ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

พระพุทธเจ้ากับพญานาค

[คัดลอกลิงก์]
11#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-3 12:32 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
• อรรถกถารัฏฐปาลสูตร มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์
เล่ม ๒ ภาค ๒ หน้าที่ ๔๘


ได้กล่าวถึงพญานาคเคยถวายทานแด่พระพุทธเจ้าว่า
ครั้งนั้นกุฏุมพีทั้งสองนั้นทำการบำรุงดาบสเหล่านั้นจนตลอดชีวิต
เมื่อเหล่าดาบสบริโภค แล้วอนุโมทนา
รูปหนึ่งกล่าวพรรณนาคุณของภพท้าวสักกะ
รูปหนึ่งพรรณนาคุณภพของนาคราช เจ้าแผ่นดิน

บรรดากุฏุมพีทั้งสอง
คนหนึ่งปรารถนาภพท้าวสักกะ ก็บังเกิดเป็นท้าวสักกะ
คนหนึ่งปรารถนาภพนาคก็เป็นนาคราชชื่อ ปาลิตะ
ท้าวสักกะเห็นนาคนั้นมายังที่บำรุงของตน
จึงถามว่า ท่านยังยินดียิ่งในกำเนิดนาคอยู่หรือ

ปาลิตะนาคราช นั้นตอบว่า
เราไม่ยินดีดอกท้าวสักกะบอกว่า
ถ้าอย่างนั้นท่านจงถวายทานแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระสิ
แล้วทำความปรารถนาจะอยู่ในที่นี้
เราทั้งสองจะอยู่เป็นสุข

นาคราชนิมนต์พระศาสดามาถวายมหาทาน ๗ วัน
แก่พระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งมี ภิกษุ ๑๐๐,๐๐๐ รูป เป็นบริวาร
เห็นสามเณรโอรสของพระปทุมุตตรทศพลชื่ออุปเรวตะ
วันที่ ๗ ถวายผ้าทิพย์แด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
จึงปรารถนาตำแหน่งของสามเณร


12#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-3 12:33 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
• อรรถกถาปุณโณวาทสูตร มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
เล่ม ๓ ภาค ๒ หน้าที่ ๔๔๙


พระพุทธเจ้าเคยเสด็จไปแม่น้ำชื่อ นิมมทา
ได้เสด็จไปถึงฝั่งของแม่น้ำนั้น
นิมมทานาคราช ถวายการต้อนรับ
พระศาสดาทูลเสด็จเข้าสู่ภพนาค
ได้กระทำสักการะพระรัตนตรัยแล้ว
พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่นาคราชนั้นแล้ว
ก็เสด็จออกจากภพนาค

นาคราชนั้นกราบทูลขอว่า
ได้โปรดประทานสิ่งที่พึงบำเรอแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า

พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงบทเจดีย์
รอยพระบาท ไว้ที่ฝั่งแม่น้ำนิมมทา
รอยพระบาทนั้นเมื่อคลื่นซัดมาก็ถูกปิด
เมื่อคลื่นเลยไปแล้วก็ถูกเปิด
กลายเป็นรอยพระบาทที่ถึงสักการะอย่างใหญ่

เมื่อพระศาสดาทรงออกจากนั้นแล้วก็เสด็จถึงภูเขาสัจจพันธ์
ตรัสกับพระสัจจพันธ์ว่ามหาชนถูกเธอทำให้จมลงในทางอบาย
เธอต้องอยู่ในที่นี้แหละ แก้ลัทธิของพวกคนเหล่านี้เสีย
แล้วให้พวกเขาดำรงอยู่ในทางพระนิพพาน

แม้ท่านพระสัจจพันธ์นั้น ก็ทูลชื่อสิ่งที่จะต้องบำรุง
พระศาสดาก็ทรงแสดงรอยพระบาทไว้
บนหลังแผ่นหินทึบเหมือนประทับตราไว้บนก้อนดินเหนียวสด ๆ

