ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก
เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด
เข้าสู่ระบบ
บ้านหลวงปู่
คศช.
ข่าวสารล่าสุด
ประสบการณ์
โชว์วัตถุมงคล
สอบถาม
นานาสาระ
นครนาคราช
ร่วมประมูล
บูชาวัตถุมงคล
เพื่อน
กระทู้แนะนำ
บุ๊คมาร์ก
ไอเท็ม
เหรียญ
ภารกิจ
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
ดูบริการทั้งหมด
เว็บบอร์ด
BBS
บูชาวัตถุมงคลหลวงปู่ชื่น
ศรีสุทธรรมนาคราช
ร้านจอมพระ
ศูนย์พระเครื่องจอมพระ
ค้นหา
ค้นหา
HOT TAG:
พระศรีราม
ขุนแผนแสนตรีเวทย์
พระเจ้าชัยวรมัน
บอร์ดนี้
บทความ
เนื้อหา
สมาชิก
Baan Jompra
›
นานาสาระ
›
มรดกธรรม เส้นทางสู่ทางสงบในชีวิตและจิตใจ
»
ผู้ตามรักษา
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
ดู: 1725
ตอบกลับ: 3
ผู้ตามรักษา
[คัดลอกลิงก์]
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
ไปยังโพสต์
1
#
โพสต์ 2014-4-5 10:30
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
|
โพสต์ใหม่ขึ้นก่อน
|
โหมดอ่าน
ผู้ตามรักษา
นี้คือการปฏิบัติละมัน ถอนมันเลิกมันออกดูแต่จิตของเราเท่านั้นแหละถึงแม้ตัวเราจะไปไหนก็ดูจิตความรู้ของเราดูเราอยู่เสมอเลยทีเดียวอารมณ์ที่เกิดขึ้นมาในที่นั้นจะรู้จักเลยแหละเราไปส่งเสริมมันซะที่นั่นแหละความเพียร"ขันติ" ก็อยู่นั่น"วิมังสา" ก็อยู่นั่นถ้าเราเป็นอย่างนั้นถ้าเราเรียนตัวของเราอยู่เสมอๆแล้ว"ธรรมเครื่องตรัสรู้"จะเกิดขึ้นมา
อาศัยทำไปนานดูบ้างอย่าอยู่ไปนานเฉยๆไม่ได้ทำจริงๆการทำเพียรไม่ใช่ว่าจะวิ่งจะเต้นจะทำจริงๆจังๆแม้จะนั่งอยู่ทั้งคืนไม่ได้เป็นอย่างนั้นนะ"ปฏิบัติ" ไม่ใช่ว่านั่งอยู่ทั้งคืนเดินอยู่ทั้งคืนไม่ใช่อันนี้เป็นทางอ้อมคือทางกายทางนั่ง ทางนอนทางยืน ทางเดินนี้เป็นทางอ้อมทางตรงมันจริงๆคือ"จิต" ทำสมาธิเดินจงกรม ทำอะไรเป็นต้นเพื่ออยากจะให้รู้จิตของเรานี้เองให้ดูจิตของเราถ้าหากว่าผู้ใดมารู้จักจิตของตัวเองแล้วไปไหนก็ช่างถึงแม้ว่านั่งอยู่เฉยๆก็เหมือนนั่งสมาธิถึงจะเดินไปไหนก็เหมือนเดินจงกรมอยู่ในหมู่ก็เป็นอย่างนั้นนอกหมู่ก็เป็นอยู่อย่างนั้นไม่ใช่ว่าคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆนานาทิ้งตัวเองไปลืมตัวไม่ได้เป็นอย่างนั้นมันดูตัวเองอยู่อย่างนั้นแหละพิจารณาทำลายอยู่ตลอดถอนอยู่เรื่อยๆอยู่อย่างนั้นสอนมันเรื่อยๆไปสอนตัวเองอยู่ตลอดเวลาอยู่อย่างนั้นแหละไม่ได้ทิ้งตัวเองหรอกห่วงตัวเองมากเหมือนกับแม่เหล็กที่มีเครื่องดึงดูดเหมือนกันกับเอาเข็มเอาแม่เหล็กล่อมันก็วิ่งตามฉันใด สติกับอารมณ์ก็เหมือนกันเป็นอยู่อย่างนั้นอาการที่มันเป็นไป
