ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 4667
ตอบกลับ: 2
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ควายธนู อาวุธคู่กายของผู้เรืองเวทย์

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย รามเทพ เมื่อ 2014-3-28 07:31

ควายธนู



เป็นเครื่องรางตามความเชื่อทางไสยศาสตร์ สะท้อนให้เห็นระบบความเชื่อทางไสยศาสตร์ของสังคมเกษตรกรรม อันมีความผูกพันกับวัฒนธรรมข้าว ซึ่งเลี้ยงวัวควายไว้ใช้งานในด้านการเกษตร วิชาเหล่านี้เป็นการทำหุ่นพยนต์รูปแบบหนึ่ง หุ่นพยนต์สามารถทำได้ทั้งรูปคนและสัตว์ ที่นิยมมีทั้งวัวธนูและควายธนู สามารถสร้างได้หลายวิธี เช่น

สานจากไม้ไผ่ ปั้นด้วยดินผสมมวลสาร ปั้นจากขี้ผึ้ง ไปจนถึงหล่อขึ้นด้วยโลหะอาถรรพ์ เช่น ตะปูโลงศพเจ็ดป่าช้า ,เหล็กขนันผีพราย ,เหล็กยอดเจดีย์ เป็นต้น เอามาหลอมรวมกันหล่อเป็นรูปควาย บางสำนักใช้โครงเป็นไม้ไผ่แล้วพอกด้วยครั่งที่ได้จากต้นพุททรา เมื่อทำสำเร็จแล้วต้องปลุกเสกตามพิธีกรรม

แล้วเลี้ยงไว้ให้ดี ต้องหาหญ้าและน้ำเลี้ยงเสมอ เชื่อว่าสามารถใช้ให้เฝ้าบ้านหรือไร่นา ใช้งานได้ตามความประสงค์ ทั้งป้องกันภูตผีและโจรผู้ร้าย และสามารถสั่งให้ไปสังหารคู่อริได้อีกด้วย มีคาถาใช้เสกเมื่อทำควายธนูว่า โอมปู่เจ้าสมิงไพร ปู่เจ้ากำแหงให้กูมาทำควาย เชิญพระอีศวรมาเป็นตาซ้าย เชิญพระอาทิตย์มาเป็นตาขวา เชิญพระนารายณ์มาเป็นเขา เชิญพระอินทร์เจ้าเข้ามาเป็นหาง เชิญพระพุทธคีเนตร์ พระพุทธคีนายมาเป็นสีข้างทั้งสอง เชิญพระจัตตุโลกบาลทั้งสี่มาเป็นสี่เท้า เชิญฝูงผีทั้งหลายเข้ามาเป็นไส้พุง นะมะสะตีติ

ความเชื่อเรื่องควายธนูมีอยู่ทุกภาคของประเทศไทย บางท้องถิ่นเชื่อว่าผู้เลี้ยงต้องดูแลอย่างดีหมั่นให้อาหารและปล่อยออกไปท่องเที่ยว จะประมาทหลงลืมไม่ได้ ไม่เช่นนั้นควายธนูจะหวนมาทำร้ายเจ้าของเสียเอง แต่บางแห่งก็ถือเป็นเสมือนเครื่องรางธรรมดาสำหรับใช้พกพาติดตัว

"วิชาหุ่นพยนต์"

ควายธนู เป็นเครื่องรางตามความเชื่อทางไสยศาสตร์ สะท้อนให้เห็นระบบความเชื่อทางไสยศาสตร์ของสังคมเกษตรกรรม อันมีความผูกพันกับวัฒนธรรมข้าว ซึ่งเลี้ยงวัวควายไว้ใช้งานในด้านการเกษตร วิชาเหล่านี้เป็นการทำหุ่นพยนต์รูปแบบหนึ่ง หุ่นพยนต์สามารถทำได้ทั้งรูปคนและสัตว์ ที่นิยมมีทั้งวัวธนูและควายธนู สามารถสร้างได้หลายวิธี เช่น สานจากไม้ไผ่ ปั้นด้วยดินผสมมวลสาร ปั้นจากขี้ผึ้ง

ไปจนถึงหล่อขึ้นด้วยโลหะอาถรรพ์ เช่น ตะปูโลงศพเจ็ดป่าช้า ,เหล็กขนันผีพราย ,เหล็กยอดเจดีย์ เป็นต้น เอามาหลอมรวมกันหล่อเป็นรูปควาย บางสำนักใช้โครงเป็นไม้ไผ่แล้วพอกด้วยครั่งที่ได้จากต้นพุททรา เมื่อทำสำเร็จแล้วต้องปลุกเสกตามพิธีกรรม แล้วเลี้ยงไว้ให้ดี

"เลี้ยงควายธนู"

ต้องหาหญ้าและน้ำเลี้ยงเสมอ เชื่อว่าสามารถใช้ให้เฝ้าบ้านหรือไร่นา ใช้งานได้ตามความประสงค์ ทั้งป้องกันภูตผีและโจรผู้ร้าย และสามารถสั่งให้ไปสังหารคู่อริได้อีกด้วย มีคาถาใช้เสกเมื่อทำควายธนูว่า โอมปู่เจ้าสมิงไพร ปู่เจ้ากำแหงให้กูมาทำควาย เชิญพระอีศวรมาเป็นตาซ้าย เชิญพระอาทิตย์มาเป็นตาขวา เชิญพระนารายณ์มาเป็นเขา เชิญพระอินทร์เจ้าเข้ามาเป็นหาง เชิญพระพุทธคีเนตร์ พระพุทธคีนายมาเป็นสีข้างทั้งสอง เชิญพระจัตตุโลกบาลทั้งสี่มาเป็นสี่เท้า เชิญฝูงผีทั้งหลายเข้ามาเป็นไส้พุง นะมะสะตีติ

ความเชื่อเรื่องควายธนูมีอยู่ทุกภาคของประเทศไทย บางท้องถิ่นเชื่อว่าผู้เลี้ยงต้องดูแลอย่างดีหมั่นให้อาหารและปล่อยออกไปท่องเที่ยว จะประมาทหลงลืมไม่ได้ ไม่เช่นนั้นควายธนูจะหวนมาทำร้ายเจ้าของเสียเอง แต่บางแห่งก็ถือเป็นเสมือนเครื่องรางธรรมดาสำหรับใช้พกพาติดตัว

