ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก
เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด
เข้าสู่ระบบ
บ้านหลวงปู่
คศช.
ข่าวสารล่าสุด
ประสบการณ์
โชว์วัตถุมงคล
สอบถาม
นานาสาระ
นครนาคราช
ร่วมประมูล
บูชาวัตถุมงคล
เพื่อน
กระทู้แนะนำ
บุ๊คมาร์ก
ไอเท็ม
เหรียญ
ภารกิจ
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
Site Link
ดูบริการทั้งหมด
เว็บบอร์ด
BBS
บูชาวัตถุมงคลหลวงปู่ชื่น
ศรีสุทธรรมนาคราช
ร้านจอมพระ
ศูนย์พระเครื่องจอมพระ
ค้นหา
ค้นหา
HOT TAG:
พระศรีราม
ขุนแผนแสนตรีเวทย์
พระเจ้าชัยวรมัน
บอร์ดนี้
บทความ
เนื้อหา
สมาชิก
Baan Jompra
›
นานาสาระ
›
มรดกธรรม เส้นทางสู่ทางสงบในชีวิตและจิตใจ
»
รู้เพื่อละ
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
ดู: 1678
ตอบกลับ: 2
รู้เพื่อละ
[คัดลอกลิงก์]
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
ไปยังโพสต์
1
#
โพสต์ 2014-4-3 09:08
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
|
โพสต์ใหม่ขึ้นก่อน
|
โหมดอ่าน
รู้เพื่อละ
เรามาปฏิบัติต้องเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต
นี่เป็นหลักของมัน ความซื่อสัตย์เรารู้จักสุจริตเราก็รู้จักเมื่อไรถูกกิเลสมันครอบงำ เราก็รู้จักบางทีมันคิดรังเกียจคนโน้นคิดรังเกียจคนนี้ หรือคิดไม่ชอบใจกับอารมณ์เหล่านั้นเราอย่าไปหันเหกับมัน มันเป็นเรื่องธรรมดาของมันอย่างนั้นเมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว เราก็ต้องรู้จักว่าอันนี้มันไม่ชอบแล้วถ้ารู้จักผิดแล้ว...มันคิดอย่างนั้นก็อย่าตามมันไปซิอย่าปฏิบัติตามมันซิมันจะสั่งงานเราเท่าไรเราก็ไม่ทำตามมันเพราะรู้ว่ามันผิดแล้วนี่เรียกว่าคนซื่อสัตย์อย่างคนมีศีล๕ ประการ ศีล๘ ประการ ตั้งมั่นอยู่แล้ว เมื่อไปถูกอารมณ์มันดึงดูดไปที่ไหนเราก็ไม่ไปกับมันแต่ให้รู้จัก
การปฏิบัติธรรมะไม่ใช่ว่าจะไปเรียนให้รู้อย่างเดียวหรอก
ได้เรียนเราก็รู้จักไม่เรียนเราก็รู้จักถ้าเรามีสติอยู่
หูฟังเสียง มันชอบใจไม่ชอบใจ นี่มันรู้จักแล้วมันรู้เรื่องปฏิบัติแล้ว
เรื่องชอบใจไม่ชอบใจ อย่าเอาเข้ามาในใจของเราแต่ฟังแล้วก็ให้รู้เรื่องของมันเรื่องชอบใจเรื่องไม่ชอบใจนี้คือหลักปฏิบัติ
ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติแล้วมันรู้จัก แต่คนเราเมื่อไปดูเรื่องที่ชอบใจแล้วก็จะเอาถ้าไม่ชอบใจก็ไม่เอาถ้าไม่ชอบแล้วก็วุ่นวายถ้าชอบก็สบายไปหน่อยนี่คือปฏิบัติอยู่ในวงอวิชชามันผิดทั้งนั้นแหละ
ธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านสอนน่ะ
ชอบก็ไม่ให้เอาไม่ชอบก็ไม่ให้เอา
ไม่มีชอบไม่มีไม่ชอบไม่มีรัก ไม่มีเกลียดเราเดินตรงเข้าไปหาสัจธรรมถ้ารู้จักแต่เรื่องบุญเรื่องบาป ฉันไม่เอาฉันจะเอาบุญอันนี้มันเป็นตัวอวิชชาเหมือนกันนะเรื่องไม่บาปไม่บุญ ทำไมไม่เดินเล่าเรื่องที่ว่าไม่ดีไม่ชั่ว ทำไมไม่เดินมันทางจะให้เราพ้นทุกข์ความดีที่แท้จริงมันอยู่เหนือดี เหนือชั่วมันอยู่เหนือผิดเหนือถูก
ฉะนั้น
การปฏิบัติอย่าให้ออกจากใจของเราให้ดูในใจของเราอย่าไปอาศัยข้างนอก
เมื่ออารมณ์มากระทบ มันก็เป็นพยานอยู่ในตัวแล้วไม่ต้องไปเรียนที่ไหนอีก...นี่คือภาวนาจะต้องเรียนอย่างนี้หาจิตที่แท้จริงจิตใจที่แท้จริงก็เหมือนกับใบไม้ใบไม้...ตามธรรมชาติของมันก็นิ่งๆเราก็รู้จักอีกเวลาหนึ่งมันกวัดแกว่ง...เพราะอะไร?มันถูกลม มันจึงกวัดแกว่ง จิตถ้ามันรู้อารมณ์แล้วเป็นต้นมันก็เป็นปกติของมันดู เท่านี้ก็พอแล้วไม่ต้องไปเรียนที่ไหนมันจะถูกอารมณ์สักเท่าไรก็ช่างเมื่อเรารู้ตามเป็นจริงแล้วมันก็นิ่ง มันสบายมัน สงบ มันระงับ
ดังนั้น
การปฏิบัติให้เราเข้าใจของแยบคายในพุทธศาสนาของเรา
อย่างพวกเรานี้เป็นพระ เป็นเณร...ถามไปอีกทีหนึ่งว่ามันเณรจริงหรือเปล่ามันเป็นพระจริงหรือเปล่าถามตัวเองเข้าไปอีกไปเห็นตัวจริงแล้วแหม...มันจะไปเร่ร่อนอยู่ในบ้านมันไปคลุกคลีอยู่ในบ้านอย่างเรามาบวชในพุทธศาสนานี้ไม่ได้เสพกามแล้วเดี๋ยวนี้ก็เลยดีใจ ฉันไม่ได้เสพกามแล้วเลิกมาแล้วอันนี้เป็นคำพูดของเราที่ติดปากกันมา แต่เมื่อเรามองเข้าไปอีกทีว่า...ใครเสพนี่...ตามันเห็นรูปถ้ามันยังเกลียดเค๊า...มันก็ไปเสพเค๊าอีกถ้ามันชอบเค๊ามันก็ไปเสพเค๊าอีกตา หู จมูก ลิ้นกาย จิต ถ้าไปรู้เรื่องมัน...มันก็เสพทั้งหมดเดี๋ยวนี้ ทั้งพระทั้งเณรนี่...เสพกามอยู่นี้ไม่ได้หนีจากกามหรอกตาเห็นรูปผู้หญิงมันชอบไม๊...มันเสพแล้วนี่ จมูกดมกลิ่นมันหอม ชอบมัน...เสพแล้วนี่...เสพแล้วยังเสพกามอยู่ยังปล่อยวางอารมณ์ไม่ได้เรียกว่ายังเสพกามอยู่ที่ว่าเราเป็นพระนั้นสมมติขึ้นมาหรอก