อาการที่กระทบอารมณ์ที่ชอบหรือไม่ชอบจะดีหรือไม่ดีผู้หนึ่งดูอีกมันชอบดีไม่ดีผู้นี้รู้จักความชอบความดีอีกผู้ตามรักษาอยู่อีกดังนั้นพระท่านจึงว่า"ผู้ใดตามดูจิตของตนผู้นั้นจะพ้นจากบ่วงของมาร"ถ้าพิจารณาจิตแล้วให้ตามรักษาจิตแล้วเอาใครตามอีกให้ดูชัดๆนะให้รู้จักจิตตัวเองแล้วให้รู้จักผู้ตามรักษาจิตอีกมันมีอยู่นั่นแหละถ้าผู้ใดรู้อย่างนี้แล้วความโลภจะเกิดขึ้นมาไม่ได้ถ้าเกิดก็ระงับได้โกรธจะเกิดขึ้นมาไม่ได้ถ้าเกิดก็ต้องระงับได้
เหมือนกันกับเราไปเลี้ยงควายถือตะพดอยู่ปล่อยให้กินดูเอ้า!...ลองดูมันจะกินข้าวกินน้ำอยู่อย่างไรเราถือตะพดอยู่มันไม่กล้าเพราะดูมันอยู่อันนั้นควายควายคือจิตเจ้าของควายคือผู้ตามดูจิตจิตของเราเป็นต้นมีเจตนาจับนั้นจับนี้ผู้ตามดูจิตคือผู้รู้อันหนึ่งอีกแฝงออกมาจากจิตเหมือนกันกับว่าใครเป็นคนเลี้ยงควายคือเจ้าของควายนั่นแหละแฝงออกมาจากควายอีกทีหนึ่งไม่ใช่ควายนะผู้รักษาควายควายคือ "จิต"คนผู้รักษาควายคือ"ผู้รู้"ถ้าแยกออกอย่างนี้เห็นกับตัวเองได้เหมือนกันตามดูจิตคือผู้รู้ให้พิจารณาดูชัดๆอันนี้
ถ้าหากว่าอารมณ์มากระทบให้มีเจตนาตั้งขึ้นคือ"จิต" ชอบหรืออะไรต่างๆตัว "ผู้รู้"คอยระงับเลยถ้าตัวผู้รู้หายแล้วไม่ได้ถ้าชอบก็ปล่อยให้ชอบไปถ้าร่าเริงก็ปล่อยให้ร่าเริงไปไม่ได้ตามดูจิตแล้วอย่างนี้ถ้าโศกก็ปล่อยให้โศกไปถ้าโกรธก็ปล่อยให้โกรธไปตัวผู้รู้ไม่มีมีแต่จิตอันนั้นไปเลยไม่ได้ตามดูจิตฉะนั้นจึงถูกบ่วงเขาถ้าผู้ปฏิบัติไม่ได้เป็นอย่างนั้นเหมือนเจ้าของควายกับควายต้องสะกดรอยเรื่อยๆฉะนั้นจะทรมานจิตของเราได้อย่างไรบางทีเกิดกระทบมันจะโกรธอย่างนี้ถ้ามีแต่ "จิต"ก็ต้องโกรธเลยถ้ามี"ผู้รู้" ก็ต้องระงับตามรักษาถ้าจะโลภปุบมีแต่มันก็โลภเท่านั้นแหละถ้ามีผู้รู้ตามรักษามันก็หยุดนี้คือ "ทรมานจิต"ตามดูจิตจนเห็นเป็นอยู่อย่างี้เห็นเหมือนกันกับเราไปเลี้ยงควายควายอันหนึ่งเจ้าของควายผู้หนึ่งคนผู้เป็นเจ้าของควายตามรักษาควายควายจึงไม่เสียหายควายคือจิตผู้เลี้ยงควายคือผู้รู้จิตเราเหมือนกันอันนั้นมันอาศัยอารมณ์เป็นอยู่อารมณ์ดีอารมณ์ร้ายมันก็เป็นไปตามนั้นแหละอารมณ์เป็นอย่างนั้นถ้าไม่มีผู้ตามรักษาก็วุ่นวายเท่านั้นแหละไม่รู้ว่าอารมณ์เป็นจิตจิตเป็นอารมณ์ปังกันเลยทีเดียวเลยเป็นไปตามอารมณ์พูดไปตามอารมณ์เขาว่าทำไปตามอารมณ์นั้นเองแหละจิตขาดผู้รักษาจิตขาดจากผู้รู้จิตเป็นอนาถา