แหล่งข้อมูล : ไสยศาสตร์มืด
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-3-28 07:26 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย รามเทพ เมื่อ 2014-3-28 07:32

ควายธนู อาวุธคู่กายของผู้เรืองเวทย์

ที่มา http://www.bloggang.com/mainblog ... 09&group=1&gblog=29

เมื่อสมัยที่ผู้เขียนยังเป็นเด็กอยู่นั้น ในยามค่ำคืนคุณพ่อก็จะนั่งเล่าเรื่องราวต่างๆให้พวกเราฟัง ในบางครั้ง
ก็จะมีคนเฒ่าคนแก่อื่นๆในหมู่บ้านมาร่วมสานเสวนาด้วยจนดึกดื่นค่อนคืน

เรื่องเล่าส่วนใหญ่ ถ้าหากไม่ใช่เป็นตำนานโบราณ หรือเป็นเรื่องที่เล่าสืบกันมาในหมู่บ้านก็จะเป็นเรื่องของคนโน้นบ้าง
คนนี้บ้าง

คุณพ่อของผู้เขียนถือได้ว่าเป็นนักเลงเก่ามาแต่รุ่นโบราณ แม้ว่าวันเวลาจะผ่านไป แต่ท่านก็ยังไม่เคยทิ้งลายเสือเก่า
ไม่ว่าจะเป็นท่วงท่า ลักษณะที่เพียงมีใครมองดูก็จะระย่อทันทีอย่างไม่มีเหตุผล ซึ่งสิ่งเหล่านี้คุณพ่อบอกว่า มาจาก
"คาถาหัวใจราชสีห์" ที่คุณพ่อจะท่องทุกครั้ง เมื่อยามที่พบปะกับใคร จึงทำให้คนอื่นเกรงขามในบารมี

เรื่องนี้เป็นที่กังขากันต่อมา ว่าถ้าหากคนเราได้ท่องคาถานี้แล้ว จะทำให้ผู้คนเกรงอก เกรงใจ หรือว่ามีหัวใจราชสีห์
จริงหรือ คำตอบนี้ ขึ้นอยู่ที่ว่า บุคคลนั้นมีความเป็นมาอย่างไรด้วย

อย่างคุณพ่อของผู้เขียนเองนั้น มีหลายคนเคยเล่าให้ฟังว่า ท่านเป็นนักเลงเก่าที่สมัยหนุ่มก็ไม่ค่อยยอมลงให้ใครเหมือนกัน
นักเลงสมัยเก่า มักจะร่ำเรียนศึกษาวิทยาคมควบคู่กันไปด้วย เพื่อที่จะได้อยู่ยงคงกระพันชาตรี เรียกว่า ถ้าหากฟันแทงไม่เข้าก็จะทำให้
กลายเป็นที่เกรงขามของคนทั่วไป ว่างั้นเถอะ

แต่สำหรับคุณพ่อ ท่านไม่ได้ไปเรียนวิชามาจากที่ไหน ไม่สักยันต์ให้ตัวลาย แต่ท่านก็มีของดีอยู่หลายอย่าง ซึ่งในตอนหลังนั้น
ของขลังของท่านหลายสิ่งนี้ ก็มีบ้างที่สูญหายไปหลังจากที่ท่านเสียชีวิต แต่สิ่งหนึ่งซึ่งผมยังจำได้จนบัดนี้ ถึงของเก่าที่วางอยู่บนหิ้ง
ของคุณพ่อ นั่นก็คือวัวธนูหรือควายธนูสีทองอมดำซึ่งมองดูน่าเกรงขาม

และคุณพ่อจะสั่งห้ามอย่างจริงจังว่า ห้ามใครจับหรือว่าแตะโดยเด็ดขาด วัวธนูตัวนี้ของคุณพ่อ ท่านเล่าว่าเป็นของเก่าแกที่มีมาตั้งแต่สมัยคุณทวด ไม่ทราบเหมือนกันว่าได้มาอย่างไร จากไหน แต่นับจากที่คุณพ่อเติบโตขึ้นมา หลังจากที่คุณปู่เสียชีวิตไป ท่านก็มอบให้สืบทอดกันมา พร้อมทั้งตำรับตำราที่เกี่ยวกับวัวธนูด้วย

ยังจำได้ว่า คุณพ่อเคยเล่าถึงเรื่องราวของวัวธนูตัวนี้ ที่มีประสบการณ์หลายด้าน ซึ่งเรื่องราวเหล่านั้น คล้ายกับตำนานของ
หมู่บ้าน เพราะว่าสถานที่เราอยู่นั้น เป็นบ้านป่าชนบท ห่างไกลตัวเมือง ผู้คนมีอาชีพหาของป่าออกมาขาย ซึ่งแน่นอนว่า จะต้องเข้าป่าล่าสัตว์ หรือไม่ก็ต้องเข้าป่าไปลึกๆ เพื่อเก็บของป่าอย่างรังผึ้งออกมาขาย ป่าเมื่อหลายสิบปีก่อนนั้น ไม่เหมือนกับป่าเดี๋ยวนี้ที่มองดูโปร่ง สวยงาม น่าเที่ยว แต่ป่าเมื่อครั้งกระโน้น รกทึบ เต็มไปด้วยแมกไม้และเถาวัลย์ หรือลึกเข้าไปนั้นก็เป็นป่าดิบที่เต็มไปด้วยอันตราย

คุณพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งท่านเคยออกไปนั่งห้าง เพื่อยิงเก้ง ยิงกวาง ไม่ใช่เอาออกมาขาย แต่จะเอามากินกัน
ในหมู่บ้าน ซึ่งก็มีเพื่อนบ้านติดตามเข้าไปด้วยสองคน เพื่อให้ต้องตามตำราที่ว่าคนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย แต่สามคนไปสบายอะไรทำนองนี้ หลังจากที่เดินเข้าป่าไปลึกกว่าค่อนวัน ก็ถึงหนองน้ำที่มีโป่งดินเกลือ ซึ่งคุณพ่อบอกว่าโป่งดินเกลือเหล่านี้สัตว์ป่าชอบมากินอยู่เสมอ เพราะจะทำให้มันได้รับธาตุไอโอดีนเข้าไป ทำให้ร่างกายไม่อ่อนแอ และท่านก็บอกว่า ถ้าหากจะล่าสัตว์ให้ได้ ก็ต้องไปดักที่ริมหนองน้ำ หรือไม่ก็แถวโป่งนี่แหละ วันนั้นทั้งสามคนช่วยกันสร้างห้างสำหรับพักค้างคืนที่บนต้นไม้ ที่ต้องสร้างแบบนี้ก็ด้วยเหตุที่ว่า ห้างอยู่ที่สูง สามารถมองเห็นสภาพป่าทั่วไปได้ในระยะไกลหนึ่งล่ะ สองก็คือช่วยป้องกันภัยจากสัตว์ร้ายที่อาจจะลอบเข้ามาทำร้าย
โดยที่ไม่ทันระวังตัว สามก็คือช่วยกำบังตัวเองไม่ให้สัตว์ที่มากินน้ำรู้ตัวว่าถูกซุ่มล่า

คืนนั้น หลังจากที่รับประทานอาหารกันเรียบร้อย และสร้างห้างพอที่จะนอนพักได้แล้ว ทั้งสามคนก็ผลัดกันอยู่เวรเพื่อฝ้าดูว่าจะมีสัตว์ตัวไหนลงมากินโป่งหรือกินน้ำบ้าง ล่วงเข้าสองยามกว่า ๆ คุณพ่อบอกว่าขณะที่นอนหลับอยู่นั้น ท่านก็สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก เมื่อปรากฏว่าย่ามที่ท่านชอบสะพายติดตัวและวางอยู่ที่บนหัวนอนนั้นเคลื่อนไหวขยุกขยิ
กจนมาชนเข้ากับใบหน้าของท่าน ทำให้ต้องลืมตาขึ้นมาทันทีที่ตื่นขึ้น ท่านก็ผงกหัวขึ้นมาดูว่า เพื่อนร่วมทีมที่ติดตามมาด้วยนั้นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว คนหนึ่งนอนหลับคุดคู้อยู่ข้าง ๆ เพราะเพิ่งจะเปลี่ยนเวรกัน แต่คนที่อยู่เวรนั้นกลับหายไปไหนไม่มีใครรู้ ปกติเมื่อขึ้นไปอยู่บนห้างแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่พรานทุกคนจะต้องจดจำเอาไว้ก็คืออย่าลงจากห้างในยามค่ำคืนเด็ดขาด เพราะอาจจะมีอะไรซุ่มเล่นงานเอาได้ง่ายๆ
เห็นเพื่อนร่วมทางหายไป คุณพ่อก็ให้รู้สึกกังวลขึ้นมาทันใด แต่จากการสั่นไหวของต้นไม้ ทำให้ท่านต้องชะโงกหน้าลงไปมองดูก็เห็น
ว่า เพื่อนคนนั้นกำลังไต่พะองที่พาดเอาไว้ลงไปข้างล่างอย่างช้า เมื่อแลไปสัก ๑๕ หลาก็เห็นว่า มีแสงไฟวับ ๆ แวมส่องสว่างอยู่
ผมยังจำถึงคำบอกเล่าเรื่องราวในตอนนี้ได้ดี จากปากของลุงชม เพื่อนคนหนึ่งของพ่อซึ่งเกือบจะตายเพราะเสือสมิงในคราวนั้นว่า

" ถ้าหากพ่อของหนูไม่ช่วยเอาไว้ ลุงก็คงจะกลายเป็นเหยื่อของมันไปแล้ว "

ลุงชมเล่าว่า ขณะที่ท่านกำลังนั่งเฝ้ายามอยู่เวรนั่นเอง สายตาก็มองไปเห็นแสงไฟวับๆแวมๆออกมาจากพุ่มไม้ ในตอนแรกก็ให้สงสัยว่า
มีใครมาทำอะไรแถวนี้ แต่พอดูอีกที คนที่มานั้นก็คือเมียของแกนั่นเอง ที่ถือคบไต้มาจากบ้าน เมื่อมาถึงก็มายืนกวักมือเรียกแกอยู่
ไหว ๆ ให้ลงไปรับเอาห่อข้าวที่หิ้วมาด้วย

" ในตอนแรกลุงเองก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่า เมียมาทำไม เพราะเข้าป่ามานี่ก็ไม่ใช่ใกล้ๆ เดินกันเป็นวันครึ่งวัน แต่พอเห็นแกหิ้วของมาให้
ก็คิดว่าน่ากลัวจะเอาข้าวมาส่ง เพราะเราไม่ได้เอาอะไรติดตัวมานอกจากเกลือกับไม้ขีดไป แล้วตอนบ่ายก็ยิงนกได้ เอามาย่างกินกันไป
แล้วเป็นอาหารเย็นกับข้าวเหนียวที่ใสกระติ๊บมาด้วย "
คุณพ่อเล่าว่า ลุงชมลงไปเกือบจะถึงพื้นอยู่แล้ว เมื่อท่านปลุกให้เพื่อนอีกคนตื่นขึ้นมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ในสายตาของท่านเห็นว่า
ผู้ที่มานั้นไม่น่าจะเป็นเมียลุงชม เพราะว่าหนทางระหว่างหมู่บ้านกับกลางป่านี้ก็ไกลโขอยู่ เมียแกจะเดินมาถึงได้อย่างไร ที่สำคัญ
ถ้าหากจะเอากับข้าวมาส่งทำไมถึงมาเอาดึกดื่นป่านนี้ ทำไมไม่มาตั้งแต่หัวค่ำ ผู้หญิงกลัวกลางคืนจะตายไป ไม่มีใครกล้าเข้ามาแน่
แต่ท่านก็ยังไม่มั่นใจนัก จึงเลยปลุกเพื่อนขึ้นมาเพื่อดูให้แน่ชัดว่า สิ่งที่ท่านคิดนั้นตรงกับความคิดของเพื่อนหรือไม่
เพื่อนร่วมทางผู้ตื่นขึ้นมาจากกการหลับไหลมองลงไป แล้วก็ตัดสินใจในนาทีนั้นว่า " เสือสมิง !"