แต่ก่อนเราก็เป็นโยมอยู่เมื่อวานเราเป็นโยมวันนี้ มาบวชเป็นพระก็นึกว่าเราเป็นพระเป็นเณรแล้วมันเป็น แต่รูปร่างน่ะความเป็นจริงใจมันยังอยู่ตรงนั้น...ใจยังอยู่เรา ต้องการตรงนั้นระวังตรงนั้นมันจึงถูก ตรงนั้นไม่ระงับมันก็ เป็นไปไม่ได้มันโลภ มันโกรธมันหลง มันเกิดมาจากตัวนั้นคือจิตอันนั้นถ้าระงับจิตไม่ได้ก็ไม่เป็นสมณะตรงนี้พระศาสดาท่านว่า การปฏิบัติมันเป็นอย่างนั้นให้ดูภายในจิตของเจ้าของให้มันเห็นอย่างคนอื่นทำผิดเราก็ยกโทษเขาเรื่อยๆไม่หยุดเพราะเขาทำผิดถ้าคิดไปอีกก็ดีส่วนหนึ่งเหมือนกันแต่คิดเข้าไปถึงที่สุดแล้วมันเรื่องของเขาเราจะไปแบกทำไม?มันทุกข์... เห็นไหมนั่นนานๆเราก็เลยพ่ายตามเขาไปด้วยเห็นเขาผิดแล้วก็ไปรื้อฟื้นขึ้นมาเห็นเขาผิด...ต่อไปเราก็ผิดอีกเพิ่มมันเข้าไปอันนี้ต้องให้รู้จักการปฏิบัติก็เหมือนกันอย่างนั้น
ศีล สมาธิ ปัญญาผมเองพูดบ่อยๆแต่ว่าคงจะไม่เข้าใจ หรือไม่เอาใจใส่
เรื่องศีลเรื่องสมาธิเรื่องปัญญามันเป็นสามอย่างแต่ธรรมะผมพูดว่ามันเป็นอันเดียว
เปรียบให้ฟังมันเป็นอันเดียวยังไงเหมือนมะม่วงใบนี้แหละมันเป็นใบเดียวแต่ว่ารสเปรี้ยวมันก็มีรสหวานมันก็มีกลิ่นหอมมันก็มีรสทั้งหลายกลิ่นทั้งหลายเหล่านี้มันก็ออกมาจากผลไม้อันเดียวกันธรรมะนี่ก็เหมือนกันเรียกว่า ศีลสมาธิ ปัญญาเป็นสาม แต่ความเป็นจริงอันนี้ไม่มีสามหรอกเหมือนมะม่วงใบนั้นหวานก็เกิดมาจากนั้นหอมก็เกิดมาจากนั้นเปรี้ยวก็เกิดมาจากนั้นมันแยกกันอยู่อย่างนี้แต่ก็อยู่ในมะม่วงใบเดียวกัน
เรียกว่าปฏิบัติธรรมะศีล สมาธิ ปัญญาถ้าเราพูด แล้วมันก็ดึงดูดความเห็นไปคนละอย่างการปฏิบัตินี่ก็เหมือนกัน
ถ้าปฏิบัติสมาธิมันก็ถึงปัญญาถึงศีลด้วย
เราจับมะม่วงใบนี้ขึ้น ทั้งหวานทั้งเปรี้ยวทั้งหอม อยู่ใบเดียวกันแต่พูดถึง กลิ่นและรสคนละอย่างแต่อยู่ใบเดียวกันอันนี้ธรรมะอันเดียว
เอโกธัมโมธรรมมีอันเดียวเท่านั้น
มีไม่มาก คือจิตของเราที่มันเห็นชัดแล้วมันก็วาง...ปล่อยหมดแค่นั้นที่เรามาทำอยู่นี้ บางคนก็ลำบากหลายคิดไม่ถึงทุกข์
บางทีก็นั่งสมาธิไม่อยากให้มันคิดอะไรไม่อยากให้มันรู้อะไรเดี๋ยวอันนั้นอันนี้มาดึงไปแล้วก็คุมมันไว้อันนี้คือ ความเข้าใจผิดใครจะดึงไปที่ไหน?ถ้าพูดตามความเป็นจริงแล้วนะ ให้มันดึงไปเถอะเสียงก็ให้มันได้ยินรูปก็ให้มันเห็นให้ มันรู้จักมันถึงจะมีปัญญา