นักปฏิบัติเราก็เหมือนกันถ้าอยากโกรธก็โกรธขึ้นใครจะไม่รู้จักมันความโกรธมันจะเกิดขึ้นนี่ก็รู้ โกรธแล้วได้ประโยชน์อะไรถ้าผู้รู้ตามรักษาก็หายไปเลยมันก็เป็นอย่างนั้นผู้รู้ตามรักษามันจะเป็นอะไรขึ้นมาถ้าเราจะทำจะพูดจาทำดีแล้วจึงพูดไม่ให้เสียเราตั้งใจแล้วทำแล้วปฏิบัติแล้วกลั่นแล้วกรองแล้วจึงทำจึงพูดมีความสามารถอย่างนี้ฉะนั้นปฏิบัติจึงไม่เห็นผู้รู้ไม่เห็นจิตตัวเองมันจึงไปถูกบ่วงเขาเรื่อยไม่รู้จักเลยก่อนจะรู้จักทำอย่างไรต้องปฏิบัติต้องเอาจริงๆจึงได้ความเพียรฉันทะ วิริยะจิตตะเกิดพร้อมกันปุบ
"ฉันทะ" ความพอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น"วิริยะ" ความเพียรในสิ่งเหล่านั้น"จิตตะ" เอาใจฝักใฝ่"วิมังสะ" หมั่นตริตรองมันเป็นเองมันถ้าเราปฏิบัติถ้าหากว่าใครไม่มีอย่างนี้ก็ไม่ได้้ถามีอย่างนี้จะไปที่ไหนก็ตามอยู่ในชุมนุมชนก็ช่างอยู่โดดเดี่ยวก็ตามให้ดูใจของเรามันเป็นอย่างเก่าของมันนั่นแหละตามรักษาระวังอยู่เสมอเลยมีผู้ปราบบอยู่เสมอนั้นเรียกว่า
"ผู้รู้ตามรักษา"
อันนี้ยากนะจะต้องทำจริงๆปฏิบัติจริงๆให้เห็นอย่างนี้จริงๆเมื่อเห็นผู้ร้ายปุ๊บตำรวจก็ตะครุบเลยแหละเจ้าหน้าที่ก็มีเลยเมื่อเห็นผู้ร้ายปุ๊บเจ้าหน้าที่ก็ปุ๊บเลยอย่างนี้นะถึงจะได้พวกเรานี้ชอบปล่อยให้มันไปลักของเขาอยู่อย่างนั้นแหละไปแง่ไหนมุมไหนก็อยู่อย่างนั้นแหละมันขนเข้ามาซิทีนี้ขนเข้ามาชนเข้าเพราะไม่สำรวมเกิดทุกข์เกิดอยากเกิดลำบากวุ่นวายต่างๆนานามันไม่รู้จักอะไรจึงเก็บเอามาเผาตัวเองอย่างนี้แหละพระพุทธเจ้าของเราท่านจึงให้ภาวนาให้ปฏิบัติว่าเฉยๆมันไม่ได้ปฏิบัติเป็นวิบัติเรื่องเหล่านี้เกิดจากการกระทำถ้าปฏิบัติแล้วไม่กลัวเสื่อมก็เสื่อมไปเจริญก็เจริญไปเรื่องโลกมันเป็นของมันอยู่อย่างนี้มันมีแต่เสื่อมกับเจริญเท่านั้นแหละนี้คือการปฏิบัติของเราไม่ต้องเกรงใจไม่ต้องกลัวไม่ต้องหวาดไม่ต้องสะดุ้งจะแก้มันทำไมจะกำจัดอะไรมันเป็นของมัอยู่อย่างนั้น
พระพุทธเจ้าก็ปฏิบัติกับสิ่งเหล่านี้รู้สิ่งอันนี้รู้สังขารอันนี้รู้ปฏิบัติอันนี้การปฏิบัติจึงชอบขึ้นมาจึงตั้งขึ้นมาไม่ต้องน้อยใจอันใดเราละมันจะดีใจก็ไม่ใช่ที่เอามันจะเสียใจก็ไม่ใช่ที่เอามันจะสงสัยก็ไม่ใช่ที่เอามันจะเป็นอะไรก็ไม่ใช่ของเอาทั้งนั้นไม่ยากหรอกการปฏิบัตินี้
