ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก
เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด
เข้าสู่ระบบ
บ้านหลวงปู่
คศช.
ข่าวสารล่าสุด
ประสบการณ์
โชว์วัตถุมงคล
สอบถาม
นานาสาระ
นครนาคราช
ร่วมประมูล
บูชาวัตถุมงคล
เพื่อน
กระทู้แนะนำ
บุ๊คมาร์ก
ไอเท็ม
เหรียญ
ภารกิจ
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
ดูบริการทั้งหมด
เว็บบอร์ด
BBS
บูชาวัตถุมงคลหลวงปู่ชื่น
ศรีสุทธรรมนาคราช
ร้านจอมพระ
ศูนย์พระเครื่องจอมพระ
ค้นหา
ค้นหา
HOT TAG:
พระศรีราม
ขุนแผนแสนตรีเวทย์
พระเจ้าชัยวรมัน
บอร์ดนี้
บทความ
เนื้อหา
สมาชิก
Baan Jompra
›
นครนาคราช
›
ทุกเรื่องราวที่เกี่ยวกับ "พญานาคราช" เชิญที่นี่
»
พระพุทธเจ้ากับพญานาค
1
2
3
4
5
6
/ 6 หน้า
ถัดไป
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
เจ้าของ: Metha
พระพุทธเจ้ากับพญานาค
[คัดลอกลิงก์]
Metha
Metha
ออฟไลน์
เครดิต
54671
11
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-5-3 12:32
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
• อรรถกถารัฏฐปาลสูตร มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์
เล่ม ๒ ภาค ๒ หน้าที่ ๔๘
ได้กล่าวถึงพญานาคเคยถวายทานแด่พระพุทธเจ้าว่า
ครั้งนั้นกุฏุมพีทั้งสองนั้นทำการบำรุงดาบสเหล่านั้นจนตลอดชีวิต
เมื่อเหล่าดาบสบริโภค แล้วอนุโมทนา
รูปหนึ่งกล่าวพรรณนาคุณของภพท้าวสักกะ
รูปหนึ่งพรรณนาคุณภพของนาคราช เจ้าแผ่นดิน
บรรดากุฏุมพีทั้งสอง
คนหนึ่งปรารถนาภพท้าวสักกะ ก็บังเกิดเป็นท้าวสักกะ
คนหนึ่งปรารถนาภพนาคก็เป็นนาคราชชื่อ
ปาลิตะ
ท้าวสักกะเห็นนาคนั้นมายังที่บำรุงของตน
จึงถามว่า ท่านยังยินดียิ่งในกำเนิดนาคอยู่หรือ
ปาลิตะนาคราช
นั้นตอบว่า
เราไม่ยินดีดอกท้าวสักกะบอกว่า
ถ้าอย่างนั้นท่านจงถวายทานแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระสิ
แล้วทำความปรารถนาจะอยู่ในที่นี้
เราทั้งสองจะอยู่เป็นสุข
นาคราชนิมนต์พระศาสดามาถวายมหาทาน ๗ วัน
แก่พระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งมี ภิกษุ ๑๐๐,๐๐๐ รูป เป็นบริวาร
เห็นสามเณรโอรสของพระปทุมุตตรทศพลชื่ออุปเรวตะ
วันที่ ๗ ถวายผ้าทิพย์แด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
จึงปรารถนาตำแหน่งของสามเณร
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
Metha
Metha
ออฟไลน์
เครดิต
54671
12
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-5-3 12:33
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
• อรรถกถาปุณโณวาทสูตร มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
เล่ม ๓ ภาค ๒ หน้าที่ ๔๔๙
พระพุทธเจ้าเคยเสด็จไปแม่น้ำชื่อ
นิมมทา
ได้เสด็จไปถึงฝั่งของแม่น้ำนั้น
นิมมทานาคราช
ถวายการต้อนรับ
พระศาสดาทูลเสด็จเข้าสู่ภพนาค
ได้กระทำสักการะพระรัตนตรัยแล้ว
พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่นาคราชนั้นแล้ว
