ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

เก็บเล็กผสมน้อยร้อยความทรงจำ

[คัดลอกลิงก์]
31#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-3-6 22:48 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
รีวิว...ทริปตะลุยเขมร(ภาคซ้อมมือ...ม่ายมีภาพปลากรอบ)
...
ซัวซไดย....ใครที่คิดว่าการเดินทางไปเขมรเป็นเรื่องลำเค็ญ...ฮ่าห์!!!!
ผมก็ว่ามันลำเค็ญอยู่นะฮะ  อย่างน้อยถ้าเรานั่งรถตู้เราก็จะรู้สึกว่าก้นเรา
มันหายไป...ลองเอามือคลำดู..เฮ้! ก้อยังอยู่นี่นา
...
มรดกทางวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่...เป็นมรดกโลก...เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศ
จรรย์ของโลก  แถมอยู่ใกล้บ้านเราสุด ๆ  ถ้าไม่ไปก็คงไม่ได้แว้วว...ฝันที่
เป็นจริง  คศช.มาพร้อมกับรถเข็น...เอ๊ย! ม่ายช่าย...มาเติมเต็มความฝัน
ตั้งแต่เด็ก ๆ  ที่วาดภาพปราสาทหินผลุบ ๆ โผล่ ๆ ตรงนั้นตรงนี้อยู่ในป่าทึบ
มีเสือกับหมีคอยแอบดูเราอยู่เวลาที่เราตะเกียกตะกายขึ้นบันได..ประมาณนั้น
...
รู้ตัวว่าจะไปเมืองนอก  สิ่งแรกที่ทำก็คือ งัดรองเท้าวิ่งออกมาปัดฝุ่นวิ่งเช้าวิ่ง
เย็นก่อนถึงวันไปอยู่หนึ่งอาทิตย์  สามวันแรกแทบจะคลานขึ้นบันได(บ้านคนอื่น)
พอวันที่สี่ที่ห้าเริ่มดีขึ้น  พอครบเจ็ดวันก็เผาเรยย์  ...ฟิตเปรี้ยะ!! ตะหาก
ลองหาปิ๊ปจะมาเตะวัดพลังก็หาไม่ได้  ได้แต่ไล่เตะหมาที่บ้านแทน...มันก็ไม่
ยอมให้เตะวิ่งไล่จนหอบเหมือนหมาแร้ว..คิดเอาว่า...ร่างกายพร้อมฝุด ๆ
...
เตรียมเก็บข้าวของยัดใส่กระเป๋า  ไปคราวนี้เอารองเท้าผ้าใบกะลุยเต็มที่ รองเท้า
แตะเอาไว้เตรียมใส่เวลานอนในวัด  จัดชุดพระพร้อมเครื่องรางของหลวงปู่กะ
ท่านอาจารย์ไปพอประมาณ(อันนี้เป็นพฤติกรรมเลียนแบบนะครับ...ศิษย์พี่ ๆ ของ
ผมแต่ละท่านมีกันคนละไม่ใช่น้อย ๆ )...พร้อมเสร็จสรรพแบกกระเป๋าเหมือน
คนบ้าเดินทางเข้ากรุงเทพฯ มุ่งสู่สำนัก  กราบสวัสดีท่านอาจารย์สรายุทธ พี่จ๊อและ
เข้าไปกราบหลวงปู่ชื่น(ขอให้ลูกหลานเดินทางปลอดภัยนะค๊าบ!!!)  ก่อนเตรียม
พร้อมออกเดินทางได้....เล็ทโก..น๋าวววว!!!!

คณะเดินทางของ คศช. คราวนี้นำโดยท่านอาจารย์ศรายุทธ,พี่จ๊อ,เจ๊น้ำ,พี่นก
พี่เพชร,พี่วุ่น,ผม...แล้วก้อน้องโอมมหารวย(มาทีหลังก้อเป็นน้องป๋มไปตาม
ระเบียบนะฮะ) รวมกับพระอาจารย์ธรรมรัตน์ด้วยก็ลงที่เลข 9 พอดีเป๊ะเรยย์เป็น
ทริปมงคลจริง ๆ
...
เดินทางมาถึงด่านชายแดนที่บุรีรัมย์ต้องผ่านพิธีข้ามแดนกันตามธรรมเนียมเสีย
ก่อน  เป็นอะไรที่ค่อนข้างง่าย ๆ สบาย ๆ ขอเพียงคุณมีพาสพอร์ตเท่านั้น  กรอก
ข้อมูลลงบนกระดาษสองสามจึ่กก! ก็เรียบร้อยเดินแบกกระเป๋าข้ามชายแดนไปขึ้น
รถตู้ที่มารับจากฝั่งเขมรได้เลย  เท่าที่สังเกตดูจะเห็นได้ว่าด่านบริเวณนี้ไม่ค่อยเข้ม
งวดตรวจตราอะไรมากนัก  ถ้าเราเดินทางผ่านสนามบินน่าจะเข้มงวดมากกว่าเดินทาง
โดยรถตู้ครับ  ส่วนเส้นทางที่สะดวกจริง ๆ ผมว่าน่าจะเป็นเส้นทางตามด่านใหญ่ ๆ  
เพราะเขาจะมีรถตู้วิ่งรับ-ส่งไปตามเมืองใหญ่ ๆ  เหมือนคิวรถตู้ในบ้านเรา  แต่ถ้าเป็น
ด่านเล็ก  ๆ ก็คงจะต้องนัดรถฝั่งขะโน้นมารับกันเอง...ประมาณนั้น
...
