ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 2761
ตอบกลับ: 2
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

หลวงพ่อท่านคลิ้ง ผุสสฺธฺมโม

[คัดลอกลิงก์]


หลวงพ่อท่านคลิ้ง ผุสสฺธฺมโม
"การปฏิบัติของฉันก็ไม่มีใคร คือ สวดมนต์ไหว้พระแล้วนั่งภาวนาอยู่ตามประสา ตามประสาว่าพุทโธ ธัมโม สังโฆ คือว่าพุทโธหมายถึงว่าที่พึ่งของเราคือพระพุทธเจ้า ธัมโมที่พึ่งของเราคือพระธรรม สังโฆที่พึ่งของเราคือพระสงฆ์"

ธรรมสัจจะพ่อท่านคลิ้ง
"มันธรรมดา พอทุกข์มันเกิดขึ้นมา มันก็หายของมันไปเอง มันดับเอง สิ่งไหนเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นของธรรมดา ไม่มีเหลือ เกิดทุกข์ก็ดับทุกข์ เกิดสุขก็ดับสุข เป็นธรรมดา ที่ยังดับไม่ได้ก็ปุถุชน ถ้าเป็นพระอรหันต์เขาก็ไปกันโน้น ไม่มีแล้ว เขาไม่มีอะไรแล้ว อยู่เฉยๆ เรียกว่าเขาไม่บาป เขาไม่บุญ เขาอยู่กลางๆ ไอ้เรานี่มันอยู่กลางๆ ไม่ค่อยได้ เพราะยังเป็นปุถุชนอยู่ถึงว่าอย่างน้อยที่สุดมันก็เป็นใยเหมือนกับข้าวดิบ มันยังดิบอยู่บ้างในใจ เพราะยังเป็นปุถุชนอยู่นี่ ถึงว่าดี เท่าดีก็เถอะ"

2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-4-26 04:11 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


ประวัติย่อ         
พ่อท่านคลิ้งเดิมชื่อ คลิ้ง เขตมรคา บิดาชื่อนายพลับ เขตมรคา มารดาชื่อ นางบัวแก้ว เขตมรคา เกิดเมื่อปีมะแม 2450 ณ หมู่บ้านบ้านคู ต. ท่าชะมวง อ.รัตภูมิ จ.สงขลา เมื่ออายุได้ 37 ปี ได้บรรพชา ณ วัด ชนาชิปเฉลิม ต.พิมาน จ. สตูล เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2487 กับพระอุปัชฌายะพระอรรถเมธี เมื่อบวชแล้วก็กลับมาจำพรรษา ณ วัดนาสีทอง  อ.รัตภูมิ จ. สงขลานับตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งมรณภาพโดยมิเคยย้ายวัดไปไหนเลย           
           เนื่องจากท่านเคยมีลูกมีเมียมาก่อน เพราะเบียดก่อนบวชไม่เชื่อในประเพณีจึงเกิดทุกข์ เกิดความวุ่นวายในครอบครัวจึงตัดสินใจบวชเพื่อที่จะให้เกิดบุญบารมีขึ้นกับพ่อแม่และครอบครัวของตนเอง เมื่อได้บวชเข้ามาในร่มผ้ากาสาวพัตร์แล้วในช่วงพรรษาแรกๆ ก็ยังมิได้สนใจในการปฏิบัติเลย แต่ก็รู้สึกว่าความวุ่นวายต่างๆ ก็หมดไปจากใจ เกิดความสบายจึงบวชไปเรื่อยๆ เมื่อญาติพี่น้องเห็นว่าบวชมานานแล้วยังไม่ยอมสึกออกไปทำมาหากินเสียที จึงสบประมาทท่านว่า “บวชไปก็คงจะได้ไม่กี่น้ำหรอก” เดี๋ยวก็ต้องสึกออกมาเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียแน่นอน จึงทำให้หลวงพ่อคลิ้งเกิดทิฐิมานะขึ้นไม่ยอมสึกออกไป เมื่อบวชและได้มาอยู่กับหลวงพ่อแดงได้ประมาณ 5 ปี จึงแอบฝึกจิตตั้งใจมั่นอยู่ในการปฏิบัตินับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นมา โดยการละวางจากสภาวะทั้งมวล ไม่ยอมสนใจกับอะไรเลย พยายามฝึกจิตของตนเองให้เกิดความเข้มแข็งเหมือนกับพระแม่ธรณี เพราะเมื่อท่านมองออกไปสู่โลกภายนอกก็เห็นแต่เรื่องของความทุกข์ มีแต่เรื่องที่ไม่ดีไม่งามในช่วงสมัยนั้น โจรก็ชุกชุม โรคภัยไข้เจ็บก็เยอะ จึงพยายามที่จะศึกษาเรียนรู้วิชาอาคมต่างๆ จากหลวงพ่อแดงบ้าง และฝึกฝนปฏิบัติต่อจิตควบคู่ไปด้วย เมื่อศึกษาวิชาอาคมจากหลวงพ่อแดงได้ระยะเวลาหนึ่ง หลวงพ่อคลิ้งก็รับไม่ได้ไม่ค่อยชอบในเรื่องเวทย์มนต์คาถาต่างๆ จึงออกมาท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ ตามบ้านเรือนของญาติโยม ออกไปพูดคุยตอบถามในสารทุกข์สุขดิบต่างๆ พอดีในช่วงนั้นหลวงพ่อแดงได้มรณภาพไป หลวงพ่อท่านคลิ้งท่านไม่อยากจะเป็นเจ้าอาวาสแต่ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ เพราะไม่มีใครที่เหมาะสมและมีอาวุโสเท่ากับท่านอีกต่อไป จึงจำใจยอมรับภาระหน้าที่อันสำคัญนี้สืบไป     

