ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 1973
ตอบกลับ: 2
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

จิตเป็นแก่นของชีวิต (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)

[คัดลอกลิงก์]


จิตเป็นแก่นของชีวิต
โดย
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ


วัดอรัญญบรรพต
ต.บ้านหม้อ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย


สุดท้ายก็มาอยู่ที่ภาวนา เพราะการภาวนานี้มันเป็นการฝึกจิต จิตที่กวักแกว่งเลื่อนลอย ทำให้สงบลงตั้งมั่นลงไป จิตดวงเดียวเท่านี้แหละเป็นแก่นของชีวิต เมื่อเราฝึกตนเองให้ตั้งมั่นอยู่ในกุศลธรรมได้ ก็ย่อมเอาชนะความชั่วทั้งหลายได้ ความชั่วกิเลสทั้งหลายก็ไม่มาครอบงำจิตใจ ตั้งแต่เราเทียวเกิดเทียวตายมาในสงสาร นี่ส่วนมากก็ไม่ได้ฝึกฝนอบรมตน เกิดมาชาติใดก็อยู่ไปตามยถากรรม หากินไป อยู่ไปหมดบุญหมดกรรมและก็อายุหมดลงแล้วก็ตายไป ตายไปแล้วก็ไปหาที่เกิดใหม่ เป็นอยู่อย่างนี้แหละ พระพุทธเจ้ายังตรัสว่า วัฏฏะโตโลโก โลกมันหมุน โลกคือหมู่มนุษย์ ย่อมหมุนไปตามกรรม สุดแล้วแต่ทำกรรมอันใดไว้ กรรมอันนั้นมันก็พาหมุนไป เกิด แก่ เจ็บ ตาย ถ้าทำกรรมดี กรรมดีก็พาหมุนไปทางดี ทำกรรมชั่ว กรรมชั่วมันก็หมุนไปพาไปทางชั่ว

ชีวิตของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายนี่ มันย่อมหมุนเป็นวงกลมอยู่อย่างนี้ หาทางออกจากทุกข์ไม่ได้ เพราะเมื่อยังไม่ได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าตราบใดแล้ว ไม่รู้จากทางออกจากทุกข์เลย สัตว์ทั้งหลายจึงง่วนอยู่แต่ในโลกอันนี้ ก็ถึงมีศาสนามีพระพุทธเจ้ามาบังเกิดปานนี้ ทรงแสดงธรรมไว้ แต่คนก็ยังไม่สนใจ คล้ายๆ ก็ว่าเห็นเป็นของไม่สำคัญ ไม่ดีอะไร เงินโน้นดีกว่า ดิ้นหาแสวงหาแต่เงินทองข้าวของกัน ก็สำคัญว่าเมื่อมีเงินแล้วก็มีความสุข มนุษย์ส่วนมากมันดิ้นแสวงหาแต่ความสุขในปัจจุบันนี้เท่านั้นเอง ไม่คิดถึงอนาคตเบื้องหน้า ที่ตนจะพึ่งเลื่อนลอยไปหาที่เกิดอยู่ร่ำไป ไม่คำนึงถึงทางที่ไปสู่อนาคตเบื้องหน้ายังไกลแสนไกล แต่ส่วนที่ล่วงมาแล้วมันก็หมดมาแล้ว ไม่คิดที่จะสร้างยานพาหนะนำตนให้ไปที่สุขสบาย ก็แต่ตนได้มีความสุขอยู่ในปัจจุบันนี้ก็พอใจแล้ว

ดังนั้น คนเรามันจึงยากจนข้นแค้นเกิดมา คนจนหลายๆ ในโลกเหล่านี้ เนื่องจากมันเกียจคร้านทำความดี ในการฝึกกาย วาจา จิต ให้ตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อไปสั่งสมกรรมชั่ว คือสั่งสมกิเลสต่างๆ แล้ว กิเลสเหล่านั้นมันก็พาจิตนี้ไป เลื่อนลอยไป หาที่เกิดแต่ที่อยากลำบาก ถ้าบาปไม่มาก ก็พาเกิดเป็นสัตว์สิ่งเดรัจฉาน ได้รับทุกข์ทนทรมานเป็นสัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ก็จะเบียดเบียนไปฆ่า ชำแหล่ะเอาเนื้อมาขายเลี้ยงชีวิต นี่แหละชีวิตของสัตว์โลก ผู้ที่ไม่รู้หนทางออกจากทุกข์ มันก็วนมาหาทุกข์อยู่ร่ำไป เป็นอย่างนั้น ทางออกจากทุกข์ที่พระพุทธเจ้าแนะนำสั่งสอนไว้การให้ทานก็เป็นการออกจากความโลภความตระหนี่หวงแหน เพราะความโลภความตระหนี่เป็นเหตุให้ทำบาปแล้วมันจะไปสู่ทุกข์ ถ้าผู้ใดให้ทานอยู่ ไอ้ความโลภอยากได้สมบัติของคนอื่นมาเป็นของตนมันก็ไม่มี

