ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ หลวงพ่อจง พุทฺธสโร วัดหน้าต่างนอก ~

[คัดลอกลิงก์]
21#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-4-17 08:20 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ท่านถามว่า " ...เจอะนักเลงโตเข้ารึ...?"
ก็ถามว่าอะไรล่ะขอรับหลวงพ่อ ท่านก็ว่าเมื่อกี้เธอไปส้วมได้ยินเสียงผู้หญิงร้องใช่ไหม ก็กราบเรียนท่านว่าใช่ ท่านก็เลยบอกว่า ไม่ใช่คนหรอก นางไม้ ถามว่าหลวงพ่อทราบได้อย่างไรขอรับ เพราะกุฏิหลังนั้นอยู่ห่างไปสัก ๒๐ วา แล้วเสียงร้องครวญครางก็ไม่ดังนัก หลวงพ่อท่านก็บอกว่า ฉันรู้ รู้ตั้งแต่เธอเดินไปแล้วว่าเวลาขากลับเขาจะแกล้งร้อง ถามว่าเขาร้องทำไม บอกเขาแกล้งร้องหลอกเธอน่ะซิ แล้วถามถึงความประสงค์ ท่านบอกว่า ไม่ใช่อะไรหรอก เพราะเขารู้ว่าเธอไม่กลัวผี ก็เลยถามว่าผู้หญิงคนนั้นเขาเป็นอะไร ท่านก็เลยบอกว่าผู้หญิงคนนั้นเขาอยู่ที่กุฏินั้น ฉันดูแล้วเพราะเห็นเสาตกน้ำมัน เสาด้านทิศตะวันออกมุมด้านทิศเหนือนั่นละนะ แต่อยู่แถบตะวันออก เป็นเสาตกน้ำมัน เมื่อทราบแล้วก็มานอนกัน ต่างคนต่างนอน ตอนเช้าก็ถึงเวลาฉันเช้า

ถามเจ้าอาวาสว่า "...กุฏิมีใครอยู่หรือเปล่า...?"
ท่านก็ตอบว่า "...ไม่มีใครอยู่หรอกขอรับ ทั้งนี้เพราะกุฏิหลังนั้นมีเสาตกน้ำมัน ใครอยู่ไม่ได้ พระองค์ไหนก็อยู่ไม่ได้ ถูกหลอกเสียจนอยู่ไม่ได้..."

อิทธิเครื่องมงคล


         หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก  ได้สร้างอิทธิเครื่องมงคลไว้มากมายหลายชนิด  มีทั้งเหรียญ  ผ้ายันต์  ตะกรุด  แผ่นยันต์มหาลาภ และกันไฟ ดังนี้

         1. เสื้อยันต์แดง  เสื้อยันต์ของท่านมีชื่อเสียงมาก   เมื่อครั้งสงครามอินโดจีน  ท่านได้สร้างขึ้นไว้แจกแก่ทหารที่ออกสู่สมรภูมิ  ในคราวสงครามโลกครั้งที่สองเช่นกัน เสื้อยันต์ของท่าน ได้ปรากฎเกียรติคุณในสนามรบมาแล้วอย่างโด่งดัง  จนกิตติศัพท์แพร่หลายไปทั่วประเทศ และด้วยเหตุนี้  จึงมีประชาชนพากันหลั่งไหลไปรับแจกที่วัดหน้าต่างนอก ตลอดระยะเวลาที่เกิดสงครามอย่างไม่ขาดสาย

         2. ผ้ายันต์สิงห์มหาอำนาจ  สร้างกันมาแต่สงครามโลกครั้งที่สอง  และสร้างต่อมาอีกหลายรุ่น  ผ้ายันต์ของท่านนี้มีคุณวิเศษครบเครื่อง  ใช้ได้สารพัด ไม่ว่าคลาดแคล้ว  คงกระพัน  และทางด้านโชคลาภ  เป็นต้น

     ประสบการณ์จากทหารและตำรวจชายแดนหลายท่านยืนยันว่า  ผ้ายันต์ของหลวงพ่อจงเป็นมหาอุดชั้นหนึ่ง
22#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-4-17 08:20 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
3. แผ่นยันต์  พิมพ์ด้วยกระดาษสองสี  คือตัวยันต์และตัวหนังสือเป็นสีดำ รูปหลวงพ่อบริเวณจีวรพิมพ์ด้วยสีเหลือง แผ่นยันต์นี้สร้างครั้งแรกในปี พ.ศ.2490  เมื่อคราวสร้างเจดีย์ข้าวเปลือก  หลวงพ่อท่านสร้างแจกเป็นที่ระลึกแก่ผู้ที่จะมาร่วมงาน ปรากฎว่าแผ่นยันต์นี้ อำนวยโชคลาภแก่เจ้าของบ้านที่นำไปบูชา  ท่านจึงสร้างแจกอีกต่อมาหลายรุ่น  บางรุ่นเป็นสีเดียว  เช่น  สีฟ้า  สีดำ  แผ่นยันต์นี้นิยมกันมากเมื่อหลังสงครามโลกสงบ ๆ ใหม่ ๆ  เพราะนอกจากจะอำนวยโชคลาภดังกล่าวแล้ว  ยังป้องกันไฟไหม้ได้ชะงัดนัก

