ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 1976
ตอบกลับ: 3
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

ความสงบอยู่ที่ความเห็นชอบ

[คัดลอกลิงก์]
ความสงบอยู่ที่ความเห็นชอบ



ให้รู้จักหน้าที่การงานของเราที่จะต้องทำหนึ่ง ให้รู้จักหน้าที่ของพระที่บวชมาแล้วหน้าที่ของเณรที่บวชมาแล้ว หน้าที่ของชีที่บวชมาแล้วว่าควรทำอย่างไร? ควรคิดอย่างไร?ควรนึกอย่างไร?ในเวลานี้เดี๋ยวนี้เราคิดอะไรอยู่? เราทำอะไรอยู่? เราคิดผิดไหม? คิดอิจฉาคนอื่นไหม?คิดโลภ คิดโกรธไหม? ให้ดูปัจจุบันนี้ให้รีบตัดสินเสีย เพราะวันคืนล่วงไปๆเราจะมานั่งเป็นทุกข์อยู่นี่หรือท่านสอนอย่างนี้ถ้าท่านยังเป็นอยู่ ยังมีชีวิตอยู่ท่านจะพูดอย่างนี้ แต่ท่านพูดด้วยตัวหนังสือวันคืนล่วงไปๆบัดนี้เราทำอะไรอยู่ไอ้ความเป็นจริงท่านกำชับตัวเราให้เรารู้จักตัวเราเองว่าเราบวชเป็นชีมาหน้าที่ของชีคืออะไร?
เราจะมาละกิเลสเรารู้จักกิเลสแล้วหรือยัง? ที่เราจะต้องละน่ะเรารู้จักไหม?ไอ้ความชั่วเราจะละ ความชั่วเรารู้จักไหม? เราละแล้วหรือยัง หรือกำลังที่จะละที่เราละแล้วหรือกำลังอดกลั้นอยู่หรืออย่างไร? ทนไหมอะไรไหม? เราพูดอย่างสมณะแล้วหรือยัง?เรากินอย่างสมณะแล้วหรือยัง? ที่เราบวชมานี้ ท่านถามปัญหาน่ะ ให้ตัดสินซิเพราะอะไร?เพราะวันคืนล่วงไปๆ เราจะมาทำอยู่อย่างนี้หรือมีราคะมีโทสะรีบกำจัดมันเสียรีบภาวนามันเสียอย่ามาทำความประมาทอยู่ที่นี้
เราบวชเป็นพระมาแล้ว บวชเป็นเณรมาแล้ว บวชเป็นชีมาแล้ว มันต่างเพศกับคฤหัสถ์เขาแล้วเราจะมาคิดอย่างคนบริโภคกามนี้มันจะได้หรือ? เวลามันน้อย เวลามันไม่มาก เพราะวันหนึ่งๆก็เปลี่ยนไปๆมันไม่คงที่ เราจะมาอาศัยความประมาทอยู่นี่หรือ เราจะมาทำความยุ่งยากอยู่ในใจของเราอย่างนี้หรือ?มายึดมั่นถือมั่นอยู่นี่หรือ? อะไรอยู่นี่หรือ? ทำไมเราไม่ปลดปล่อยมันไปเสียล่ะไอ้ราคะ โทสะ โมหะของเรา ทำไมไม่ปลดปล่อยมันไปเสีย เราจะต้องเห็นโทษของมัน
ถ้าเรายังไม่เห็นโทษมันเราก็ละมันไม่ได้ ปลดปล่อยมันไม่ได้ เสียดายความชั่วอยู่นั่นแหละบางทีก็อยู่อย่างนั้นแหละ ๕ ปี ๑๐ ปี ๒๐ ปี ชาตินี้ชาติหน้าก็เป็นอยู่อย่างนั้นแหละนี่ท่านเรียกว่าไม่รู้จักหน้าที่การงานของเจ้าของว่า เราควรทำอย่างไรไหม?ถึงแม้เราจะโกรธขึ้นมาก็อดซิ โกรธน่ะไม่ใช่พระพุทธเจ้านี่นะ ท่านไม่สอนหรอกทำไมมันถึงโกรธ? เพราะเราคิดผิด ทำไมเราถึงหลง? เพราะเราคิดผิด ทำไมเราถึงโลภ?เพราะเราคิดผิดคิดผิดอะไรมันก็เป็นมิจฉาทิฏฐิมันถึงคิดผิดอย่างนั้นมิจฉาทิฏฐิมันนำความทุกข์มาให้เราเราถึงไม่สงบ
ความสงบมันอยู่ที่ตรงไหน?มันอยู่ที่สัมมาทิฏฐิความเห็นชอบมันก็สงบเท่านั้นแหละมันก็ไม่มีโลภไม่มีโกรธ ไม่มีหลง...ไม่มี เพราะเห็นโทษมันแล้ว ไม่ยึดโลภไว้ ไม่ยึดโกรธไว้ไม่ยึดหลงไว้ ไอ้ความชั่วทั้งหลายที่เกิดมาก็มี แต่ท่านปล่อยมันไป...ละมันไปมันไหลผ่านไปเรื่อยๆ เป็นอย่างนี้ ทำไมถึงปล่อยมันไป? เพราะว่าชีวิตของฉันมันน้อยเวลาของฉันมันน้อย มันน้อยเพราะอะไร? เพราะวันคืนเราก็เห็นอยู่ว่ามันล่วงไปๆนี่นะแล้วเราจะมาทำให้มันทุกข์อยู่ทำไม จะยึดอยู่ทำไมให้ป่วยการป่วยเวลาของเราเราก็ปล่อยมันไปเสียดีกว่า ถ้าคิดตกลงอย่างนี้มันก็ปล่อยมันก็วางคือความเห็นชอบนั่นแหละที่สงบละ