ตนหาได้เท่าไรก็บริโภคใช้สอยเท่านั้น เช่นนี้ก็ไม่ได้ทำบาป นี่แหละท่านจึงว่า การทำบุญให้ทานเป็นทางออกจากทุกข์สายหนึ่ง การรักษาศีลให้บริสุทธิ์ อันนี้ก็ยิ่งเป็นหนทางออกจากทุกข์สูงขึ้นไปกว่าทานนั้นอีก เพราะว่าศีลนี้ป้องกันบาป ป้องกันไม่ให้คนทำบาปด้วยกาย วาจา ใจ เมื่อผู้ใดมั่นในศีล เชื่อมั่นในศีลว่าจะพาตนให้พ้นทุกข์ พ้นจากนรกอบายภูมิ อย่างนี้แล้วก็คนผู้นั้นก็ไม่ได้ทำบาป เมื่อไม่ทำบาปแล้ว บาปก็ไม่นำไปสู่ทุกข์ เมื่อละโลกนี้ไป ก็ไปบันเทิงในสวรรค์เท่านั้นแหละก็พูดกันมาบ่อยๆ เรื่องหมู่นี้แหละ และตายจากมนุษย์นี่ไปเกิดสวรรค์ มันก็พ้นทุกข์ไปขั้นหนึ่ง ทุกข์ของมนุษย์นี้ก็ไม่ใช่ย่อย ทุกข์เพราะเสวยวิบากกรรมที่ตนทำมาแต่ก่อนก็พอแรง ทุกข์เพราะความแก่ ความเจ็บ ความป่วยไข้ ความแสวงหาทรัพย์สินเงินทองข้าวของ มาเลี้ยงอัตภาพอันนี้ ก็เป็นทุกข์ไม่ใช่น้อย

เมื่อบุคคลมีศีลแล้วไม่ทำบาปแล้ว หาเลี้ยงชีพแต่โดยทางที่สุจริตเช่นนั้นแล้ว ตายแล้วมันก็ไปสวรรค์เท่านั้นล่ะมันไม่มีบาป ไม่มีบาปนำไปสู่ทุกข์แล้ว แต่การรักษาศีลการไม่เบียดเบียนบุคคลอื่นสัตว์อื่นเป็นบุญกุศล แต่คนไม่รู้จักบุญนะ นึกว่ารักษาเฉยๆ รักษาศีล นึกว่าไม่เป็นบุญกุศล ก็เมื่อละบาปไปแล้วบุญมันก็ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดาเป็นอย่างงั้น ผู้ใดไหว้พระภาวนาไม่ท้อไม่ถอยฝึกฝนจิตของตนให้สงบบรรเทาเสียซึ่งความโลภ โกรธ หลง เสียได้ รู้สึกตัวได้ว่าดวงจิตนี้มาอาศัยอยู่ในร่างกายอันนี้เป็นของไม่เที่ยงมันจึงได้รับทุกข์ จึงได้เสวยทุกข์ทรมานอยู่อย่างนี้แหละ หน่อยหนึ่งก็เจ็บโน้น ปวดนี่สารพัด แต่คนเราเกิดมาแล้วมีโรคภัยเบียดเบียน อยากไปเห็นคนเจ็บคนป่วยต้องไปที่โรงพยาบาล สารพัดจะคนป่วย ไปแสดงบัตรนี้ต้องเข้าคิวกันยาวเหยียดเลยโรงพยาบาลใหญ่ๆ