         4.  ปลาตะเพียนเงิน-ตะเพียนทอง  ปลานี้หลวงพ่อจงท่านสร้างเป็นคู่ ตัวเมียกับตัวผู้  เดินอักขระขอม ปั๊มนูนไม่เหมือนกัน  ท่านสร้างเมื่อปี พ.ศ.2490 เศษ ๆ ได้มีผู้เคยพบปลาตะเพียนคู่นี้ในกุฎิท่านเจ้าคุณศรี (สนธิ์)  วัดสุทัศนฯ ซึ่งท่านมรณภาพเมื่อปี  พ.ศ.2495  เข้าใจว่า หลวงพ่อจงมอบให้แก่ท่านเจ้าคุณโดยเฉพาะ ปลาตะเพียนคู่  เป็นเครื่องรางที่ชาวจีนนับถือกันอย่างมากมายมาช้านาน เครื่องถ้วยชามของชาวจีนเก่า ๆ มักจะทำเป็นปลากลับหัว  อันหมายถึง บ่อเกิดของชีวิตแห่งโชคลาภ  การปลุกเสกปลาตะเพียนของหลวงพ่อจงนี้  ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน  กล่าวคือ ท่านปลุกเสกแล้วให้ลูกศิษย์ปล่อยลงที่ท่าน้ำหน้าวัดคู่หนึ่ง ปรากฎว่า  ปลาตะเพียนที่เป็นโลหะตั้งตัวตรงแบบปลาจริง ๆ และไม่จมน้ำด้วย   และที่น่าประหลาดไปกว่านั้นก็คือ  ปลาตะเพียนของหลวงพ่อจง ลอยทวนน้ำ ไม่ใช่ลอยตามน้ำ  และเป็นที่ร่ำลือกันว่า  ปลาตะเพียนของท่านว่ายน้ำได้


ทุกงานพิธี


         เนื่องจากคุณธรรมอันวิเศษที่หาได้ยากของหลวงพ่อจง  มีกิตติศัพท์แพร่หลายออกไปอย่างกว้างขวาง  งานปลุกเสกเครื่องมงคลในกรุงเทพที่ใหญ่ ๆ ทุกงาน  หลวงพ่อจงจะต้องได้รับนิมนต์มาร่วมพิธีด้วยทุกครั้งไป  และถือว่าเป็นพระเถราจารย์ที่ขาดเสียมิได้ ด้วยคุณธรรมอันสูงส่งของท่านดังนี้  วิทยาคมที่ปรากฎชัดส่วนมากคือ แคล้วคลาด  คงกระพัน เมตตามหานิยม และมหาลาภ แม้กระทั่งสมเด็จพระสังฆราช (แพ)  จะสร้างเครื่องมงคลครั้งใด  ก็ต้องมีบัญชาให้ท่านเจ้าคุณศรี (สนธิ์) นิมนต์หลวงพ่อจงมาร่วมปลุกเสกด้วยทุกครั้งไปมิเคยขาด
23#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-4-17 08:21 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
มนต์กำกับ

