|
สาม ท่านไม่ให้นั่งนอนที่นอนสูงที่นอนใหญ่นอนฟูกนอกเบาะอันอ่อนนุ่มเป็นเพราะอะไร?...มันยิ่งจะไม่ภาวนาดีหรือนอนที่นอนอ่อนๆนุ่มๆ...ห้ามทำไม?คนเราถ้าได้นอนเบาะนอนฟูกอ่อนๆนั้นใจจะวิตกกังวลปรุงแต่งไปมากมายหลายๆอย่างเพราะร่างกายของเรามันกระทบวัตถุอันอ่อนนุ่มก็จะเกิดความดำริขึ้นในใจซึ่งเป็นราคะโทสะ โมหะ มันก็ปรุงแต่งไปเป็นเหตุให้ใจของเราวุ่นวายในกามสุขนั่น...จะทำสมาธิก็ไม่สงบได้ง่ายไม่เป็นของง่าย
อันนี้เป็นวัตร๓ ข้อ ที่บัญญัติไว้ก็ไม่ใช่เพื่ออะไรหรอกเพื่อทำไม่ให้จิตใจของเราไปกังวลอยู่กับสิ่งต่างๆเหล่านี้เมื่อเราประกอบกิจปฏิบัติภาวนาถ้านำเอามารวมกับอันเก่า(ศีล ๕) ก็รวมเป็นศีลแปดให้พากันเข้าอยู่รักษาอุโบสถศีลเพราะวันนี้เป็นวันประพฤติปฏิบัติ
ฉะนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจึงทรงวางข้อวัตรไว้ให้พวกเราทั้งหลายว่าเมื่อถึงวันพระหรือวันอุโบสถศีลก็ให้พากันมาอบรมบ่มนิสัยหนุ่มๆสาวๆก็มาได้ถึงมาแล้วอยู่จำศีลไม่ได้ก็ให้ฟังธรรมะแล้วก็กลับบ้านวันนี้ถ้าเราได้ฟังธรรมะแล้วใจของเราก็สบายเมื่อมีราคะโทสะ โมหะเกิดขึ้นมาเราก็รู้เท่าทันได้จึงต้องมาฝึกหัดจิตของเราให้มีความชำนาญอันนี้เป็นผลประโยชน์ที่เกิดจากการมาประพฤติปฏิบัติในวันธรรมสวนะนี้แต่ว่าก็ให้ญาติโยมทั้งหลายพากันประพฤติปฏิบัติจริงๆอย่าสักแต่ว่ามาเปล่าๆมาเล่นที่วัดเฉยๆเท่านั้นให้พากันพิจารณาเอาไปประพฤติปฏิบัติด้วย
อย่างที่เราสมาทานศีลข้อที่๑ เป็นเพราะอะไร?ท่านจึงบอกไม่ให้เบียดเบียนกัน...ดีไหม?
ข้อที่ ๒ คนเราไม่ให้ข้ามสิทธิ์กัน.ไม่ให้ขโมยของกันและกัน
ข้อที่ ๓ ไม่ให้นอกใจกัน
ข้อที่ ๔ ไม่ให้โกหกเหลวไหล
ข้อที่ ๕ ไม่ให้กระทำความย้อมจิตของเราให้มัวเมา
แต่ละข้อๆนี้เป็นไวพจน์ซึ่งกันและกันทั้งหมดถ้าหากว่าบุคคลทั้งหลายไม่พากันอบรมจิตใจใจของเราก็ไม่ตื่นไม่รู้ใจของเราก็ไม่เห็นไม่รู้จักอุปการะคุณของครูบาอาจารย์ของพ่อแม่อย่างเราเป็นลูกอย่างนี้โดยมากเราไม่ค่อยเอาใจใส่ไม่ค่อยนึกถึงพระคุณของพ่อพระคุณของแม่เป็นเพราะอะไร?เพราะไม่รู้จักความเป็นจริงเรื่องของพ่อแม่นี้ท่านตรัสไว้ว่า"มาตาปิตุ อุปัฏ-ฐานังปฏิบัติบิดามารดาของตนให้เป็นสุข"การปฏิบัติมารดาบิดาของตนให้เป็นสุขนั้นทำอย่างไร?เป็นเพราะอะไรจึงต้องปฏิบัติให้ท่านมีความสุข?เราก็ควรรู้จักว่าพ่อแม่ที่ท่านเลี้ยงเรามานั้นท่านมีบุญคุณต่อเรามากเท่าไร?อันนี้ให้เรานำมาพิจารณาดูตั้งแต่แรกที่เราเกิดขึ้นมาเราจะต้องปฏิสนธิอยู่ในครรภ์ของมารดาอยู่หลายเดือนมารดาก็ต้องอุ้มท้องไปๆมาๆอยู่ตลอดเวลาชีวิตของแม่นั้นตั้งแต่รู้ว่าลูกได้อุบัติบังเกิดขึ้นในครรภ์ก็ไม่รู้ว่าชีวิตของตัวเองจะดำรงอยู่หรือจะต้องตายต้องทุกข์ยากลำบากต้องประคับประคองทะนุถนอมและก็ไม่ใช่ว่าจะต้องประคับประคองแต่เฉพาะอยู่ในครรภ์เท่านั้นเมื่อออกมาแล้วตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ก็ยังตามประคับประคองปกป้องรักษาอยู่ฉะนั้นบุคคลที่ไม่รู้จักบุญคุณไม่รู้จักกตัญญูกตเวทีซึ่งคิดแล้วก็เหมือนสัตว์เดรัจฉานพระ-พุทธเจ้าท่านตรัสว่าเหมือนสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายเราจะสังเกตดูได้ว่าสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายที่มันเกิดขึ้นมานั้นมันไม่รู้จักพ่อไม่รู้จักแม่และมนุษย์เราทั้งหลายท่านก็ไม่ให้เป็นไปอย่างนั้น