นั่งรถกันตูดบิดต่อไปอีกประมาณสองชั่วโมง  ทิวทัศน์ข้างทางก็เหมือนบ้านนอกของ
ไทยเรานี่หละครับ  ทุ่งนา,วัว,ควาย...ดูกันไปพอเพลิน ๆ ยังไม่ถึงกับเห็นควายยิ้ม
นึกภาพถึงสมัยก่อนแถวนี้เคยเป็นป่าแล้วก็เกิดการตัดไม้แบบมโหฬารบานตะไทจน
กลายเป็นทุ่งสุดสายตา  ดูมันแล้ง ๆ ชอบกลอยู่นะครับ  แต่สังเกตได้อย่างหนึ่งว่าเค้า
มีคลองส่งน้ำลัดเลาะไปตามถนนตลอดทาง  ดูเหมือนเชื่อมกันอยู่ตลอด บางแห่งน้ำ
ก็แห้ง บางแห่งก็ยังมีน้ำขังอยู่ น่าจะเป็นระบบชลประทานแบบหนึ่งของเค้าที่แลดูเข้า
ท่าเข้าทางอยู่นะครับ  ส่วนถนนนะเหรอ...สมัยก่อนที่เค้าบอกนั่งหัวสั่นหัวคลอนนะมัน
คงจะเป็นหลายสิบปีที่แล้ว  มาถึงตอนนี้เป็นถนนราดยางอย่างดี  รถวิ่งสะดวกทำเวลา
ได้ดีพอสมควรเลยครับ  พวงมาลัยฝั่งขะโน้นเป็นพวงมาลัยซ้าย เค้าอนุญาตให้เราเอา
รถเข้าไปได้ก็จริง(เข้าไปถึงไหนไม่รู้) แต่ผมว่านั่งรถที่จ้างทางฝั่งเขมรจะสะดวกมาก
กว่าครับ...เที่ยวกันแบบสบาย ๆ
32#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-3-6 22:49 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ตกเข้าช่วงบ่ายรถตู้ที่พาเรามาเริ่มจะเข้าเขตเสียมเรียบแล้ว  ถนนภายในเขตนี้จะเริ่มรู้
สึกได้ว่าแคบลง  บางครั้งดูเหมือนไม่มีไหล่ถนน  รถวิ่งสวนกันดูหวาดเสียวมิใช่น้อย
รถจักรยาน-มอเตอร์ไซค์ก็ขี่กันประมาณตามใจฉัน  คนขับรถต้องอาศัยจังหวะแซงเอา
หรือม่ายก็บีบแตรไล่กันบ้าง  พอเริ่มเข้าตัวเมืองเริ่มจะมีต้นไม้ใหญ่ ๆ  แลดูร่มรื่นขึ้นมาก
เลย เป็นลักษณะของไม้ใหญ่มาก  ถนนคดเคี้ยวไปตามหมู่ไม้เหล่านี้หละครับ...รถจอด
ครั้งแรกก็เป็นที่ "สระสรง" โชเฟอร์บอกจอดเข้าห้องน้ำ  พวกเราก็เลยเข้าห้องน้ำแล้ว
เดินมาดู "สระสรง"  ที่เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ไม่มีวันแห้ง แลดูน้ำตื้น ๆ นะครับอาจจะ
เป็นเพราะว่าอยู่ช่วงหน้าแล้งกระมัง
...
ออกจาก "สระสรง" ลัดเลาะมาตามหมู่ไม้เริ่มเห็นเงาโบราณสถานวอบ ๆ แวม ๆ ตาเริ่ม
จะโตแระ  เพ่งมองแบบใช้กระแสจิตหวังจะมองทะลุป่าจะได้เห็นตัวปราสาท  ตอนนี้
ท่านอาจารย์ธรรมรัตน์จะพาเราหาที่พักก่อนเพื่อเก็บสัมภาระ  แล้วจะได้มีเวลาออกทัวร์
กันแบบสบายใจ  พระอาจารย์บอกกับพวกเราว่าในเมืองนั้นน่ะเทียบกับไทยแล้วก็เหมือน
เมืองเชียงใหม่นั่นหละ(โอ๊ว..ว้าววว!!!  นึกในใจว่ามันจะขนาดนั้นเลยเหรอ..แอบไม่เชื่อ
นะครับ)  
...
รถเริ่มพาเราเข้าตัวเมือง  เริ่มเห็นตึกรามบ้านช่อง เออ...เริ่มรู้สึกว่ามันเป็นเมือง ๆ หนึ่งนะ
ไม่ใช่ป่านี่หว่า  ขับรถตะลุยเมืองมาเรื่อย ๆ  เฮ้ย! ร้านพิซซ่าฮัท, KFC,ซเวนเซ่น นึกในใจ
ว่าไม่อดตายแล้ว  แต่ก็ยังดูเล็กกว่าเมืองเชียงใหม่อยู่ดีนั่นแหละน่าถึงจะดูมีทุกอย่างที่ทัน
สมัยครบก็เหอะ  พอมาถึงโรงแรมรถตู้ก็จอดให้เราไปจัดการต่อรองราคา ฟุตฟิตฟอไฟตกกะ
ไดขาหักกันเสร็จ  ประมาณแร้วเราต้องจ่ายค่าห้องพักโดยเฉลี่ยคนละ 300 ก่า ๆ ต่อคืนถ้า
จะให้ดาวตามประสาผม ก็คงเป็นโรงแรมสองดาวได้หละมั้งครับ  จากการสำรวจของคุณโอม
และเหล่าพี่น้องสรุปได้ว่า  โรงแรมในเมืองนี้มีเยอะมากจนน่าจะเกินความต้องการของตลาด
ตอบสนองต่อผู้เข้าพักได้หลายระดับ  สุดแต่นักท่องเที่ยวจะสรรหาครับ นับว่าเป็นเรื่องดี ๆ
ในเมืองนี้เลยเชียว เราจ่ายค่าที่พักกันเป็นเงินดอลล์ครับ
...