ไม่มีทางเลือกอื่นใด คุณพ่อหยิบเอาปืนที่บรรจุกระสุนเรียบร้อยแล้วขึ้นมาประทับบ่า ในขณะที่สองคนข้างล่างกำลังเคลื่อนไหวเข้าหา
กันอย่างช้า ๆ จู่ ๆ ฟ้าก็ผ่าขึ้นมาอย่างกะทันหัน เมื่อปืนยาวกระบอกนั้น คำรามก้อง เปรี้ยง !
คบไฟจากไต้ที่ยายเมียของลุงชมถืออยู่ปลิวกระจาย ไฟดับวูบพร้อมกับเสียงกรีดร้องดังขึ้นโหยหวน แต่มันไม่ใช่เสียงคน หากแต่ดังโฮกฮาก เป็นเสียงเสือคำราม พร้อมกับราวป่าแถวนั้นสั่นไหวไปเป็นแถบๆ

" ตอนนั้นลุงเดินเข้าไปจะถึงเขาอยู่แล้ว ตอนที่เสียงปืนดังขึ้น ตอนแรกลุงเองก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน เพราะไม่รู้ว่าข้างบน
ยิงทำไม แต่พอได้ยินเสียงร้องดังโฮกเท่านั้น ลุงก็เผ่นแน่บขึ้นมาข้างบนทันที ตอนที่ลงนี่ใช้เวลานานกว่า สิบนาททีนะ แต่ว่าตอนที่
ตกใจปีนขึ้นมานี่ไม่รู้เหมือนกันว่ามันขึ้นมาได้อย่างไร ไม่ถึงสองนาทีด้วยซ้ำมั้ง " ลุงชมหัวเราะชอบใจ

คุณพ่อเล่าให้ฟังว่า สาเหตุที่เลือกยิงคบไต้ที่คุณยายคนนั้นถือมาก็ด้วยเหตุที่ว่า มีเคล็ดลับสำหรับคนที่จะจับเสือสมิงให้ได้ นั่นก็คือว่า
ถ้าหากจะยิงเสือสมิงให้ตายก็ให้ยิงตรงสิ่งที่มันถือมา เพราะว่านั่นคือหัวใจ ส่วนที่เราเห็นทั้งหมดนั้น คือภาพลวงตาที่มันบันดาลให้เกิด
ขึ้นเท่านั้น ซึ่งในจุดนี้คุณพ่อบอกว่า อาจจะเป็นเคล็ดลับจริงข้อหนึ่ง แต่อีกข้อหนึ่งก็คือว่า ไม่มีใครแน่ใจได้ว่าผู้ที่มาหาในยามค่ำคืนนั้น
เป็นเสือสมิงจริงไปหมดหรือไม่ ดังนั้นการที่บอกให้ยิงตรงสิ่งของที่เขาถือว่า เพื่อที่จะทดสอบว่าผลจะออกมาอย่างไร

อย่างน้อย ถ้าหากว่าคนที่มาหาไม่ใช่เสือสมิงก็จะไม่ได้รับอันตราย เพราะคนยิงเล็งไปที่ของไม่ใช่คน แต่ถ้าหากว่า สิ่งที่เชื่อกันนั้นเป็น
ความจริงเสือสมิงก็จะถูกยิงเข้าหัวใจพอดี แต่เสือสมิงตัวนี้ไม่ตาย มันหนีไปได้ พร้อมกับเสียงร้องคำรามลั่นไปทั้งป่า และดูเหมือนว่ามัน
เฝ้าวนเวียนอยู่อย่างนั้นทั้งคืน เพื่อที่จะหาทางขึ้นมางาบเอาพรานป่าเหล่านี้ไปเป็นอาหารให้ได้ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เพราะถ้าขืนเป็น





แบบนี้มีหวังไม่ต้องได้หลับได้นอนกันแน่ ในที่สุดคุณพ่อก็ล้วงเอาของสิ่งหนึ่งออกมาจากย่ามของท่าน และของสิ่งนั้นก็คือสิ่งที่ทำให้
ย่ามสั่นพั่บๆเมื่อก่อนหน้านี้นั่นเอง คุณพ่อหยิบเอาวัวธนูสีทองแดงอมดำออกมา ลุงชมเล่าว่าท่านถึงกับขนลุกซู่เมื่อมองเห็น คุณพ่อ
ยกวัวธนูขึ้นจบบนศีรษะ พึมพำคาถาตามที่ได้รับการสอนมาจากคุณปู่ขมุบขมิบ ก่อนที่จะค่อยๆไต่ลงไปตามพะองจนได้ระยะ แล้วก็
ปล่อยออกไป พร้อมกับบอกว่า " เอามันเลยลูก ! "

พริบตานั้นเอง วัวธนูทองแดงก้ขยายตัวขึ้นมาใหญ่ยักษ์ พุ่งปราดออกากโคนไม้ ถาโถมเข้าใส่เสือสมิงที่ซุ่มตัวอยู่ในพุ่มไม้ เสียงกู่ร้อง
ก้องไปทั้งราวป่า ราวกับว่าโกรธแค้นมาไม่รู้กี่ชาติ

" ตอนนั้นมืดมาก มองไม่เห็นอะไร รู้แต่ว่ามีเงาใหญ่คล้ายควาย คล้ายวัวพุ่งออกไปแล้วสู้กันนัวเนียไปหมด ทุกคนที่อยู่บนห้างหายใจ
กันแทบไม่ทั่วท้อง จนกระทั่งได้ยินเสียงเสือร้องบาดเจ็บโหยหวนนั่นแหละ พ่อของหนูถึงได้บอกว่า นอนกันได้แล้ว ทีนี้ไม่ต้องกลัว
ไอ้โทนมันจะเฝ้าให้เราที่ข้างล่างเอง "

ลุงชมเล่าต่อว่า เช้าตรู่ของวันนั้น เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าราวป่าแถบหนึ่งแหลกละเอียด ต้นไม้หักโค่นเป็นแนวเพราะร่องรอยของการต่อสู้
เมื่อคืนนี้ และไม่ไกลออกไปจากต้นไม้ที่ตั้งห้างเท่าไหร่นัก เสือโคร่งตัวใหญ่มหึมาตัวหนึ่งนอนไส้ทะลักตายเพราะถูกแทงเข้าที่
ท้องอย่างจัง ไม่ไกลจากที่ตรงนั้นมากนัก วัวธนูสีทองแดงของคุณพ่อยืนอยู่ตัวเท่ากำปั้นเท่านั้นไม่ใช่ใหญ่ยักษ์อย่างที่มองเห็นเมื่อคืนนี้

