ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 2311
ตอบกลับ: 4
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

คาถา ชนะนางจิญจมาณวิกา

[คัดลอกลิงก์]
คาถา ชนะนางจิญจมาณวิกา



กัตตะวานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ
สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม* ชะยะมังคะลานิ.
เมื่อนางจิญจมาณวิกาเอาผ้าห่อไม้ทำเป็นท้องเหมือนหญิงมีครรภ์

กล่าวคำใส่ร้ายในท่ามกลางหมู่ชน

พระจอมมุนีทรงชนะด้วยความสงบนิ่งอันประเสริฐ

ด้วยพระเดชนั้น ขอชัยมงคลจงมีแก่ข้าพเจ้า



2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-4-27 02:14 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เล่าเรื่อง
          ครั้นเมื่อยามสุดท้ายของวันเพ็ญเดือน ๖ พระบรมโพธิสัตว์ได้ทรงตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ

เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
          ทรงเสวยวิมุตติสุข (สุขเกิดแต่ความหลุดพ้นจากอาสวะกิเลสทั้งปวง) และทรงพิจารณาธรรมที่ทรง

ตรัสรู้ คือ ปฏิจจสมุปบาท (การที่ทุกข์เกิดขึ้นเพราะอาศัยปัจจัยต่อเนื่องกันมา)
          ทรงดำริถึงความละเอียดลึกซึ้งแห่งธรรมที่ทรงตรัสรู้ จึงเกิดปริวิตก ว่ายากนักสำหรับผู้ใดที่จะสามารถ

เข้าใจธรรมนี้ได้ บุคคลที่จะรับอรรถรสแห่งธรรมได้นั้น ต้องเป็นบุคคลที่ประกอบด้วยศรัทธาอันมั่นคง และได้เคย

สั่งสมบารมีอันเกี่ยวกับปัญญาในเรื่องนี้มาบ้างแล้ว แต่กาลก่อน
          ในพระทัยจึงโน้มเอียงว่าจะไม่ทรงแสดงธรรม เพราะหากทรงแสดงธรรมไปแล้ว บุคคลเหล่าใด

เกิดความสงสัย ไม่ศรัทธา ก็จะเป็นเหตุให้เกิดการดูหมิ่นดูแคลนต่อพระธรรม ซึ่งจะเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี

แก่ชนเหล่านั้น
          พุทธปริวิตกนี้ ล่วงรู้ถึงพรหมโลก ท้าวสหัมบดีพรหมมิอาจนิ่งเฉยได้ จึงเสด็จพร้อมทวยเทพลงมา

กราบอาราธนาพระพุทธองค์ให้ทรงแสดงธรรม เพราะทราบดีว่า หากมนุษย์และเทวามิได้รับอรรถรสแห่งธรรม

จากพระพุทธองค์แล้ว โลกจักถึงคราววิบัติเป็นแน่แท้
          ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธองค์ พระองค์จึงตัดสินพระทัยแสดงธรรม และทรงพิจารณาดู

อัธยาศัยของบุคคลที่จะทรงแสดงธรรมโปรด โดยแบ่งระดับสติปัญญาของบุคคลออกเป็น ๔ ระดับ

เปรียบดังดอกบัว ๔ เหล่า ดังนี้
          ๑.  ผู้รู้เข้าใจได้ฉับพลัน เพียงยกหัวข้อขึ้นแสดง ปัญญาก็กระจ่างสว่างไสว
                    เปรียบดังดอกบัวที่ตั้งขึ้นพ้นน้ำ รอสัมผัสแสงอาทิตย์ก็จะบานในวันนี้
          ๒. ผู้รู้เข้าใจต่อเมื่อได้รับการขยายความ
                    เปรียบดังดอกบัวที่ตั้งเสมอน้ำ จักบานในวันพรุ่งนี้
          ๓.  ผู้ที่พอจะแนะนำต่อไปได้
                    เปรียบดังดอกบัวที่ยังอยู่ในน้ำ ยังไม่โผล่พ้นน้ำ จักบานในวันต่อ ๆ ไป
          ๔. ผู้รู้เพียงตัวบท ถ้อยคำ แต่ไม่อาจเข้าใจความหมาย
                    เปรียบดังดอกบัวจมอยู่ในน้ำ จะกลายเป็นอาหารแก่ปลาและเต่า

3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-4-27 02:15 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ครั้นแล้วพระพุทธองค์ทรงระลึกถึงปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ (โกณฑัญญะ, วัปปะ, ภัททิยะ, มหานามะ, อัสชิ)

ผู้เคยดูแลปฏิบัติต่อพระองค์เมื่อครั้งบำเพ็ญทุกกรกิริยา พระองค์จึงเสด็จยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แคว้นพาราณสี