ฉะนั้น ต่อจากนั้นก็เสด็จไปถึงพระเชตวัน
(เราอาจจะเคยได้ยินชื่อแม่น้ำว่าแม่น้ำนัมมทานที
แต่ในอรรถกถาปปัญจสูทนี ฉบับภาษาบาลี หน้า ๘๘๒
เขียนเป็น “นิมมทานที” อาจจะฟังแปลกหูไปบ้าง
ผู้เรียบเรียงจึงใช้ตามที่ปรากฏในอรรถกถาฉบับบาลีและฉบับแปล
ขอผู้รู้ใคร่ครวญพิจารณาว่า
“นิมมทานที” กับ “นัมมทานที” มีที่มาอย่างไร)

13#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-3 12:34 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


• ในรัตนสูตร ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ
เล่ม ๑ ภาค ๑ หน้าที่ ๒๒๕


กล่าวถึงการต้อนรับของพญานาคว่า
ครั้งนั้นพระเจ้าพิมพิสาร ทรงทำเรือขนาน ๒ ลำ
แล้วสร้างมณฑปประดับด้วยพวงดอกไม้
ปูลาดพุทธอาสน์ทำด้วยรัตนะล้วน ณ มณฑปนั้น

ที่นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์นั้น
แม้ภิกษุ ๕๐๐ รูปก็ลงเรือนั่งกันตามสมควร
พระราชาส่งเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าลงน้ำ
ประมาณแต่พระศอกราบทูลว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์จักอยู่กันริมฝั่งแม่น้ำคงคานี้นี่แหละ
จนกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสด็จกลับมา
แล้วก็เสด็จกลับ เทวดาเบื้องบนจนถึงอกนิษฐภพ
ได้พากันทำการบูชานาคราชทั้งหลาย
มีกัมพลนาคและอัสสตรนาคเป็นต้น

ซึ่งอาศัยอยู่ใต้แม่น้ำคงคา
ก็พากันทำการบูชาด้วยการบูชาใหญ่อย่างนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปทางแม่น้ำคงคา
สิ้นระยะทางไกลประมาณโยชน์หนึ่ง
ก็เข้าเขตแดนของพวกเจ้าลิจฉวีกรุงเวสาลี



14#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-3 12:58 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
• ในอรรถกถาชาดก เอกนิบาต ขุททกนิกาย ชาดก
เล่ม ๓ ภาค ๑ หน้าที่ ๕๘


กล่าวถึงพระพุทธเจ้าเคยเป็นพญานาคว่า
ในกาลนั้นพระมหาสัตว์ได้เป็นนาคราชนามว่า อตุละ
มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก
พระยานาคนั้นได้ยินว่า พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว
มีหมู่ญาติห้อมล้อมแล้ว ออกจากนาคพิภพ
ให้กระทำการบรรเลงถวายด้วยทิพยดนตรี
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์บริวารแสนโกฎิ
ถวายผ้าคู่เฉพาะองค์แล้วตั้งอยู่ในสรณะ

พระศาสดาแม้นั้นก็ทรงพยากรณ์เขาว่า
จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นชื่อ เมขลา
พระราชาทรงพระนามว่า สุทัตตะ
เป็นพระราชบิดาพระราชมารดาทรงพระนามว่า สิริมา

พระอัครสาวกสององค์คือ สรณะ และ ภาวิตัตตะ
พระอุปราชนามว่าอุเทนะ
พระอัครสาวิกาสององค์นามว่า
โสณาและอุปโสณา และต้นนาคพฤกษ์เป็นไม้ตรัสรู้
พระสรีระสูงได้ ๙๐ ศอก
ประมาณพระชนมายุได้ ๙๐,๐๐๐ ปี ด้วยประการฉะนี้

15#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-3 13:00 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