นั่นคือเรื่องราวเกี่ยวกับประสบการณ์เสือสมิง ที่เรามักจะได้ยินผู้หลักผู้ใหญ่เล่าให้ฟังอยู่เสมอในยามค่ำคืนที่มีการ
นั่งผิงกองไฟ ล้อมวงคุยกัน

นอกจากเรื่องนี้แล้วนั้น ผู้เขียนก็ยังได้รับการถ่ายทอดจากคุณพ่อถึงวิธีการและพิธีกรรมที่จะสร้าง หรือว่าใช้วัวธนู หรือควายธนูอย่างไร
แม้ว่าวัวธนูตัวนั้นจะสูญหายไปนานแล้ว แต่ผู้เขียนก็ยังจดจำได้จนบัดนี้ เพราะถือว่านี่เป็นเรื่องแปลกอีกเรื่องหนึ่ง
วัวธนู หรือควายธนูนั้นมีการสร้างขึ้นมาในหลายรูปแบบด้วยกัน แล้วแต่ความสะดวก หรือว่าวัสดุที่ใช้ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสามชนิด
ดังต่อไปนี้

วัวทองแดง เป็นวัวธนูชั้นสุดยอด เพราะมีความทนทาน อีกทั้งยังสร้างขึ้นมาจากสิ่งที่เต็มไปด้วยอาถรรพณ์ ไม่ว่าจะเป็นตะปูจาก
โลงศพ เหล็กขนัน ผีตายท้องกลม งั่ง ทองแดงเถื่อน ดีบุก ทองขวาน้า เงินปากผี ทองยอดนพศูนย์ สิ่งเหล่านี้ต้องนำมาหล่อ
เข้าด้วยกันเป็นรูปโคหรือรูปกระทิงโทนที่มีลักษณะแตกต่างกันออกไปแล้วแต่ฝีมือช่าง จากนั้นก็นำมาลงอักขระยันต์

วัวขี้ผึ้ง เป็นวัวธนูชั้นรองลงมา สร้างขึ้นจากขี้ผึ้งปิดหน้าผีตายโหง ผีตายท้องกลม ผสมด้วยผมผีพราย ผมผีตายลอยน้ำ ตานกกด
ตาชะมด ตาแร้ง กำลังวัวเถลิง เมื่อได้มาก็เอาไปเผาไฟ ไปเคี่ยวให้ไหม้ บดเป็นผง ผสมเข้ากับขี้เถ้าจาก ๗ ป่าช้า แล้วคลุกกับขี้ผึ้ง
ปั้นเป็นรูปวัว หรือโคขึ้นมา เสกด้วยคาถา

วัวไม่ไผ่ เป็นวัวชั้นสาม ใช้ชั่วคราวเวลาฉุกเฉิน เวลาจะใช้ก็ให้ตัดไม้ไผ่ที่ขึ้นคร่อมทางมาทำ เวลาจะตัดออกจากต้นให้กลั้นใจท่อง
นะโมตัสสะ และฟันทีเดียวให้ขาดจากนั้น จากนั้นมาสานเป็นรูปหัววัว เสกด้วยคาถาเช่นกัน

สำหรับการสร้างวัวธนูหรือควายธนูนั้น ท่านมีฤกษ์ให้เลือกวันสร้างดังต่อไปนี้

วันมาฆะบูชาอันเป็นวันเพ็ญเดือนสาม
ให้สร้างตั้งแต่เวลาพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปจนถึงเที่ยงคืน หลังจากนั้นห้าม ดอกไม้ที่จะใช้ประกอบพิธีในวันนี้ ให้ใช้ดอกไม้ ๔ สี

วันวิสาขบูชา
ให้เริ่มตั้งแต่ตอนเช้าตรู่ที่พระอาทิตย์เยี่ยมฟ้าขึ้นมาไปจนถึงเที่ยงวันดอกไม้ที่ใช้บูชาในการทำพิธีให้ใช้ดอกไม้ ๘ สี มารวมกัน

วันอาสาฬหบูชา
ให้กำหนดเวลาเอาฤกษ์ตั้งแต่พระอาทิตย์อยู่เรี่ยต้นไม้ในยามบ่ายแก่ๆจวนจะลับฟ้า วันนี้ไม่ต้องตัดฤกษ์ เพราะถือว่า
เป็นวันดี ดอกไม้ที่ใช้ทำพิธีในวันนี้ ใช้ดอกไม้ ๓ สี บูชา

สำหรับวัสดุที่ใช้ประกอบในการสร้าง เพื่อที่จะให้ขลังยิ่งขึ้นนั้นท่านบอกว่าให้ใช้ครั่งที่เกาะบนกิ่งพุทรา ซึ่งชี้ปลายไปทางทิศตะวันออกเท่านั้นและในการนี้จะต้องใช้ถึง ๓ ต้นด้วยกันหรือมากกว่านั้นก็ยิ่งดี แต่ถ้ากิ่งพุทรากิ่งนั้นเป็นไม้ตายพราย ท่านว่าให้ใช้กิ่งเดียวก็ได้
จะเพิ่มอานุภาพของความขลังมากยิ่งขึ้น

โดยในการทำวัวธนู ควายธนูนั้นจะมีเวทย์มนต์คาถากำกับแตกต่างกันออกไป โดยในการสร้างนั้นจะมีคาถาเชิญเทพเทวาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ให้ามาสิงสถิตย์ซึ่งคาถนี้ เวลาจะใช้วัวให้ออกไปต่อสู้ก็ใช้เสกได้ด้วยเช่นกัน
คาถาเสกควายธนูนั้นท่าน บันทึกไว้ว่า