เพื่อแสดงธรรมโปรดปัญจวัคคีย์
          และในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ (อาสาฬหบูชา) พระพุทธองค์ทรงแสดง ปฐมเทศนา (พระธรรมเทศนา

ครั้งแรก ) ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร (ว่าด้วยมัชฌิมาปฏิปทา คือ ทางสายกลาง และว่าด้วยอริยสัจ ๔)

โปรดปัญจวัคคีย์ เมื่อจบพระธรรมเทศนา ท่านโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุเป็นโสดาบัน ทูลขอบรรพชา

เป็น ปฐมสาวก (พระภิกษุรูปแรก) พระพุทธองค์ทรงประทาน เอหิภิกขุอุปสัมปทา (ภิกษุที่พระองค์ทรงบวชให้)

ให้กับปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕
          ครั้นแรม ๕ ค่ำ เดือน ๘ ทรงแสดงธรรม อนัตตลักขณสูตร (ขันธ์ ๕ เป็นอนัตตา) โปรดภิกษุ

โกณฑัญญะ, ภิกษุวัปปะ, ภิกษุภัททิยะ, ภิกษุมหานามะ, ภิกษุอัสชิ เมื่อจบการแสดงธรรม ภิกษุทั้ง ๕ สำเร็จ

เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด พระพุทธศาสนาจึงปรากฏขึ้นในโลกนับแต่นั้นมา
          และในพรรษานั้น ทรงแสดงธรรมและประทานเอหิภิกขุอุปสัมปทาให้พุทธสาวกมากกว่า ๑,๐๐๐ รูป

ทั้งหมดได้บรรลุอรหันตผล เป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น
          ครั้นออกพรรษา พระพุทธองค์ทรงส่งอรหันตสาวก เผยแผ่ธรรมตามแว่นแคว้นต่าง ๆ ให้เป็นที่แพร่หลาย
          ณ ห้วงเวลานั้น ประชาชนตามแว่นแคว้นต่าง ๆ พากันฟังธรรมจากพระพุทธองค์จนมีดวงตาเห็นธรรม

กันนับไม่ถ้วน ปริพาชก (นักบวชนอกพุทธศาสนา) จำนวนมาก ละทิ้งสำนักของตน ขอบวชในพระพุทธศาสนา

มหาชนพากันอุปถัมภ์บำรุงพุทธศาสนาด้วยความเลื่อมใสศรัทธา

4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-4-27 02:15 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ความระส่ำระสายจึงเกิดขึ้นกับลัทธิต่าง ๆ มหาชนต่างเอากายและใจออกห่าง เพราะมองเห็นถึงคำสอน

อันไม่เป็นแก่นสาร ความเลื่อมใสศรัทธา ลาภ สักการะก็พลันถดถอยลงตามลำดับ
          ดังนั้น พวกเดียรถีย์ (นักบวชนอกพุทธศาสนา) ใจพาล จึงร่วมมือกันออกอุบายปรึกษาหารือ

กับหญิงงามผู้หนึ่งนาม นางจิญจมาณวิกา ว่าจะต้องทำลายพระพุทธศาสนา โดยการใส่ร้ายป้ายสี พระพุทธเจ้า

ให้ได้รับความเสื่อมเสียให้จงได้ เพื่อเรียกลาภ สักการะ และความศรัทธาจากมหาชนกลับคืนมาสู่สำนักตนดังเดิม
          และบ่ายคล้อยนั้นเอง นางจิญจมาณวิกาบรรจงปรุงแต่งร่างกายให้งดงาม ถือดอกไม้ ของหอม

ทำทีเดินเข้าวัดเชตวัน สวนกับสาธุชนที่กำลังเดินออกจากวัด หลังจากฟังธรรมของพระพุทธองค์
          ในเวลารุ่งเช้า สาธุชนเดินเข้าวัดเพื่อฟังธรรมกับพระพุทธองค์ นางก็ทำทีเดินออกมาจากวัด

สวนกับผู้คน เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจว่าเมื่อคืนวานนางได้นอนค้างที่วัดเชตวัน
          นางจิญจมาณวิกาทำกิริยาเช่นนี้เป็นแรมเดือน เมื่อเวลาล่วงเลยไป ๒ เดือน นางเริ่มบอกผู้คนว่า

นางพักค้างคืนที่คันธกุฎีของพระพุทธเจ้า พุทธบริษัทได้ฟังแล้วก็เกิดความคลางแคลงสงสัย ต่างพากัน

วิพากษ์วิจารณ์กันเป็นวงกว้าง
          เวลาล่วงไป ๓ - ๔ เดือน นางเอาผ้ามาพันที่ท้องให้ดูคล้ายว่านางได้ตั้งท้องอ่อน ๆ ส่วนพวกเดียรถีย์