• พระพุทธเจ้าเคยกำเนิดเป็นพญานาค

พระพุทธเจ้าทรงแสดงอดีตนิทานว่า
พระองค์เคยเกิดเป็นพญานาค


ดังที่ปรากฏใน

• อรรถกถาจัมเปยยชาดก ขุททกนิกาย ชาดก
เล่ม ๓ ภาค ๗ หน้า ๑๘๕


พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภอุโบสถกรรม ความว่า
ดูก่อนอุบาสกบาสิกาทั้งหลาย
การที่ท่านทั้งหลายอยู่รักษาอุโบสถกรรมเป็นความดี
โบราณกบัณฑิตทั้งหลายละนาคสมบัติแล้ว
อยู่รักษาอุโบสถกรรมเหมือนกัน
อุบาสกอุบาสิกาเหล่านั้นทูลอาราธนา
จึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัสดังต่อไปนี้

ในอดีตกาล พระราชาทรงพระนามว่า
พระเจ้าอังคติราช เสวยราชสมบัติอยู่ในอังครัฐราชธานี
ในระหว่างแคว้นอังคะและมคธะต่อกันมีแม่น้ำชื่อจัมปานที

ได้มีนาคพิภพอยู่ใต้แม่น้ำจัมปานทีนั้น
พระยานาคราชชื่อว่า จัมเปยยะ
ครองราชสมบัติในนาคพิภพนั้น
(โดยปกติ พระราชาแห่งแคว้นทั้งสอง
เป็นศัตรูกระทำยุทธชิงชัยแก่กันและกันเนือง ๆ
ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะ)

บางครั้งพระเจ้ามคธราช ยึดแคว้นอังคะได้
บางครั้งพระเจ้าอังคราชยึดแคว้นมคธได้.

อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้ามคธราช
กระทำยุทธนาการกับพระเจ้าอังคราชทรงปราชัยต่อยุทธสงคราม
เสด็จขึ้นม้าพระที่นั่งหลบหนีไป
ถึงฝั่งจัมปานทีพวกทหารพระเจ้าอังคราชติดตามไปทันเข้า
จึงทรงพระดำริว่าเราโดดน้ำตายเสีย
ดีกว่าตายในเงื้อมมือของข้าศึก
ดังนี้แล้วจึงโจนลงสู่แม่น้ำพร้อมทั้งม้าพระที่นั่ง

ครั้งนั้น จัมเปยยนาคราช เนรมิตมณฑปแก้วไว้ภายในห้วงน้ำ
แวดล้อมด้วยบริวารเป็นอันมากดื่มมหาปานะอยู่
ม้าพระที่นั่งกับพระเจ้ามคธราช จมน้ำดิ่งลงไป
เฉพาะพระพักตร์แห่งพระยานาคราช
พระยานาคราชเห็นพระราชาทรงเครื่องประดับตกแต่ง
ก็บังเกิดความสิเนหา จึงลุกจากอาสนะทูลว่า

ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์อย่าทรงหวาดกลัวเลย
แล้วอัญเชิญให้พระราชาประทับนั่งบนบัลลังก์ของตน
ทูลถามถึงเหตุที่ดำน้ำลงมา
พระเจ้ามคธราชตรัสเล่าความตามเป็นจริง



16#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-3 13:01 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


ลำดับนั้น จัมเปยยนาคราช
ปลอบโยนพระเจ้ามคธราชให้เบาพระทัยว่า

ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระองค์อย่าทรงหวาดกลัวเลย
ข้าพระพุทธเจ้าจักช่วยจัดการให้พระองค์เป็นเจ้าของทั้งสองรัฐ

ดังนี้แล้วเสวยยศอันยิ่งใหญ่อยู่ ๗ วัน
ในวันที่ ๘ จึงออกจากนาคพิภพพร้อมด้วยพระเจ้ามคธราช

พระเจ้ามคธราชทรงจับพระเจ้าอังคราชได้
ด้วยอานุภาพของพระยานาคราช
แล้วตรัสสั่งให้สำเร็จโทษเสีย
เสวยราชสมบัติในสองรัฐสีมามณฑล

นับแต่นั้นมาความวิสาสะคุ้นเคยระหว่างพระเจ้ามคธราช
กับพระยานาคราชก็ได้กระชับมั่นคงยิ่งขึ้น