ตอนที่ไปค่าเงินไทยที่ผูกอยู่กับดอลล่าร์แข็งค่าขึ้น  ถ้าแลกไปจากเมืองไทยจะถือว่าได้ถูก
กว่าเราไปแลกที่โน่นครับ  มาแลกที่เขมรก็จะแพงขึ้นนิดหน่อย  ใช้จ่ายเป็นดอลล์จะได้เปรียบ
เพราะการแข็งของค่าเงิน สะดวกเพราะใช้จ่ายได้ทุก ๆ ที่  แต่ก็ควรมีเงินเรียลติดไม้ติดมือไว้
เพื่อใช้ตามเขตรอบนอกนะครับจะได้ไม่ต้องทอนเงินให้ยุ่งยากเวลาใช้ดอลล่าร์  ส่วนเงินไทย
ใช้ได้บ้าง แต่เหรียญสิบใช้ไม่ได้นะค๊าบ
...
มาถึงตรงนี้เริ่มมองเห็นภาพราง ๆ กันบ้างหรือยังครับ...เมืองแห่งมรดกโลกที่มีที่พักในราคาที่
คุณหรือใคร ๆ ก็ไปพักได้ ค่าใช้จ่ายอาหารการกินก็แพงแบบเมืองท่องเที่ยว เพราะใช้เงินสกุล
ดอลล่าร์เป็นหลัก  ถ้าคุณฉลาดรู้จักพูดภาษาอังกฤษได้นิด ๆ หน่อย ๆ พอรู้เรื่องแบบนักท่อง
เที่ยว  อยู่ติดเมืองไทยแบบนั่งเครื่องบินชั่วโมงก่า ๆ ถึงหรือโดยสารรถตู้ก็สะดวกสบายในระดับ
หนึ่ง  จับกลุ่มกันหลายคนไปเที่ยวแบบสามวันสองคืนผมจัดงบประมาณให้แบบสบาย ๆ ตกคนละ
ประมาณ 5,000.- บาทเท่านั้น(ถ้านั่งเครื่องบินโลว์คอสต์มีหมื่นก็น่าจะพออ่ะนะ)  ไอ้ห้าพันนี่ถ้า
วางแผนดี ๆ ผมว่าเงินเหลืออ่ะนะ.

จากที่มีเค้าลางว่าจะต้องนอนวัด...กลายเป็นโรงแรมห้องแอร์ มีสระว่ายน้ำ ไวไฟ...แถมฟรีอาหาร
เช้าอีกตะหากในราคาที่คุณประทับใจ มีกะลังใจเพิ่มขึ้นมาเห็น ๆ นอนกลิ้งตากแอร์กันพักใหญ่อาบ
น้ำอาบท่าให้สดชื่น  รถตู้ก็มารับเราพาวิ่งทะลุเมืองจุดหมายวิ่งไปยังนครวัด  ตอนนั้นล่วงเลยมาถึง
ประมาณห้าโมงเย็นกว่า ๆ แล้วครับ  รถตู้พาเราไปจอดที่วัดบริเวณข้างปราสาท เดินออกมา...อู้หู้???
คนเต็มไปหมดเรยย์  เค้ารออะไรกันเนี้ยะ???  ตอนนี้เริ่มมีมาดเป็นนักท่องเที่ยวกะเค้าแระ คว้า
กล้องมาถ่ายรูปมั่งสิ  สังเกตไปสังเกตมา...พวกนี้รอดูพระอาทิตย์ตกที่ตัวปราสาทครับประมาณว่า
ดูงดงามได้บรรยากาศเหมือนพันปีที่แร้ว   นอกจากเราจะเห็นฟ้าหรั่งมังค่าแร้ว...คุณ
จะเห็นสาว ๆ ชาวเกาหลี-ญี่ปุ่น  เดินกันให้ขวักไขว่ดูลานตาไปโม้ดดด  เป็นสวรรค์ทางสายตาจิง ๆ
แปลกแต่จริงผมสังเกตดูหลายครั้งแระ  ทางยุโรปชอบมาเป็นคู่ชาย-หญิง  แต่ทางเอเชียดูเหมือนจะ
มีแต่สาว ๆ มากันเป็นคู่ ๆ หรือหลาย ๆ คนเป็นกรุ๊ป  บางครั้งก็มีผู้ชายปะปนมาด้วยนิดหน่อย...น่าสน
ใจมากจริง ๆ
...
มัวแต่มองดูสาว ๆ เพลินพระอาจารย์กะท่านอาจารย์เดินนำพวกเราลิ่วไปยังห้องปราสาททางด้านทิศ
ตะวันตก  แข่งกับพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับจากขอบฟ้า  ทำเอาเดินจ้ำอ้าวตามอาจารย์กันแทบจะไม่
ทันทีเดียว  คนเยอะจริง ๆ นะครับ  ถ้าเราคลาดสายตาจากหมู่คณะอาจจะหากันไม่เจอได้...ขนาดนั้น
...
พอขึ้นถึงห้องปราสาทที่หมายตาไว้  ดูเหมือนจะมีคนเดินเข้าออกตลอดเวลา  พอคณะของพวกเรา
เดินมาถึงก็แลดูเหมือนจะเป็นจังหวะที่ปลอดคนอย่างน่าประหลาดใจ  ผมเดินตามเข้ามาทีหลังพี่ ๆ
น้อง ๆ คศช.เลยครับ  เท้าที่ก้าวขึ้นบันไดขั้นสุดท้าย เมื่อทอดสายตามองเข้าไปในตัวปราสาทก็จะ
เห็นรูปสลักหินที่ยืนหันพระพักตร์ไปทางพระอาทิตย์อัศดง  แสงเงาที่สาดเข้ามาทำให้เบื้องหลังของ
ท่านแลดูมีพลังอย่างบอกไม่ถูก  มาถึงตอนนี้พี่ ๆ น้อง ๆ หลายคนที่อ่านอยู่คงจะเดาได้แล้วว่าสิ่งที่
ผมเห็นนั้นก็คือ องค์อัฎฐะกรเทวราช ที่สถิตย์อยู่กลางใจของเหล่า
พี่ ๆ น้อง  ๆ ของเรานี่เอง.