ก็เสด็จออกจากภพนาค
นาคราชนั้นกราบทูลขอว่า
ได้โปรดประทานสิ่งที่พึงบำเรอแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงบทเจดีย์
รอยพระบาท ไว้ที่ฝั่งแม่น้ำนิมมทา
รอยพระบาทนั้นเมื่อคลื่นซัดมาก็ถูกปิด
เมื่อคลื่นเลยไปแล้วก็ถูกเปิด
กลายเป็นรอยพระบาทที่ถึงสักการะอย่างใหญ่
เมื่อพระศาสดาทรงออกจากนั้นแล้วก็เสด็จถึงภูเขาสัจจพันธ์
ตรัสกับพระสัจจพันธ์ว่ามหาชนถูกเธอทำให้จมลงในทางอบาย
เธอต้องอยู่ในที่นี้แหละ แก้ลัทธิของพวกคนเหล่านี้เสีย
แล้วให้พวกเขาดำรงอยู่ในทางพระนิพพาน
แม้ท่านพระสัจจพันธ์นั้น ก็ทูลชื่อสิ่งที่จะต้องบำรุง
พระศาสดาก็ทรงแสดงรอยพระบาทไว้
บนหลังแผ่นหินทึบเหมือนประทับตราไว้บนก้อนดินเหนียวสด ๆ
ฉะนั้น ต่อจากนั้นก็เสด็จไปถึงพระเชตวัน
(เราอาจจะเคยได้ยินชื่อแม่น้ำว่าแม่น้ำนัมมทานที
แต่ในอรรถกถาปปัญจสูทนี ฉบับภาษาบาลี หน้า ๘๘๒
เขียนเป็น “นิมมทานที” อาจจะฟังแปลกหูไปบ้าง
ผู้เรียบเรียงจึงใช้ตามที่ปรากฏในอรรถกถาฉบับบาลีและฉบับแปล
ขอผู้รู้ใคร่ครวญพิจารณาว่า
“นิมมทานที” กับ “นัมมทานที” มีที่มาอย่างไร)
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
Metha
Metha
ออฟไลน์
เครดิต
54671
13
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-5-3 12:34
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
• ในรัตนสูตร ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ
เล่ม ๑ ภาค ๑ หน้าที่ ๒๒๕
กล่าวถึงการต้อนรับของพญานาคว่า
ครั้งนั้นพระเจ้าพิมพิสาร ทรงทำเรือขนาน ๒ ลำ
แล้วสร้างมณฑปประดับด้วยพวงดอกไม้
ปูลาดพุทธอาสน์ทำด้วยรัตนะล้วน ณ มณฑปนั้น
ที่นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์นั้น
แม้ภิกษุ ๕๐๐ รูปก็ลงเรือนั่งกันตามสมควร
พระราชาส่งเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าลงน้ำ
ประมาณแต่พระศอกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์จักอยู่กันริมฝั่งแม่น้ำคงคานี้นี่แหละ
จนกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสด็จกลับมา
แล้วก็เสด็จกลับ เทวดาเบื้องบนจนถึงอกนิษฐภพ
ได้พากันทำการบูชานาคราชทั้งหลาย
มีกัมพลนาคและอัสสตรนาคเป็นต้น
ซึ่งอาศัยอยู่ใต้แม่น้ำคงคา
ก็พากันทำการบูชาด้วยการบูชาใหญ่อย่างนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปทางแม่น้ำคงคา
สิ้นระยะทางไกลประมาณโยชน์หนึ่ง
ก็เข้าเขตแดนของพวกเจ้าลิจฉวีกรุงเวสาลี
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
Metha
Metha
ออฟไลน์
เครดิต
54671
14
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-5-3 12:58
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
• ในอรรถกถาชาดก เอกนิบาต ขุททกนิกาย ชาดก
เล่ม ๓ ภาค ๑ หน้าที่ ๕๘
กล่าวถึงพระพุทธเจ้าเคยเป็นพญานาคว่า
ในกาลนั้นพระมหาสัตว์ได้เป็นนาคราชนามว่า
อตุละ
มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก
พระยานาคนั้นได้ยินว่า พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว
มีหมู่ญาติห้อมล้อมแล้ว ออกจากนาคพิภพ
ให้กระทำการบรรเลงถวายด้วยทิพยดนตรี
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์บริวารแสนโกฎิ
ถวายผ้าคู่เฉพาะองค์แล้วตั้งอยู่ในสรณะ
พระศาสดาแม้นั้นก็ทรงพยากรณ์เขาว่า
จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นชื่อ เมขลา
พระราชาทรงพระนามว่า สุทัตตะ
เป็นพระราชบิดาพระราชมารดาทรงพระนามว่า สิริมา
พระอัครสาวกสององค์คือ
สรณะ
และ
ภาวิตัตตะ
พระอุปราชนามว่าอุเทนะ
พระอัครสาวิกาสององค์นามว่า
โสณาและอุปโสณา และต้นนาคพฤกษ์เป็นไม้ตรัสรู้
พระสรีระสูงได้ ๙๐ ศอก
ประมาณพระชนมายุได้ ๙๐,๐๐๐ ปี ด้วยประการฉะนี้
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
Metha
Metha
ออฟไลน์
เครดิต
54671
15
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-5-3 13:00
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
• พระพุทธเจ้าเคยกำเนิดเป็นพญานาค
พระพุทธเจ้าทรงแสดงอดีตนิทานว่า
พระองค์เคยเกิดเป็นพญานาค
ดังที่ปรากฏใน
• อรรถกถาจัมเปยยชาดก ขุททกนิกาย ชาดก
เล่ม ๓ ภาค ๗ หน้า ๑๘๕
พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภอุโบสถกรรม ความว่า
ดูก่อนอุบาสกบาสิกาทั้งหลาย
การที่ท่านทั้งหลายอยู่รักษาอุโบสถกรรมเป็นความดี
โบราณกบัณฑิตทั้งหลายละนาคสมบัติแล้ว
อยู่รักษาอุโบสถกรรมเหมือนกัน
อุบาสกอุบาสิกาเหล่านั้นทูลอาราธนา
จึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัสดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล พระราชาทรงพระนามว่า
พระเจ้าอังคติราช เสวยราชสมบัติอยู่ในอังครัฐราชธานี
ในระหว่างแคว้นอังคะและมคธะต่อกันมีแม่น้ำชื่อจัมปานที
ได้มีนาคพิภพอยู่ใต้แม่น้ำจัมปานทีนั้น
พระยานาคราชชื่อว่า
จัมเปยยะ
ครองราชสมบัติในนาคพิภพนั้น
(โดยปกติ พระราชาแห่งแคว้นทั้งสอง
เป็นศัตรูกระทำยุทธชิงชัยแก่กันและกันเนือง ๆ
ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะ)
บางครั้งพระเจ้ามคธราช ยึดแคว้นอังคะได้
บางครั้งพระเจ้าอังคราชยึดแคว้นมคธได้.
อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้ามคธราช
กระทำยุทธนาการกับพระเจ้าอังคราชทรงปราชัยต่อยุทธสงคราม
เสด็จขึ้นม้าพระที่นั่งหลบหนีไป
ถึงฝั่งจัมปานทีพวกทหารพระเจ้าอังคราชติดตามไปทันเข้า
จึงทรงพระดำริว่าเราโดดน้ำตายเสีย
ดีกว่าตายในเงื้อมมือของข้าศึก
ดังนี้แล้วจึงโจนลงสู่แม่น้ำพร้อมทั้งม้าพระที่นั่ง
ครั้งนั้น
จัมเปยยนาคราช
เนรมิตมณฑปแก้วไว้ภายในห้วงน้ำ
แวดล้อมด้วยบริวารเป็นอันมากดื่มมหาปานะอยู่
ม้าพระที่นั่งกับพระเจ้ามคธราช จมน้ำดิ่งลงไป
เฉพาะพระพักตร์แห่งพระยานาคราช
พระยานาคราชเห็นพระราชาทรงเครื่องประดับตกแต่ง
ก็บังเกิดความสิเนหา จึงลุกจากอาสนะทูลว่า
ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์อย่าทรงหวาดกลัวเลย
แล้วอัญเชิญให้พระราชาประทับนั่งบนบัลลังก์ของตน