พระเจ้ามคธราชให้สร้างรัตนมณฑปขึ้นที่ฝั่งจัมปานที
แล้วเสด็จออกกระทำพลีกรรมแก่พระยานาคราช
ด้วยมหาบริจาคทุก ๆ ปี

แม้พระยานาคราชก็ออกจากนาคพิภพมารับพลีกรรม
พร้อมด้วยมหาบริวาร
มหาชนพากันมาเฝ้าดูสมบัติของพระยานาคราช

ในกาลนั้นพระบรมโพธิสัตว์เกิดในตระกูลเข็ญใจ
ไปที่ฝั่งน้ำพร้อมด้วยราชบริษัท
เห็นสมบัติของพระยานาคราชนั้นแล้ว
ก็เกิดโลภเจตนาปรารถนาจะได้สมบัตินั้น
จึงทำบุญให้ทานรักษาศีล

พอ จัมเปยยนาคราช ทำกาลกิริยาไปได้ ๗ วัน
ก็จุติไปบังเกิดเหนือสิริไสยาสน์
ณ ห้องอันมีสิริในปราสาทที่อยู่ของจัมเปยยนาคราชนั้น

สรีระร่างกายของพระบรมโพธิสัตว์ได้ปรากฏใหญ่โต
มีวรรณะขาวราวกะพวงดอกมะลิสด
พระโพธิสัตว์เห็นดังนั้น ก็เกิดวิปฏิสาร
คิดไปว่า อิสริยยศในฉกามาวจรสวรรค์
เป็นเสมือนข้าวเปลือกที่เขาโกยกองเก็บไว้ในฉาง
ได้มีแก่เรา ด้วยผลแห่งกุศลที่เราทำไว้

เราสิกลับมาถือปฏิสนธิในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานนี้
ประโยชน์อะไรที่เราจะมีชีวิตอยู่ดังนี้แล้วเกิดความคิดที่จะตาย

ลำดับนั้นนางนาคมาณวิกา ชื่อว่า สุมนา
เห็นพระมหาสัตว์นั้นแล้วดำริว่า
ชะรอยจักเป็นสัตว์ผู้มีอานุภาพมากมาเกิดแน่
ดังนี้แล้วจึงให้สัญญาแก่นางนาคมาณวิกาทั้งหลาย

นางนาคมาณวิกาเหล่านั้นทั้งหมดต่างถือนานาดุริยสังคีต
มากระทำการบำเรอขับกล่อมพระมหาสัตว์
นาคพิภพที่สถิตของพระมหาสัตว์นั้น
ได้ปรากฏเสมือนพิภพแห่งท้าวสักกเทวราช
มรณจิต (คือจิตที่คิดอยากตาย) ของพระมหาสัตว์ก็ดับหายไป

พระมหาสัตว์เจ้าละเสียซึ่งสรีระของงู
ทรงประดับเครื่องสรรพาลังการประทับเหนือพระแท่นบรรทม
นับจำเดิมแต่นั้นมา พระอิสริยยศก็ปรากฏแก่พระมหาสัตว์เจ้ามาก



17#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-3 13:01 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


เมื่อนาคอยากเป็นมนุษย์จึงรักษาอุโบสถศีล

เมื่อพระมหาสัตว์เจ้าเสวยนาคราชสมบัติอยู่ในนาคพิภพนั้น
ในเวลาต่อมาก็เกิดวิปฏิสาร
คิดว่าประโยชน์อะไรด้วยกำเนิดดิรัจฉานนี้แก่เรา
เราจักอยู่รักษาอุโบสถกรรม
พ้นจากอัตภาพนี้ไปสู่ดินแดนมนุษย์
จักได้แทงตลอดสัจธรรม กระทำที่สุดแห่งทุกข์ดังนี้

นับจำเดิมแต่นั้น ก็ทรงรักษาอุโบสถกรรม
อยู่ในปราสาทนั้นทีเดียว


พวกนางมาณวิกาตกแต่งกายงดงาม
พากันไปยังสำนักของพระมหาสัตว์นั้น
ศีลของพระมหาสัตว์ก็วิบัติทำลายอยู่เนือง ๆ