อยู่คนเดียวผมก็สงสัยเหมือนกันแต่ก่อนปฏิบัติไปเกิดสงสัยสงสัยก็ไม่ต้องสงสัยมันทิ้งหมดทุกอย่างนั่นแหละอย่าเอามาค้างไว้ในใจของเรารแล้วก็วางรู้แล้วก็วางรู้แล้วก็วางวางไปเถอะ อยู่ที่ไหน?อยู่ที่มันว่างๆนั่นแหละอยู่นั้นแหละอยู่ที่ไม่สงสัยนั้นแหละเรื่อยๆไปได้อะไรไม่ได้อะไรก็ไม่ต้องสงสัยมันใจเราเมื่อคิดมาเป็นสุขผิดคิดไปเกิดอารมณ์เสียใจผิดคิดไปเกิดเศร้าโศกก็ผิดผิดหมดทุกอย่างทุกด้านเสียใจก็ตัณหาดีใจก็ตัณหาแต่ว่าความดีใจเสียใจนั้นมีไหม?...มีอยู่แต่ว่ามันเป็นเพียงอาการมันถ้าเป็นกล้วยก็มีแต่เปลือกมันถ้าเป็นข้าวต้มก็มีแต่เปลือกมันมันไม่ได้อยู่ในจิตของเราจิตเป็นผู้รู้เฉยๆก็ปล่อยมันเท่านั้นแหละอันนี้ไม่ต้องสงสัยหรอการปฏิบัติเมื่อใจของเรามันเกิดคิดทุกข์ขึ้นมาก็ผิดแล้วผิดเกิดขึ้นมาก็ทุกข์เหมือนกันแต่อย่าไปหมายมั่นแต่อย่าไปห้ามมันมันเกิดสุขเกิดทุกข์ก็ไม่ห้ามทุกข์เกิดขึ้นมาก็ไม่ได้เสียใจกับมันสุขเกิดขึ้นมาก็ไม่ได้ดีใจกับมันต้องดูอยู่อย่างนี้ตลอดกาล"วาง" ลักษณะวางอะไรก็ช่างถ้าเรามีความเห็นอย่างนี้แล้วขอแต่ว่าให้ความทุกข์หายออกจากใจของเราได้นั้นแหละถูกแล้ว
บุ๊คมาร์ก
0
ตอบกลับ
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
2
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-4-5 10:31
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
บางคนชอบนั่งเอาแต่"ฌาน" ข่มไว้อยู่อย่างนั้น"ปฏิบัติ" คือให้มันพ้นทุกข์เอาทุกข์ออกจากใจของเราเท่านี้เองเอาทุกข์ออกจากใจเอาสุขออกจากใจเอาความสงบแทนไว้ให้มันว่างๆอย่ามั่นหมายอย่าไปมั่นทำไปปฏิบัติไปนี้คือปฏิบัตินะอย่าไปหมายมั่นอย่าไปหมายนี่มันจะสุขหรือมันจะทุกข์ก็ไม่ต้องไปห้ามมันอีก
การทำ "สมาธิ"ก็เหมือนกันติดนิมิตติดรูปนั้นติดรูปนี้ก็ยังยากอยู่นะบางทีก็อยากให้มีบางทีก็ไม่อยากให้มีนิมิตปฏิบัติหลายปีวุ่นวายไม่รู้เรื่อง
ลักษณะ "ปฏิบัติ"นั้น คือใจเรามารู้เท่าความเป็นจริงของสังขารก็เสร็จเรื่องถ้าเราเข้าใจว่าเราแก่ เราเจ็บเราตาย มันก็ยากอยู่เพราะมันไม่มีเราอยู่นี่เราเข้าใจว่าเรามันก็ทุกข์ยากทั้งนั้นแหละเพราะว่ามันเป็น"อนัตตา" ฉะนั้นท่านจึงให้วางเอาไว้วางไว้เพราะมันไม่มีเราถึงเอามันก็ไม่ได้เพราะไม่ใช่เราไปยึด ไปหมายมันก็ไม่ได้มีแต่ทุกข์ทั้งนั้นมันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราคิดได้เท่านี้แหละมันจะเป็นรูปก็ช่างเกิดมาทางใจก็ตามตาเห็น หูได้ยินจมูกดมกลิ่นก็ตามถูกต้องทางกายก็ช่างหรือที่เกิดขึ้นทางจิตสิ่งเหล่านี้ท่านให้วางเกิดมาแล้วก็วางละ วางมันไปถอนมันไปเรื่อยๆไปไม่เอาอะไรเอาแต่ความรู้ละอันนี้เรื่อยๆไปผู้รู้ละก็ไม่ใช่เราอีกด้วยอยู่กันไปเท่านี้แหละไม่ต้องคอยวันคอยคืนหรอกเราคิดได้เมื่อใดมันละได้เมื่อใดก็หยุดเมื่อนั้นแหละเป็นอันว่าตกลงกันอันอื่นเป็นเรื่องไม่สำคัญเท่านี้เอง