วิธีใช้พระเวทย์ปลุกเสกเตือนอาคม (กับ) นับถือบูชาพระในวิธีถูกต้อง
บรรดาเรื่องราวเกี่ยวกับการแสดงออกซึ่งพลังพิสดารกลายเป็นคำเลื่องลือนับถือในอานุภาพนาประการ ของหลวงพ่อจงอย่างไรก็ตามที เมื่อมีบุคคลเชื่อ บุคคลผู้ปราศจากเชื่อก็คงต้องมีควบคู่กันไป ดุจมีดำต้องมีขาวไม่มีปัญหา และจะวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างไรก็ปราศจากข้อพิสูจน์อำนาจลึกลับที่ (อาจ) มีขึ้นจริง ในเหล่าคนผู้ไม่ศรัทธาก็ไม่เชื่อเป็นธรรมดา
เมื่อราวปลายปีพ.ศ.2506 ได้มีผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นขึ้นว่า หลวงพ่อจงก็มีอายุมากแล้ว เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดาจะต้องมีมาสู่ท่าน และขณะนั้นท่านก็มักมีกิจเป็นห่วงอย่างเดียว คือประสงค์จะสร้างเขื่อนกั้นน้ำบริเวณริมหน้าวัดหน้าต่างใน ด้านนอกของวัดหน้าต่างนอกของท่าน กับบูรณปฏิสังขรณ์โบสถ์ที่เกือบใช้การไม่ได้ให้มีสภาพดีขึ้นจนใช้การได้ไปก่อน โดยมิใช่คิดสร้างใหม่เป็นเงินล้านอย่างเขาอื่น กับสร้างหอระฆังให้มีสภาพโอ่อ่าขึ้น เพราะสิ่งเหล่านี้บ้างบกพร่อง บ้างมิมีโอกาสสร้างไว้ก่อน ทั้งที่เป็นเรื่องภายในวัดของท่าน มัวแต่ใช้เวลาไปวุ่นวายช่วยธุรกิจของผู้อื่น และที่สำคัญที่สุดไม่กล้าและไม่พึงใจจะออกปากรบกวนชวนเชิญใครให้เขาทำบุญ เพราะถือว่าการทำบุญไม่ต้องเชิญชวน มันแล้วแต่จิตใจของผู้จะทำด้วยศรัทธาแค่ไหน โดยความนึกคิดของเขาเองเป็นสำคัญ จึงพากันเสมอข้อคิดเห็นว่า สมควรสร้างรูปเป็นรูปปั้นของท่านขึ้น และสร้างหนังสือประวัติของท่านขึ้น เขียนทุกสิ่งเกี่ยวกับท่านด้วยความเที่ยงธรรมและเป็นข้อเท็จจริง ทั้งสองสิ่งนี้สืบไปเบื้องหน้า หากใครเขานับถือเคารพมีศรัทธาตัวท่านจริงจังมิเสื่อมคลาย เขาก็จะได้หาไปไว้บูชาสักการะแทนตัวจริงของท่าน ซึ่งเงินรายได้เหล่านั้นก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่อาจรวบรวมสมทบเข้าเป็นกองทุนดำเนินการสร้างสรรค์งานสามประการ เขื่อนกั้นน้ำ บูรณปฏิสังขรณ์โบสถ์สร้างหอระฆังให้สำเร็จบริบูรณ์ลุล่วงผลตามปรารถนาของหลวงพ่อจงซึ่งท่านมีประสงค์ต้องการกระทำอย่างแรงกล้าก่อนมรณภาพ และสิ่งนี้แม้ท่านมิได้แสดงเป็นห่วง... แต่แน่ละท่านไม่ชอบรบกวนใคร ท่านคงจะคิดถึงมันและมันอาจเป็นอารมณ์รบกวนท่านในเฮีอกท้าของลมปราณมรณะบ้างก็ได้ ฉะนั้นความสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้จนเป็นผลสำเร็จ แม้หลวงพ่อจงจะสถิตย์อยู่ในภพใด แม้นวิญญาณของท่านรับทราบถึงบรรดา เจตนาดีที่มีผู้ต่อท่านกระทำต่อท่านเพื่อท่านในปัจจุบัน อนาคต ทั้งที่ไม่มีท่านเป็นตัวตนอยู่ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของท่านก็คงจะประสบปิติสุขเกษมสันต์สำราญอย่างอเนกอนันต์กาล
24#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-4-17 08:21 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เคยมีผู้ทำหนังสืออย่างย่อ ๆ แจกเป็นที่ระลึกในงานพิธีศพของท่านแต่ก็พิมพ์จำนวนจำกัดและแจกจ่ายไปหมดสิ้น ไม่พอกับจำนวนนับหมื่นแสนที่ต้องการทราบประวัติละเอียด และต้องการได้ไว้ เป็นเครื่องรำลึกบูชาคุณของท่านที่มีต่อสรรพสัตว์ไม่เลือกหน้า เพราะทุกคนยังรำลึกถึงพระเดชพระคุณของท่านมิมีวันลืมเลือนโดยง่าย
สำหรับรูปปั้น เคยมีศิลปินรับอาสาไปสร้าง เขาคือ ชาญ สารพุทธิ อาจารย์ศิลปชั้นเอกจากเพาะช่าง
หลวงพ่อจง พอใจรูปปั้นนั้นมาก เพราะเคยมีผู้ปั้นไปให้ท่านดู ท่านดูไปดูมาแล้วหัวร่อ บอกว่าไม่เหมือนไม่รู้ใคร คนอื่นไม่รู้จักหรือแม้ที่รู้จัก ก็คงจะยิ่งฉงนกันมาก... แต่เมื่อเป็นรูป โดย ชาญ สารพุทธิปั้น ท่านบอกว่า นี่เอง... จึงจะเป็นอาตมาได้อย่างคล้ายคลึงพอดูได้...
จากนั้น ท่านได้ทำพิธีปลุกเสกรูปปั้นของท่านแทบทุกเช้าค่ำเวลาทำวัตรในเมื่อมีโอกาสเวลาไม่ต้องเดินทางไปที่อื่นใด และต่อมา ท่านได้ปลุกเสกเถ้าธูปเทียน ดอกไม้บูชาแห้ง และผมปลงของท่าน รวมส่งให้ศิลปินชาญ เพื่อใช้ผสมผงสร้างรูปปั้นอีกมาก หากใครผู้ใดมีรูปปั้นของท่านไว้บูชาและอาราธนาถูกวิธี จะบันดาลให้บังเกิดผลในอานุภาพศักดิ์สิทธิ์มหาศาลเป็นอัศจรรย์ อาทิ
เป็นมหาเมตตา มหานิยม มหาลาภ คงกระพันชาตรีและแคล้วคลาด
สะบัด "ปัด" อัคคี ป้องกันฟืนไฟรังควานและระงับดับจิต ตลอดจนความร้อนอกใจนานาประการปราศจากศัตรูผู้คิดบีฑาทำร้าย
สำหรับพิธีบูชาหลวงพ่อจง คือ ใช้ธูปเจ็ดดอก เทียน และดอกไม้หอม กระทำบูชา อธิษฐานรำลึกถึงหลวงพ่อจง อาราธนาขอให้ท่านแผ่อิทธิบารมีปกป้องบังเกิดคุณตามเจตจำนง ซึ่งอธิษฐาน หมั่นทำเช่นนี้จะไม่ผิดหวัง มักได้ผลดีมาก