จำเดิมแต่นั้นพระมหาสัตว์เจ้า
จึงออกจากปราสาทไปสู่พระอุทยาน
นางนาคมาณวิกาเหล่านั้นก็ติดตามไปแม้ในพระอุทยาน
อุโบสถศีลของพระมหาสัตว์ก็แตกทำลายอยู่ร่ำไป

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เจ้าทรงจินตนาการว่า
ควรที่เราจะออกจากนาคพิภพนี้
ไปยังมนุษยโลกอยู่รักษาอุโบสถ


นับแต่นั้นมาเมื่อถึงวันอุโบสถ
พระองค์ก็ออกจากนาคพิภพไปยังมนุษยโลก
ทรงประกาศสละร่างกาย ในทานว่า

“ใครจะมีความต้องการอวัยวะของเรามีหนังเป็นต้นจงถือเอาเถิด
ใครต้องการจะทำให้เราเล่นกีฬางูก็จงกระทำเถิด”


แล้วคู้ขดขนดกายนอนรักษาอุโบสถอยู่ที่ยอดจอมปลวก
ใกล้มรรคาแถบปัจจันตชนบทแห่งหนึ่ง
ชนทั้งหลายเดินผ่านไปมา
ในหนทางใหญ่เห็นพระโพธิสัตว์เจ้า
แล้วพากันบูชาด้วยเครื่องสักการะมีของหอมเป็นต้นแล้วหลีกไป

18#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-3 13:02 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ชาวปัจจันตชนบทไปพบแล้วคิดว่า
คงจักเป็นนาคราชผู้มีมหิทธานุภาพ
จึงจัดทำมณฑปขึ้นเบื้องบน
ช่วยกันเกลี่ยทรายรอบบริเวณ
แล้วบูชาด้วยสักการะมีของหอมเป็นต้นจำเดิมแต่นั้นมา
มนุษย์ทั้งหลายก็เลื่อมใสในพระมหาสัตว์เจ้า
ทำการบูชาปรารถนาบุตรบ้าง ปรารถนาธิดาบ้าง

แม้พระมหาสัตว์เจ้าทรงรักษาอุโบสถกรรม
ถึงวันจาตุททสีและปัณณรสี ดิถี ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ
ก็มานอนอยู่เหนือจอมปลวก


ต่อในวันปาฏิบทแรมค่ำหนึ่ง จึงกลับไปสู่นาคพิภพ
เมื่อพระมหาสัตว์เจ้ารักษาอุโบสถอยู่อย่างนี้เวลาล่วงไปเนิ่นนาน

อยู่มาวันหนึ่ง นางสุมนาอัครมเหสี ทูลถามพระมหาสัตว์ว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ
พระองค์เสด็จไปยังมนุษยโลกเข้าอยู่รักษาอุโบสถศีลนั้น
ความจริงมนุษยโลกน่ารังเกียจ มีภัยรอบด้าน

หากว่าภัยจะพึงบังเกิดแก่พระองค์
เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกหม่อมฉันจะพึงรู้ได้ด้วยนิมิตอย่างไร

ขอพระองค์จงตรัสบอกนิมิตอย่างนั้นแก่พวกหม่อมฉันด้วยเถิด
พระมหาสัตว์จึงนำ นางสุมนาเทวี
ไปยังขอบสระมงคลโบกขรณีแล้วตรัสว่า

19#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-3 13:03 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้

“ดูก่อนพระนางผู้เจริญ
ถ้าหากใคร ๆ จักประหารทำให้เราลำบากไซร้
น้ำในสระโบกขรณีนี้จักขุ่นมัว

ถ้าพญาครุฑจับเอาไปน้ำจักเดือดพลุ่งขึ้นมา
ถ้าหมองูจับเอาไปน้ำจักมีสีแดงเหมือนโลหิต”


