เล่าเรื่อง ครั้นเมื่อยามสุดท้ายของวันเพ็ญเดือน ๖ พระบรมโพธิสัตว์ได้ทรงตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเสวยวิมุตติสุข (สุขเกิดแต่ความหลุดพ้นจากอาสวะกิเลสทั้งปวง) และทรงพิจารณาธรรมที่ทรง
ตรัสรู้ คือ ปฏิจจสมุปบาท (การที่ทุกข์เกิดขึ้นเพราะอาศัยปัจจัยต่อเนื่องกันมา) ทรงดำริถึงความละเอียดลึกซึ้งแห่งธรรมที่ทรงตรัสรู้ จึงเกิดปริวิตก ว่ายากนักสำหรับผู้ใดที่จะสามารถ
เข้าใจธรรมนี้ได้ บุคคลที่จะรับอรรถรสแห่งธรรมได้นั้น ต้องเป็นบุคคลที่ประกอบด้วยศรัทธาอันมั่นคง และได้เคย
สั่งสมบารมีอันเกี่ยวกับปัญญาในเรื่องนี้มาบ้างแล้ว แต่กาลก่อน ในพระทัยจึงโน้มเอียงว่าจะไม่ทรงแสดงธรรม เพราะหากทรงแสดงธรรมไปแล้ว บุคคลเหล่าใด
เกิดความสงสัย ไม่ศรัทธา ก็จะเป็นเหตุให้เกิดการดูหมิ่นดูแคลนต่อพระธรรม ซึ่งจะเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี
แก่ชนเหล่านั้น พุทธปริวิตกนี้ ล่วงรู้ถึงพรหมโลก ท้าวสหัมบดีพรหมมิอาจนิ่งเฉยได้ จึงเสด็จพร้อมทวยเทพลงมา
กราบอาราธนาพระพุทธองค์ให้ทรงแสดงธรรม เพราะทราบดีว่า หากมนุษย์และเทวามิได้รับอรรถรสแห่งธรรม
จากพระพุทธองค์แล้ว โลกจักถึงคราววิบัติเป็นแน่แท้ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธองค์ พระองค์จึงตัดสินพระทัยแสดงธรรม และทรงพิจารณาดู
อัธยาศัยของบุคคลที่จะทรงแสดงธรรมโปรด โดยแบ่งระดับสติปัญญาของบุคคลออกเป็น ๔ ระดับ
เปรียบดังดอกบัว ๔ เหล่า ดังนี้ ๑. ผู้รู้เข้าใจได้ฉับพลัน เพียงยกหัวข้อขึ้นแสดง ปัญญาก็กระจ่างสว่างไสว เปรียบดังดอกบัวที่ตั้งขึ้นพ้นน้ำ รอสัมผัสแสงอาทิตย์ก็จะบานในวันนี้ ๒. ผู้รู้เข้าใจต่อเมื่อได้รับการขยายความ เปรียบดังดอกบัวที่ตั้งเสมอน้ำ จักบานในวันพรุ่งนี้ ๓. ผู้ที่พอจะแนะนำต่อไปได้ เปรียบดังดอกบัวที่ยังอยู่ในน้ำ ยังไม่โผล่พ้นน้ำ จักบานในวันต่อ ๆ ไป ๔. ผู้รู้เพียงตัวบท ถ้อยคำ แต่ไม่อาจเข้าใจความหมาย เปรียบดังดอกบัวจมอยู่ในน้ำ จะกลายเป็นอาหารแก่ปลาและเต่า
|