33#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-3-6 22:50 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ครั้นก้าวเดินไปยังเยื้องเบื้องหน้าพระพักตร์องค์ท่าน  แสงอาทิตย์สีทองยามเย็นที่ตกกระทบ
องค์อัฎฐะกรเทวราชนั้นแลดูราวกับท่านมีชีวิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง พระพักตร์ที่แย้มยิ้มของ
ท่านแสดงถึงความเมตตาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้  เหล่าสมาชิกคณะคศช. ต่างก็แสดงความ
เคารพและสักการะแด่องค์ท่านด้วยความเคารพ  ศิษย์พี่ต่างก็ช่วยกันจัดเตรียมพิธีบวงสรวง
ต่อหน้าพระพักตร์ของท่านแข่งกับเวลา  ความรู้สึกของผม ณ ห้องในปราสาทแห่งนั้นเหมือน
กาลเวลาจะเดินผ่านไปอย่างช้า ๆ  บางเวลามีผู้คนเดินผ่านพวกเราไปมา  แต่ก็รู้สึกถึงความ
สงบที่กระจายอยู่ทั่วทุกซอกทุกมุมในองค์ปราสาท  เมื่อเสร็จพิธีท่านอาจารย์ได้พนมมือโดย
ศีรษะแนบสัมผัสกับองค์ท่านอยู่ซักครู่ใหญ่ เป็นแบบอย่างให้เหล่าศิษย์คศช.กระทำตามบ้าง
...
ใครรู้สึกอย่างไรผมมิอาจทราบได้แต่สัมผัสแรกที่ได้สัมผัสองค์ท่านนั้น ผมรับรู้ได้ถึงพลังจริง ๆ
(ทัวร์คราวนี้เราต้องจับนู่นนิดนี่หน่อยเป็นประจำครับ...อดใจไม่ได้บ้าง...ด้วยความศรัทธาบ้าง)
เนื้อหินที่ดำมันเป็นเงาแสดงถึงความศรัทธาที่หลาย ๆ คนกระทำการสักการะในแบบเดียวอย่าง
ที่เราทำ  พลังที่สัมผัสเป็นพลังที่รับรู้ได้แต่ไร้ซึ่งคำบรรยาย...ขออนุญาตใช้คำพูดว่า "ต้องไป
รับรู้ด้วยตัวท่านเองเท่านั้นครับ"  นี่เป็นความประทับใจครั้งแรกในทริปนี้ของผม.

อะแฮ่ม!...เขียนมาก ๆ ชักฝืดคอต้องหาน้ำมาแก้กระหายกันหน่อย  เดินออกมาตาม
ทางที่ปูหินก้อนใหญ่ ๆ ปะเข้ากับคนขายน้ำตาลสด  มีกระบอกไม้ไผ่ใหญ่ ๆ ใส่น้ำตาล
เป็นเครื่องยืนยันวิทยฐานะ  เหล่าคศช. ไม่รอช้าล้อมวงเข้ามาในทันใด...ด้วยความ
อยากรู้ว่าน้ำตาลสดเขมรจะสู้ของไทยได้หรือป่าว???  พอถึงคิวผมซดเข้าไปอึกใหญ่
รสชาติหวานแบบปะแล่ม ๆ เจือด้วยรสของไม้ที่ใส่เข้าไปในกระบอกไม่ทราบว่าเป็นตะ
เคียนหรือไม้พะยอม ไอ้ที่แน่ ๆ มันมีดีกรีซะด้วยจิคับ  อาจจะเป็นเพราะอากาศที่ร้อน
อบอ้าวทำให้เกิดกระบวนการดังกล่าวขึ้น  แต่ยังไม่เข้มข้นนักน่าจะซัก 2-3 ดีกรี
จิบกันไปคุยกันไปพอหายเหนื่อย  ก่อนออกจากตัวปราสาทกลับไปยังรถ  ผมมองดูภาพ
ปราสาทที่เริ่มสลัวรางอยู่ในความมืด  พร้อมกับหมายหมั้นปั้นมือ...ฝากไว้ก่อนเถิด...พรุ่ง
นี้เราคงจะได้เจอกัน
...
รถตู้พาเราวิ่งเข้าเมืองมา  เริ่มเห็นแสงสีแล้วครับ  ในเมืองคนเยอะมากรู้สึกว่าจะเป็นวัน
สำคัญวันหนึ่งของชาวเขมร  หลายครั้งที่เรานั่งรถตู้ผ่านบ้านที่กำลังจัดพิธีแต่งงานกันถือ
ว่าวันนี้เป็นวันดีจริง ๆ ครับ  หลวงพ่อธรรมรัตน์พาเราไปไหว้สักการะ องค์เจ็กองค์จอมที่
ศาลอยู่ประมาณว่าใจกลางเมืองเลยครับ  คนเยอะมาก...เนื่องจากเป็นวันดีอย่างที่ว่าหละ
ครับ  ถัดมาจากนั้นไม่ไกลก็เป็นที่ตั้งศาลของย่าดำ  ดูจากรูปยังไม่รู้สึกเท่าไหร่ครับ แต่
ถ้าไปสักการะท่านแล้ว  ก็แลดูจะหวาดเสียวเล็กน้อยเพราะศาลท่านทำเลที่ตั้งคล้ายกับ
เกาะกลางถนนยังไงยังงั้นเลย  เนื่องจากเป็นศาลที่ไม่ใหญ่มากนักและมีรถวิ่งผ่านตลอด
เวลา ก็ทำให้ดูตื่นเต้นดีนะครับ
...
นั่งรถตู้เข้าเมืองยังไม่ทันไร  คนขับจะพาไปนั่งกินอาหารแบบบุพเฟ่ซะแร้ว...หัวละ 350.-
รึเปล่าจำไม่ได้เพราะไม่ได้กิน...555  ตัดสินใจกันไปกินกันข้างหน้าดีก่า  เข้าเมืองมา
เรื่อย ๆ ชักจะเริ่มคุ้นตาว่าตอนบ่ายก็ผ่านทางนี้นี่นา  ขอลงเดินดีกว่ารถตู้จะไปไหนก็ไป..ไป๊!