ก็โพนทะนาว่านางตั้งครรภ์กับพระพุทธเจ้า
          เวลาผ่านไป ๙ เดือน นางเอาท่อนไม้โค้งกลมผูกติดกับท้องแล้วนุ่งผ้าคลุมพรางไว้ เอาไม้ทุบหลังมือ

หลังเท้าให้บวม ทำท่าอิดโรย แสดงอาการเหมือนมีครรภ์แก่ใกล้คลอด
          ครั้นได้โอกาสเหมาะ ในขณะที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมท่ามกลางพุทธบริษัทจำนวนมาก

นางจิญจมาณวิกาเดินเข้าไปท่ามกลางฝูงชน ยืนต่อหน้าพระพักตร์ของพระองค์ ตะโกนกล่าวร้ายพระพุทธองค์ว่า
" พระองค์น่ะ ดีแต่แสดงธรรมเทศนาโปรดผู้อื่น หม่อมฉันครรภ์แก่ใกล้คลอดแล้ว ไฉนท่านไม่สน

  พระทัย ดีแต่ร่วมเสพสมภิรมย์อย่างเดียว ปล่อยให้หม่อมฉันกับลูกในครรภ์ทุกข์ยากโดยลำพัง "
          พุทธบริษัทได้ฟังนางจิญจมาณวิกาบริภาษพระพุทธองค์ ก็เกิดความสับสนอลหม่านกันถ้วนทั่ว

ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่ ปุถุชนบางคนก็เชื่อ ส่วนปุถุชนผู้มีสติปัญญาก็คิดสงสัยใคร่ครวญด้วยเหตุผล

ว่าน่าจะมีอะไรแอบแฝงเป็นแน่

5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-4-27 02:16 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระพุทธองค์ทรงสงบพระทัยอย่างงดงาม ท่ามกลางคำกล่าวร้ายนั้น แล้วตรัสด้วยพระสุรเสียงอันสงบว่า
พระพุทธองค์
:
ดูกร.....น้องหญิง คำที่กล่าวนั้นมีเพียงแต่เราสองคนเท่านั้นที่รู้
นางจิญจมาณวิกา
:
ใช่ ! เรื่องอย่างนี้คนอื่นเขาจะรู้ได้อย่างไร เพค่ะ
          พระพุทธองค์ยังทรงสงบพระทัย แล้วแสดงธรรมเทศนาต่อ ราวกับมิได้มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนนาง

จิญจมาณวิกาแสดงอาการเร่าร้อน ทำท่าแค้นเคือง ตีอกชกตัว บริภาษพระพุทธองค์มิได้หยุดปาก
          เมื่อเหตุการณ์เป็นดังนี้ อาสนะของท้าวสักกะเทวราชในดาวดึงสเทวโลกก็บังเกิดแข็งกระด้างขึ้น

ในฉับพลัน ทรงพิจารณาด้วยทิพจักขุ ก็รู้เหตุแห่งหญิงใจทรามกล่าววาจามุสาป้ายสีพระพุทธองค์  จึงเสด็จลงมา

พร้อมเทพบุตร ๔ องค์แปลงเป็นหนู กัดเชือกที่ผูกท่อนไม้ไว้ให้หล่นลงมา
          เมื่อพุทธบริษัทเห็นดังนั้น ก็รู้ความจริง บังเกิดความโมโหโกรธา ต่างพากันกล่าวบริภาษ

นางจิญจมาณวิกาด้วยถ้อยคำรุนแรง แล้วพากันขับไล่ไสส่งนางออกจากวัดเชตวัน
          นางจิญจมาณวิกาตกใจกลัวเพราะความได้แตกเสียแล้ว จึงรีบวิ่งหนีจากการถูกฝูงชนรุมทุบตี

เมื่อพ้นเขตวัดเชตวัน แผ่นดินหนา ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์ ไม่สามารถจะรองรับกรรมอันชั่วช้าที่นางทำไว้ได้

แผ่นดินจึงแยกออกเป็นช่อง ปรากฏเปลวเพลิงอันร้อนแรงห่อหุ้มนางจิญจมาณวิกา กลืนนางลงไปสู่อเวจี

มหานรกทันที
          เมื่อสิ่งที่ปรากฏประจักษ์ต่อสายตามหาชนแล้ว เหล่าเดียรถีย์ทั้งปวงก็ยิ่งเสื่อมจากลาภ สักการะ

และความศรัทธา ส่วนพระพุทธศาสนาก็ยิ่งมั่นคงเป็นสรณะอันเกษมแก่มหาชนสืบไป

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้