บางคนไปคอยอยู่ตั้งครึ่งวันจึงได้ตรวจตราก็มี ครึ่งวันจึงได้ตรวจโรค เพราะคนป่วยมีมาก แต่มนุษย์น่ะหากไม่เบื่อไม่หน่ายความเจ็บป่วยไข้ต่างๆ หมู่นี้ เจ็บก็เจ็บอยู่ร้องครวญคราง ก็ร้องอยู่อย่างนั้นล่ะ แต่ไม่มีอุบายความคิดนึกในใจว่าทำอย่างไรหนอเราจึงจะพ้นจากทุกข์เหล่านี้ไป ไม่คิดเลย เพราะฉะนั้นมันจึงออกจากทุกข์ไม่ได้นั่นแหละ ถ้าผู้ใดเจ็บปวดไม่สบายอย่างไงแล้ว มากำหนดพิจารณา เออ...ก็เพราะเหตุว่าจิตนี่มาถือมั่นในขันธ์ ๕ อันนี้ว่า เป็นตัว เป็นตน เป็นเรา เป็นเขา ไม่แต่ว่าชาตินี้ ชาติหลังๆ ล่วงมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน มันก็มาถือเอา ขันธ์ ๕ เป็นที่พึ่ง ที่อาศัย สำคัญว่าเป็นของตัว ของตน บัดนี้ขันธ์ ๕ ไม่เที่ยงก็วิบัติแปรปรวนไป จิตที่อาศัยอยู่ในขันธ์ ๕ นี้ก็เป็นทุกข์ทนทรมาน แต่มันก็ไม่ใช่ว่าเป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลา
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-4-24 02:40 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
นี่แหละที่คนจะหลงติดอยู่ในโลกอันนี้แหละ เมื่อโรคภัยหายไปแล้วร่างกายก็สมบูรณ์ดีขึ้นมาก็นึกว่าตนสบายแล้ว ก็ยิ่งเพริดเพลินยิ่งมัวเมานี่ แต่มันก็หาได้หายไปเด็ดขาดแล้วๆ ไปเลยไม่ตกไป หายไปชั่วคราวชั่วระยะหนึ่ง ไปๆ เดี๋ยวมันก็เกิดขึ้นมาอีก ก็ได้รับทุกขเวทนาอยู่อย่างนั้นแหละ คนเราถ้าไม่เจ็บไม่ป่วยมันก็ไม่ตาย ก่อนจะตายมันต้องเจ็บป่วยซะก่อน ร่างกายมันจะทรุดโทรมลงไปเยียวยารักษาอย่างไรก็ไม่หาย เมื่อเวลาจวนจะตายแล้วมานึกถึงพุทโธแล้ว มานึกไม่ได้ เพราะทุกขเวทนามันครอบงำจิตใจพอแรง นึกไม่ออกซ้ำเป็นไร เว้นเสียผู้ที่ได้ภาวนาอยู่แต่ยังมีชีวิตดีอยู่ ภาวนาพุทโธจนติดนิสัย จนใจเข้มแข็งตั้งมั่นอยู่ด้วยดี ถ้าทำได้อย่างนี้เวลามีชีวิตอยู่ดีๆ เมื่อเวลาโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนเจ็บป่วยลงจะตาย มันก็ระลึกได้ เพราะใจที่ฝึกแต่ยังดีๆ อยู่อย่างนี้มันเข้มแข็ง มันตั้งมั่น

ทั้งพิจารณาเห็นว่า ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ นี้มันไม่พ้นจาก ความแก่ ความเจ็บ ความตาย มันมีอยู่อย่างนี้เป็นธรรมดา ภาวนาพุทโธแล้วก็พิจารณาถึงความจริงของร่างกายอันนี้ ทุกวันทุกคืนไป มันก็เห็นแจ้งด้วยญาณอันเกิดจากสมาธินัยเห็นว่า ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ อันนี้ไม่มีสาระแก่นสารอะไรเลย ไอ้ที่ได้อาศัยมันอยู่นี่มันยังไม่แตกไม่ดับเพราะอาศัยบุญกุศลที่ทำมาแต่ชาติก่อนมาหล่อเลี้ยงไว้สมประกอบกันกับอาหารในปัจจุบัน หล่อเลี้ยงไว้ถ้าจะอาศัยแต่อาหารอย่างเดียวไม่ได้อาศัยบุญกุศลแต่ชาติก่อนนั้นมันอยู่ไม่ได้ ถ้ามันอยู่ได้มันก็ไม่เจ็บ ไม่ไข้ ไม่ตาย คนเราอาหารมีกินอยู่ตลอดไป นึกให้ดีพิจารณาให้เห็น เหตุที่มันยังอยู่ได้ก็เพราะอาศัยบุญเก่ามาหล่อเลี้ยงไว้กับอาหารการบริโภคปัจจุบันนี้สมทบกันเข้าไปอีก ถ้าบุญเก่าหมดลงแล้วอาหารก็ดิบรับประทานไม่ได้ แม้แต่น้ำยังกลืนไม่ลง เอามาพอ ได้เอาสำลีชุบน้ำหยอดใส่ปากให้ เพื่อให้น้ำมันไปทำให้ชุบคอหายใจสะดวกสักหน่อย มันเป็นอย่างนั้น เวลาคนเราใกล้จะตาย