ร้อนวิชาแร้วคับ  พากันลงเดิน  เดินกันอยู่พักใหญ่พอเพลิน ๆ เหงื่อท่วมหลัง ก็มาเจอร้าน
อาหารตามสั่งไม่ไกลจากที่พักนัก  กินกันแบบง่าย ๆ ก็เป็นข้าวผัด,น้ำปั่น...เย็นชื่นใจด้วย
ราคาจ่ายกันเป็นดอลล์ ข้าวผัดนี่น่าจะจานหละ 1.5 ดอลล์ น้ำปั่นแก้วหละ 1 ดอลล์อ่ะมั้งคับ
จำไม่ได้แหล่ว  เงิน ๆ ทอง ๆ ชอบนึกไม่ออกนะเนี้ยะ  กินกันไปพวกเราต่างก็เมียงมองกัน
ตัวตลาดที่อยู่ตรงข้ามฝั่งถนน  มาถึงตอนนี้แล้วที่หลวงพ่อท่านว่าคล้ายกับเมืองเชียงใหม่นี่ผม
ว่าใกล้จะเป็นแบบถนนข้าวสารในเมืองกรุงของบ้านเราแล้วครับ  " PUB STREET" ที่เป็นป้าย
ไฟ ช่างเย้ายวนใจศิษย์พี่ศิษย์น้องและตัวผมยิ่งนัก...เอาไว้ก่อนน่ากลับที่พักตั้งหลักกัน
ซะก่อน.
34#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-3-6 22:50 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
นอนกระดิกเท้าตากแอร์พอหายเหนื่อย  เหล่าลูกศิษย์คศช. ก็พากันรวมตัวเพื่อปฏิบัติ
ภารกิจลับยามค่ำคืน...อา....ราตรีนี้ช่างยาวนาน  ร้านรวงต่างก็พากันเปิดแสงสีดึงดูด
ใจเหล่าแมลงเม่าตาดำ ๆ อย่างเรา  ให้พากันเดินตูดบิดไปบิดมา  ดูร้านนี้..ร้านโน้น...
ร้านนั้น...โฮ้ย!!!จะเดินอะไรกันนักหนาไม่เข้าไปนั่งกันซักทีนึง   ...แบบว่าส่วนมาก
เป็นร้านเหล้าแบบถนนข้าวสารนี่หละฮะ  เดินไปคุณจะเห็นถนนเป็นสี่แยกร้านก็กระจัดกระ
จายตามแยกต่าง ๆ ไป  แสงสีตระการตา  แต่เหล่าคศช.มองตาปริบ ๆ เพราะไม่มีใคร
เดินนำ...เอ๊ย!!ไม่มีใครกินเหล้า ประมาณนั้น(คิดถึงพี่ตี๋กับพี่สุริยาจังเลยค๊าบ)
...
เดินดูบรรยากาศกันจนเหนื่อยจนไปนั่งพักกันที่ร้านไอติม กินนู่นกินนี่เล็ก ๆ น้อย ๆ ผลสุด
ท้ายมาจบที่ร้านนวดข้างๆ โรงแรมที่พัก...มีไวไฟด้วยนะทันสมัยป่ะหละ  นักท่องเที่ยวก็
นวดกันไปเล่นไอแพดกันไป  สมาชิกบางท่านนวดทั้งตัว,บางท่านก็แค่นาบ...อร๊ายยย??
นวดเฉพาะขา  นอนเรียงกันหน้าสลอนเลยฮะ  เจ้าของร้านเป็นสาวสวยเฉี่ยวไฉไลทันสมัย
ฝุด ๆ เลยค๊าบ  ส่วนพนักงานนวดก็มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย  ผมเองเป็นพนักงานนวดผู้ชายฮะ
นวดกันสุดตัวไปเรยยย์  เค้าค่อย ๆ นวดเริ่มจากเท้าก่อนครับ แล้วก็ค่อย ๆ ไล่ขึ้นมาข้าง
บนเรื่อย ๆ ...เรื่อย ๆ ...อืม...เวลาเราหลับตาแล้วมีมือมาลูบ ๆ คลำ ๆ ตัวมันสบายยังงี้เอง
เนาะ!  แต่ทำไมยิ่งนวดมันยิ่งสูงขึ้นหว่า  แสดงว่าวิชาเค้าไม่เหมือนวิชาของไทยต้องเปิด
ใจให้กว้างรับรู้สิ่งใหม่ ๆ นะฮะ  ก่อนที่จะจบคอร์ส มือก็มาสัมผัสกับใบหน้าของเรา  นวดตรง
นู้น  ปาดตรงนั้น ขยี้ตรงนี้...อั้ยย่ะห์...นี่มันหน้าป๋มนะค๊าบบ  พี่พนักงานเล่นนวดเท้าแล้ว
มานวดหน้านี่คนไทยเค้าถือกันนะค๊าบ...อารมณ์เสียแระ  มีพี่นกนี่หละที่รู้ทันไม่
ยอมให้เค้าล่วงเกิน
...
กลับมานอนพักผ่อนด้วยความผ่อนคลาย...คืนนี้ฝันถึงใครดีนะเออ....อาเจ๊เจ้าของร้านนวด
ดีป่ะ   แต่ว่าราตรีนี้ยังยาวนานสำหรับใครบางคนอีกนะครับ  ไม่ยอมกลับไม่ยอมหลับไม่
ยอมนอนทำตัวน่าสงสัยฝุด ๆ  ตลอดทริปการเดินทางในยามค่ำคืน...ไม่นานครับเราจะได้
รู้กัน...คืนนี้ฝันดีทุกคนนะค๊าบ...ราตรีสวัสดิ์ เรียห์เตรย ซัวสเดย.