การยืนการเดิน การนั่งการนอน ถ้าเรามีสติสังวรสำรวมอยู่ทุกเวลานั่นแหละมันจะอบรมศีล...อบรมสมาธิ...แล้วก็อบรมปัญญา
บุ๊คมาร์ก
0
ตอบกลับ
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
kit007
kit007
ออฟไลน์
เครดิต
32163
2
#
เจ้าของ
|
โพสต์ 2014-4-3 09:09
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เมื่อทุกข์เกิดขึ้นมาก็รู้จักว่ามันทุกข์ทุกข์นี่มันเกิดขึ้นมาเพราะอะไร?...มันจะเห็นอะไรไม๊ถ้าเราเห็นตามธรรมดามันก็ไม่ทุกข์เช่นว่าเราอยู่อย่างนี้ๆเราก็สบายอีกวาระหนึ่งเราอยากได้กระโถนใบนี้มายกมันขึ้นมา...ต่างแล้ว...ต่างกว่าแต่ก่อนที่ยังไม่ได้ยกกระโถนถ้าไปยกกระโถนขึ้นมามีความ รู้สึกว่ามันหนักมันเพิ่มขึ้นมา...มันมีเหตุหนักมันจะเกิดเพราะอะไร ถ้าไม่เพราะเราไปยกมันถ้าเราไม่ยกมันมันก็ไม่มีอะไรถ้าไม่ยก...มันเบาอะไรเป็นเหตุ...เท่านี้ก็รู้แล้วไม่ต้องไปเรียนที่ไหน
ถ้าเราไปยึดอะไรอันนั้นแหละเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ถ้าเราปล่อยมันก็ไม่มีทุกข์
ทำไมเราไปยึดมันก็เพราะมันอยากถึงไปยึดมันมามันก็หนักเท่านั้นแหละไม่ใช่อื่นไกลหรอกเห็นชัดตรงนี้
การปฏิบัติอย่างนี้เรียกว่าการยืน การเดินการนั่ง การนอนให้มีอยู่เสมอ
เราต้องแสวงหาศีลสมาธิ ปัญญาไปพร้อมกันเลยเมื่อบารมีเต็มมันก็เต็มพร้อมกัน
สัมมาทิฏฐิ...ปัญญาเห็นชอบทุกอย่างที่เป็นมรรคก็ชอบเต็มไปหมดเหมือนมะม่วงมันแก่มันก็แก่หมดทั้งลูกมัน พร้อมกันไปทั้งนั้นมันห่าม มันก็ห่ามไปหมดทั้งลูกมันสุก มัน ก็สุกไปหมดทั้งลูกเรื่องของมันเป็นอย่างนี้มันไม่แยกกันเรา ไปแยกมันออกก็เลยไม่รู้เรื่องมันจึงยุ่งยาก
ดังนั้น
การปฏิบัติของเราก็คือให้มีสติควบคุมเสมอในการยืน เดินนั่ง นอน ให้รู้จักผิดรู้จักถูก
อย่าไปมองดูข้างนอกถ้าไปยึดข้างนอกมันจะลืมตัวมันจะไม่เห็นตัว เราจะรักอันนั้นเราจะรังเกียจอันโน้นเพราะจิตเราเป็นเหตุเป็นต้นตอ ฉะนั้น
เราจะต้องดูจิตอันเดียวเท่านั้น
ถ้าเรารู้จักมันก็เป็นอย่างนั้น
ถ้าเราอยากจะรู้ของแน่นอน
พระพุทธองค์ท่านสอนให้
พิจารณาร่างกายตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมาศีรษะศีรษะไปหาปลายเท้า