ถ้าวางอันนี้ได้ก็คือวางขันธ์๕ หมด วางรูปเวทนาสัญญาสังขาร วิญญาณกองรูป กองเวทนากองสัญญา กองสังขารมันอันเดียวเท่านั้นมันหมด เหมือนกับตะเกียงถ้าเราดับไฟมันก็หมดแสงสว่างข้างนอกไม่ต้องกลัวว่ามันจะไม่ดับมันไม่มีแสงสว่างข้างนอกมันมีอยู่ข้างในมันมีทุกข์เพราะเราไปยึดว่าตัวเราถ้าถอนตัวเราออกจากสมมติอันนั้นเสียแล้วเป็นต้นมันก็เหมือนถอนไส้ตะเกียงออกแสงสว่างก็ดับหมดเราถอนตัวออกมาสำคัญว่าเป็นตัวเป็นตนเป็นเรา เป็นเขากูดี กูชั่วกูโง่กูฉลาดถอนมันทิ้งเสียอย่าให้มีในที่นั้นอาการต่างๆก็ดับไปเหมือนกันกับไส้ตะเกียงถอนออกดู ความสว่างก็หายหมดข้างนอกมันอาศัยไส้ตะเกียงกับไฟเป็นอยู่มันอาศัยตัวเราว่าตัวกูของกูนี้แหละตัวเขาตัวเรานี้แหละเข้าไปหมายไว้ถ้าสุขก็ว่าเราสุขถ้าทุกข์ก็ว่าเราทุกข์เป็นอะไรก็ว่าเราเป็นอันนั้นแหละเอา "เรา" ไปใส่ไว้ที่นั้นนี้แหละมันจึงเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ไปรอบด้านเพราะธรรมนั้นเป็น"อนัตตา" ไม่ใช่เราเราเอา "เรา"เข้าไปใส่ ขืนดื้อเข้าไปใส่นี้เรียกว่า"ประมาท"
จะไปถอนที่ไหนล่ะ?ถอนไม่ได้เพราะไปหมายมั่นเข้าไปให้รู้ตามเป็นจริงก็ถอน"ความเห็น" นั้นออกมาเสียถอนความเห็นผิดออกซะเอาความเห็นถูกเข้าไปใส่ไว้ถ้าเห็นไม่ชัดเกิดขึ้นมาก็ข่มมันไว้สอนมันไปเรื่อยๆทำอย่างนี้แหละนักปฏิบัติของเรา
เรื่องเท่านี้แหละปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ไม่ต้องการมรรคไม่ต้องการผลไม่ต้องการสรรค์นิพพานอะไรหรอกต้องการแต่ใจของเรามันพ้นจากทุกข์เท่านั้นพ้นทุกข์ แล้วก็พ้นสุขพ้นร้อน พ้นเย็นถึงความสงบความสงบมันเป็นอย่างไรความสงบคือถ้าเป็นวัตถุก็เป็นสิ่งที่ไม่ต้องแก้ไขอีกทุกข์ก็มีสิ่งแก้ไขสุขก็เป็นสิ่งแก้ไขสงบหมด "สงบ" ท่านหมายถึง"ว่าง" "ว่าง" จึงว่าความสงบสงบจากสุขหรือทุกข์อันนั้นที่นั้น ว่างจากสุขทุกข์ ที่สงบหมดเรื่องแก้ไขไม่มีที่แก้ไขมันอีก
ฉะนั้นในที่นั้นท่านจึงว่าหมดจาก"ภพ" หมดจาก "ชาติ"หมดจากความแก่ความเจ็บ ความตายไม่มีที่แก้ไขอีกเหมือนกันกับแกงของเราถ้ามันพอดีแล้วก็ไม่ต้องแก้ไขมันถ้ามันจางก็มีที่แก้ไขถ้ามันเค็มก็มีที่แก้ไขใจก็เหมือนกันถ้ามันสุขก็มีที่แก้ไขถ้ามันทุกข์ก็มีที่แก้ไขถ้ามันสงบแล้วหมดเรื่องแก้ไขโลกจะแก้ไขไม่ได้เพราะลักษณะนั้นไม่มีเรื่องเปลี่ยนแปลงอีกแล้วไม่มีที่เปลี่ยนแปลงเหมือนอาหารที่มันพอดีแล้วเป็นต้นไม่มีที่เอาออกอีกไม่มีที่เพิ่มเข้าไปอีกหมดความรู้ของแม่ครัวที่จะต้องปรุงแต่งอีกต่อไปฉันใดถึงความสงบแล้วหมดสังขารที่จะเข้าปรุงเข้าแต่งมันจะปรุงแต่งได้เพราะมีตัวมีตนมีเรามีเขามีสุขมีทุกข์เท่านั้นถ้าถึงที่นั้นแล้วไม่มีที่แก้ไขแล้วหมดที่แก้ไขฉะนั้นสภานที่นั้นจึงไม่มีที่จะพูดเปรียบให้ฟังบางก็ว่าเป็นของสูญบ้างเป็นของว่างบ้างเป็นของสงบ หลายอย่างอยู่ที่นั้นแต่ไม่มีสีสันวรรณะต่างๆนานาไม่ได้เปรียบเทียบว่าอยู่ไกลอยู่ใกล้อยู่นอกอยู่ในไม่ได้ว่าไม่มีที่เปรียบลักษณะที่เปรียบเทียบได้คือคนพูดกันคือสมมติบัญญัติลักษณะอันนั้นไม่มีที่จะไปเปรียบเทียบได้ดังนั้นธรรมนั้นจึงเป็นธรรมที่เป็น
"ปัจจัตตัง เวทิตัพโพวิญญูหิ วิญญูชนจะรู้ได้เฉพาะตน"
เหมือนกันกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือสาวกขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เข้าไปเห็นแล้วเป็นของรู้เฉพาะตนเองธรรมนั้นประกาศไม่ได้ธรรมนั้นแสดงไม่ได้เอาให้ไม่ได้ธรรมนั้นเป็นปัจจัตังใครเข้าถึงก็เห็นเองรู้เองนอกนี้ไปมีแต่ให้อุบายบอกทางให้เข้าไปถึงบอกทางให้เข้าไปเห็นผู้ใดเดินตามไปก็ไปเห็นเหมือนกับวัดเรานี้แหละชี้หนทางมาเราก็มาเองเราถ้าเราไม่มาแล้วจะชี้บอกเท่าไรก็ไม่เห็นถึงแม้คนบอกจะมาสักกี่ครั้งก็เห็นแต่ผู้บอกผู้ที่เขาบอกแล้วไม่มาก็ไม่เห็นสักทีถึงจะบอกพันครั้งก็ไม่เห็นพันครั้งถ้าจะเห็นต้องมาเอง
ข้อปฏิบัติก็เหมือนกันฉันใดฉะนั้นจึงเป็นเรื่องของเราที่จะปฏิบัติเองรู้เอง ทำเองเห็นเอง
ฉะนั้นนักปฏิบัติจะต้องเป็นบุคคลใจแน่นอนเป็นคนใจเยือกเย็นเป็นคนใจใหญ่ใจกว้างขนาดนั่งอยู่ด้วยกันเอามะเหงกใส่หัวป๊อก!ก็ไม่ได้สนใจเลยกับสิ่งเหล่านี้ผมสามารถที่จะสอนหมู่ก่อนเริ่มจะสอนจะสอนหมู่เพื่อนผมตัดสินใจตัวเองแล้วว่าถ้าสอนไปเขาลุกขึ้นเตะผมก็จะยอมนี่จึงสอนคนได้นะต้องหนักแน่น
เรื่องกับหมู่กับพวกเรื่องลูกศิษย์ไม่ใช่ของง่ายๆกับสิ่งเหล่านี้เรื่องที่มันจะเป็นไปเรื่องเล่นกับคนบ้ามันไม่รู้เรื่องเพราะคนบ้าเอาทั้งขี้เอาทั้งเยี่ยวแหละปาใส่เราเรื่องมันเป็นไปได้เรื่องเล่นกับคนบ้าก็ต้องเป็นคนดีรักษาคนบ้าจะสอนหนังสือก็ต้องคนได้หนังสือจึงสอนได้พวกเราเหมือนกันพยายามสอนตัวเองสอนตัวเองให้ได้สอนตัวเองไม่ได้ก็สอนคนอื่นตกนรกเพราะอะไรล่ะมันเดือดร้อนฉะนั้นการปฏิบัติธรรมก็คือดังกล่าวมาแล้วนั้นเองแหละถึงแม้เราจะไปไหนก็เหมือนกันไปหาครูบาอาจารย์ที่ใดที่หนึ่งเหมือนกันแค่นั้นแหละคงจะได้อ่านหนังสือสาวกทั้งหลายครั้งพุทธกาลบางองค์ก็ไปฟังเทศน์อาจารย์องค์นี้บ้างอาจารย์องค์นั้นบ้างเอามาพิจารณาแล้วอาจารย์นั้นก็ไม่เหมือนอาจารย์นี้อาจารย์นี้ก็ไม่เหมือนอาจารย์นั้นแม้กระทั่งความเห็นของเราก็ไม่เข้ากับอาจารย์นั้นวุ่นวายเมื่อไปกราบพระบรมศาสดาไปพูดให้ท่านฟังท่านว่า