บรรดาเครื่องรางของขลังของหลวงพ่อจงมีมากชนิด ท่านสร้างและปลุกเสกไว้เป็นจำนวนมาก แต่ก็มักหมดสิ้นไปโดยรวดเร็ว เพราะมีผู้แสวงหากันไว้มาก เพียงท่านเดินทางเข้ากรุงเทพฯ หรือ ต่างจังหวัดในเวลาวันสองวัน เครื่องรางของขลังซึ่งบรรดาศิษย์และผู้ติดตามเอาติดไปมักไม่ใคร่พอจ่ายแจกประชาชนทุกแห่ง เพราะพอรู้ว่าหลวงพ่อจงไปอยู่ที่ใด มักจะแห่กันเข้าหานมัสการอย่างคับคั่งเสมอไป
ต่อไปนี้เป็นคำเฉลยอรรถาธิบายวิธีอาราธนาปลุกเสกอธิษฐาน การใช้เครื่องรางของขลังต่าง ๆ (ซึ่งเวลานี้ของแท้หายากอยู่เหมือนกัน แต่ที่มีอยู่แล้วก็มีเป็นจำนวนแสน ๆ ล้าน ๆ)...แต่อย่างไรก็ดี ก็ใช้ได้กับรูปปั้นและรูปบูชาด้วย... ให้สวดภาวนาอธิษฐานดังนี้
ตั้ง นะโมสามจบ
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
ธรรมมัง สรณัง คัจฉามิ
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
ต่อจากนี้ สวดบทอิติปิโส อีกสามจบ แล้วจึงตั้งบทว่า
พุทธัง อาราธนานัง
ธรรมมัง อาราธนานัง
สังฆัง อาราธนานัง
จึงอธิษฐานดังนี้ ต่อไป
25#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-4-17 08:21 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์เจ้า และหลวงพ่อจง (พุทธสโร)... และถ้ามีเสื้อยันต์ ตะกรุดโทน ตะกรุดชุด 16 ดอก และของอื่น ๆ ให้ระบุชื่อของนั้น ๆ เวลารำลึกใช้
จงดลบันดาลให้ข้าพระพุทธเจ้า จงประสบความเป็นผู้คงกระพันชาตรี แคล้วคลาดจากมหาอำนาจร้ายสรรพโพยภัยภยันอันตรายไม่ให้เข้าใกล้ทำร้าย และจงบังเกิดเป็นมหาเสน่ห์ มหานิยม จิตคิดเมตตาจากจิตใจผู้อื่นพึงมีต่อข้าพระพุทธเจ้า โดยอำนาจบารมีของพระคุณเจ้าที่ข้าพระพุทธเจ้าน้อมรำลึกบูชาโดยบริสุทธิ์ใจ ขออาราธนาจงดลบันดาลให้บังเกิดผลเป็นไปดังอธิษฐาน โดยพลันทันที
หากมีเหตุฉุกเฉิน ให้รีบอธิษฐานภาวนา ดังนี้
พุทธังรักษา ธัมมังรักษา สังฆังรักษา พระบิดารักษา พระมารดารักษา พระอินทร์รักษา พระพรหมรักษา พระครูบาอาจารย์รักษา อิมังอังคพัน ธนังอธิถามิ
แล้วปลุกเสกต่อไป ดังนี้
อิติสุคโต อุสุวิหิสุ พุทธะสังมิ มออุ อุกันหะเนหะ อุตะธัง โธอุตะ ธังอะตะ หังระอะ อะนะปัสสะ
(ภาวนาทบทวน ตั้งแต่ 3 ถึง 7 จบ)
การใช้คำอธิษฐานภาวนาบทปลุกเสก ต้องจำให้แม่นยำคล่องแคล่วตึ้งจิตคิดรำลึกถึงพระบารมีคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และท่านอาจารย์หลวงพ่อจงโดยแน่วแน่
หากใช้ตะกรุดโทน (มหารูดมงคลชาตรี) หรือใช้ตะกรุดชุด 16 ดอกติดตัวไป เมื่อจะเข้าโรมรันรบประจันบาน ให้เอามือรูดพระตะกรุดไว้เบื้องหน้าสะดือ จะแคล้วคลาดคงทนต่อปืนผาหน้าไม้ สรรพสาตราวุธ แหลนหลาว หอกดาบ ขวากหนาม ของแหลมของคมทุกชนิด แต่ยามคิดหนีศัตรู ให้รูดพระตะกรุดไว้เบื้องหลัง จะแคล้วคลาดอันตราย ไม่มีผู้ติดตามทำร้าย หรือไม่ขัดขวาง แม้จะไล่ติดตามก็ให้มีเหตุไล่ไม่ได้ไล่ไม่ทัน
แต่ถ้าจะใช้เข้าหาเจ้านายผู้ใหญ่ ท้าวพระยาผู้มีอำนาจบารมียิ่งใหญ่ให้รูปพระตะกรุดทั้งสองประเภทที่มีอยู่อย่างใดอย่างหนึ่ง รูดไปเบื้องขวาตน ถ้าเข้าหาท้าวพระยากษัตริย์หรือนางผู้สูงศักดิ์ ให้รูดไปเบื้องซ้าย
ถ้าจะทำการแข่งขัน แข่งเรือ แข่งม้า วัวควาย วิ่งแข่ง ตอนจะเริ่มออกแข่งขัน ให้ภาวนารูดพระตะกรุดไว้ใต้สะดือ แลเมื่อสามารถออกเลยล้ำหน้าเขาไปแล้ว จึงรูดพระตะกรุดกลับไปไว้เบื้องหลัง คู่แข่งขันจะไม่มีโอกาสไล่ตามทัน
ผู้ใดหมั่นบูชาหลวงพ่อจง (พุทธัสสโร) และบรรดาเครื่องรางของขลังซึ่งตนมีศรัทธาเลื่อมใสเชื่อมั่นในพระคุณอิทธิบารมีของท่าน ซึ่งมีได้แก่
26#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-4-17 08:22 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เสื้อพระยันต์ราชสีห์มหาอำนาจ (สีแดง) คงกระพันชาตรี
พระเครื่อง ทุ่งเศรษฐี (ดำใหญ่ และ แดงเล็ก)
พระยันต์มหาอำนาจ (มหานิยมแคล้วคลาด)
พระตะกรุดชุด 16 ดอก (แคล้วคลาด คงกระพัน เมตตา มหานิยม มหาเสน่ห์ มหาลาภ)
ธนบัตรขวัญถุง (เรียกเงินตราไหลมาเทมาหา)
พระตะกรุดโทน (เช่นเดียวกับพระตะกรุดชุด 16 ดอก แต่มีอิทธิบารมีแก่กล้าทางคงกระพัน ค่าพันตำลึงทอง)
รูปปั้น (หล่อ) ของหลวงพ่อจงเอง
พระยันต์ต่าง ๆ เขียนลงบนผืนผ้าขาว
เหรียญกลมรูปหลวงพ่อจง (สำหรับเด็ก)
ลักยม (เมตตา มหานิยม มหาเสน่ห์)
ยันต์พระฉิม (มหาลาภ ค้าขายเป็นมหานิยม)
โดยเฉพาะ พระยันต์ พระตะกรุด หากใช้ในการเดินทางและบังเกิดเมื่อยล้า หรือเกรงว่าจะเหน็ดเหนื่อยจะปลุกเสกภาวนาป้องกันเสียก่อนก็ได้ โดยทำพิธีภาวนาอธิษฐานปลุกดังข้างต้นแล้ว ให้ยกมืออธิษฐานเสกซ้ำต่อไปอีกว่า
เศกขาธัมมา อเศกขาธัมมา เนวเศกขาธัมมา ธัมมาเศกขาธัมมา จากนี้เอามือลูกแข้งขามือและร่างกายให้ทั่ว ให้คิดเชื่อว่าต่อไปนี้ตัวเราเดินวิ่งเท่าไร ๆ เป็นไม่มีเมื่อย ไม่มีเหนื่อยอีกแล้วอย่างเด็ดขาด
27#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-4-17 08:22 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เหนือยอดฉัตร