คำว่า "มนุษย์"นั้นสูงมากสูงกว่าสัตว์ทั้งหลายหรือจะเรียกว่าเป็นชาติที่สูงที่สุดก็ว่าได้จะไปต่อไปอีกไม่มีมีแต่จะต้องหวนกลับมาบังเกิดเป็นมนุษย์นี้อีก(โลกมนุษย์เป็นแหล่งสถานที่สำหรับสร้างบารมีให้บรรลุถึงมรรคผลพ้นวัฏฏสงสารสู่แดนแห่งนิพพานได้)พระพุทธเจ้าท่านก็มาสร้างบารมีในชาติมนุษย์นี้พระ-สาวกทุกๆองค์ก็ต้องมาสร้างบารมีที่นี่หรือจะเป็นพระอรหันต์เจ้าทุกๆองค์ที่ท่านทั้งหลายสิ้นอาสวะกิเลสแล้วก็จะต้องมาบังเกิดเป็นมนุษย์เสียก่อนจะไปจุติเป็นอินทร์พรหม ยม ยักษ์เป็นสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย...ไปไม่เป็น(ไปได้ไม่สิ้นสุดสร้างบารมีเพื่อถึงมรรคผลนิพพานไม่ได้)
ฉะนั้นมนุษย์เราทั้งหลายจึงควรมาฝึกพระบรมศาสดาท่านจึงฝึก...ฝึกบุคคลที่ควรจะฝึกได้เราก็เป็นบุคคลที่ควรฝึกตัวเองเหมือนกันพระพุทธเจ้าท่านทรงเห็นว่าพวกเราทั้งหลายเป็นบุคคลที่ควรฝึกเราก็มาพิจารณาดูอีกว่า...ทำไมจึงควรฝึกตัวเอง?โอ!...มันก็ควรนั่นแหละถ้าตัวไม่ได้ฝึกตัวของตัวเองใครจะมาฝึกให้เราเท้าของเรามันพาเดินเข้าป่าถ้าเราไม่ดูหนามให้ตัวเองใครจะมาดูแลให้เราอันตรายทั้งหลายจะเกิดมีแก่เราถ้าเราไม่ระวังรักษาใครจะมาระวังรักษาให้เราฉะนั้นจึงควรฝึกตัวเอง...ควรฝึกระวังรักษาตนเองควรให้เข้าใจในธรรมะทั้งหลายเมื่อเข้าใจในธรรมะทั้งหลายแล้วเราทั้งหลายก็พากันอยู่เย็นเป็นสุขมีความสงบระงับอยู่ตามธรรมชาติของเราไม่มีการอิจฉาหรือพยาบาทกัน
ธรรมะทั้งหลายคืออะไร?ที่เรียกว่าฟังธรรมหรือธรรมะคืออะไร?"ธรรม" คือธรรมชาติทุกสิ่งทุกอย่างสิ่งที่มันเป็นรูปหรือไม่มีรูปอยู่ในสกลโลกอันนี้ตลอดจนถึงต้นไม้ภูเขา เถาวัลย์สัตว์เดรัจฉานหรือมนุษย์ทั้งหลายเหล่านี้รวมกันเป็นธรรมหมดทุกสิ่งทุกอย่างท่านจึงให้พิจารณาธรรมเป็นเพราะอะไร...จึงให้พิจารณาธรรม?เพราะถ้าคนไม่รู้จักธรรมะแล้วจะเป็นทุกข์ถ้ารู้จักธรรมรู้จักพิจารณาธรรมว่าธรรมทั้งหลายเหล่านี้...ธรรมชาติเหล่านี้มันจะมีกฎความจริงของมันอยู่กฎธรรมชาติที่มนุษย์เราทั้งหลายหรือสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายจะไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงมันไม่ได้แก้กฎของธรรมชาติอันนี้ไม่ได้กฎของดินน้ำของไฟ ของลมของดินฟ้าอากาศของสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้กฎของมันคืออะไร?กฎของมันคือ...เบื้องต้นของการบังเกิดขึ้นมาอันนี้คือกฎของธรรมชาติหรือกฎของธรรมะทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องมีการบังเกิดขึ้นมาเป็นเบื้องต้นเรียกว่ากฎของมันตามเหตุตามปัจจัยเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วมันก็จะค่อยๆแปรเปลี่ยนไปไหลไป...ไหลไปจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำไหลไปๆ...ไหลไปเรื่อยๆ...เมื่อเราเกิดขึ้นมาแล้วก็ต้องมีความแปรเปลี่ยนไปตามกาลเปลี่ยนไปๆอายุก็ไหลไปๆไหลจากเด็กไปหาหนุ่ม...ไหลจากหนุ่มไปหาความแก่เฒ่าชราและความตายอันนี้แหละความแปรเปลี่ยนของมันมีอยู่ความแปรเปลี่ยนของธรรมชาติไม่มีความยั่งยืนถาวรถ้าหากว่าเรายังไม่เห็น...ก็หวนกลับมาดูสิ่งที่อยู่ใกล้ๆตัวเราก็ได้มองออกไปดูต้นไม้...มองดูแผ่นดินนั่น...ดูซิ!...มันเปลี่ยนแปรไหม?หรือมันยังเหมือนเดิม...คงสภาพเดิมอยู่เห็นไหม...ว่ามันก็แปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
ทีนี้ก็มองย้อนกลับมาดูตัวของเราเองว่ามันจะทรงสภาพเหมือนเดิม...เหมือนแต่ก่อนเก่าไปไม่ได้ตลอดแม้แต่สกลร่างกายของเราอันนี้มันก็ยังแปรเปลี่ยนไปสภาพธรรมชาติของมันขน, ผม, เล็บ, ฟัน,หนัง มันจะไม่คงอยู่เหมือนเดิมอันนี้คือกฎของมันที่จะต้องแปรเปลี่ยนไปตลอดมาถึงฟัน,หู, ตา แข้งขาอวัยวะของเราทั้งหลายมันก็แปรไปๆความแปรเปลี่ยนไปนี้เรียกว่ากฎของธรรมชาติหรือกฎของธรรมดา...กฎของธรรมะหรือกฎของธรรมใครๆก็จะมาห้ามมันไม่ได้...ห้ามมันไม่ฟังจะไปอยู่ที่ไหนๆก็ตามถึงจะหนีไปอยู่ในมหาสมุทรก็ช่างเถอะ...มันก็จะต้องแปรเปลี่ยนไปหรือจะหนีไปซ่อนอยู่ในกลีบเมฆก็ตามมันจะต้องแปรเปลี่ยนไปอย่างนี้จะมีแต่ความแปรไปเปลี่ยนไปๆไม่หยุดยั้งมีแต่มันจะไหลไปๆตามกาลตามเวลาอันนี้เรียกว่ากฎของธรรมะ
เราไม่รู้จักว่าธรรมะคืออะไร?ธรรมะคือสัตว์...คือมนุษย์นี่คือสัตว์เดรัจฉานคือต้นไม้คือแผ่นดินนี้ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เราเรียกว่า"ธรรมะ" และกฎของธรรมะก็คือกฎของธรรมชาติอันนี้มันก็แปรไปตามเรื่องของมัน...แปรไปๆๆ...
ตัวอย่างที่มันปรากฏชัดให้เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ก็ดูที่ตัวของเราเองนี่แหละแต่ก่อนเราไม่ได้มีสภาพอย่างนี้แต่เดี๋ยวนี้...มันแปรเปลี่ยนมาเป็นอย่างนี้นั่นแหละธรรมะมันมีการบังเกิดขึ้นเป็นเบื้องต้นแล้วมันก็มีการแปรไปๆ...แปรไปในท่ามกลางและแปรไปในที่สุดผลที่สุดของมันนั้นก็ไม่มีอะไรมีแต่ความเสื่อมสลายแตกดับทำลายไปท่านจึงบอกว่าอันนั้นมันไม่ใช่ของของเรา...ไม่ใช่เรา...ไม่ใช่เขา...ไม่ใช่สัตว์...ไม่ใช่บุคคล...ไม่ใช่ตัวตนให้พิจารณาเอาไว้อันนี้เราจะไปยึดเอาไม่ได้เราบอกมันไม่ได้ห้ามมันไม่ฟังอันนี้คือกฎของธรรมดาคือกฎของธรรมะคือ อนิจจังทุกขังอนัตตา ถ้ามันแปรไปแล้วจะเอาอะไรมาห้ามมันก็ไม่ได้จะเอาทรัพย์สมบัติมาห้ามมันก็ไม่ได้เพราะมันเป็นสังขาร...ที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปรไปอย่างนี้ทีนี้ถ้าคนไม่รู้จักกฎของธรรมะเมื่อมาเห็นแล้วก็เกิดความเสียใจมาเห็นความเปลี่ยนแปรไปอย่างนี้แล้ว...ก็ร้องไห้เสียใจอันนี้คือคนไม่ได้เรียนธรรมะไม่รู้จักธรรมะไม่รู้จักธรรมะว่าธรรมะนั้นอยู่ที่ไหน?ว่าการปฏิบัติธรรมะคือการปฏิบัติอย่างไร?...ไม่รู้จัก...ไม่รู้จักธรรมะก็ไม่รู้จักการปฏิบัติ
|
|