ถ้าใครไม่มีความเห็นชอบ ไปเถอะจะไปอยู่ในป่าก็ไปเถอะ จะไปอยู่คนเดียวก็ไปเถอะจะไปอยู่อะไรไม่เห็นใครก็ช่างมันเถอะ แต่ใจมันเห็นอยู่นะ ตานี่ไม่เห็นแต่ใจมันเห็นอยู่ไอ้ความสงบจริงๆนั้น ไม่ใช่ทุ่งนา ไม่ใช่ป่า ไม่ใช่ไปอยู่คนเดียว แต่ว่ามันก็เป็นเหตุเสียหน่อยหนึ่งถ้าเราต้องการความสงบแล้วไปอยู่ป่ามันทำความสงบได้เร็วกว่าดีกว่า..อย่างนี้ไม่ใช่ว่าเข้าไปถึงป่าแล้วมันสงบไปถึงภูเขาแล้วมันสงบไม่ใช่อย่างนั้น
ความสงบมันต้องเกิดจากความเห็นชอบ ไม่ใช่เกิดจากมิจฉาทิฏฐิ ทีนี้เราก็เรียกว่าเราเป็นนักปฏิบัติที่มีการปล่อยวางพวกมากเราจะต้องรู้จักอยู่ได้ เมื่อเวลาเราจะต้องอยู่ก็อยู่ได้ ไอ้พวกน้อยก็อยู่ได้ เมื่อเราจะต้องอยู่ แต่พวกน้อยเราไปก็ได้ ถ้าถึงเวลาเราจะต้องไปไปด้วยดี ไม่ใช่ไปเพราะอะไรที่นี่ไม่ใช่ที่อยู่ของสมณะที่สมบูรณ์อย่างนี้เรายังไม่สมควร....อย่างนี้ ไอ้ความเป็นจริงแล้วสัมมาทิฏฐิมันอยู่ตรงไหนตรงนั้นแหละความสงบถ้าหากเราไม่รู้จักอันนี้ จะไปอยู่คนเดียวก็เอาซิ...มันก็ไม่สงบ จะไปอยู่มากคนมันก็ไม่สงบมันไม่สงบทั้งนั้นแหละ เพราะมันเป็นมิจฉาทิฏฐิ อันนี้ต้องคิดค้นมันให้ดีๆ
อย่างที่วัดหนองป่าพงเราน่ะ อาตมาเคยเล่าให้พระให้เณรฟัง ไปธุดงค์...อยากจะไปธุดงค์ที่ไหนนะวัดป่าพงนี่มันธุดงค์เท่าไรน่ะเอาไม๊จะเอาป่าไม๊...เอาอะไรไม๊มันที่สงบระงับดีเหลือเกินเขาทำงานกันเป็นเวลาทั้งนั้นแหละ...ทำงานกันเป็นเวลา
บางคนก็คิดว่าไปสวดมนต์ไปทำวัตรไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรไม่ได้ทำสมาธิแน่ะ....นี่พระขี้เกียจไปเห็นอย่างนั้นการสวดมนต์ทำวัตรนี่มันขี้เกียจ แก้ความขี้เกียจนั้นซิมันอยากขี้เกียจนี่ไปเล่าเรื่องธรรมะไปสรรเสริญคุณพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์มันผิดไหม?มันบาปไหม?เมื่อพวกเราทำอย่างนี้เราก็ทำซิถ้าหากว่าคนเราไปอยู่อย่างหนึ่งก็ว่า อือ...ไม่ต้องอะไรหรอก ไปสวดมนต์ทำวัตรมันจะได้อะไรก็เหมือนกับร้องเพลงเท่านั้นแหละ... แน่ะ กิจอะไรที่มันจะมีเป็นรากฐาน คนเก่าก็มีคนใหม่ก็มี มันฝึกกันอย่างนี้ อันนี้มันเป็นทางที่ถูก อย่างน้อยถึงเวลาทำวัตรตีระฆังแก๊งๆมันนึกไม่ได้...ก็ขี้เกียจนี่ มันก็ต้องแก้ความขี้เกียจละ ไม่ต้องแก้ที่อื่นหรอกมันก็ดีอยู่แล้วนี่ ให้เราเข้าใจอย่างนั้น ถ้าเราไปคิดอะไรไม่มีอะไรเป็นหลักการสารพัดอย่างจะต้องให้มีการสามัคคีกัน
อย่างเดือนหนึ่ง พระพุทธองค์ให้ประชุมกันอย่างน้อยเดือนละครั้ง เพื่อเป็นการสามัคคีกันมีอะไรจะได้ปรึกษากัน เป็นสังโฆ...เป็นหมู่ของสงฆ์ มิคสังโฆ...หมู่แห่งเนื้อสกุณาสังโฆ...หมู่แห่งนก อริยสังโฆ...หมู่แห่งพระอริยเจ้า มันเป็นหมู่เป็นหมวดถึงแม้มันจะไม่เหมือนกัน เหมือนนกน่ะมันต่างพันธุ์กันมันก็เป็นนก บางตัวก็ยาวๆบางตัวก็สั้นๆ บางตัวก็ปีกยาว บางตัวก็ปีกสั้น แต่ว่ามันก็เป็นนกเหมือนกันเรียกว่าหมู่แห่งนก มันไปเป็นกลุ่ม
หมู่ของพวกโยมชีก็เหมือนกัน ของพระของเณรก็เหมือนกัน ต้องเหมือนลักษณะนกอย่างนั้นลักษณะผู้ประพฤติปฏิบัติก็ต้องเป็นอย่างนั้น...สงบ ทำจิตของเราให้สงบ ถ้าเราไม่มีปัญญามันทำความสงบไม่ได้ที่อยู่สมบูรณ์เกินไปอาหารสมบูรณ์เกินไปก็ยังไม่สงบเพราะจิตเราไม่เห็นชัด ไอ้ความชั่วทั้งหลายที่มันมีมาอยู่ เราจะละมัน...ละไม่ได้เพราะเรายังไม่เห็นโทษของมันอย่างชัด เราจะต้องเห็นโทษมัน ทีนี้คิดไปพิจารณาไปแล้วตกลงก็ต้องพยายาม ทั้งพวกญาติโยมทั้งหลายทุกๆคน
