านก็ชอบมาก ปรนเปรอด้วยเงินด้วยทอง มุสาวาทเป็นปกติ การดื่มสุราเมรัยเป็นเกมกีฬา ใครเขามาบอกบุญบอกทาน วัดโน้นเขาจะสร้างนั่น วัดนี้เขาจะสร้างนี่ ไปทำบุญตรุษ ไปทำบุญสงกรานต์ แกเห็นแล้วแกล้งทำไม่เห็น ได้ยินแล้วแกล้งทำไม่ได้ยิน ดีไม่ดีพระเทศน์ก็ส่งเสียงกลบ ทำลายพระธรรมเสียอีก ฉะนั้น ถ้าพระองค์ไม่ช่วย เธอจุติจากความเป็นเทวดาแล้วจะต้องไปตกอเวจีมหานรกไล่มาตามลำดับ พอมาเป็นคนก็เป็นคนหูหนวก ๕๐๐ ชาติ เพราะกฎของกรรมที่คนเขาบอกบุญได้ยินแล้วแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน เวลาพระเทศน์หรือพระสวดแกล้งส่งเสียงกลบให้คนอื่นฟังไม่ชัด
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-4 08:21 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ต่อจากนั้นก็ต้องเป็นคนตาบอด ๕๐๐ ชาติ เพราะใครมาบอกบุญบอกทาน เห็นแล้วแกล้งทำเป็นไม่เห็น แล้วก็มาเป็นคนบ้า ๕๐๐ ชาติ ก็เพราะดื่มสุราเมรัย หลังจากนั้นก็มาเป็นคนพิการง่อยเปลี้ยเสียขา ๕๐๐ ชาติ เพราะโทษปาณาติบาตที่ทำไว้มาสนับสนุน เป็นเศษของกรรมจึงจะหมด พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาด้วยอำนาจพระพุทธญาณว่า “ถ้าเทศน์อภิธรรมเจ็ดคัมภีร์ ท่านสุปติฎฐิตเทพบุตรจะไม่ได้พระโสดาบัน จะต้องไปเกิดในอเวจีมหานรก เพราะว่ามีกรรมหนัก จริตไม่พอกับพระอภิธรรมคือ มีอารมณ์หยาบมาก แต่ถ้าเทศน์อุณหิสวิชัยสูตร เมื่อฟังแล้วจะตรงกับอัธยาศัย พอเทศน์จบก็จะได้พระโสดาบัน โทษทัณฑ์ทั้งหมดจะถูกปิดคือ ไม่มีโอกาสจะลงโทษได้ เพราะว่าพระโสดาบันนั้นเกิดเป็นเทวดาแล้วก็เกิดแค่มนุษย์ ถ้ายังไม่ไปพระนิพพานจุติลงมาเป็นมนุษย์ แล้วก็เกิดเป็นเทวดาหรือพรหม

พระโสดาบันมีอารมณ์หยาบ เกิดเป็นมนุษย์ ๗ ชาติ ไปพระนิพพาน

พระโสดาบันมีอารมณ์อย่างกลาง เกิดเป็นมนุษย์ ๓ ชาติ ไปพระนิพพาน

พระโสดบันมีอารมณ์อย่างละเอียด เกิดเป็นมนุษย์ ๑ ชาติ ไปพระนิพพาน


ฉะนั้น โทษทัณฑ์ทั้งหลายที่จะต้องตกนรก ไปเป็นเปรต ไปเป็นอสุรกาย ไปเป็นสัตว์เดรัจฉานไม่มี แต่ทว่าการมีขันธ์ ๕ เป็นคนก็ต้องพบกับเศษของอกุศลกรรม ในฐานะที่มีร่างกายเป็นเครื่องรับ เมื่อองค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงเทศน์อุณหิสวิชัยสูตร พอเทศน์จบท่านสุปติฎฐิตเทพบุตรก็เป็นพระโสดาบัน เป็นเทวดาต่อไปจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ท่านก็ยังไม่ได้จุติ

เรื่องนี้เป็นตัวอย่างของบุคคลผู้ทำความชั่วมามากแต่ว่ามีความดีนิดหนึ่งก่อนจะตาย เมื่อเป็นเทวดาก็ประมาทในความดี หลงระเริงจนตัวเองจะต้องมารับผลของความชั่ว แต่ว่าได้ดีเพราะท่านอากาสจารีเทพบุตรไปเห็นวิมานเศร้าหมอง เครื่องทิพย์เศร้าหมอง เหงื่อไหลจากรักแร้ ตามธรรมดาเทวดาจะมีเครื่องทิพย์ผ่องใสอยู่เสมอ วิมานก็ผ่องใส เหงื่อไม่มี ถ้ามีเหงื่อเมื่อใด เครื่องทิพย์เศร้าหมองเมื่อใด ก็แสดงว่าเทวดาองค์นั้นจะต้องตายเป็นกฎของเทวดา แต่ท่านสุปติฎฐิตเทพบุตรยังมีบุญอยู่ อาศัยองค์สมเด็จพระบรมครูทรงช่วยจึงพ้นจากนรกไป เมื่อเป็นพระโสดาบันได้แล้วก็ชื่อว่ามีความสุขพ้นจากแดนอบายภูมิแน่นอน...”                                       

.......................................................................................................

ที่มา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=47676

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้