ก่อนจะตื่นมายามเช้าเพื่อเตรียมตัวตะลุยปราสาทกันทั้งวันนั้น  ต้องมาทำฟามเข้าจัยกันเล็ก ๆ น้อย ๆ
ซักหน่อยนะฮะ จะเที่ยวโบราณสถานให้สนุกและมีความสุขนั้น คุณจะต้องมีความรู้ติดไม้ติดมือติดหัว
สมอง ๆ น้อย ๆ ไปซักกะหน่อย  เพราะความยิ่งใหญ่ของตัวโบราณสถานนั้น ๆ เอง ย่อมมีรายละเอียด
เยอะแยะมากมาย  ถ้ารู้นู่นนิดนี่หน่อย  จับมาผสมรวม ๆ กันจะเที่ยวได้สนุกยิ่งขึ้นครับ  ความรู้ปราสาท
เมืองเขมรของป๋มก็ประมาณหางอึ่ง  เทียบท่านอาจารย์กับพี่เพชรมะได้  แต่จะขอเท้าความแบบอึ่ง ๆ
ซักกะติ๊ดพาดย้อนอดีตกันไปไกล ๆ ก่าเดิมซักหน่อย...เอาสนุกนะฮะ
...
ย้อนไปถึงยุคแรก ๆ ของอินตระเดีย นับกันจริง ๆ แบบคศช. คงต้องมาเริ่มกันที่ "ยุคพระเวท"  ที่มี
เหล่าพราหมณ์เป็นเจ้าพิธี  ติดต่อบวงสรวงเทพเจ้าที่ถือกำเนิดมาจากธรรมชาติ  ต้องมีการบูชายัญ
กันว่างั้นเถอะ  นักบวชหรือเหล่าพราหมณ์นี่จะต้องกล่าวคำบูชาหรือ "โศลก" อ่านโองการสรรเสริญ
เทพเจ้า  เกิดเป็นคัมภีร์พระเวทขึ้นมา  ไม่ว่าจะเป็น "ฤคเวท" ,"ยชุรเวท",หรือ สามเวท  รวมกัน
เรียกว่า "คัมภีร์ไตรเพท" ครับ  เชื้อสายที่ครองความยิ่งใหญ่ในยุคนั้นเป็นเชื้อสาย "เผ่าอารยัน" ที่
ฮิตเลอร์หลงไหลนั่นเอง
...
ยุคแรกเริ่มเดิมทีอาจจะสับสนกันนิดหน่อย  ข้อมูลทางวิชาการหากันไม่ค่อยจะครบหรอกครับ  มี
หลายสาย หลายวิชาที่ถือว่าเป็นความลับ  มาเป็นรูปเป็นร่างกันจริง ๆ ตอนที่เกิดสงครามระหว่าง
พวกปานฑปกับพวกเการพที่เค้าเรียกว่า "มหาภารตยุทธ"   เหล่านักบวชได้นำเอาสงครามครั้งนี้
มาจดเอาไว้  เล่าขานถึงวิธีการต่อสู้ การใช้เวทย์มนต์คาถา  จนมากลายเป็นคัมภีร์ที่สี่ "อาถรรพ์เวท"
...
ยุคถัดจากมหาภารตยุทธพวกพราหมณ์รุ่งเรืองถึงขีดสุด แตกแยกแขนงออกไปเป็นศาสนาฮินดูที่
นับถือและบูชาเทพเจ้าอย่างชัดเจน ซึ่งก็คือ พระพรหม,พระวิษณุ,และพระศิวะ  กลายเป็นอักขระ
ยอดฮิต อ,อุ,ม  รวมเป็นคำศักดิ์สิทธิ์เรียกว่า "โอม"...แทนพระนาม "ตรีมูรติ"
...
ยุคนั้นนิกายที่โด่งดังมีสองนิกายครับ คือ "ไศวะนิกาย่" และ "วิษณุนิกาย"    พวกที่นับถือพระศิวะ
นั้นจะอยู่ในตอนกลางของประเทศอินเดีย  ส่วนพวกนับถือพระวิษณุนั้นจะอยู่ทางอินเดียตอนล่าง...
ส่วนประวัติความเป็นมาของเทพทั้งสามนั้นพี่ ๆ คงจะคุ้นเคยกันดี...เชิญหาอ่านกันตามสะดวกเลยครับ
แน่นอนครับ ความนับถือในนิกายเหล่านี้ต่างถ่ายทอดผ่านการเดินทางมายังดินแดนสุวรรณภูมิจนเกิด
กลายเป็นสรรพวิชาและมรดกโลกชิ้นงามในปัจจุบัน
...
ในอินเดียสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้านั้นมีมากมายมหาศาลใหญ่โต ที่ยังสมบูรณ์อยู่
ก็มีเป็นจำนวนมาก  ผมดูความงดงามของปราสาทในอินเดียแล้วหันมาชมของนครวัด-นครธมก็ล้วน
แล้วเป็นการสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมต่อ  ๆ กันมานี่เองครับ  ...พอจะมองเห็นภาพรวมกันบ้างไหม
เอ่ย???
35#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-3-6 22:52 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เสียงเคาะประตูดังลั่นเข้ามาในความรู้สึก สมาชิกร่วมห้องดีดตัวขึ้นจากเตียงแทบจะพร้อม ๆ กัน
เปิดประตูออกมาเป็นพี่วุ่นนี่เองมาเคาะปลุก เพราะถึงเวลานัดแล้วแต่ห้องนี้ยังม่ายตื่น:L  ชีวิตวุ่น
วายมากครับกับการอาบน้ำทำเวลาอย่างรวดเร็ว แล้วลงมานั่งรอรถตู้ที่นัดเอาไว้ยามเช้าตรงล๊อบบี้
ของโรงแรมกันหน้าสลอน  โรงแรมเห็นเราจะออกเดินทางแต่เช้าไม่รับอาหารเช้าฟรีก็ยังใจดีจัด
กล่องอาหารว่างแบบเบา ๆ ให้พวกเราไปกินกันบนรถซะอีกแน่ะ
...