ทูลถามถึงเหตุที่ดำน้ำลงมา
พระเจ้ามคธราชตรัสเล่าความตามเป็นจริง
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
Metha
Metha
ออฟไลน์
เครดิต
54671
16
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-5-3 13:01
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ลำดับนั้น
จัมเปยยนาคราช
ปลอบโยนพระเจ้ามคธราชให้เบาพระทัยว่า
ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระองค์อย่าทรงหวาดกลัวเลย
ข้าพระพุทธเจ้าจักช่วยจัดการให้พระองค์เป็นเจ้าของทั้งสองรัฐ
ดังนี้แล้วเสวยยศอันยิ่งใหญ่อยู่ ๗ วัน
ในวันที่ ๘ จึงออกจากนาคพิภพพร้อมด้วยพระเจ้ามคธราช
พระเจ้ามคธราชทรงจับพระเจ้าอังคราชได้
ด้วยอานุภาพของพระยานาคราช
แล้วตรัสสั่งให้สำเร็จโทษเสีย
เสวยราชสมบัติในสองรัฐสีมามณฑล
นับแต่นั้นมาความวิสาสะคุ้นเคยระหว่างพระเจ้ามคธราช
กับพระยานาคราชก็ได้กระชับมั่นคงยิ่งขึ้น
พระเจ้ามคธราชให้สร้างรัตนมณฑปขึ้นที่ฝั่งจัมปานที
แล้วเสด็จออกกระทำพลีกรรมแก่พระยานาคราช
ด้วยมหาบริจาคทุก ๆ ปี
แม้พระยานาคราชก็ออกจากนาคพิภพมารับพลีกรรม
พร้อมด้วยมหาบริวาร
มหาชนพากันมาเฝ้าดูสมบัติของพระยานาคราช
ในกาลนั้นพระบรมโพธิสัตว์เกิดในตระกูลเข็ญใจ
ไปที่ฝั่งน้ำพร้อมด้วยราชบริษัท
เห็นสมบัติของพระยานาคราชนั้นแล้ว
ก็เกิดโลภเจตนาปรารถนาจะได้สมบัตินั้น
จึงทำบุญให้ทานรักษาศีล
พอ
จัมเปยยนาคราช
ทำกาลกิริยาไปได้ ๗ วัน
ก็จุติไปบังเกิดเหนือสิริไสยาสน์
ณ ห้องอันมีสิริในปราสาทที่อยู่ของจัมเปยยนาคราชนั้น
สรีระร่างกายของพระบรมโพธิสัตว์ได้ปรากฏใหญ่โต
มีวรรณะขาวราวกะพวงดอกมะลิสด
พระโพธิสัตว์เห็นดังนั้น ก็เกิดวิปฏิสาร
คิดไปว่า อิสริยยศในฉกามาวจรสวรรค์
เป็นเสมือนข้าวเปลือกที่เขาโกยกองเก็บไว้ในฉาง
ได้มีแก่เรา ด้วยผลแห่งกุศลที่เราทำไว้
เราสิกลับมาถือปฏิสนธิในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานนี้
ประโยชน์อะไรที่เราจะมีชีวิตอยู่ดังนี้แล้วเกิดความคิดที่จะตาย
ลำดับนั้นนางนาคมาณวิกา ชื่อว่า
สุมนา
เห็นพระมหาสัตว์นั้นแล้วดำริว่า
ชะรอยจักเป็นสัตว์ผู้มีอานุภาพมากมาเกิดแน่
ดังนี้แล้วจึงให้สัญญาแก่นางนาคมาณวิกาทั้งหลาย
นางนาคมาณวิกาเหล่านั้นทั้งหมดต่างถือนานาดุริยสังคีต
มากระทำการบำเรอขับกล่อมพระมหาสัตว์
นาคพิภพที่สถิตของพระมหาสัตว์นั้น
ได้ปรากฏเสมือนพิภพแห่งท้าวสักกเทวราช
มรณจิต (คือจิตที่คิดอยากตาย) ของพระมหาสัตว์ก็ดับหายไป
พระมหาสัตว์เจ้าละเสียซึ่งสรีระของงู
ทรงประดับเครื่องสรรพาลังการประทับเหนือพระแท่นบรรทม
นับจำเดิมแต่นั้นมา พระอิสริยยศก็ปรากฏแก่พระมหาสัตว์เจ้ามาก
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
Metha
Metha
ออฟไลน์
เครดิต
54671
17
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-5-3 13:01
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เมื่อนาคอยากเป็นมนุษย์จึงรักษาอุโบสถศีล
เมื่อพระมหาสัตว์เจ้าเสวยนาคราชสมบัติอยู่ในนาคพิภพนั้น