ดังนั้นอย่าพากันไปนิ่งนอนใจ แน่นอนเราทุกคน เรียกว่าถูกคนดีๆ ยังไม่ตาย เอาสำลีจุ่มน้ำแล้วก็หยอดใส่ปากให้ แน่นอนแหละถึงวาระนั้นมาแล้ว นอนทอดหายใจแขม่วๆ อยู่ บางคนก็หายใจปลา ปลาที่เอาขึ้นมาบนบกหายใจงาบๆๆ มันไม่ได้มีน้ำแล้วมันอยู่ไม่ได้ปลา เมื่อหนึ่งก็หมดลมหายใจเงียบไป คนเรามันก็ไม่ผิดอะไรจากสัตว์เท่าไรนักเวลาจวนจะตาย ดังนั้นเราต้องเตรียมตัวไว้ภาวนาไว้เสมอๆ ใช้ปัญญาพิจารณาว่าคำว่า ตายๆ นี้ อะไรมันตาย เมื่อใจตั้งมั่นแล้วมันก็รู้ได้ ว่าไอ้ธาตุทั้ง ๔ มันไม่ปรองดองสามัคคีกัน บางทีธาตุไฟต้องอ่อนลง บางทีธาตุลมก็อ่อนลง เมื่อธาตุเหล่านี้มันอ่อนแอลงไปแล้วมันก็ไม่มีกำลัง รับประทานอาหารอะไรไม่ได้ ไอ้คนเราที่จะรับประทานอาหารอยู่นี่ได้เพราะธาตุไฟมันแรง มันทำให้อยากอาหาร ธาตุไฟนี้น่ะ

ธาตุลมมันมีมันช่วยกลืนอาหารลงไปในท้องในใส้ก็เพราะธาตุลมนี้แหละคนเราเมื่อลมมันอ่อนลงไปแล้วก็เลยไม่มีกำลังแม้แต่กลืนข้าวนี้ก็ไม่ลง กลืนน้ำก็แทบไม่ลงเลย ให้พิจารณาให้ถึงลักษณะแห่งความตาย มันมีอาการอย่างไร เมื่อเราพิจารณาดูไปบ่อยๆ ก็เกิดญาณความรู้แจ้งขึ้นมา โอ...ความตายมันเป็นอย่างนี้ๆ หน่อ ลงความแล้วไม่ใช่เราตาย บัดนี้ เราไม่ได้อยู่ในขันธ์ ๕ นั้น ขันธ์ ๕ ไม่ได้มีอยู่ในเรา หมายความว่าจิตไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่จิต ขันธ์ ๕ นี่เมื่อจิตถอดออกไปแล้วมันก็นอนทอดอยู่บนพื้นเอาไฟเผาก็เหลือแต่เถ้ากับกระดูกเท่านั้นเอง จิตนี่ก็มีบุญและบาปนำไป อือ...ไม่ใช่อยู่กับกระดูกนั้นหามิได้ แต่ความเห็นของแขกอินเดีย เขาเห็นว่าคนตายลงไปแล้ว จิตวิญญาณมันผูกพันอยู่กับรูปกับร่าง อันนี้ไม่ไปไหน เอาไปเผาไฟแล้วเหลือแต่กระดูก เอากระดูกมาบดใส่ครกให้ละเอียดแล้วเอาใส่ขันไปโปรยลงน้ำโน้น ให้ปลากินให้มันหายไปเลย จิตมันจะได้ไม่มาห่วงอยู่กับกระดูกนี้ ไอ้ความเห็นของแขกอินเดีย มันปราศจากเหตุผล นั่นแหละ มันจึงมีลัทธิขึ้นมา ๑๐๘