3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-4-26 04:12 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้


แนวทางในการปฏิบัติของหลวงปู่คลิ้ง ผุสสฺธฺมโม           
         เมื่อหลวงพ่อคลิ้งจำใจรับเป็นเจ้าอาวาสต่อจากหลวงพ่อแดง เพราะมีพรรษามากกว่าพระรูปอื่น ที่มีอยู่ในวัด การปฏิบัติตัวของท่านก็ทำตัวเหมือนพระลูกวัดธรรมดา โดยทั่วๆ ไป ท่านไม่เคยเคร่งครัดอะไรกับใคร ไม่มีปัญหาอะไรกับใครเขา ไม่เคยด่า ไม่เคยว่าใครให้ทุกข์ ท่านเป็นเพียงหัวหน้าวัดเป็นเพียงผู้ดูแลวัดโดยมิได้สนใจอะไร แต่แอบฝึกฝนปฏิบัติต่อจิตอยู่เพียงลำพัง ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยจะศรัทธาท่านสมภารคลิ้งเท่าที่ควร จะมีบ้างก็เพียงแต่มาปรึกษาเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับการทำบุญสุนทานเท่านั้น          
         เนื่องจากหลวงพ่อท่านคลิ้ง ท่านไม่สนใจในวิชาอาคมใดๆ เลย ชาวบ้านจึงไม่ค่อยจะศรัทธาหันไปนับถือหลวงพ่อวัดอื่นๆ แทน ซึ่งเป็นการดีสำหรับหลวงพ่อท่านคลิ้งที่ไม่มีใครหันมาสนใจ ท่านจึงได้ฝึกฝนปฏิบัติของท่านไปเรื่อยๆ ไม่ต้องมาเสียเวลากับเรื่องกิเลสของชาวบ้าน การฝึกฝนปฏิบัติต่อจิตของหลวงพ่อคลิ้งจึงเจริญรุดหน้าไปเรื่อยๆ  โดยอาศัยเรียนรู้ในสัจธรรมต่างๆ จากโลกภายนอก การปฏิบัติของท่านคลิ้งนั้นท่านเคร่งครัดของท่านเอามากๆ โดยเฉพาะการสวดมนต์ไหว้พระและหมั่นทำสมาธิเป็นประจำทั้งเช้าและเย็นมิได้ขาดเลย “แม้แต่วันเดียว” ท่านทำกิจของสงฆ์มิเคยขาดตกบกพร่อง หลวงพ่อคลิ้งท่านแอบฝึกปฏิบัติของท่านเพียงองค์เดียวมากว่า 30 พรรษา โดยญาติธรรมในแถบนั้นไม่มีโอกาสรู้ได้เลยว่าท่านสมภารคลิ้งจากวัดเล็กๆ ในหมู่บ้านนาสีทอง คือพระสุปฏิปันโนที่เคร่งครัดในศีลจริยวัตรอย่างมาก จนกระทั่งท่านได้มีโอกาสรู้ในสิ่งที่สมควรรู้เห็น ท่านไปของท่านเรื่อยๆ โดยมิได้สนใจใคร จนกระทั่งท่านสามารถหาทางออกของท่านได้สำเร็จเป็นพระอริยสงฆ์อีกองค์หนึ่ง           
        พ่อท่านคลิ้งจะสั่งสอนธรรมให้กับใครก็ตาม ท่านจะดูวาระจิตของบุคคลผู้นั้นเสียก่อนว่า ควรจะนำอะไรไปสอน เพราะท่านสามารถที่จะรู้วาระจิตของมนุษย์ได้ ใครจะคิดอะไร ใครจะทำอะไร ท่านรู้  แต่ไม่สนใจ อดีตชาติของท่านนั้นก็มีความเกี่ยวพันธ์กับหลวงปู่ทวดอยู่มิใช่น้อย           
พ่อท่านคลิ้งได้ละสังขารด้วยโรคชราที่วัดนาสีทอง เมื่อ พ.ศ. 2546 สิริอายุ 96 ปี 59 พรรษา

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้