ให้เห็นชัดว่าก้อนนี้มันเป็นอย่างนั้นก้อนอื่นนอกนี้ก็เป็นอย่างนี้ไม่แปร ไม่เปลี่ยน
ฉะนั้นการปฏิบัติของเราท่านจึงให้อบรมศีลอบรมสมาธิ อบรมปัญญามันไปพร้อมกัน
ศีลมันสามัคคีสมาธิก็สามัคคีปัญญาก็สามัคคีพร้อมกันเหมือนมะม่วงใบนี้น่ะมันจะดิบมันก็สามัคคีกันดิบมันจะห่าม มันก็สามัคคีกันห่ามมันจะสุก มันก็สามัคคีกันสุกเพราะมะม่วงใบเดียวกันฉันนั้น การปฏิบัตินี้ก็เหมือนกัน
บางคนก็ไปนั่งไม่อยากให้มันรู้อะไรให้มันเงียบๆเหมือนเอาอะไรไปครอบไว้ไม่ให้รู้เห็นอะไรมันจะเกิดประโยชน์อะไรไม๊ ที่เราเข้าไปนั่งสงบนั้นไม่ใช่สงบกิเลสแต่มันทำจิตให้สงบชั่วคราวเท่านั้นแหละเหมือนเรานั่งอยู่นี่หายใจสบายๆนะสบายแต่เดี๋ยวนี้อีกต่อไปเราลองเอาประคตเอวมารัดพอให้มันแน่นรัดเข้าๆ.. ไอ้ความสบายมันจะไม่ค่อยมีความ ไม่สบายมันจะเพิ่มเข้ามาจนหายใจน้อยๆทนทุกข์ทรมานอยู่นานพอสมควรเราก็เอาประคตออกเลือดมันก็วิ่งสม่ำเสมอมีความรู้สึกสบาย
แต่ว่าเมื่อเอารัดเข้าไปมันก็ทุกข์ตรงนี้อีกพอระบาย ทุกข์ออกถึงที่เก่ามันก็นึกว่าเออ...อันนี้มันสบายแค่นี้น่ะดูซิก่อนจะสบาย มันทุกข์ก่อนเกือบตายเราไม่ตาย เห็นจะไม่รู้จักนะ มันสลัดกันตรงนี้แหละเราไปหลงอารมณ์ตรงนั้นแหละเมื่อปล่อยประคตเอวออกความสบายก็อยู่แค่นี้แหละแต่เมื่อ เราหยุดแค่นี้เราก็นึกว่าสบายแล้วก็อยากสบายให้ยิ่งไปกว่านี้นี่ของอันเก่านะเราสำคัญผิดเท่านั้นการปฏิบัตินี่ก็เหมือนกันฉันนั้น
จะอยากให้มันเป็นยังไงอยากจะไปนั่งไม่ให้มันมีอะไรไม่ให้คิดอะไรไม่ให้นึกอะไร...อันนั้นมันบาปหลายแล้ว...มันบาปหลาย
ไอ้ความคิดที่ว่ามันไม่ดีอารมณ์ที่มันไม่ดีถ้า เรารู้มันแล้วมันก็เกิดปัญญาเท่านั้น
อันนั้นแหละตัวสำคัญไอ้คนนี้พูดไม่ถูกหูเราเราไม่ชอบใจอยากจะหนีมันไปนี่แหละ ตัวสำคัญแล้วนี่ต้องให้เราปฏิบัติให้รู้ตัวของเราแล้วเพราะเรา มันหลงนี่หลงเพราะอะไร?เพราะเราไม่ชอบก็หนีไปอันนี้มัน ไม่พ้นถ้าเราไปอีกไปพบเสียงอันนี้อยู่ข้างหน้าอีกเราก็ไม่ ชอบใจอีก...ไปอีกมันก็ตายเปล่าๆเท่านั้นแหละมีความสงบ ไม่มีความสงบต้องให้รู้มัน
เราปฏิบัติให้รู้จัก
อย่าไปขังตัวของเราถึงสงบขนาดไหนก็อย่าทิ้งความรู้สึก
ถ้าทิ้งความรู้สึกมันก็เป็นบ้า...ให้มี
ความรู้ตัวของมัน...เรียกว่า
พุทโธ