         มีเรื่องเล่าลือกันมาเรื่องหนึ่งซึ่งพูดถึงกันมาก  เรื่องมีว่า ครั้งหนึ่ง ณ ตำบลบางช้าง  บรรดาเกจิอาจารย์มากหลาย  มีท่านโอภาสี หลวงพ่อแช่ม หลวงพ่อปาน  หลวงพ่อเจิ่น  ท่านพระอาจารย์ฟ้อน  หลวงพ่อเดิม  หลวงพ่อเงิน และหลวงพ่อจง ฯลฯ  ได้รับนิมนต์ไปร่วมพิธีสงฆ์ ในงานพิธีนั้นเขาได้เอาไม้ไผ่มาจักตอกสลับเป็นรูปฉัตรเจ็ดชั้น  รูปลักษณ์คล้ายเจดีย์ยอดสูงเรียว  สูงราวสักสองวาเห็นจะได้ เจ้าของบ้านผู้นิมนต์พระสงฆ์ไป  ได้เกิดกระทำพิธีขึ้นอย่างหนึ่ง  แล้วอาราธนาขอให้เหล่าเกจิอาจารย์ปีนขึ้นไปบนยอดฉัตร  ถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งสวรรค์มาประทานพรให้เจ้าของพิธี อันนี้จะเป็นกิจของสงฆ์หรือไม่อย่างไร  เมื่อเขาอาราธนานิมนต์ สงฆ์เหล่านั้นท่านก็อีหลักอีเหลื่อ แต่บางองค์เห็นว่าจะกระทำมิได้ เพราะไม่ไผ่สานถักเป็นรูปฉัตรสูงตั้งสองวานั้นมีลักษณะแบบบาง  ตามรูร่องที่ทำไว้ให้เหยียบไม่มั่นคง  อาจงอหักหรือล่มล้มลงมา มีอันตรายโดยง่ายด้วย