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
3
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-4-5 10:32
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เออ!...ท่านบอกว่า"อดีตล่วงมาแล้วอย่าเอามาคำนึงถึงอย่าเอามาหมายอนาคตยังมาไม่ถึงให้ทิ้งดูปัจจุบันเดี๋ยวนี้แหละความบริสุทธิ์ไม่บริสุทธิ์ก็ตามดูเดี๋ยวนี้ดูปัจจุบันขณะนี้ดูใจประกอบอารมณ์ขณะนี้ดูความโลภจะเกิดขึ้นขณะนี้ดูมันเกิดขณะนี้ดูมันดับขณะนี้รู้มันเดี๋ยวนี้ดูขณะนี้อย่าไปดูเมื่อวานนี้เมื่อก่อนนี้ปีหน้าโน้นให้ดูเดี๋ยวนี้ให้ลงที่นี่การปฏิบัติของเราทิ้งอดีตแล้วก็ทิ้งอนาคตแล้วก็ดูปัจจุบันเท่านี้แหละเราจะผ่านไปทำไมให้มากมายดูนี้แหละ ดูอยู่นี่ในปัจจุบันนี้วันนี้เกิดขึ้นมาก็ดูนี่ พรุ่งนี้มะรืนนี้ก็ไม่พูดถึงดูใจของเราวันนี้แหละขณะถูกอารมณ์ก็แก้มันไปปัจจุบันเรื่อยๆความบริสุทธิ์อยู่ตรงปัจจุบันนี้อนาคตก็ไม่บริสุทธิ์อดีตก็ไม่บริสุทธิ์บริสุทธิ์ในปัจจุบันนี้เท่านั้นความยึดมั่นหมายมั่นในปัจจุบันก็เป็นทุกข์ใจปัจจุบันไม่บริสุทธิ์เดี๋ยวนี้
ดังนั้นท่านจึงว่าความบริสุทธิ์อยู่ที่ปัจจุบัน"ปัจจุบันธรรม"ของเราไม่ต้องไปสนใจทำผิดทำชั่ว ทำดีทำร้ายมาในอดีตก็ตามปล่อยไปอนาคตก็ปล่อยมันไปดูแต่ปัจจุบัน
เหมือนเสาบ้านตัดต้นออกตัดปลายออกถากเสา ทิ้งต้นทิ้งปลายเอาแต่ตรงกลางมันมาปฏิบัติก็เหมือนกันอย่าไปเอาอดีตมาคำนึงเอาอนาคตมาคำนึงดูปัจจุบบันเท่านั้นแหละเท่านี้ก็เข้าหนทางเท่านั้นไปรูปไหนก็ช่างมันเถอะครูบาอาจารย์ที่ไหนก็ช่างท่านบอกให้เราทำเอาเองทั้งนั้นแหละ
เมื่อคราวปฏิบัติได้สองพรรษาผมจึงหายสงสัยในการปฏิบัติไปฟังธรรมท่านอาจารย์มั่นท่านเทศน์ให้ฟังท่านบอกว่า"ให้เราทำเอา"เรื่องของมันเป็นอย่างนี้เรื่องให้เราทำเอาปฏิบัติเอาอย่างนั้นๆ
บอกให้เรากินน้อยนอนน้อย พูดน้อยท่านก็บอกให้ทำเอาถ้าเราไม่ไปทำก็ไม่เป็นเท่านั้นแหละถ้าเราทำก็เป็นเพราะท่านบอกไว้แล้วครูบาอาจารย์ท่านก็บอกเท่านั้นเราก็ทำเอาเท่านั้นเองผมไม่ได้ฟังมากเท่าไรทำเหมือนท่านพูดท่านว่าทำเอามันมักมากทำให้มันน้อยลงไปปฏิบัติเข้าไปมันติดเพื่อนก็หนีจากเพื่อนหลีกจากหมู่ใครพาพูดมากก็ไม่ยุ่งด้วยไปหาคนพูดน้อยโน้นอยู่คนเดียวใครพูดไม่ได้สาระประโยชน์พาร่าเริงก็หนีไม่คบอารมณ์เหมือนกันไม่ว่าแต่เพื่อนข้างนอกแม้มันเกิดมาในใจก็เหมือนกันมันจะพายั่วยวนไปนั่นไปนี่...