เนื่องจากวันนี้เราต้องเข้าไปเยี่ยมชมหลายปราสาทมาก...มากจริง ๆ ;P ผิดพลาดประการใดขอ
อำไพทุก ๆ ท่านมา ณ โอกาสนี้ครับ  การทัวร์ปราสาทในแต่ละวันจะต้องมีการซื้อตั๋วเข้าชมครับ
ในราคา 20 ดอลล่าร์  ขาดตัวต่อมะได้  แถมต้องไปรายงานตัวตอนซื้อตั๋วซะด้วยเพราะเค้าต้อง
ถ่ายรูปของเราลงบัตรแล้วปรินท์ออกมาให้พกติดตัวไว้แสดงเวลาพนักงานตรวจครับ หรือบางทัวร์
เค้าก็มีแจกแท็กไว้ให้ลูกทัวร์ห้อยคอเอาไว้เลย คิดเป็นเงินไทยกลม ๆ ณ เวลานั้นก็ 600 บาท
ครับ เข้าชมได้ทุกปราสาทที่ท่านอยากจะไปในหนึ่งวัน  แนะนำกันอีกซักนิดกรุณาเช็คเวลาเปิด
ปิดให้เข้าชมปราสาทต่าง ๆ ให้ดีก่อนวางแผนนะครับ  บางที่รู้สึกว่าจะปิดเร็ว  บางที่ก็ปิดช้าครับ
พลาดแล้วจะทำให้เสียเวลาในการเดินทาง...ต่อ...ต่อ...ถ่ายรูปเสร็จปุ๊ปได้ตั๋วปั๊ป เค้าจะมีโบชัวร์
วางเอาไว้ข้าง ๆ ช่องจ่ายเงินนั่นหละครับ  มือไวใจเร็วหยิบได้เรยย์ฟรีแน่นอน เป็นแผนที่พร้อม
ภาพประกอบสวยให้เราดูประกอบการตัดสินใจพอสังเขปครับ(ปล. 3 วันเค้าคิด 40 ดอลล์) เปิด
จำหน่ายตั๋วตั้งกะตีสีครึ่งหรือยังไงนี่ละครับ  ว่ากันตั้งแต่เช้ามืดไปเรยย์  เค้าเปิดให้เข้าชมตั้งแต่ตี
สามหรือตีสี่นี่แหละครับจำไม่ได้แหล่ว:L  เรียกว่าจุดเทียนส่องกันได้ตามที่ท่านต้องการเลย(อัน
นี้เข้าทางทัวร์คณะนี้พอดี;P)
...
จริง ๆ แล้วนักท่องเที่ยวส่วนมากจะรอชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ตัวปราสาทบริเวณสระน้ำนั่นเองครับเป็น
ไฮไลท์สำหรับจุดนี้โดยเฉพาะ  ส่วนคณะคศช. ไม่มีเวลาดูพระอาทิตย์ขึ้นหรอกครับ  รีบจ้ำอ้าวไป
ยังตัวปราสาทหลังเล็กที่องค์อัฎฐะกรเทวราชประทับอยู่ตามนิมิตรของท่านอาจารย์ที่เห็นว่ามีคนมา
โยนผ้าสีขาวให้  คณะของคศช.ทำการสักการะท่านอีกครั้ง  ด้วยความปลาบปลื้มครับ ใครจะไปนึก
ว่าจะได้พบท่านทั้งเช้าและเย็น:loveliness:  ถึงตอนนี้ก็เปิดการเจรจากับผู้ดูแลบริเวณนั้นครับและ
ผ้าคล้องพระกรขององค์ท่านก็ได้ถูกอัญเชิญมาโดยท่านอาจารย์สรายุทธของเราให้ลูกศิษย์ที่ไม่ได้
ไปในครั้งนี้ได้สักการะบูชาถึงสำนักกรุงเทพเลย...แน่นอนครับจุดนี้เราได้มวลสารแบบเยอะมาก ๆ
ขออะไรได้อย่างนั้นเลยเชียว:victory: ....เติมเต็มด้านกำลังใจกันเต็มที่แล้วได้เวลาตะลุยปราสาท
นครวัดกันแล้วค๊าบบ..:loveliness:


มาถึงปราสาทนครวัดแล้ว ผมต้องสารภาพด้วยความจริงใจเลยครับว่า...ถ้าให้เวลาผมชื่นชม
ตัวปราสาทเอาแบบเต็มอิ่ม เกรงว่าจะเสียเวลาไปอย่างน้อย ๆ ก็ 1 วันเต็ม ๆ หละครับ ด้วย
ความกว้างใหญ่ และมีมุมเล็กมุมน้อยให้เราลัดเลาะเยี่ยมชมดูความงามในด้านโน้นด้านนี้ โห...
เหนือจนเกินกว่าจะบรรยายได้จริง ๆ   เป็นสวรรค์ของนักถ่ายภาพโดยแท้จริงครับ...เพียงแค่
คุณเดินตกปุ๊!!! ลงมาที่ราวระเบียงที่แกะสลักเรื่องราวต่าง ๆ เอาไว้มากมาย  จะเดินชื่นชม
ให้รอบน่าจะใช้ซักครึ่งวันเนอะ??;P
...