         ซึ่งต่างองค์ต่างก็ปฏิเสธ  มีหลวงพ่อเดิมเห็นว่าควรรับนิมนต์ ไม่ควรขัดอัธยาศัยของเจ้าของบ้าน  แต่ดูเหมือนติดจะคิดลองดีหลวงพ่อจง  ซึ่งขณะนั้นต่างมีชื่อโด่งดังในทางคล้ายคลึงกัน  พร้อมกับถามหลวงพ่อจงว่า “หากท่านเห็นด้วย  เราทั้งสองควรรับนิมนต์เป็นผู้แทนสงฆ์อื่นเสียด้วยก็จะดี   จะได้เสร็จกิจไป  เพราะเคยได้ยินว่าท่านก็มีพลังจิตในทางทำตัวเบาเยี่ยม”
พลางก็ชี้ฉัตรด้านข้างเป็นสัญญานว่าให้หลวงพ่อจงไปที่นั่น  ส่วนหลวงพ่อเดิมเอง ยึดเอาฉัตรที่ตั้งตรงหน้าตั้งท่าป่ายปีนขึ้นไป
ควรทราบเสียก่อนว่า  อันฉัตรที่ทำด้วยไผ่สานนี้ไม่มีที่เกาะจับ  แม้จะสอดเท้าเข้ารูที่เว้นเป็นช่องไว้ก็จะสอดเข้าได้เพียงปลายนิ้วเท้าเท่านั้น ฝ่ายหลวงพ่อจงไม่ว่าอะไร หัวร่อ หึ หึ หึ  ออกเดินดุ่มไปหาฉัตรที่ห่างออกไปราวสามวาทันที