อย่างทุกวันนี้วัดป่าพงเรานั้นน่ะ พูดง่ายๆ ในสมัยนี้เป็นวัดตัวอย่าง เขาให้ชื่อว่าวัดหนองป่าพงเป็นวัดตัวอย่างตัวอย่างที่ดีปฏิบัติดีปฏิบัติชอบคำเขาเล่าลือของคนชาวโลกเขาพระเณรก็น่าเลื่อมใสประพฤติดีประพฤติชอบเราลองมาดูมันดีอย่างนั้นไหม? อย่างเขาเล่าไหม? พวกชีก็มีระเบียบดี ประพฤติดีประพฤติชอบน่าเลื่อมใสเขาพูดอย่างนั้นเราดีอย่างเขาว่าหรือเปล่า เช่นว่าเราไม่ดี เราก็ต้องคิดให้มันดีอีกว่าเราไม่ดีหรือเปล่ามันเป็นอย่างนั้นหรือ เราต้องอาศัยตัวของเราเอง


2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-3-15 11:55 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ถ้าเราทำไม่ดีอยู่เขาว่าดี อื้อ...เขาโกหกเรา ไอ้คนนั้นมันพูดผิดน่ะ เราจะไปเข้าใจว่าดีกับเขาไม่ได้เรายังอยู่...ยังมีกิเลสอยู่ ยังมีตัณหาอยู่ เราพยายามจะเพิ่มข้อประพฤติปฏิบัติเราไปอีกตรวจดูกาย วาจา ใจของเจ้าของที่มีอยู่นี้ ตรวจดูทุกๆวัน มันพร่องตรงไหน มันสั้นตรงไหนต้องต่อตรงนั้นมันยาวตรงไหนต้องตัดตรงนั้น ให้ปฏิบัติอย่างที่ว่าเหมือนอยู่คนๆเดียวอยู่มากคนก็เหมือนอยู่คนๆเดียวไม่ต้องวุ่นวาย ต้องมีการอดกลั้น บางทีก็ว่าไอ้คนนั้นพูดไม่ค่อยถูกใจเรา เพราะคนนั้นมันไม่รู้จักมันไม่ฉลาด เราก็รู้จักคน...ไอ้คนนั้นมันยังไม่ฉลาดเราก็ต้องรู้จักมัน ผ่อนสั้นผ่อนยาวถึงเวลาที่ตักเตือนกันก็ตักเตือนกันให้ดี อย่าไปทำอย่างนั้น อย่าไปทำอย่างนี้อย่างนี้มันไม่ดี
คนเราน่ะถ้าหากว่าจะเตือนคนอื่นเขาก็เตือนเราเองเสียก่อน เตือนทำไม? ถ้าไปเตือนเขาแล้วเขาไม่ฟังนี่มันจะเกิดโมโหขึ้นมา เราจะเตือนคนๆนี้ก็เรียกว่า เราทำตัวเราให้มันดีเสียก่อนเขาจะว่าเขาจะด่าอะไรก็ช่างเถอะ เราได้สร้างความดีแล้วในจิตที่จะเตือนเขาถ้าเขาฟังก็ดี ถ้าไม่ฟังก็ตามเรื่องเขา คนเตือนต้องอยู่ในลักษณะอันนี้ ไอ้คนที่ถูกเขาเตือนนั้นไอ้คุณนี่พูดไม่ดี ทำไม่ดี อะไรเราก็ฟัง จริงของเขาไหม? เขาว่าเราไม่ดี จริงไหม?...เราฟัง ถ้าเราดี...ก็เขาพูดไม่ถูก เขาคิดไม่ถูกก็เรื่องของเขา เราต้องปล่อยต้องวางเข้าสู่ธรรมะให้ได้ใครจะว่าดีว่าชั่ว เข้าสู่ธรรมะต้องตรวจดูว่าลักษณะอย่างนี้ เราทำอย่างนี้เราคิดอย่างไรไหม? เราคิดอิจฉาคนอื่นไหม? ถ้าคนเขามาพูดว่า คุณน่ะอิจฉาฉันถึงพูดอย่างนี้ถึงทำอย่างนี้ เราก็ต้องรู้จักว่ามันจริงอย่างนั้นหรือเปล่าเมื่อเราจะพูดจะทำอะไรต้องรู้จักรับรองตัวของเรา เราไม่คิดอย่างนั้น เรามีเจตนาดีแต่คนนั้นเขามีเจตนาไม่ดี เราก็สบายใจอยู่ ก็เพราะว่าเรารู้ตัวของเราอยู่แล้ว
ดังนั้นท่านจึงให้มีสติทุกเวลา เมื่อจะตั้งใจพูดอันนี้เราก็ตั้งใจพูด ดีไหม?ถูกต้องไหม? คืออะไร? เรารู้จักของเรา เมื่อคนอื่นเขาท้วงว่าพูดอันนี้มันไม่ดีเราก็สบายเพราะเราคิดดีอยู่แล้ว เราพยายามทำให้ดีอยู่แล้ว คิดดีอยู่แล้ว ไอ้คนที่ว่าไม่ดีเขาพูดผิด...เราก็สบายใจ
อัตตะนาโจทะยัตตานัง...จงเตือนตนด้วยตนเอง แต่ให้อาตมามาเตือนทุกคนๆทุกเวลาหรือตั้งพรรษาหนึ่งพึ่งได้มานี่น่ะ ถ้าอาศัยอาตมามาเตือนญาติ-โยมทุกวันๆ ญาติ-โยมคงจะโง่เต็มทีซะแล้วอัตตะนาโจทะยัตตานัง...จงเตือนตนด้วยตนเอง คุ้มครองตนเอง เราคุ้มครองจิตของเราเองรักษาตัวเอง ฉะนั้นนานๆอาตมาจะเดินเข้ามาว่าปฏิบัติเอาเองเน้อ...ทุกคนปฏิบัติเอาเองดูเอาเองสอนให้ดูเอาเองให้รักษาเอาเองคือให้เตือนเจ้าของเองว่าการกระทำเราดีไหม? เราทำอยู่ทุกวันนี้เพื่อสมกับเป็นสมณะไหม? ต้องคิดให้มันดีอย่างนี้