ไหนจะมีนางฟ้าคอยแอบมองเราอยู่ตรงมุมนู้น...มุมนี้  หน้าตาก็คนละพ่อคนละแม่ไม่เหมือน
กันนี่นา(เลือกไม่ถูกว่างั้นเหอะ...ใช่ป่าวฮะเสี่ยเมธ:P)  ต้องคอยเตือนตัวเองอยู่ในใจให้มอง
ดูชาวคณะไว้...ไม่ใช่มัวตะชื่นชมนู่นนี่นั่นหันมาอีกที...หายกันหมด ครานี้ต้อง:'( หละครับจะ
ไปตามหากันยังไงหละมีตั้งหลายชั้น  นับเป็นสุดยอดผลงานชั้นครูที่เกิดจากแรงศรัทธา,หยาด
เหงื่อแรงงาน,ทรัพย์มากมายมหาศาลครับ  ควรค่าแห่งการเยี่ยมชมเพื่อเป็นเสี้ยวหนึ่งของ
ความทรงจำในชีวิตจริง ๆ
...
เดินตามอาจารย์สรายุทธ,พี่จ๊อ,เจ๊น้ำ,พี่นก,พี่เพชร,พี่วุ่นไปต้อย ๆ  ไม่ทราบว่าทะลุกำแพงไปกี่ชั้น
วนอยู่ราวระเบียงกี่รอบ  ดูโน่นดูนี่กันไม่รู้เบื่อ...อันไหนเกินความเข้าใจก็เก็บความสงสัยเอาไว้:L
จนทะลุเข้ามาถึงองค์พระปรางค์ประธานปราสาท  ต้องนั่งรอเวลาเปิดครับ  ประมาณ 7 โมงครึ่งรึ
แปดโมงนี่หละจำบ่ได้อีกแหล่ว  ถึงตอนนี้เป็นเวลาชื่นชมสาวงามหละครับ  ชาติไหนก็เลือกชม
ได้ตามสบายใจเลย;P...เปิดปุ๊ปรีบวิ่งไปต่อคิว...หารู้ไม่ว่าความน่ากลัวกะลังจะบังเกิด:L
...
องค์ปรางค์ประธานเปิดให้ชมทุกวันยกเว้นวันพระครับ  นับวันให้ดี ๆ ก่อนไปเที่ยว  นักท่องเที่ยว
กรุณาแต่งกายสุภาพครับ  เนื่องจากบันไดทางขึ้นนั้นสูงชัน(ชันจริง ๆ เลยครับ) ถ้าใส่กระโปรงสั้น
ไปจะเป็นที่หวาดเสียว....แก่ผู้เดินตามมั่ก ๆ   แว่ว ๆ ว่าเป็นที่เก็บพระศพพระเจ้าชัยวรมันที่2 ทำ
ให้ต้องสุภาพเข้าไว้นะครับ  มาเดินขึ้นบันไดกันต่อดีก่า  จับราวสะพานค่อย ๆ ก้าวขึ้น โฮ้ย!!! ที่
เค้าเรียกว่าปีนบันไดสวรรค์คงประมาณนี้หละ  ถ้าใครพลาดตกลงไปซักคน คงจะเจ็บกันหลายคน
นิ  แต่ขึ้นไปแล้วก็เหมือนที่เค้าว่าหละครับ  สวยงาม สงบ และเย็นฉ่ำไปทุกความรู้สึกจริง  ๆ  เป็น
วิวแบบพาโนรามาเลยครับ  ถ่ายรูปกันแบบไม่ต้องยั้ง  ผมเองเพิ่งจะรู้ว่าแอ่งที่ลงไปยืนเล่นอยู่เป็น
สระน้ำซึ่งเค้าจะมีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์อยู่ข้างบนด้วยขุดลึกลงไป 27 เมตร...แต่ปิด...ห้ามเข้าครับ...แป่ว!
...
ถึงตอนนี้ตาปรือใกล้จะหลับแล้วครับ  มีหมอนคงจะนอนสบาย:sleepy:  แต่เวลาไม่รอท่าพวกเรา
ต้องทำเวลา เพราะต้องเดินทางไปอีกหลายปราสาท  สมควรแก่เวลาแล้วก็เดินลงสิคับ...บันไดเดิม
ขึ้นทางซ้าย-ลงทางขวา  ขาลงนี่ขามันไม่ค่อยจะเชื่อฟังคำสั่งผมเลยคอยจะสั่นพั่บ ๆ ให้อายเค้าอยู่
ซะเรื่อยเชียวนิ  ตกลงไปก็รับเละคนเดียวละครับ  เพราะคนทยอยกันลงเลยมีคนน้อยมากไม่เหมือน
ตอนขึ้น  เดินออกมานอกตัวปราสาทเค้ามีบอลลูนให้นักท่องเที่ยวพาตัวเองขึ้นชมวิวบนท้องฟ้าดูแร้ว
หวาดเสียวเอาการอยู่...ใจนึกสงสัยว่ามันสมควรหรือเปล่าน้อ...ให้ใครต่อใครลอยข้ามสถานที่ศักดิ์
สิทธิ์ไปข้ามมา...เป็นเมืองไทยละก้อ:@
...
เดินข้ามฟากมาดื่มน้ำมะพร้าวใหญ่ ๆ ซะจนพุงกางจากลูกสด ทีแรกนึกว่าเป็นมะพร้าวน้ำหอมจิคับ
กว่าจะเฉลียวใจก็พุงกางไปแระ...ดูดไม่หมดหลอดซะทีวุ้ย...มองดี ๆ ไม่ใช่น้ำหอมนี่นา  กินกันจน
อิ่มไปเรยย์  แล้วเดินเยี่ยมชมซื้อของที่ระลึกกันเพลินเลยคับ...ก่อนจะขึ้นรถตู้สู่จุดหมายปลายทาง
ต่อปาย:lol
...
ปัจฉิมลิขิต....มีหนังสือราคาน่าซื้อหามาก ภาพสวยงามประทับใจยามเย็นเด็ก ๆ พากันเสนอขาย
เพียง 1 ดอลล์ เท่านั้นตื่นเช้ามาอีกวันคุณอาจจะเจอตัวเลข 20,15,10 ดอลล์กันได้อย่างน่าประ
หลาดใจ...แหมน่าปกเหมือนกันเปี๊ยบเลยนะตะเอง:'(
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้