         หลวงพ่อเดิมสอดปลายเท้าเข้ารู มือเพียงแตะฉัตรก้าวอย่างแผ่วเบาปราดขึ้นไปท่ามกลางผู้คนรอบ ๆ ชะเง้อมองอย่างตื่นเต้น  พลางปรายตามองดูหลวงพ่อจง แต่แล้วก็ต้องตะลึง เพราะหลวงพ่อเดิมขึ้นไปได้ราวห้าศอก  หลวงพ่อจงขึ้นไปยืนคร่อมยอดฉัตรซะแล้ว
28#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-4-17 08:23 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ดับไฟป่า


         เรื่องราวเกี่ยวกับความเก่งกาจ  แผลง ๆ ซึ่งบุคคลและสงฆ์อื่นยากจะทำได้  ยังมีเรื่องพิลึกพิลั่นมาเล่าลือสืบเนื่องกันอีกมาก หลายกระทงความ ครั้งหนึ่งหลวงพ่อจง ท่านไปปัตตานี  และสงขลา  ตามคำอาราธนาให้ไปประกอบพิธีมงคลทางพุทธศาสนา  มีกลุ่มคนนอกศาสนาสติไม่ใคร่เรียบร้อย  มักชอบตลบตะแลงลิ้นพ่นหาว่าพระสงฆ์ไทยไม่ดีจริงไม่เก่งจริง  (ไม่รู้วาในทางใด  แต่สันนิษฐานว่าคงจะเป็นในทางสำแดงอิทธิพลอย่างใดอย่างหนึ่ง)  กล่าวท้าทายกระทำว้าวุ่นหลายครั้งครา ต่อภิกษุสงฆ์ไทยหลายองค์ วันที่เกิดกรณีนี้  พอดีหลวงพ่อจง ต้องเดินทางผ่านสวนยางพาราของเขาไป ซึ่งไม่ห่างจากบริเวณทางที่รถกำลังจะต้องหยุด  เห็นมีไฟป่าลุกลามปามเข้าหาสวนยางกำลังคุโชนระบาด  ส่วนตัวมนุษย์นอกศาสนานั้นก็เดินทางไปในรถโดยสาร  (รถขนหินของกรมทางฯ)  ขบวนนั้นไปด้วย เขาร้องเอ็ดตะโรและคร่ำครวญต่าง ๆ นานา ว่าฉิบหายแล้ว ฉิบหายแน่

         หลวงพ่อจง เห็นเป็นการน่าเวทนา  จึงพูดว่า  ไม่ฉิบหายน่า  พูดแล้วท่านก็ปีนขึ้นไปขนยอดกอไผ่จีนข้างที่ทำการกรมทาง  เอายอดไผ่มาอมในปาก สะบัดไปแล้วร้อง ดับ..ดับ...ดับ..  ซึ่งอีกสิบนาทีต่อมา  ไฟป่าก็ดับโดยอัศจรรย์  ทำให้มนุษย์นอกศาสนาตะลึงจังงัง และแต่นั้นมา หมอนั่นไม่กล้ากระทำวุ่นวาย ท้าทายใครต่อใครในพุทธศาสนาอย่างคนปากพล่อยสามหาวอีก  พร้อมทั้งมีจิตใจหันไปเคารพศรัทธาเลื่อมใสต่อภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่งสืบไปในระยะหลังของชีวิต
29#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-4-17 08:24 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สอนสั่งครั้งสุดท้าย


         ครั้นต่อมาในวันที่ 14  มกราคม  พ.ศ.2508  หลวงพ่อจงได้ล้มป่วยลงเป็นอัมพาตทางด้านขวาของร่างกายหมดความรู้สึก  แต่ใบหน้าของท่านยังอิ่มเอิบ  ผิวพรรณผ่องใสมาก  ท่านมีอาการยิ้มแย้มเหมือนไม่รับทราบความเจ็บป่วยนั้น ลูกศิษย์ลูกหาพากันห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง  ได้ตามนายแพทย์จากกรุงเทพฯไปรักษา  ท่านพยายามห้ามปรามอย่างไรก็ไม่เป็นผล  ท่านบอกแก่ลูกศิษย์ว่า “ตามหมอมาก็ไม่มีประโยชน์  ป่วยคราวนี้ไม่มีวันหาย  อย่าห่วงเลยนะ  มันจะเจ็บ  มันจะป่วย  มันจะตาย  ไปห้ามมันไม่ได้ ลูก ๆ  ทุกคนจงจำไว้  เวลาจะเจ็บ เวลาจะป่วย เวลาจะตาย อย่าเอาจิตไปเกาะเกี่ยวเวทนา  จะได้ไม่เกิดทุกข์”

         นี่คือคำสั่งสอนครั้งสุดท้ายของ หลวงพ่อจง  พุทฺธสโร  ที่ให้ลูกศิษย์เห็นถึงคุณวิปัสสนาญาณชั้นสูง  ถึงสังขารุเปกขาญาณ จากนั้นมา  ท่านก็นอนนิ่ง  นาน ๆ จะหายใจสักครั้ง  ทราบจากลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดว่า  ท่านเข้าสมาบัติอนุโลมปฏิโลมตลอดเวลา จนกระทั่งถึงวันอังคาร  ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ปีมะโรง อันเป็นวันมาฆบูชา

         ตรงกับวันที่  19  กุมภาพันธ์  พ.ศ.2508  เวลา 01.55 น.  ท่านก็ถึงแก่มรณภาพด้วยอาการสงบเหมือนคนนอนหลับ  ท่ามกลางความโศกสลดในมวลหมู่ลูกศิษย์ที่นั่งเฝ้าโดยใกล้ชิดทั้งหลายนั่นเอง.........