ฉะนั้นให้เข้าใจเสียว่า ไม่ต้องอื่นหรอก วัดป่าพงนี่มันระดับประเทศ ไม่ใช่ระดับอำเภอไม่ใช่ระดับจังหวัดหรอก...ระดับประเทศ ยกตัวอย่างเหมือนอาตมานั่นแหละ เขาต้องเข้าใจว่าอาตมาเป็นพระอรหันต์แล้วเดี๋ยวนี้แต่ว่าเรื่องเขาพูดไป เราจะเป็นจริงอย่างนั้นหรือไม่เป็นจริงอย่างนั้น มันอยู่ที่เราเรื่องเขาพูดไปเขาพูดอย่างนั้น นี่พระอรหันต์มาแล้ว...เราจะดีใจไหมนั่นน่ะเราเป็นหรือยัง หรือเรายังไม่เป็น นั่นเรื่องเขาพูด ห้ามเขาไม่ได้ เราจะต้องตรวจดูของเราเรารู้ตัวของเรา เป็นไม่เป็นเรารู้ที่ตัวของเรา เราไม่ต้องอาศัยคนอื่นเขาเราเตือนอยู่อย่างนี้ เขาเตือนเราอยู่อย่างนี้ เราก็เตือนเราอยู่อย่างนี้อันนี้ประชาชนเขาพูด เขาเป็นอย่างนั้น
แม่ชีก็สำรวมน่าเลื่อมใส พระสงฆ์ก็น่าเลื่อมใส...ขาว...ทุกจังหวัดมันมารวมสารพัดอย่างดูซิ...ชีฝรั่งก็มี พระฝรั่งก็มี ดีไม๊...พระฝรั่งดีไม๊ เขาว่าดี...ดีไม๊ชีฝรั่งเขาว่าดี...ดีไม๊ล่ะ หรือเขาว่าดีก็จะดีเอางั้นหรือ พระฝรั่งท่านดีนะท่านอยู่เมืองนอกท่านอุตส่าห์มา แหม...ศรัทธาท่านมากเหลือเกิน ชีฝรั่งมาอยู่เมืองไทยก็มาบวชเป็นชีฝรั่งน่าเลื่อมใสเหลือเกิน มันดีจริงอย่างนั้นไหม? เราต้องดูเราเองซิ อย่าไปเชื่อคนอื่นเขานี่ระวังให้มันดีให้เราคิดดูอีก
เขาว่าเราชั่วน่ะเขาพูดเขาว่าเราดีน่ะเขาพูดไม่ใช่ตัวเราตัวเรารู้ตัวเราเองอันนี้ให้ตั้งไว้ในใจของเราให้พยายามทุกคน จะต้องเป็นอย่างนั้น เฉพาะบรรดาที่คนแก่ๆนั้นน่ะ คนแก่นี่ตามสัดส่วนก็อายุยังไม่มากนะบางคนก็ ๖๐ ปี มาแล้ว ๗๐ ปี ก็ยังมีเลยนะ วันคืนมันล่วงไปๆ วันนี้ก็กำลังจะหมดไปแล้วตอนเช้าตะวันโผล่มาอีกแล้วก็หมดไปๆ ให้ตั้งใจ อย่าให้ตัวเราวุ่นวาย อย่าวุ่นวายกับคนอื่นเป็นคนว่าง่าย เป็นคนสอนง่าย ไม่ยึดถือมานะทิฏฐิทิฏฐิ...คือความเห็นท่านไม่ห้ามหรอกเห็นเรื่อยๆไปแต่มานะอย่าไปผูกพันมันอย่าไปยึดมันให้ปล่อยให้วาง ถ้าหากว่าเราปล่อยวางมันมันก็ผ่านเราไป ถ้าเราไม่ปล่อยมันก็หนัก
อย่างที่ท่านว่าปล่อยสังขารวางสังขารน่ะ มันเป็นของหนัก ไอ้รูปนี้ เวทนานี้สัญญานี้ สังขารนี้ วิญญาณนี้ มันเป็นของหนัก ไปยึดเอาของหนักไว้มันก็หนักซิรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณเราถือว่าเป็นตัวเป็นตนเป็นเราเป็นเขาแล้วก็แบกมันไว้มันก็หนักท่านว่าให้ทิ้งของหนักเสียคือไปยึดว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนี้เป็นเรา...เป็นของเรา เวทนานี่คือสุข-ทุกข์ นี่ก็เรียกว่ามันเป็นของเรา อย่าไปถืออย่างนั้น มันหนัก ท่านว่าให้วางให้ปล่อยสัญญาความจำโน้นจำนี้ว่าเรา ว่าของเรา ก็ต้องวางมันๆหนัก เมื่อรู้แล้วก็วางรูปเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้งหมด อย่าไปยึดให้มันหนักเป็นสักว่าธรรมชาติมีความรู้สึกแล้วก็ดับไปเท่านั้นไม่มีใครเป็นเจ้าของถ้าใครเข้าไปถือเป็นเจ้าของเมื่อไรก็หนักเมื่อนั้น
กิตติศัพท์ว่าพระสังฆราชองค์หนึ่ง เขาถวายถ้วยชาจากเมืองจีนโอย...พอถ้วยชาถึงมือปุ๊บมันทุกข์เลยจะวางตรงไหนหนอ จะเก็บตรงไหนหนอ กลัวมันจะแตก แต่ก่อนไม่มีถ้วยชาสบาย พอเขาให้ถ้วยชาพอเขาถวาย จับถ้วยชาทุกข์แล้วนะ แต่ก่อนมันยังไม่ทุกข์ ถ้วยชานี้แหละมันหนักเห็นไหมเณรเข้าไปใกล้ก็ว่า "ระวังให้ดีนะ" เป็นทุกข์ตลอดเวลาได้ถ้วยชาใบนั้นมามันเป็นทุกข์ทุกข์มันมากับถ้วยชาเพราะไปยึดมั่นถือมั่นเลยเป็นทุกข์อีกวันหนึ่งสามเณรไปจับหลุดมือแตกเพี๊ยะเอ้อ...หมดทุกข์ไปซะทีโว๊ยมันทุกข์มาหลายปีแล้วแน่ะ...เห็นไหม