จิตนี้เมื่อมันออกจากร่างนี้แล้วหากว่าจิตผู้ใดเวลาจะตายมีความห่วงใยอะไรอยู่กับลูกกับร้างกับบ้านกับช่องกับทรัพย์สมบัติ จริงอยู่อันนี้ เมื่อจิตนี้ออกจากร่างแล้วไปไหนไม่ได้ ก็ต้องวนเวียนอยู่กับสิ่งที่ตนข้องใจ อาลัย หวงแหนนั่นแหละ ไม่ใช่ไปอยู่กับกระดูกนั้นหรอก ไปอยู่กับที่จิตตรงมันห่วงตรงไหนมันก็ไปข้องอยู่ตรงนั้น อย่างที่ในนิทานท่านกล่าวไว้ คนโบราณเอาเงินไปฝังไว้ในดิน ตายแล้วก็เกิดเป็นงูเฝ้าไหเงินอยู่นั้น เป็นอย่างงี้แหละ เพราะดูเฉยๆ เอาเงินนั้นไปใช้จ่ายอะไรก็ไม่ได้ เฝ้าอยู่เพราะจิตมันหวงแหน นั่นแหละคนที่ไม่ได้ภาวนา ไม่ได้มองเห็นความจริงของทรัพย์สมบัติก็เพราะว่าธาตุทั้งหลาย เป็นอนิจจัง ทักขัง อนัตตา เพราะไม่เคยคิด เคยพิจารณาสักทีเลย เวลาใดก็ว่าแต่ของกู ของเรา ของกูอยู่อย่างนั้น

เมื่อตายลงมันจึงหนีจากสมบัติเหล่านั้นไม่ได้เลยได้ทนทุกข์ทรมาณ กลัวคนจะมาพบมาเอาไป อยู่อย่างนั้นแหละ นี้แหละการภาวนามันมีประโยชน์ มีประโยชน์จริงๆ เมื่อฝึกจิตนี้ให้ตั้งมั่นลงไปแล้ว ตั้งมั่นอยู่ภายใจแล้วมันก็ผ่องใส เมื่อนึกถึงร่างกายส่วนไหนมันก็เห็นร่างกายส่วนนั้น นึกถึงความไม่เที่ยงมา มันก็ปรากฏว่าร่างกายนี้แตกสลายลงไป แสดงภาพให้เห็นว่าไม่เที่ยงอย่างนี้แหละ แต่ที่จริงมันก็ไม่แตกจริงๆ หรอกเพียงแต่มันแสดงภาพให้รู้เท่านั้นแหละ มันเป็นสัปวธาตุมันก็แสดงธาตุเมื่อตายแล้ว เอาไฟเผาแล้วมันก็ลงเป็นธาตุดิน

กระดูกก็ธาตุดินนั้นหละ เถ้าต่างๆ มันก็ธาตุดิน มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ ใช้ปัญญาญาณหยั่งรู้พิจารณามันให้ถึงความจริง อย่างว่านี้แหละมันก็หายห่วงบัดนี้แหละ หายห่วงคำว่าเป็นตัวเป็นตนน่ะไม่ห่วงแล้ว ทำจิตให้เป็นอุเบกขาในปัจจุบันนี้ เมื่อยังไม่ตายก็ จิตก็ยังเป็นอุเบกขาอยู่ ไม่ได้ยินดียินร้ายกับร่างกายอันนี้ เพราะเห็นว่าไม่ใช่ของเราจริงจัง ของมันจะต้องแตกต้องดับอยู่ เวลามันยังไม่แตกไม่ดับนี่ ก็เพราะบุญกุศลที่ทำแต่ก่อนมารักษาบำรุงไว้ เพื่อให้จิตดวงนี้ได้สร้างบุญบารมีให้แก่กล้าเพื่อสั่งสมบุญ ให้บุญนี้จะได้นำตนออกจากทุกข์เท่านี้อันนี้แหละ