เลิก...ไม่เอาด้วยนี่...มันต้องรู้อยู่อย่างนี้การปฏิบัติฉะนั้นจึงหายความสงสัยในการฟังธรรมหายสงสัยเพราะรู้หมดหรือ?ไม่...ไม่รู้หมดหรอกรู้แต่ว่าท่านเทศน์ให้เราฟังท่านให้ทำเอาเองเท่านั้นแหละก็มาทำเอาเท่านั้นแหละถ้าคนจะทำไม่ยากการปฏิบัติทำมันลงไป"ไม่ดีให้มันตายไม่ตายก็ให้มันดีซะ"เอาชีวิตแลกเอาเท่านั้นแหละเกิดมาชาติเดียวจะเอาไปทำไมอีกกำลังวังชายังแข็งแรงทำเอาปฏิบัติเอา
ฉะนั้นผมจึงไม่มีใครแนะนำอะไรมากเท่าไรหรอกถ้าไปปฏิบัติมันเกิดขึ้นมาหมดไปนั่งอยู่ที่ไหนก็มีสิ่งชอบอยู่อย่างนั้นใจมันผ่องมันใสอยู่ไม่รู้ว่ามันมีสิ่งอันใดล่ะนั่งพิจารณาน้อยที่สุดที่จะนั่งหลับมันมีสิ่งหาดูมีสิ่งพาปฏิบัติอยู่นั่นแหละถ้ามันพรากจากข้อวัตรจะให้โทษมันมาก
บุกมันเข้าไปน้อยๆหนุ่มๆอย่างนี้ถ้ามันคิดอยากไปทางโลกโลกาแล้วเอา!...บุกมันเข้าอดอาหารบ้างทำอะไรต่างๆนานาพยายามมันบางทีไม่มองดูหน้าคนเลยดูแต่พื้นดินหน้าผู้ชายผู้หญิงไม่มองดูถ้ามองดูหน้ามันก็มองดูตา มองดูหมดมันจะสามชามไปถ้าปล่อยตามมันมันรวมไม่ได้ถ้าดูหน้าตาเฉยๆมันก็ยังดีอยู่พูดถึงเรื่องของผมหรอกมันชั่วถ้าไปดูหน้ามันก็ดูก้นดูอะไรไปโน้นให้มันดูแต่พื้นดินไม่ให้มันดูผู้หญิงผู้ชายหัดอย่างนั้นแหละเราอันนี้บางทีหนีตัวเองไปไหนก็ไม่รู้เดือดร้อนกระวนกระวายเราไม่ได้ทรมานมันไม่ได้ฝึกหัดจับมันดูอดีตอารมณ์ปัจจุบันอารมณ์เอามาพิจารณา
อันเก่ามันเกิดขึ้นมาพยายามให้มันหายไปอันใหม่อย่าให้เกิดขึ้นมาอีกถ้ามีแต่อันเก่าไม่สำรวมมันอดีตอันใหม่ไม่ให้เกิดมันก็หมดเป็นซิอันใหม่ไม่เกิดเกิดแต่อันเก่าอันใหม่ไม่เกิดมันก็หมดได้ถ้าเรานั้นอันเก่าก็เกิดอันใหม่ก็วุ่นวายเข้าไม่รู้ว่าอะไรเกิดบ้างทั้งใหม่ทั้งเก่าวุ่นวายเป็นไปเท่านั้นแหละเพราะไม่รู้จักการปฏิบัติ
ที่มา
http://www.ubu.ac.th/wat/ebooks/chahthai/One_Who_Protects.html
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
oustayutt
oustayutt
ออฟไลน์
เครดิต
22903
4
#
โพสต์ 2014-4-5 21:47
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
กราบหลวงปู่ครับ
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
โหมดขั้นสูง
B
Color
Image
Link
Quote
Code
Smilies
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ลงชื่อเข้าใช้
|
ลงทะเบียน
รายละเอียดเครดิต
ตอบกระทู้
ข้ามไปยังโพสต์ล่าสุด
ตอบกระทู้
ขึ้นไปด้านบน
ไปที่หน้ารายการกระทู้
Share To Facebook
Share To Twitter
Share To Google+
Share To ...