ขันธ์ ๕ นี้ก็เหมือนกัน มันหนัก ให้ทิ้งของหนักเสีย ทิ้งรูป ทิ้งเวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณนี้เสีย อย่าไปเข้าใจว่าตัวเราหรือของเรา มันสักแต่ว่ารูปเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เท่านั้น อย่าไปยึดมั่นถือมั่น ถ้าเรารู้เช่นนี้มันก็เป็นวิมุตติขึ้นมาพ้นขึ้นมาแล้วแต่ก่อนมันติดสมมุติเมื่อเห็นเป็นสักว่ามันก็พลิกขึ้นมาเป็นวิมุตติพ้นจากสมมุติอันนั้นในขันธ์๕สมัยก่อนไปยึดขันธ์ ๕ เมื่อมาปล่อยขันธ์ ๕ มันก็เบานี่ตัวอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นให้เข้าใจทุกคน
ที่เรามาน่ะเรามาปล่อยวาง คนอื่นเขาเตือนเรา เราก็สาธุเลย ไม่ต้องไปว่าเขาเขาเตือนเรา ถึงว่าเราทำถูก แต่เขาว่าทำผิด ก็ฟังเถอะ ฟังมันให้เกิดปัญญาอาตมาจะเอาของดีๆมาฝาก ไอ้พวกเซ็นเขาน่ะ เขาสอนให้ลดทิฏฐิมานะ ไม่ต้องเรียนอะไรมากหรอกพอนั่งสมาธิ ง่วงนอนเขาก็เอากระบองตีศีรษะ เป๊ะ พอลูกศิษย์มองเห็นอาจารย์..."ขอบคุณครับ"พวกเราเป็นแม่ชีกันนี้ จะขอบคุณกันได้ไหม? ชีทุกๆคนน่ะแก่ๆหนุ่มๆพอเราง่วงเขาเอากระบองมาตีศีรษะเผ๊ะ...- "ขอบคุณครับ"...ว่าได้ไหมหือ กิเลสของเรากับของเขาน่ะวัดดูซิมันยาวขนาดไหนนะดูก็ได้นี่ ถ้าถูกเรามันจะเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นการสอนกันน่ะ อาตมาก็ยังยอมลูกศิษย์เลยอะไรที่มันผิดเตือนเถอะ
แต่ว่าเป็นอาจารย์เขามันยิ่งยาก ไม่มีใครจะกล้าเตือน เกรงใจ โยมทั้งหลายน่ะมีกำไรนะอาตมาบอกให้ ไม่ต้องเกรงใจ ถ้าอาตมาทำผิดโยมจะเตือนนี่ยาก ไม่มีใครเตือนเพราะว่าเป็นครูบาอาจารย์กลัวเกรงนี่ดังนั้นการปฏิบัติเป็นพระเถระนี่มันยากลำบาก บางทีเราผิดเขาก็ปล่อยให้ผิดไปเรื่อยๆไม่รู้ตัวของเรา ถ้าเขาจะเตือนรึ เขาก็กลัวเรา เกรงเรา อะไรเรา มันหาคนที่จะสอนเรายากลำบากไอ้พวกเรานี้มันสบายกันทุกคน ถ้าหากว่าทำความผิดมา มีคนบอกปุ๊บเลยทีเดียวมันดีเหลือเกินแล้วน่ะ อย่าไปนั่น อย่าไปนี่ ให้เข้าใจการปฏิบัติมันก็เรื่องอย่างนี้เองถ้าเราละเราวางแล้วมันก็หยุดแหละ มันไม่หนัก ไอ้ความยึดมั่นถือมั่นนี้แหละมันหนัก

3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-3-15 11:55 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ฉะนั้นอยู่ในกลุ่มมากๆ เราอยู่ด้วยกัน คนในกลุ่มหนึ่งจะต้องมีหัวหน้าเป็นธรรมดาจะทำอะไรให้นึกถึงหัวหน้า อย่างชีทุกคน พระทุกองค์ จะทำอะไรให้นึกถึงอาตมาด้วยเพราะอาตมาเป็นผู้นำ ให้เรานึกถึงว่าถ้าเราจะทำไม่ดี ทำวุ่นวาย ก็ให้นึกถึงอาตมาเพราะอาตมาเป็นผู้แนะนำพร่ำสอนทุกอย่าง ที่อยู่ที่อาศัยวัดหนองป่าพงนี้ จะว่าอาตมาเป็นเหตุก็ได้ญาติ-โยมมาทีหลังนี้มาอยู่สบายๆ แม้จะทำอะไรขึ้นมาก็ให้นึกถึงบุญคุณซะนิดหนึ่งก็ดีว่า ควรไหมหนอ ถูกไหมหนอ
ในกลุ่มชีทั้งหลายนี้ ชีตั้ง ๖-๗ คน ที่อาตมาตั้งไว้ ทำไมถึงตั้ง ทำไมไม่ตั้งหมดทุกคน?ก็เขามาบวชก่อน เขารู้ภาษาก่อน รู้เรื่องก่อน ชำนาญก่อน ก็ตั้งเป็นกรรมการขึ้น...เพื่ออะไร?เพื่อตรวจตราพวกญาติ-โยมทั้งหลายที่เข้ามา ให้ความบริสุทธิ์ด้วย ควรไหม?...ผิดไหม?...ถูกไหม?...อย่างนี้ให้เขาสำรวจตรวจตราคัดเลือก พวกเราที่เข้ามาใหม่เป็นคนดีไหม? อย่างเลือกหนทางให้เขาอย่างนั้นให้ใครมาตั้งเป็นกรรมการให้รับรองนี่ ให้เงินเดือนสักกี่บาทกี่ร้อยเขาก็ไม่เอากันมันลำบากนี่ อันนี้อาศัยศรัทธา มีศรัทธา
อาตมาตั้งใจว่าใครจะบวชก็ให้เข้ามาหานี่ก่อน ถึงบวชแล้วอยู่ไปก็ให้กรรมการ๖-๗ คน นี่พิจารณาเสียก่อน ถ้าคน ๖-๗ คนมันจะไปรุมเกลียดคนๆเดียวมันก็ไม่มีหรอกยากมากที่สุดแหละถ้าหากว่าใครมันผิดพลาดตามสายตาของกรรมการ ๖-๗ คน แล้วก็เรียกว่าชีคนนั้นเป็นคนแปลกคนอาตมาตั้งพระในวัดนี่ก็เหมือนกัน ตั้ง ๖-๗ องค์ เป็นคณะสงฆ์ไว้ ถ้าสงฆ์ใน๕-๖ องค์ นั้นน่ะไม่เข้าใจแล้ว ไม่ถูกแล้ว ก็เรียกมาถามดู พระองค์นั้น เณรองค์นั้นเป็นพระที่แปลก เป็นเณรที่แปลกแล้ว ไว้ใจไม่ได้แล้ว ต้องสำรวจตรวจตราอยู่อย่างนี้ทุกเวลา
ฉะนั้นพวกเราทั้งหลายนั้นน่ะจึงได้อาศัยอันนี้ อาศัยบุญคุณอันนี้ ที่มีปฏิบัติกันอย่างนี้มันจึงมีความอยู่เย็นเป็นสุขทุกๆคนตลอดมาทุกวันนี้ ดังนั้นอย่าไปลืมบุญคุณจะพูดอะไร? จะไปที่ไหน? จะทำอะไร? ให้นึกถึงอาตมาบ้าง ว่าอาตมามาทำนี้เพื่ออะไร?โยมเข้ามาบวชนี่อาตมาได้เรียกค่าเช่าไหม? ฝรั่งมาอยู่ก็ได้ ไทยมาอยู่ก็ได้มาปฏิบัติกัน ถ้าจะไปพักโรงแรมเขาต้องเก็บค่าเช่าทั้งนั้นแหละ ให้ดูไปอย่างนี้ดีกว่าพื้นๆ ดูไปเถอะ อาตมาคิดยังไงไหม? แต่อาตมาเป็นพระที่เรียกว่าเฉยๆทุกคน ชีทุกคนที่เข้ามานี้อาตมาก็เฉยๆอยู่อย่างนี้ ถามก็ไม่ถาม ทุกคนสนิทอยู่ในใจ เรียกว่ารักกันด้วยธรรมะไม่ได้รักกันโดยโลกไม่ต้องประจบประแจงกันมีอะไรผิดพลาดต้องพูดกันไปตามส่วน
บางคนอาตมาไม่เคยได้ถามเลยพวกชีนี่ อย่าว่าแต่ชีแหละ พระ-เณร ไม่เคยได้ถามก็ยังมีเลยเพราะว่ามันมาก ฉะนั้นคนๆเดียวดูคนหมู่มากมันก็ลำบากอยู่ จึงว่าให้ปฏิบัติเอาเองรักษาตัวเองให้มันมากที่สุดนั่นน่ะดีหลายละ ให้ดูซิว่าผู้คนประชาชนทั้งหลายมาวัดป่าพงน่ะมาดูแม่ชี มาดูพระ มาดูข้อปฏิบัติ เขาไม่ต้องไปถามอะไรหรอก ก้าวเข้ามาในวัดไปดูกุฏิของพระ กุฏิของแม่ชี สถานที่วัดมันสะอาด เก็บสิ่งที่เป็นสัดเป็นส่วนไว้เรียบร้อยอย่างสมณะมันก็เกิดความเลื่อมใสแล้ว ไม่ต้องเทศน์หรอก...ไม่ต้องเทศน์ อันใดมันเกะกะละวางก็ต้องช่วยกันเก็บ ช่วยกันรักษา อันนี้แหละคือเทศน์ละ คนเลื่อมใสอย่างนี้
ไอ้ต้นไม้ที่อยู่ในป่าน่ะมันเทศน์ให้เราฟังไหม? ดอกไม้เห็นไหมมันเคยเทศน์ให้เราฟังไหม?ทำไมมันถึงรู้สึกว่าฉันชอบมันเหลือเกิน ฉันหอมมันเหลือเกิน ดอกไม้มันเทศน์ไหมมันเกิดตามธรรมชาติมันทั้งนั้นแหละคนเราเข้าไปชอบมันเองของมัน อันนี้ก็เหมือนกัน ลักษณะอันนี้มันเป็นธรรมในตัวของมันเราไม่ต้องไปเทศน์อะไรให้มันมากหรอก เราปฏิบัติของเราเท่านั้นแหละ
อาตมายังเคยคิดเลยว่า...การสร้างวัด ตั้งแต่ ๖ พรรษา เริ่มปฏิบัติแล้วอาตมาไม่เห็นเรื่องอื่นไกลนอกจากเรื่องปฏิบัติ ไม่ต้องไปขอร้อง ไม่ต้องไปออกการ์ดไม่ต้องไปอะไร มันอยู่ในข้อปฏิบัติทั้งหมดน่ะ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ เภสัชนั้นไม่อยู่นอกเหนือนี้ เราปฏิบัติให้มันดีในเรานี้ ไม่ต้องไปร้องขอหรอกนะ
ไม่ใช่แต่เมืองนี้นะ ไปเมืองนอกเขาก็ยังเลื่อมใส อาจารย์สุเมโธนี้ก็ว่า"แหม...หลวงพ่อนี่ก็เป็นพระแปลกเหมือนกันนะ ผมอยู่นี่ก็ไม่มีใครปวารณาหรอกหลวงพ่อไปที่ไหนเขาปวารณาปัจจัยให้เรื่อยๆ" แต่อาตมาไม่เคยเอามาหรอก เงินตั้งหลายหมื่นเหมือนกันก็เขาถวายมา ไม่เอา...เอาไว้กับสุเมโธ เอาไว้นั่นแหละ เมื่อพระไทย เมื่อพระฝรั่งไป-มาเมื่อชีฝรั่งไป-มา ถึงคราวจำเป็น มันขัดข้องจริงๆ เอานี่ใช้เถอะ ไม่เคยเอามาเป็นส่วนกลางไว้ที่นั่น ไม่ต้องเอาเข้ามา นี่...ต้องทำอย่างนี้คิดอย่างนี้ทุกๆคน
