แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย voon เมื่อ 2013-4-21 18:55
พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของธรรมชาติรู้ปรากฏการณ์ของธรรมชาติ เข้าใจเรื่องธรรมชาติ เข้าใจกฎเกณฑ์ของธรรมชาติสิ่งที่พระองค์ทรงสอนนั้นคือ “ภาษา” ภาษามีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ ”สัจจะ” คือความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลง พระพุทธเจ้าทรงสอนเพียงแค่ “ใบไม้กำมือเดียว” คือสอนให้พ้นทุกข์มนุษย์จะพ้นทุกข์ได้ก็ต้องมาเรียนรู้เรื่องกายและจิตของตัวเอง เท่านั้น และพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เรื่อง ”สสารและพลังงาน” หรือที่เรียกว่า”รูปกับนาม” พลังงานยังแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือพลังงานศักย์ พลังงานจลน์ และพลังงานสถิต
1.พลังงานศักย์ เป็นพลังงานสะสมเป็นพลังงานคงที่ ในขณะที่เราทำสมาธิเราจะใช้องค์บริกรรม คำภาวนาต่างๆก็ดี การสวดมนต์ในรูปแบบต่างๆก็ดีเป็นการรวบรวมพลังงานทั้งหมดให้เป็นหนึ่งเดียวกันจนเกิดเป็นสนามพลังงานขึ้นมามีลักษณะเหมือนคลื่นแม่เหล็ก หรือเป็นแสงสว่างเป็นรังสีก็มี ในทางธรรมเรียนว่า “สมถะ” ก็คืออุบายเป็นเครื่องสงบใจก็มีพลังขึ้นมานั้นเอง
2. พลังงานจลน์เป็นพลังที่ใช้จ่ายออกไปในระบบต่างๆของร่ายกาย คือจ่ายออกทางหู จมูก ลิ้น กาย โดยที่ใจดวงนี้สามารถควบคุมและนำไปใช้ในทางสันติได้หลายทางทางธรรมเรียกว่า “วิปัสสนา” คือการรู้แจ้งเห็นจริงในกายและจิตนี่เอง ผู้ที่ปฏิบัติสามาธิจะสามารถเรียนรู้แบะควบคุมการใช้พลังจิตที่ฝึกฝนอบรมมาได้ดังนี้ 2.1พลังงานทางเสียง พระพุทธเจ้าทรงอธิฐานจิตว่าใครก็ตามที่ได้ฟังพระสุรเสียงของพระองค์จะบรรเทาคลายความทุกข์ หายเจ็บหายป่วย สุขกายสบายใจ และเป็นคำสอนที่เรียกว่า “อาเทสนาปฏิหาริย์” ซึ่งได้ผลที่น่าอัศจรรย์แม้ในปัจจุบันการได้ฟังธรรมจากครูบาอาจารย์ที่มีพลังงานทางเสียงก็สามารถสัมผัสได้ถึงความเมตตาที่สงบเยือกเย็น 2.2 พลังงานทางคลื่นคือ กระแสจิตที่แผ่ซ่านออกมาอย่างเช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวใครได้เข้าใกล้หรือเพียง พระองค์ทรงโบกพระหัตถ์ ก็มีความรู้สึกเย็นสบาย ปลาบปลื้มปิติ หรือร้องไห้ อย่างครูบาอาจารย์ต่างๆ ก็เช่นเดียวกันใครเข้าใกล้ก็มีความรู้สึกสบายใจ สุขใจ เหมือนอยู่ใต้ร่มโพธิ์ร่มไทรทั้งนี้เป็นเพราะการใช้กระแสคลื่นในทางการแผ่เมตตา แผ่ส่วนบุญส่วนกุศลปลดปล่อยจิตวิญญาณที่ทุกข์ทรมานให้มีความสุขใจ เป็นกุศลหาบุญประมาณไม่ได้
2.3พลังงานทางแสง สำหรับผู้ที่ฝึกกสิณ10 จนได้ณานหรือผู้ที่ฝึกสมาธิจนถึงระดับ 5จิตจะมีพลังแสงออกกมาเป็นแสงสว่างเหมือนแสงนีออน หรือเป็นสีรุ้น 7 สีเป็นเกราะครอบคลุมตัวเอง บางคนก็มีความใสสว่างเหมือนกลางวัน บางคนมีความสว่างถึง20 วาก็มีแล้วแต่บุญบารมีที่สั่งสมมาทั้งในอดีตและปัจจุบัน 2.4 พลังงานทางรังสีเป็นคลื่นความถี่ที่สูงและมีความเร็วกว่าคลื่นแสง 15 เท่าขึ้นไปเป็นอภิญญาจิตสำเร็จด้วยความรู้สึกของใจ เป็นการปรับจูนคลื่นเข้าหากัน ทำให้รู้จักอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดทั้งของตัวเองและผู้อื่นได้ เราสามรถเทียบจากเฉดสีทางพุทธศาสนาซึ่งได้ระบุถึงน้ำเลี้ยงหัวใจมี 6 อย่าง ทำให้ทราบถึงจริตของแต่ละคนดังนี้ - ราคะจริตคือน้ำเลี้ยงหัวใจมีสีแดง -โทสจริต คือน้ำเลี้ยงหัวใจมีสีดำ -โมหะจริต คือน้ำเลี้ยงหัวใจมีสีหม่นเหมือนน้ำล้างเนื้อ -วิตกจริต คือ น้ำเลี้ยงหัวใจมีสีเหมือนน้าเยื่อถั่วพู -สัทธาจริต คือน้ำเลี้ยงหัวใจมีสีเหลืองอ่อนคล้ายสีดอกกรรณิการ์ -พุทธิจริต คือน้ำเลี้ยงหัวใจมีสีขาวเหมือนสีแก้วเจียระไน ทั้งนี้ยังสามารถใช้รังสีก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งตนเองและผู้อื่นได้รังสีที่ได้จะมีสีใกล้เคียงกับ ฉัพพรรณรังสี อาจจะสีอ่อนกว่า
3.พลังงานสถิตเป็นพลังงานที่สะสมคั่งค้างมานานแสนนาน มีพลังเกินกว่าธรรมชาติทั่วไปบางครั้งเหมือนกับมีชีวิตที่เราเรียกว่า อาถรรพ์ ของขลัง อิทธิฤทธิ์ อะไรต่างๆในทางธรรมเรียกว่า พลังบารมีเป็นพลังงานที่เราสะสมมาทั้งทางดีและทางชั่วนั่นเอง
|