...เราอย่าไปบ่นแต่ปากของ เราเท่านั้นแต่ให้มันถึงจิตของเจ้าของการปฏิบัติต้องเป็นอย่างนั้นบางคนนั่งไม่สงบไม่คิดอย่างนั้นก็ไปอย่างนี้ก็ว่ามันไปแล้วฉันก็ไปดึงมันมามันไปอีก ก็ไปดึงมาอีกเลยเป็นบ้าใครดึงใครก็ไม่รู้ใครไปใครมาก็ไม่รู้...ไม่รู้เรื่องไม่มีใครไปใครมาหรอกนั่นจะมีใครมาใครไปเล่า...ดูให้มันดีๆตรงนั้น
อย่างที่ผมพูดใบไม้ปกติของมันมันนิ่ง ถ้ามันกวัดแกว่ง เพราะอะไร?ลมมาถูกมันจิตใจของเราก็เหมือนกันถ้า มันฟุ้งซ่านรำคาญกวัดแกว่งก็เพราะถูกอารมณ์ถ้าจิตแท้ๆแล้ว มันนิ่งอยู่อย่างนั้นสว่างอยู่อย่างนั้นรู้อยู่อย่างนั้นอันนี้ เราเข้าใจผิดกันจะต้องให้มันรู้จักให้สังวรสำรวมให้รู้จักว่ามันผิดมันถูกผิดก็รู้ ถูกก็รู้มันจะคิดผิดขนาดไหนก็ช่างเรารู้ ว่าอันนี้มันคิดผิดเข้าใจผิด ไม่ให้มันดึงดูดเราไปได้แล้วก็กลับมาตรงนี้ เพราะมันมั่นอยู่แล้วไม่ให้มันขาดจากนี้ไปแค่นี้... ก็เป็นสังวรศีลแล้วก็เป็นสมาธิแล้วปัญญาก็จะเกิดขึ้นมา
ทำอันนั้น...หลับตาก็ไม่ผิดหรอกแต่ให้รู้จักเวลาพอสมควร นั่งไม่รู้ไม่เอาต้องให้รู้จักหายใจเข้า-ออก...รู้...เข้าไปบ่มไว้ อะไรผ่านเข้ามารู้จักหมดทุกอย่างออกจากที่นี่ก็มีสติเดินไป ตาเห็นรูปก็รู้จักหูฟังเสียงก็รู้จักรู้จักทุกสิ่งทุกอย่างรู้จักผิด รู้จักถูกเมื่อรู้จักผิดรู้จักถูกแล้วก็พยายามละมันให้ มันไปเหนือกว่านั้นอีกจนกว่าใจของเราไม่มีผิดไม่มีถูก...เหนือแล้วนี่ คือเราปล่อยวางมันเสียให้รู้จักอย่างนั้นนี่เรียกว่าการปฏิบัติของเราฯ
ธรรมโอวาทหลวงพ่อชาสุภัทโท แสดงแก่พระเณร
ที่มา
http://www.ubu.ac.th/wat/ebooks/ ... rder_to_Let_Go.html
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
oustayutt
oustayutt
ออฟไลน์
เครดิต
22903
3
#
โพสต์ 2014-4-3 22:37
|
ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ตอบกลับ
สนับสนุน
คัดค้าน
ใช้ไอเท็ม
รายงาน
กลับไป
ตั้งกระทู้ใหม่
โหมดขั้นสูง
B
Color
Image
Link
Quote
Code
Smilies
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
ลงชื่อเข้าใช้
|
ลงทะเบียน
รายละเอียดเครดิต
ตอบกระทู้
ข้ามไปยังโพสต์ล่าสุด
ตอบกระทู้
ขึ้นไปด้านบน
ไปที่หน้ารายการกระทู้
Share To Facebook
Share To Twitter
Share To Google+
Share To ...