ทางออกจากทุกข์ก็คือบุญกุศล ด้วยสติปัญญาอย่างว่ามาแล้วนั้นแหละ ไม่ใช่อย่างอื่นใดไม่ใช่ทางเดินแบบทางเดินด้วยเท้านี้ คือญาณความรู้นั้นเองเป็นทาง เมื่อญาณความรู้เกิดขึ้นแล้ว มันก็เห็นว่าร่างกายทุกส่วนไม่ว่าส่วนที่เป็นรูปทั้วส่วนที่เป็นนามธรรมไม่มีรูปร่างเป็นแต่ความรู้สึกเฉย ๆนี่ไม่ใช่ของเราทั้งนั้นเลย จิตเมื่อมันเกิดญาณความรู้ขึ้นมันก็เห็นอย่างนี้แหละ เห็นอย่างนี้เรื่อยไปเลยทีเดียว เมื่อรักษาความเห็นความรู้อันนี้ไว้ได้ตลอดไป เมื่อเวลาความตายมาถึงเข้ามันก็ไม่หวั่นไหวอะไรแล้ว

ญาณความรู้มันเป็นสักขีพยานแล้วว่าไม่ใช่เราตายไม่ใช่เขาตาย เวลานี้ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ มันกำลังจะแตกจะดับอยู่ มันเห็นเป็นสภาวะธาตุเท่านั้นน่ะบัดนี้แหละ ไม่ได้เห็นว่าร่างกายนี้เป็นตัวเป็นตนเลยเมื่อมันเห็นอยู่อย่างนี้รู้อยู่อย่างนี้จนหมดลมหายใจ จิตมันก็ไม่ได้ข้องอยู่ในโลกนี้แล้ว ถึงแม้ว่ายังไม่เข้าสู่นิพพาน มันก็จิตก็หลุดออกจากโลกอันนี้ ก็บังเกิดสุคติโลกสวรรค์ หรือผู้ที่ได้ฌานโลกีย์เข้าไปก็ไปเกิดพรหมอยู่ในพรหมโลกโน้น อันมันก็เป็นการพันทุกข์ไปขั้นหนึ่ง ทุกข์จากความเป็นมนุษย์นี่ไปเป็นเทวดา เมื่อเป็นเทวดาแล้วความทุกข์เหมือนอย่างอยู่เกิดเป็นมนุษย์อยู่นี่ก็ดับไป

พอเป็นเทวดาแล้วมีร่างกายอันละเอียดอ่อนบุญกุศลตบแต่งให้ อาหารก็เป็นอาหารทิพย์ไม่หยาบคายเหมือนอาหารมนุษย์ จะไปไหนมาไหนก็คล่องแคล่วดี โรคภัยไข้เจ็บก็ไม่เบียดเบียน มีความสุขสนุกสนาน พวกที่เกิดเป็นเทวบุตร เทวดา นี่แหละเรียกว่าพ้นจากทุกข์อันเป็นมนุษย์นี่ก็ไปเสวยสุขจากการเป็นเทวบุตรเทวดา แต่ความสุขของเทวบุตรเทวดามันก็ยังไม่เที่ยงอยู่เหมือนกันแต่ว่ามันสุขไปได้นาน นานกว่าสุขมนุษย์นี้หลายร้อยหลายพันเท่าเพราะเทวบุตรเทวดานี้อายุยืน ยืนอยู่ด้วยความสุข ถ้าคนเรามีทุกข์มีโรคภัยเบียดเบียนแล้วไม่ยืนล่ะอายุ