ไม่ใช่แต่เมืองเรา เมืองอื่นก็เหมือนกันเขามีศรัทธาเพราะการกระทำของเราอาตมาเห็นว่าถ้าเราทำดีที่สุดแล้วนั่นน่ะ...รู้จัก...เทวดาเห็นพอเห็นปุ๊บเท่านั้นแหละโอย...อยากจะเอาของมาให้แล้วอย่างน้อยอยากจะมาถวายจังหันถ้าไม่ได้มาถวายจังหันปวดศีรษะ...ศีรษะจะแตกต้องอยากมา...ต้องมาจะอยู่ที่ไหนก็มาไม่ใช่ว่าอยู่แต่นี่ ไปอยู่ภูเขาก็มีมา ไม่เห็นหน้าก็มาไม่รู้ว่าคิดถึงอะไรก็ไม่รู้คงคุณธรรมที่เราปฏิบัติดังนั้นการปฏิบัตินี่เป็นของดีที่สุด
พวกเราทั้งหลายการปฏิบัติน่ะให้ถึงที่ถึงที่สุดแล้วไม่มีอะไรขัดข้องจะสร้างวัดแห่งใดแห่งหนึ่งไม่ต้องไปขออะไรที่ไหนหรอกเขาเอามาให้เขามาสร้างเองเขาดูอย่างนี้ไม่ต้องไปนั่งขออะไรเราทำดีเท่านั้นแหละมันไหลมาๆสร้างที่พักให้ที่เราอยู่นี้เราอยู่ด้วยบุญวาสนาบารมีของเราอยู่ด้วยการประพฤติปฏิบัติถ้าพระทะเลาะกันซิ พระไม่ถูกกันซิ สมภารขี้โลภ ชีทำอธิกรณ์วุ่นวายกันซิ มันจะมีอะไรกันล่ะ...ไม่มีหรอกประเดี๋ยวเขาก็จะเอาไฟมาจุดกระต๊อบน้อยๆเท่านั้นแหละ ให้เราเข้าใจเราอยู่ทุกวันนี้เราอยู่เพราะความดีของเราให้เข้าใจอย่างนั้น ทำให้มันดีขึ้นๆ ต้องช่วยกัน
ไปไหนไม่ค่อยอดอยากเพราะอะไร? เพราะความเสียสละ ถ้าเอาเข้ากระเป๋าหมด พวกชีก็ไม่ให้กินเลยพระก็ไม่ให้เลย อันนี้อาตมาเอามาแบ่งกันไปหมด สาขาไหนก็ตามแบ่งกันไป บางทีหยูกยาเขาเอามาถวายก็ให้ถวายองค์อื่นเสียให้ท่านไปฉันยาให้โรคท่านหาย อาตมาก็หาย ไม่ต้องฉันก็หายแล้ว มันได้บุญน่ะนี่ทำไม?
ในคราวหนึ่ง พระสารีบุตรกับพระโมคคัลลาน์ ไปจำพรรษาอยู่ในภูเขาน่ะ พระสารีบุตรนั้นท่านปวดท้องปวดจะเป็นจะตายเลย พระโมคคัลลาน์เลยถามว่า ท่านสารีบุตรท่านเคยเป็นโรคอย่างนี้มาไม๊?เคยเป็นครับ แต่ยังเป็นฆราวาสอยู่ ท่านฉันยาอะไรจึงหายนี่? โยมแม่ผมน่ะ ถ้าปวดท้องอย่างนี้จะต้องเอาถั่วเขียวบ้าง น้ำตาลบ้าง นมบ้าง อะไรบ้าง น้ำข้าวปายาสบ้าง กวนเข้าเอาให้ฉัน แล้วโรคท้องผมมันหายไป
พูดกันสององค์อยู่ภูเขา เทวดาฟังได้ยิน พอดีตอนกลางคืนจวนจะรุ่งเข้าไปหาทายกเทวดาจับคอทายกเอาหน้ามาไว้ข้างหลังพูดบ้าๆบอๆไป "มึงจะทำยาไปถวายท่านสารีบุตรไม๊ ถ้าไม่ทำยาไปถวายท่านสารีบุตรเอาให้ตายๆ" ทายกยอมแล้ว รับรองจะทำยาให้ พอดีหายขึ้นมาก็รีบเอาถั่วเขียวมากวนขึ้นตอนเช้าพระโมคคัลลาน์ไปบิณฑบาตพระสารีบุตรไม่ได้ไป ปวดท้อง ทายกใส่บาตรพระโมคคัลลาน์แล้วยกยาขึ้นว่า"ขอถวายให้ท่านสารีบุตรด้วย"
พอไปถึงวัด ท่านก็ยกยาไปถวายท่านสารีบุตร ท่านสารีบุตรเมื่อมองไปในบาตรเห็นอาหารที่พูดกันอยู่เมื่อคืนนี้ถั่วเขียวก็เห็น อะไรก็เห็นเหมือนเหมือนพูดทุกอย่าง ถูกหมด พระสารีบุตรตกใจเลยบอกว่า เออ...เอาละมันเป็น*วิญญัติ ไม่ได้บอกหา เปล่าหรอก...เป็นวิญญัติ ท่านว่าอาหารชนิดนี้ให้ท่านโมคคัลลาน์ไปเทลงพื้นปฐพีเสีย"ถึงแม้ว่าไส้ผมน่ะมันจะรั่วไหลเดี๋ยวนี้ ผมก็ฉันไม่ได้" นี่...ท่านรักษาอาบัติของท่านเพราะท่านได้พูดแล้วได้ยินถึงเทวดา พระโมคคัลลาน์ก็ยกยานั้นเทลงบนพื้นดินพอยาถึงแผ่นดินโรคท้องของพระสารีบุตรหายเลย เห็นไหม อันนี้มีอานิสงส์อย่างนี้ขนาดนี้แหละท่านปฏิบัติอย่างนั้นขนาดที่ท่านพูดกันสองต่อสองในภูเขานี่ เทวดาได้ยิน ได้ยาขนาดนั้นท่านยังไม่ยอมฉันเลยเพราะมันออกจากวิญญัติของท่านแล้วนี่...การรักษาศีลของท่านมันไกลกันกับทุกวันนี้