ในเวลาต่อมาก็เกิดวิปฏิสาร
คิดว่าประโยชน์อะไรด้วยกำเนิดดิรัจฉานนี้แก่เรา
เราจักอยู่รักษาอุโบสถกรรม
พ้นจากอัตภาพนี้ไปสู่ดินแดนมนุษย์
จักได้แทงตลอดสัจธรรม กระทำที่สุดแห่งทุกข์ดังนี้
นับจำเดิมแต่นั้น ก็ทรงรักษาอุโบสถกรรม
อยู่ในปราสาทนั้นทีเดียว
พวกนางมาณวิกาตกแต่งกายงดงาม
พากันไปยังสำนักของพระมหาสัตว์นั้น
ศีลของพระมหาสัตว์ก็วิบัติทำลายอยู่เนือง ๆ
จำเดิมแต่นั้นพระมหาสัตว์เจ้า
จึงออกจากปราสาทไปสู่พระอุทยาน
นางนาคมาณวิกาเหล่านั้นก็ติดตามไปแม้ในพระอุทยาน
อุโบสถศีลของพระมหาสัตว์ก็แตกทำลายอยู่ร่ำไป
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เจ้าทรงจินตนาการว่า
ควรที่เราจะออกจากนาคพิภพนี้
ไปยังมนุษยโลกอยู่รักษาอุโบสถ
นับแต่นั้นมาเมื่อถึงวันอุโบสถ
พระองค์ก็ออกจากนาคพิภพไปยังมนุษยโลก
ทรงประกาศสละร่างกาย ในทานว่า
“ใครจะมีความต้องการอวัยวะของเรามีหนังเป็นต้นจงถือเอาเถิด
ใครต้องการจะทำให้เราเล่นกีฬางูก็จงกระทำเถิด”
แล้วคู้ขดขนดกายนอนรักษาอุโบสถอยู่ที่ยอดจอมปลวก
ใกล้มรรคาแถบปัจจันตชนบทแห่งหนึ่ง
ชนทั้งหลายเดินผ่านไปมา
ในหนทางใหญ่เห็นพระโพธิสัตว์เจ้า
แล้วพากันบูชาด้วยเครื่องสักการะมีของหอมเป็นต้นแล้วหลีกไป
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
Metha
Metha
ออฟไลน์
เครดิต
54671
18
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-5-3 13:02
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ชาวปัจจันตชนบทไปพบแล้วคิดว่า
คงจักเป็นนาคราชผู้มีมหิทธานุภาพ
จึงจัดทำมณฑปขึ้นเบื้องบน
ช่วยกันเกลี่ยทรายรอบบริเวณ
แล้วบูชาด้วยสักการะมีของหอมเป็นต้นจำเดิมแต่นั้นมา
มนุษย์ทั้งหลายก็เลื่อมใสในพระมหาสัตว์เจ้า
ทำการบูชาปรารถนาบุตรบ้าง ปรารถนาธิดาบ้าง
แม้พระมหาสัตว์เจ้าทรงรักษาอุโบสถกรรม
ถึงวันจาตุททสีและปัณณรสี ดิถี ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ
ก็มานอนอยู่เหนือจอมปลวก
ต่อในวันปาฏิบทแรมค่ำหนึ่ง จึงกลับไปสู่นาคพิภพ
เมื่อพระมหาสัตว์เจ้ารักษาอุโบสถอยู่อย่างนี้เวลาล่วงไปเนิ่นนาน
อยู่มาวันหนึ่ง
นางสุมนาอัครมเหสี
ทูลถามพระมหาสัตว์ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ
พระองค์เสด็จไปยังมนุษยโลกเข้าอยู่รักษาอุโบสถศีลนั้น
ความจริงมนุษยโลกน่ารังเกียจ มีภัยรอบด้าน
หากว่าภัยจะพึงบังเกิดแก่พระองค์
เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกหม่อมฉันจะพึงรู้ได้ด้วยนิมิตอย่างไร
ขอพระองค์จงตรัสบอกนิมิตอย่างนั้นแก่พวกหม่อมฉันด้วยเถิด
พระมหาสัตว์จึงนำ
นางสุมนาเทวี
ไปยังขอบสระมงคลโบกขรณีแล้วตรัสว่า
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
Metha
Metha
ออฟไลน์
เครดิต
54671
19
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-5-3 13:03
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
“ดูก่อนพระนางผู้เจริญ
ถ้าหากใคร ๆ จักประหารทำให้เราลำบากไซร้
น้ำในสระโบกขรณีนี้จักขุ่นมัว