" โอมปู่เจ้าสมิงพราย ปู่เจ้ากำแหงให้กูมาทำควาย เชิญพระอิศวรมาเป็นตาซ้าย เชิญพระนารายณ์มาเป็นตาขวา เชิญพระอาทิตย์
มาเป็นเขา เชิญพระจันทร์มาเป็นหาง เชิญพระพุทธคีเนตร พระพุทธคีนาย มาเป็นสีข้างทั้งสอง เชิญพระจตุโลกบาลทั้งสี่มาเป็นขา
สี่เท้า เชิญฝูงผีทั้งหลายเข้ามาเป็นตับไตไส้พุง นะมะสะตีติ "

สำหรับคาถาที่ใช้เสกทำน้ำมนต์นั้น มีท่านผู้รู้หลายท่านได้เขียนเอาไว้ซึ่งพอจะค้นหาได้ดังต่อไปนี้

" โอมอุดเทตะยัง สะนหิ โอมวัวธนูลูกแม่เฒ่า รักษาเจ้าให้ดี ผีสางสะเด็ดหนี ขวักคว้าน โอมโคโน มหาโคโน โอมโคโส มหาโคโส
สันทะ สันทิ จันทิหิ โอมมหาหิริโอตัปปะ สัมปัณโณ นะภาเวนุ นุเวภานะ เวลภานะนุ ภานะนุเว นะภานุเว สัพปุริสา โลเก เทวะ ทำมาติ
วัดจะเร "

สวดแบบนี้ ๗ ครั้งด้วยกันยามที่ทำน้ำมนต์ ในขณะเดียวกัน ถ้าหากจะปล่อยวัวธนูให้เฝ้าบ้าน ท่านว่าให้เสกด้วยคาถา
ต่อไปนี้ ๗ คาบเช่นกัน

" นะภาเวนะ นะภาเวนุ เวทาสากุ กุสาทาเว ทายัสสะ ตะทะสา ทิกุกุ ทิสาสา กุตะกุ ภูตะพุ โคสวาหะ โสถาทิเต โหตุเต ชัยยะมังคลานิ
นุเวภานะ นุเวภานะ เวภานะนุ เวภานะนุ ภานะนุเว ภานะนุเว นะนุเวภา นะนุเวภา นะภาเวนุ นะภาเวนุ "

ขณะที่เสกคาถานี้ ให้เอาน้ำรดบนหลังวัวธนู แล้วใช้ภาชนะรองน้ำมนต์ที่หลั่งลงไป เอาน้ำนั้นไปรดรอบๆบ้านที่จะให้วัวธนูเฝ้า เท่านั้นก็
เป็นการกำหนดเขตให้วัวธนู หรือควายธนูได้สำแดงอานุภาพแล้ว

สำหรับเรื่องวัวธนู หรือควายธนูนี้มีพระเกจิอาจารย์หลายๆท่านในยุคโบราณกว่า เมื่อกว่าสามสิบปีมาแล้วได้สร้างขึ้นมา
พอที่จะหลงเหลืออยู่บ้าง อย่างหลวงพ่อน้อยวัดศีรษะทองท่านก็สร้างวัวธนูเอาไว้ ซึ่งในปัจจุบัน วัวธนู ควายธนูเหล่านี้นับได้ว่า
เป็นของขลัง ของศักดิ์สิทธิ์ที่หาได้ยากเต็มที

ใครที่อยากจะมีไว้ใช้บูชาก็ลองสร้างดูได้ ไม่มีปัญหา ว่าแต่ว่าท่านจะต้องลงคาถาได้
และใช้คาถาเป็น เท่านั้นท่านก็จะมีของดีไว้ติดกายตลอดไป...

3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-3-28 07:28 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ควายธนู หลวงพ่อชุ่ม วัดท่ามะเดื่อ

                ควายธนู  เป็นวิชาสำเร็จด้วยอิทธิฤทธิ์ของอาคม เป็นศาสตร์ทางไสยเวทอีกแขนงหนึ่ง ซึ่งสืบทอดมาแต่โบราณกาล  ผู้จะเรียนวิชานี้จนสามารถใช้ประโยชน์ได้  ต้องมีพลังจิตแก่กล้าสูงยิ่ง  นับเป็นวิชาไสยศาสตร์อีกวิชาหนึ่ง ที่เรียนสำเร็จยากมาก  เป็นการอธิษฐานฤทธิ์นิรมิตรูปกายจากสิ่งหนึ่ง ให้เป็นอีกรูปกายหนึ่ง  จากการใช้ตอกไม้ไผ่สานให้มีรูปร่างคล้ายตัวควายตัวเล็ก ๆ แล้วปลุกเสกด้วยคาถาอาคม จนกลายเป็นตัวควายขนาดใหญ่ มีจิตวิญญาณและเคลื่อนไหวได้ มีความดุร้ายกราดเกรี้ยว และทรงพลังอำนาจดุร้าย  ลองคิดดูเถิด จะต้องใช้พลังจิตสูงสักปานใด

                ผู้ที่เรียนวิชาควายธนู  ไม่จำเพาะเจาะจงว่าเป็นภิกษุ หรือ ฆราวาส ผู้ใดก็เรียนได้  แต่จะใช้จนสำเร็จประโยชน์หรือไม่นั้น  ย่อมขึ้นอยู่กับการฝึกปรือ เคี่ยวกรำอำนาจจิตของตนเป็นสำคัญ  วิชาควายธนูนี้มีพื้นฐาน เพื่อใช้ประโยชน์เป็นไปในทางป้องกันตัวเอง  แต่ก็มีหมอไสยศาสตร์บางคน ที่มีมิจฉาสมาธิ นำวิชานี้ไปใช้ในการเบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น  ให้ได้รับความเดือดร้อนอันตราย  บุคคลประเภทนี้มักจะเป็นคนนอกศาสนาพุทธ  เป็นพวกเคารพนับถือผีเป็นสรณะ  และหวังได้รับผลประโยชน์ทางอามิสสินจ้าง  คนพวกนี้แม้จะสำเร็จประโยชน์ด้วยคาถาอาคมได้  แต่ไม่ช้าไม่นานวิชามักจะเสื่อมไปในที่สุด

                ณ ที่นี้ จะนำเรื่อง อิทธิฤทธิ์ของควายธนู มาเล่า ให้รับรู้กันอีกเรื่อง  ควายธนูที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ เกี่ยวข้องกับ หลวงพ่อชุ่ม  จันทโชติ  วัดท่ามะเดื่อ (วัดอุทุมพรทาราม) อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี

วัดท่ามะเดื่อ หรือ วัดอุทุมพรทาราม  ในปัจจุบัน สร้างเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๑๗  มีหลวงพ่อชุ่ม  จันทโชติ  เป็นเจ้าอาวาสองค์แรก  ประวัติของหลวงพ่อชุ่ม  ไม่ปรากฏชัดเจนเท่าที่ควร  ทราบแต่เพียงว่า ถิ่นฐานบ้านเกิดของท่าน อยู่ที่ดอนยายหอม  อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม  แต่บางกระแสก็บอกว่า  ท่านเป็นชาวตำบลโพธิ์หัก  อำเภอบางแพ จังหวัดราชบุรี   แต่ที่แน่ชัดยิ่งกว่าอื่นใดก็คือ    ท่านเป็นพระปฏิบัติ สายวิปัสสนาธุระ    มีความเชี่ยวชาญทางไสยเวทพุทธาคม เป็นที่เลื่องลือ กล่าวได้ว่า เป็นพระอภิญญาแห่งลุ่มน้ำแม่กลองรูปหนึ่ง

                ในทุก ๆ ปี หลวงพ่อชุ่มจะลงไปสรงน้ำ ในแม่น้ำแม่กลอง  ซึ่งไหลผ่านหน้าวัดหนึ่งครั้ง  ถึงเวลาท่านลงไปสรงน้ำในแม่น้ำแม่กลอง  จะมีชาวบ้านทั้งตำบล พากันมาดูท่านสรงน้ำเต็มตลิ่ง  เนื่องจากขณะหลวงพ่อชุ่มสรงน้ำ  จะมีจระเข้ใหญ่ตัวหนึ่ง โผล่ขึ้นมาใกล้ ๆ ท่าน ว่ายวนเวียนดำผุดดำว่ายไปรอบ ๆ ตัวท่าน  บางครั้งจะฟาดหางตีน้ำแตกกระจายดังตูมตาม  บางครั้งจะว่ายเข้ามา เอาลำตัวเสียดสีกับตัวท่าน  คล้ายกับแสดงความจงรักภักดีด้วยความเคารพ  สำหรับหลวงพ่อชุ่มนั้น ท่านก็คงสรงน้ำไปตามปกติ  ไม่ได้แสดงความหวาดหวั่น จระเข้ร้ายตัวนั้นแต่อย่างไร  หลังจากท่านสรงน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว และกลับขึ้นไปบนฝั่ง จระเข้ดังกล่าวก็จะจมน้ำหายไป

                เหตุการณ์เป็นที่อัศจรรย์เช่นนี้เกิดขึ้นทุกปี   ไม่มีผู้ใดทราบว่า  เพราะเหตุใดจึงมีจระเข้ใหญ่โผล่ขึ้นมาทุกครั้ง ที่หลวงพ่อชุ่มลงไปสรงน้ำ ในแม่น้ำแม่กลอง  มีผู้อยากรู้ความนัยเรื่องนี้เคยถามท่าน แต่ท่านไม่ตอบ

                หลวงพ่อชุ่มองค์นี้ เป็นญาติสนิทกับโยมบิดามารดาของ หลวงพ่อเงิน  จันทสุวัณโณ วัดดอนยายหอม จังหวัดนครปฐม  หลวงพ่อเงินมีศักดิ์เป็นหลาน  จึงเรียกหลวงพ่อชุ่มว่า ?หลวงน้า? ตอนหลวงพ่อเงินเป็นเด็ก ได้มาเป็นศิษย์หลวงพ่อชุ่มที่วัดท่ามะเดื่อ และได้บวชเณรที่วัดนี้ เล่าเรียนเขียนอ่านอักขระอักษรไทยจนแตกฉาน เมื่ออายุครบบวช ได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่วัดท่ามะเดื่อ แห่งนี้เช่นกัน

                เรื่องควายธนู ที่เกี่ยวข้องกับหลวงพ่อชุ่ม  มีเหตุมาจากท่าน ไปดูแลบ้านน้องสาวของท่านที่ดอนยายหอม  จังหวัดนครปฐม  ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาเกี่ยวข้าว  สามีน้องสาวของหลวงพ่อชุ่มไปช่วยเกี่ยวข้าวที่บ้านแพ้ว  การทำนาสมัยก่อน ถ้าเป็นงานที่ต้องใช้คนมาก เพื่อให้งานนั้นเสร็จสิ้นในเวลาอันจำกัด เช่น ดำนา เกี่ยวข้าว เพื่อนบ้านญาติพี่น้อง ซึ่งเป็นวงศาคณาญาติ จะไปช่วยกันทั้งหมด เรียกว่า ?ลงแขก? เป็นการเอาแรงงานไปช่วยกัน โดยไม่ต้องเสียค่าจ้าง การลงแขกแบบนี้ จะหมุนเวียนเปลี่ยนกันไป



                เมื่อสามีน้องสาวหลวงพ่อชุ่ม ไปช่วยลงแขกที่บ้านแพ้ว  จึงต้องทิ้งเมียเฝ้าบ้านคนเดียว  อันที่จริง การอยู่บ้านคนเดียวไม่มีอันตรายใด ๆ  เพราะมีเพื่อนบ้าน และ ญาติพี่น้อง ซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้ ๆ กันคอยดูแล  แต่คราวนี้ไม่ทราบว่า หลวงพ่อชุ่มรู้ได้อย่างไรว่า น้องสาวอยู่บ้านคนเดียว และจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น  ท่านจึงได้เดินทางจากวัดท่ามะเดื่อ อำเภอบ้านโป่ง ไปยังดอนยายหอม โดยพาหลวงพ่อเงิน ซึ่งขณะนั้นเป็นสามเณรไปด้วย

                ไปถึงบ้านน้องสาวเป็นเวลาเย็นมากแล้ว  น้องสาวคิดไม่ถึงว่า หลวงพ่อชุ่มจะมาเยี่ยม  จึงรีบนิมนต์หลวงพี่ให้ขึ้นไปบนบ้าน  จัดที่อันเหมาะสมให้ท่านนั่งพักผ่อน  หลวงพ่อชุ่มบอกน้องสาวว่า  คืนนี้ จะพักที่บ้านสักคืนหนึ่ง  น้องสาวจึงได้จัดห้องให้ท่านพัก พร้อมสามเณรเงิน

                เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ  หลวงพ่อชุ่มได้ล้วงเอาสิ่งหนึ่งออกมาจากย่าม  เป็นรูปควายตัวเล็ก ๆ สานจากตอกไม้ไผ่หยาบ ๆ ท่านบอกกับสามเณรเงินว่า นี่คือ ?ควายธนู? และสั่งให้นำไปวางที่โคนต้นมะม่วง ใกล้ ๆ กับ คอกควาย แล้วเรียกน้องสาวมาหา สั่งกำชับว่า หลังจากตะวันตกดินไปแล้ว ห้ามไม่ให้ตัวน้องสาว กับพวกลูก ๆ ลงจากเรือนอย่างเด็ดขาด และหากมีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นข้างนอกบ้าน อย่าเปิดประตูบ้านลงไปดู ท่านบอกเพียงแค่นั้น ก็ไม่พูดอะไรอีก

                คืนนั้นเป็นคืนข้างขึ้น  เดือนหงายส่องสว่างไปทั่ว  หลวงพ่อชุ่ม และ สามเณรเงิน เข้าห้องจำวัด  ส่วนน้องสาก็พาลูก ๆ เข้านอนอีกห้องหนึ่ง  เวลาผ่านไปจนล่วงเข้ายามดึก  ทุกคนในตำบลดอนยายหอม ต่างพากันหลับสนิทนิทรา  ที่กอไผ่ด้าน หลังเขตบ้านน้องสาวหลวงพ่อชุ่ม  มีชายฉกรรจ์สามคน เข้ามาแอบซุ่มอยู่อย่างเงียบ ๆ สามคนนี้ คือ มิจฉาชีพ เป็นโจรลักขโมยควาย  พวกมันสืบรู้ว่า น้องสาวหลวงพ่อชุ่มเฝ้าบ้านอยู่คนเดียว กับลูกเล็ก ๆ จึงฉวยโอกาสจะลอบเข้ามาขโมยควาย เมื่อเห็นว่าคนในบ้านหลับสนิทดีแล้ว  จึงย่องเข้าไปที่คอกควาย  ตั้งใจจะเปิดคอกจูงเอาควายไปให้หมดทุกตัว

                แต่พอเข้าไปใกล้ต้นมะม่วง  พวกมันก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริด  เมื่อเห็นควายตัวใหญ่มหึมา ยืนจังก้าขวางทาง  นัยน์ตาแดงโชน เหมือนลุกเป็นไฟ

                ไม่ทันพวกหัวขโมยจะทันตั้งสติ  ควายตัวนั้นก็ทะยานเข้ามาหา  สามวายร้ายเผ่นกระเจิงวิ่งหนีไม่คิดชีวิต  โดยมีควายธนูตามขวิดไปติด ๆ  แต่ละคนลืมหมดว่า ที่ตัวเองบุกรุกเข้ามาในบ้านผู้อื่นด้วยเจตนาทุจริต  แหกปากร้องให้คนช่วยเสียงลั่น พร้อมกับซอยเท้าวิ่งหนีไม่คิดชีวิต

                ขณะที่พวกลักขโมย ตะโกนโวย ๆ และวิ่งไปรอบบ้าน  สามเณรเงินได้ลุกขึ้นมามองที่หน้าต่าง  เห็นควายตัวมหึมา วิ่งไล่สามวายร้าย ชนิดหวิด ๆ จะทันถึงตัว พร้อมกันนั้น บ้านใกล้เรือนเคียงซึ่งอยู่ติด ๆ กัน ได้ยินเสียงพวกขโมยตะโกนโหวกเหวกดังลั่น จึงจุดตะเกียง เพื่อออกมาดูว่า มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น

                พวกขโมยเห็นชาวบ้านตื่นกันหมดแทบทั้งหมู่บ้าน  ก็กลัวทั้งควาย และ ชาวบ้าน จึงพากันวิ่งเตลิดเปิดเปิงออกทุ่งไป  เมื่อไอ้พวกวายร้ายออกพ้นเขตบ้าน  ควายธนูก็หายวับไป

                เช้าวันรุ่งขึ้น  หลวงพ่อชุ่ม บอกให้สามเณรเงิน ลงไปเก็บควายธนูของท่านกลับมา  สามเณรเงินไปเจอควายธนูวางอยู่ข้างกอไผ่หลังบ้าน  แสดงว่า สิ่งที่ตนเห็นเมื่อตอนดึกที่ผ่านมา คือ ควายตัวใหญ่ วิ่งไล่พวกขโมยเป็นความจริงทั้งสิ้น ไม่ใช่ตาฝาดไปอย่างแน่นอน และทำให้เกิดความเคารพนับถือหลวงน้า หรือ หลวงพ่อชุ่ม เป็นทวีคูณ

                หลังจากฉันเช้าแล้ว หลวงพ่อชุ่มก็พาสามเณรเงินกลับวัดท่ามะเดื่อ  ก่อนจะกลับ ท่านได้มอบควายธนูให้กับน้องสาว และสั่งว่า เมื่อถึงตอนกลางคืน ให้นำควายธนูไปไว้ใกล้ ๆ คอกควาย และห้ามลงจากบ้านเป็นอันขาด เพราะควายธนูจะเข้าใจผิด คิดว่าเป็นคนร้าย อาจทำอันตรายได้ เมื่อสามีกลับมา ก็ให้ปฏิบัติตามที่ท่านสั่งไว้ด้วย  แต่ท่านเชื่อว่า พวกหัวขโมย คงไม่กล้าเข้ามาลักขโมยควายอีกแล้ว เพราะเท่าที่มันเจอควายธนูครั้งเดียว ก็คงจะเข็ดหลาบไปจนตายแน่

                นี่คือเรื่องควายธนู ของหลวงพ่อชุ่ม  จันทโชติ วัดท่ามะเดื่อ (วัดอุทุมพรทาราม) อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี  หลวงพ่อชุ่ม ละสังขารไปในปี พ.ศ. ๒๔๖๕ และ หลวงพ่อเงิน ได้ออกจากวัดท่ามะเดื่อ ในปีนั้นเช่นกัน

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้