4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-3-15 11:56 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ทุกวันนี้ต้องสะพายย่ามไปขอเลยเห็นไหมพระไปขอเรี่ยไรตามตลาดนั้นน่ะห่างไกลกันมากที่สุดแหละการปฏิบัติต้องเป็นอย่างนี้ ให้จำไว้ในใจเรื่องบริสุทธิ์ต้องทำอย่างนี้ ไม่ตายพระพุทธองค์ว่าถ้าปฏิบัติ อุชุปฏิปันโน ญายะปฏิปันโน สามีจิปฏิปันโนน่ะ แล้วไม่ตายทำให้มันดีเถอะ วันนี้ฉันเสร็จแล้ว พรุ่งนี้จะฉันอะไร ไม่ต้องพูดถึง...มีไม่ต้องไปสะสมอะไรให้มันมากหรอก ถ้าทำความดีอันนั้นต้องดี ท่านบอกว่าถ้าใครไม่ให้ทานแก่ผู้ประพฤติชอบแล้วไม่ค่อยสบาย เจ็บศีรษะ อยากจะไปถวายจังหัน อยากจะไปกราบอยากจะไปไหว้ อยากจะไปอะไรต่างๆ เกิดขึ้นในจิตใจด้วยอำนาจอันนี้
ทุกๆคนให้พากันเข้าใจ สร้างความดีขึ้น ไม่ใช่สร้างความชั่ว เราบวชมาเป็นสมณะทุกคนพวกชีก็เป็นสมณะเข้ามาบวช พระ-เณร ก็ในนามสมณะ หน้าที่ของสมณะเป็นอย่างไร?ทางที่สมณะจะเดินไปอย่างหนึ่ง ทางที่สมณะไม่ควรจะเดินอย่างหนึ่งอัตต-กิลมถานุโยโคกามสุขัลลิกานุโยโคอันนี้ไม่ใช่ทางที่สมณะจะเดินไป อัตตกิลมถานุโยโคนี้ ทำตามอำนาจใจของเราเป็นอัตตาทำเปล่าๆทำไม่เกิดประโยชน์ ให้เราทนทุกข์ทรมานเปล่าๆ
เช่นว่าสมัยก่อนพระอะไร อยากจะให้เขาเลื่อมใส อยากจะได้เอกลาภมากๆ ก็มีความคิดขึ้นในใจฝึกฉันคูถ*เจ้าของ ฉันคูถ ไม่ต้องฉันข้าว ไม่ไปบิณฑบาตกับเขาแล้ว อยู่ในวัด



พระเณรไปบิณฑบาต พระองค์นี้ไม่ไป พอเพื่อนไปบิณฑบาตแล้วก็ไปกินมูตร*กินคูถเหมือนหมูพอเพื่อนออกมาแล้วก็สบาย ว่าเราไม่ต้องฉันข้าวก็อยู่ได้ อยู่ตั้ง ๓ พรรษาฉันอยู่ได้เพื่อให้เขาเลื่อมใส
เมื่อเขาเห็นปฏิกิริยานี้แล้ว เขาไล่ไปอีกบ้านหนึ่ง มีแนวหินยาวๆ ชาวบ้านทั้งหลายก็ไปถ่ายมูตร-คูถอยู่ตรงนั้นก็ไปยืนตรงนั้นแหละ ยืนขาเดียว อ้าปากขึ้นบนฟ้า ไม่ต้องทำอะไร บอกว่ากินอากาศกินน้ำค้าง แน่ะ...วิธีของเขา แต่เมื่อคนไปแล้วก็หยุดยืนสองขา เมื่อคนมาก็ยืนขาเดียวอ้าปากใครๆก็ว่าสมณะองค์นี้แปลก ยืนขาเดียวเท่านั้น กินน้ำค้างอยู่ได้ตั้งหลายๆเดือนแปลกเหมือนกันนะ แต่เมื่อคนหนีไปแล้ว ก็หากินมูตรกินคูถอยู่ตรงนั้นเหมือนสุนัขพระพุทธองค์ของเราพิจารณาว่า พระองค์นี้ถ้าเราไม่ไปให้ความเห็น จะเป็นกรรมไปหลายกัปป์หลายชาติหลอกลวงเขา แต่ก่อนก็เคยหลอกมาแล้ว ชาตินี้ก็หลอกลวงเขาอีกพอดีพระพุทธองค์ไปถึงตั้งใจไปโปรดไปกับพระอานนท์ พอไปถึงก็ว่า "สมณะองค์นี้ท่านไม่มีอะไรเลยในใจของท่าน ท่านโกหกชาวบ้านเขาทั้งนั้นไม่ใช่แต่ชาตินี้ ชาติก่อนท่านก็โกหกเขามา ถ้าท่านทำอย่างนี้ท่านจะเป็นบาปกรรมอยู่ตลอดเวลาตถาคตมาให้ความเห็นท่าน" พระพุทธเจ้าเทศน์ไป ถูกหมดในใจของเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆสมัยก่อนพระไปบิณฑบาต ท่านเอาขี้ไปใส่บาตรพระ เกิดมาชาตินี้เลยได้กินขี้เป็นอาหารเห็นไหมกรรมนี้ท่านว่า ท่านต้องหยุดท่านต้องเลิกเดี๋ยวนี้...ฯลฯ...

ธรรมบรรยายอบรมชีณวัดหนองป่าพงเมื่อ ๒๑ มกราคม ๒๕๒๓

ที่มา http://www.ubu.ac.th/wat/ebooks/ ... hin_Right_View.html

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้