พระโพธิสัตว์ตรัสบอกนิมิต ๓ ประการ
แก่นางสุมนาเทวีอย่างนี้แล้ว

ทรงอธิษฐานจาตุททสีอุโบสถ
เสด็จออกจากนาคพิภพไปมนุษยโลก
นอนเหนือจอมปลวก
ยังจอมปลวกให้งดงามด้วยรัศมีแห่งสรีรกาย

แม้สรีรกายของพระมหาสัตว์นั้น
ก็ปรากฏขาวสะอาดผุดผาดดังพวงเงิน
ท่อนพระเศียรเบื้องบนคล้ายคลุมไว้ด้วยผ้ากัมพลแดง

อนึ่งในชาดกนี้สรีรกายของพระโพธิสัตว์มีขนาดเท่าศีรษะคันไถ
ในภูริทัตตชาดก มีขนาดเท่าลำขา
ในสังขปาลชาดก มีขนาดเท่าเรือโกลนลำหนึ่ง

ในกาลครั้งนั้น มีมาณพชาวเมืองพาราณสีคนหนึ่ง
ไปเมืองตักกศิลาเรียนอาลัมภายนมนต์
ในสำนักของอาจารย์ทิศาปาโมกข์
เดินทางกลับบ้านของตนโดยผ่านมรรคานั้น
เห็นพระมหาสัตว์เจ้าแล้วคิดว่า

20#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-5-3 13:04 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เราจักจับงูนี้บังคับให้เล่นกีฬาในคามนิคมราชธานีทั้งหลาย
ยังทรัพย์ให้เกิดขึ้น จึงหยิบทิพโอสถ ร่ายทิพมนต์
ไปยังสำนักของพระมหาสัตว์เจ้า

จำเดิมแต่พระมหาสัตว์เจ้าสดับทิพมนต์
แล้วเกิดอาการเหมือนซี่เหล็กร้อนยอนเข้าไปในพระกรรณทั้งสอง
เบื้องพระเศียรปวดร้าวราวกะถูกเหล็กสว่านไช

พระมหาสัตว์เจ้าทรงรำพึงว่านี่อย่างไรกันหนอ
จึงยกพระเศียรขึ้นจากวงภายในขนดแลไป
ได้เห็นหมองูแล้วดำริว่าพิษของเรามากมาย

ถ้าเราโกรธแล้วพ่นลมจมูกออกไป
สรีระของหมองูนี้จักย่อยแหลกไปเหมือนกองเถ้า
แต่เมื่อทำเช่นนั้นศีลของเราก็จักด่างพร้อย
เราจักไม่แลดูหมองูนั้น
ท้าวเธอจึงหลับพระเนตรทั้งสอง
ทอดพระเศียรไว้ภายในขนด

พราหมณ์หมองูเคี้ยวโอสถแล้วร่ายมนต์พ่นน้ำลาย
ลงที่สรีรกายของพระมหาสัตว์ด้วยอานุภาพแห่งโอสถและมนต์
เรือนร่างของพระมหาสัตว์ในที่ซึ่งถูกน้ำลายรดแล้ว ๆ
ปรากฏเป็นเสมือนพองบวมขึ้น

ครั้งนั้นพราหมณ์หมองู
จึงฉุดหางพระมหาสัตว์ลากลงมาให้นอนเหยียดยาว
บีบตัวด้วยไม้กีบแพะทำให้ทุพพลภาพ
จับศีรษะให้มั่นแล้วบีบเค้น

พระมหาสัตว์จึงอ้าปากออก
ทีนั้นพราหมณ์หมองู
จึงพ่นน้ำลายเข้าไปในปากของพระมหาสัตว์
แล้วจัดการพ่นโอสถและมนต์
ทำลายพระทนต์จนหลุดถอน
ปากของมหาสัตว์เต็มไปด้วยโลหิต

พระมหาสัตว์สู้อดกลั้นทุกขเวทนาเห็นปานนี้
เพราะกลัวศีลของตัวจะแตกทำลาย
ทรงหลับพระเนตรนิ่งมิได้ทำการเหลียวมองดู


ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้