เหตุที่บนสวรรค์จะมีอายุยืนก็เพราะเหตุว่าไม่มีโรคภัยเบียดเบียน คนผู้ไปสู่สวรรค์แล้วไม่มีบาปติดตามไป มีแต่บุญติดตามไปหล่อเลี้ยงรักษาเพราะเหตุนั้นจึงไม่เป็นทุกข์เดือดร้อน แต่ถ้าเมื่อหมดบุญนั้นแล้วก็อยู่ไม่ได้ ก็เคลื่อนจากที่นั้นไปหาที่เกิดใหม่อีก พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่าถ้าจากจุติจากสวรรค์ก็ต้องมาเกิดในโลกนี้ ถ้าคนมีบุญน่ะ มาเกิดก็มักจะมาเกิดในสมัยที่มีพระพุทธเจ้ามาบังเกิดในโลก
3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-4-24 02:41 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
และได้มาสร้างบุญสร้างบารมี เหมือนอย่างบริษัทของพระพุทธเจ้าที่ติดตามพระองค์มาแต่เป็นพระโพธิสัตว์ ยกตัวอย่างเช่นนางวิสาขา อนาถาบิณฑิตมหาเศรษฐี หรือคนอื่นๆ ซึ่งไม่ค่อยจำชื่อได้ ท่านเหล่านั้นก็มีบุญได้สร้างบุญกุศลมามากแต่ก่อน บุญนั้นก็นำมาเกิดร่วมกับพระพุทธเจ้า ก็ได้เป็นพุทธอุปฐาก ได้อุปฐากพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ เพราะว่าคนเช่นนั้นเปิ่นมีบุญเงินทองก็เป็นก่ายเป็นกองไม่อดไม่อยาก ทำบุญทำทานไปเท่าไหร่ก็ยิ่งหลั่งไหลมาเทมาอันเงินทองข้าวของ เป็นอย่างนั้น

เพราะฉะนั้นในพุทธศาสนาขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ใดมาตรัสรู้ในโลกแล้ว ก็พระองค์มีบริษัทบริวารติดตามมาบังเกิดอุปถัมบำรุงให้พระพุทธศาสนานี้เจริญรุ่งเรือง นี่แหละพวกเราก็นับว่ามีบุญอันหนึ่งแต่ว่าบุญไม่แรงเหมือนอย่างคนครั้งนั้น เราก็ได้เกิดมาพบพุทธศาสนานี้ ได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วตื่นตัวกัน ก็เลยตั้งอกตั้งใจฝึกฝนอบรมตน เพราะมองเห็นว่ากายกับจิตนี่ จิตนี่สำคัญ จิตนี่แหละท่องเที่ยวไปเกิดที่โน้นเกิดที่นี่ แต่ร่างกายไม่ไปเกิดไหนแล้วแตกดับลงไปไฟเผาก็เหลือแต่เถ้ากับกระดูกก็คือธาตุดินนั้นแหละ

ส่วนดวงจิตนี่มันไม่หยุดบุญกรรมบาปกรรมที่ทำมันก็นำไปเกิดอีก ถ้าบุญนำไป เกิดไปก็ไปสร้างบารมีแหละ ถ้าไปเกิดเป็นเทวดาก็สร้างบารมีอยู่สวรรค์ ก็มีพญาอินทร์นี้ก็สร้างพระเกตุแก้วจุลมณีเจดีย์ไว้บนหลังเขาสุเมรุราชอันเป็นที่ตั้งเมืองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วบรรจุพระเกศาธาตุกับเครื่องทรงของพระองค์ตอนออกบวชที่แรก แล้วก็พระเขี้ยวแก้วตอนเมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้วนี้พญาอินทร์มาเอาจากโทณพราหม์ไปบรรจุไว้ให้พวกเทวดาทั้งหลาย ๖ ชั้นฟ้าได้ลงมากราบมาไหว้ในวัน ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ นั้นเป็นสถานที่เทวดาสร้างบารมี

แล้วก็ตอนที่พระองค์ พระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งมาบังเกิดในโลก แล้วเสด็จขึ้นไปแสดงพระอธิธรรมโปรดพุทธมารดา เทวดาเหล่านั้นก็พลอยได้ฟัง พระองค์ไปอยู่จำพรรษา ๓ เดือน ๓ เดือนในมนุษย์ก็ทรงโปรดเทวดาได้บรรลุมรรคผลมากมายก่ายกอง นี่อย่าไปเข้าใจว่า สวรรค์น่ะจะไม่มีมรรคมีผล มี แต่เทวดาผู้ใดตั้งแต่เป็นมนุษย์นี่ได้ภาวนา ได้เจริญไตรลักษณญาณอยู่เสมอๆ เห็นความไม่เที่ยงของขันธ์ ๕ อันนี้เป็นอารมณ์อยู่อย่างนั้น เกิดนิพิทาขึ้นเป็นครั้งเป็นคราว เบื่อหน่าย อยากจะไปให้พ้นจากขันธ์ ๕ นี่ไปยินดีต่อพระนิพพาน