ถ้าพญาครุฑจับเอาไปน้ำจักเดือดพลุ่งขึ้นมา
ถ้าหมองูจับเอาไปน้ำจักมีสีแดงเหมือนโลหิต”
พระโพธิสัตว์ตรัสบอกนิมิต ๓ ประการ
แก่นางสุมนาเทวีอย่างนี้แล้ว
ทรงอธิษฐานจาตุททสีอุโบสถ
เสด็จออกจากนาคพิภพไปมนุษยโลก
นอนเหนือจอมปลวก
ยังจอมปลวกให้งดงามด้วยรัศมีแห่งสรีรกาย
แม้สรีรกายของพระมหาสัตว์นั้น
ก็ปรากฏขาวสะอาดผุดผาดดังพวงเงิน
ท่อนพระเศียรเบื้องบนคล้ายคลุมไว้ด้วยผ้ากัมพลแดง
อนึ่งในชาดกนี้สรีรกายของพระโพธิสัตว์มีขนาดเท่าศีรษะคันไถ
ในภูริทัตตชาดก มีขนาดเท่าลำขา
ในสังขปาลชาดก มีขนาดเท่าเรือโกลนลำหนึ่ง
ในกาลครั้งนั้น มีมาณพชาวเมืองพาราณสีคนหนึ่ง
ไปเมืองตักกศิลาเรียนอาลัมภายนมนต์
ในสำนักของอาจารย์ทิศาปาโมกข์
เดินทางกลับบ้านของตนโดยผ่านมรรคานั้น
เห็นพระมหาสัตว์เจ้าแล้วคิดว่า
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
Metha
Metha
ออฟไลน์
เครดิต
54671
20
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-5-3 13:04
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เราจักจับงูนี้บังคับให้เล่นกีฬาในคามนิคมราชธานีทั้งหลาย
ยังทรัพย์ให้เกิดขึ้น จึงหยิบทิพโอสถ ร่ายทิพมนต์
ไปยังสำนักของพระมหาสัตว์เจ้า
จำเดิมแต่พระมหาสัตว์เจ้าสดับทิพมนต์
แล้วเกิดอาการเหมือนซี่เหล็กร้อนยอนเข้าไปในพระกรรณทั้งสอง
เบื้องพระเศียรปวดร้าวราวกะถูกเหล็กสว่านไช
พระมหาสัตว์เจ้าทรงรำพึงว่านี่อย่างไรกันหนอ
จึงยกพระเศียรขึ้นจากวงภายในขนดแลไป
ได้เห็นหมองูแล้วดำริว่าพิษของเรามากมาย
ถ้าเราโกรธแล้วพ่นลมจมูกออกไป
สรีระของหมองูนี้จักย่อยแหลกไปเหมือนกองเถ้า
แต่เมื่อทำเช่นนั้นศีลของเราก็จักด่างพร้อย
เราจักไม่แลดูหมองูนั้น
ท้าวเธอจึงหลับพระเนตรทั้งสอง
ทอดพระเศียรไว้ภายในขนด
พราหมณ์หมองูเคี้ยวโอสถแล้วร่ายมนต์พ่นน้ำลาย
ลงที่สรีรกายของพระมหาสัตว์ด้วยอานุภาพแห่งโอสถและมนต์
เรือนร่างของพระมหาสัตว์ในที่ซึ่งถูกน้ำลายรดแล้ว ๆ
ปรากฏเป็นเสมือนพองบวมขึ้น
ครั้งนั้นพราหมณ์หมองู
จึงฉุดหางพระมหาสัตว์ลากลงมาให้นอนเหยียดยาว
บีบตัวด้วยไม้กีบแพะทำให้ทุพพลภาพ
จับศีรษะให้มั่นแล้วบีบเค้น
พระมหาสัตว์จึงอ้าปากออก
ทีนั้นพราหมณ์หมองู
จึงพ่นน้ำลายเข้าไปในปากของพระมหาสัตว์
แล้วจัดการพ่นโอสถและมนต์
ทำลายพระทนต์จนหลุดถอน
ปากของมหาสัตว์เต็มไปด้วยโลหิต
พระมหาสัตว์สู้อดกลั้นทุกขเวทนาเห็นปานนี้
เพราะกลัวศีลของตัวจะแตกทำลาย
ทรงหลับพระเนตรนิ่งมิได้ทำการเหลียวมองดู
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
หน้าถัดไป »
1
2
3
4
5
6
/ 6 หน้า
ถัดไป
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
โหมดขั้นสูง
B
Color
Image
Link
Quote
Code
Smilies
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ลงชื่อเข้าใช้
|
ลงทะเบียน
รายละเอียดเครดิต
ตอบกระทู้
ข้ามไปยังโพสต์ล่าสุด
ตอบกระทู้
ขึ้นไปด้านบน
ไปที่หน้ารายการกระทู้
Share To Facebook
Share To Twitter
Share To Google+
Share To ...