ขอขอบคุณท่านเจ้าของข้อมูลผู้เกี่ยวข้องทุก ๆ ท่าน  ขอนำมาเผยแพร่เกียรติคุณหลวงพ่อเพื่อศึกษาต่อไปครับ

30#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-4-17 08:25 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
มีเรื่องเล่าของหลวงพ่อจงที่ผมประทับใจมากเรื่องหนึ่งครับ
ในงานพุทธาภิเษกแห่งหนึ่ง  ครั้งนั้นทางเจ้าภาพได้นิมนต์พระเกจิอาจารย์ไปหลายรูปด้วยกัน  ซึ่งเจ้าของภาพจำ
ได้ว่า 2 องค์ที่เขาเห็นและศรัทธาอย่างยิ่งก็คือ  1.พ่อท่านคล้าย  วัดสวนขันธ์
2.หลวงพ่อจง  วัดหน้าต่างนอก  สาเหตุเพราะได้ประจักษ์กับตา ถึงอภินิหารของทั้งสองท่านนี้
แต่ว่าไม่สามารถถ่ายภาพของหลวงพ่อคล้ายได้  ถ่ายได้เฉพาะหลวงพ่อจงรูปเดียวเพราะเขาไม่คิด
ว่าจะมีการทดลองวิชาของพระคุณเจ้าเกิดขึ้น  ที่มาของภาพมีดังนี้
ในงานนั้นพ่อท่านคล้ายและหลวงพ่อจง  นั่งพักอยู่ใกล้ๆกันก็บังเอิญมีโยมคนหนึ่ง  มาขอให้
พ่อท่านคล้ายช่วยทำน้ำมนต์ให้  พ่อท่านจึงบอกกับโยมคนนั้นว่า  ให้ไปเอาขวดมา และเอาน้ำมาแก้วหนึ่งด้วยท่านจะทำน้ำมนต์ให้  โยมคนนั้นก็ไปเอาขวดและน้ำมาให้พ่อท่านคล้ายทำน้ำมนต์
           พ่อท่านรับแก้วน้ำมาแล้วให้โยมคนนั้นเอาขวดไปตั้งไว้ข้างหน้าห่างไปพอสมควร  จากนั้น
พ่อท่านก็ยกแก้วน้ำขึ้นมาเหมือนดื่มแต่ไม่ได้ดื่มเพียงอมไว้แล้วก็พ่นน้ำไปที่ขวดใบนั้นพรวดเดียวน้ำเต็มขวดเลย
            หลวงพ่อจงท่านหันมามองแล้วก็หัวร่อ หึ หึ แล้วก็บอกว่า  “จ้ะ....ฉันก็ทำได้  ” แล้วก็ให้โยมคนนั้นไปเอาขวดมาหนึ่งใบ  โยมคนนั้นก็ดีใจ  เพราะวันนี้จะได้น้ำมนต์วิเศษจากพระเกจิอาจารย์ดังถึงสองรูปด้วยกัน และที่สำคัญวิธีทำน้ำมนต์ของท่านนั้นเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก  จึงรีบไปเอาขวดและน้ำมาให้หลวงพ่อจง   หลวงพ่อท่านไม่
เอาน้ำ  รับไว้เพียงขวดเปล่า
จากนั้นท่านก็เอามือประสานกันบนปากขวดก็ปรากฏมีแสงสว่างขึ้นและมีน้ำไหลจากมือหลวงพ่อไหลลงไป
ในขวด ดังภาพ   ฝ่ายพ่อท่านคล้ายเห็นดังนั้น  ก็รีบยกมือไหว้แล้วกกล่าวว่า
ท่านจง ผมยอมแพ้ท่านแล้ว
          หลังจากนั้นเมื่อพ่อท่านคล้ายไปร่วมงานพุทธาภิเษกที่ใด  ถ้ารู้ว่าหลวงพ่อจงไปด้วย  ก็จะให้ลูกศิษย์ท่านอุ้มท่านมากราบหลวงพ่อจง  ( เนื่องจากขาท่านไม่ดี )
ผู้ที่ถ่ายภาพนี้บอกว่าเสียดายที่ถ่ายภาพตอนพ่อท่านคล้ายทำน้ำมนต์ไม่ทัน  แต่พอเขารู้ว่าหลวงพ่อจงจะทำน้ำมนต์ด้วย จึงรีบตั้งกล้องคอยท่าไว้  พอหลวงพ่อทำน้ำมนต์ให้ไหลลงไปในขวดเขาก็เลยถ่ายภาพนี้เอาไว้ได้  
มีภาพถ่ายด้วยครับแต่เสียดายผมใส่รูปไม่เป็น ถ้าใครอยากดูรูปก็ช่วยสอนวิธีโพสท์รูปหรือดูในเว็บเอาก็ได้ครับ

http://www.dharma-gateway.com/mo ... lp-jong-hist-03.htm
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้