ถ้าผู้ใดได้บำเพ็ญเพียรภาวนาอย่างนี้ตั้งแต่เป็นมนุษย์แล้วมีศีลบริสุทธิ์แล้ว ตายแล้วไปเกิดสวรรค์ชั้นฟ้าอย่างว่านั้น เมื่อพระพุทธเจ้าขึ้นไปแสดงธรรม เทวดาเช่นนี้แหละมาฟังเทศน์มักจะได้บรรลุมรรคผลเลย เทวดาจำพวกใดที่ไม่ภาวนามีแต่ให้ทานรักษาศีลธรรมดาตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดา ปัญญาก็ทึบฟังพระอธิธรรมอันเป็นธรรมที่ละเอียดก็เข้าใจได้เล็กน้อย ไม่มาก ส่วนท่านผู้ใดได้ภาวนาตั้งแต่ที่เป็นมนุษย์แล้ว ทรงแสดงพระอธิธรรมเทวดาเหล่านั้นได้ฟังและพิจารณารู้ตามเห็นตามไปได้ ก็จึงสามารถบรรลุมรรคผลได้ มันเป็นอย่างนั้น เรื่องมันน่ะ ดังนั้นไม่เสียทีหรอกพวกเราฝึกฝนอบรมตนเนี่ย เอากันไปเถิด เราจะได้พบกับความสุขอันเป็นแก่นสารในอนาคต

ปัจจุบันนี้เราก็พบอยู่แต่พบไม่มากขอให้ทำไปเรื่อยๆ บนกุศลอันนี้มันส่งทำให้ไปเกิดบนสวรรค์แล้วมีอายุยืนยาวนาน แล้วบัดนี้มีพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งมาตรัสในโลกแล้วเสด็จขึ้นไปแสดงพระอธิธรรมอย่างที่ว่านั้น ก็ได้ฟังพระอธิธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า นี่ก็ด้วยอำนาจบุญบารมีนั้นแหละ ทำให้เทวดานั้นมีอายุมั่นอายุยืนยาวนาน อย่างในภัทรกัปป์ต่อไปนี้น่ะถ้าภัทรกัปป์นี้หมดลง กัปป์ใหม่ตั้งขึ้นมาจะมีพระพุทธเจ้ามาบังเกิดตั้ง ๑๐ พระองค์โน้น ถ้าหากผู้ที่ปฏิบัติธรรมอยู่ในพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าโคดมนี้แล้ว ตายแล้วไปเกิดสวรรค์อย่างเช่นว่ามาแล้วนั้นอายุยืนยาวนานไป จนว่าถึงพระศรีอริยะเมตตรัยมาตรัสรู้ในโลก

พระองค์ทรงเสด็จไปแสดงพระอธิธรรม พวกเทวดาเหล่านั้นอาจจะได้บรรลุมรรคผลดับขันธ์เข้าสู่นิพพานไปก็ได้ หรือไม่ ไม่สามารถบรรลุมรรคผลในพระศรีอริยเมตตรัย ก็จะมีอายุยืนต่อไปถึงกัปป์ต่อไปนั้น ซึ่งมีพระพุทธเจ้าบังเกิด ๑๐ พระองค์ พระพุทธเจ้าเสด็จไปทรงแสดงพระอธิธรรม เทวดาเหล่านั้นอาจได้ฟังธรรมและบรรลุมรรคผลเข้าสู่นิพพานไปอาจจะมี นั้นแหละ เพราะฉะนั้นเราได้เกิดเป็นมนุษย์อย่างนี้แล้วก็อย่าพากันประมาท ให้ทำความเพียรไป แม้ว่าจะไม่บรรลุนิพพานในปัจจุบันนี้บุญบารมียังไม่เต็ม ก็เป็นอุปนิสัยอันสำคัญ ที่ทำให้เราบรรลุมรรคผลบนสวรรค์ชั้นฟ้าก็ได้ ดังนั้นเมื่อได้ยินได้ฟังแล้วก็ขอให้พากันตั้งอกตั้งใจทำความสงบต่อไปจนกว่าจะสมควรแก่เวลา


ที่มา : http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=8266

    ประวัติและปฏิปทาหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=20708

    รวมคำสอน “หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ” วัดอรัญญบรรพต
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=43689

    ประมวลภาพ “หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ” วัดอรัญญบรรพต
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=20963                                                                                       

.....................................................

ที่มา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=47574

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้