ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 6060
ตอบกลับ: 12
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

วีรบุรุษยอดขวัญใจ ในวัยเด็ก

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2014-2-26 09:46







จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี



หน้ากากเสือ หรือ ไทเกอร์มาสค์ (ญี่ปุ่น: タイガーマスク Taigā Masuku ?)



เป็นมังงะที่เขียนโดยอิคคิ คะจิวะระ วาดภาพประกอบโดยนะโอะกิ ทซึจิ ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์โคดันฉะ โดยช่วงปี ค.ศ. 1968 ถึง 1969 ลงในโบคุระแม็กกาซีน และย้ายมาลงในโชเน็นแม็กกาซีนรายสัปดาห์ ช่วงปี ค.ศ. 1970 ถึง 1970 ตีพิมพ์รวมเล่มทั้งสิ้น 14 เล่ม ต่อมาถูกนำมาสร้างเป็นอะนิเมะโดยโตเอแอนิเมชัน จำนวน 105 ตอน ฉายทางโทรทัศน์สถานีโยมิอูริ ระหว่างปี 1969-1971 และภาคสอง จำนวน 33 ตอน ฉายทางทีวีอาซาฮี เมื่อปี 1981 หน้ากากเสือเคยถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่องยาว ออกฉายในปี ค.ศ. 1970
เนื้อเรื่องกล่าวถึงนักมวยปล้ำอาชีพ ที่สวมหน้ากากรูปหัวเสือปิดบังใบหน้าขึ้นต่อสู้บนเวที ในชีวิตปกติเขามีชื่อจริงว่า นะโอะโตะ ดะเตะ (ญี่ปุ่น: 伊達 直人 Date Naoto ?) เป็นเด็กกำพร้าที่ได้รับการเลี้ยงดูมาจากองค์กรลับที่ชื่อว่า "ถ้ำเสือ" เดิมเขาเป็นนักมวยปล้ำของถ้ำเสือ ใช้ชื่อในการปล้ำว่า ปิศาจเหลือง (ญี่ปุ่น: イエロー・デビル Ierō Debiru ?) เมื่อเขาลาออกจากองค์กรและเปลี่ยนชื่อเป็นหน้ากากเสือ จึงถูกตามล่าโดยส่งปิศาจเหลืองคนใหม่มาต่อสู้ด้วย โดยหมายจะสังหารหน้ากากเสือต่อหน้าผู้ชมบนสังเวียนต่อสู้



จากความนิยมในมังงะและอะนิเมะ ช่วงต้นทศวรรษ 1980 บริษัทมวยปล้ำอาชีพญี่ปุ่น ชื่อ นิวเจแปนโปรเวรสลิง ได้ซื้อลิขสิทธิ์หน้ากากเสือ และมอบหมายให้นักมวยปล้ำชื่อ ซะโทะรุ ซะยะมะ ขึ้นปล้ำโดยสวมหน้ากากและใช้ชื่อหน้ากากเสือ ซะยะมะเป็นนักมวยปล้ำอาชีพชาวญี่ปุ่นคนแรกที่ได้รับตำแหน่งแชมเปียนรุ่นจูเนียร์เฮฟวีเวท ทั้งดับเบิลยูดับเบิลยูเอฟในสหรัฐอเมริกา (ปัจจุบันคือ ดับเบิลยูดับเบิลยูอี) และเอ็นดับเบิลยูเอในญี่ปุ่น ก่อนจะลาออกในปี 1983 เนื่องจากไม่พอใจเรื่องอิทธิพลในแวดวงมวยปล้ำอาชีพ  หลังจากซะยะมะ ได้มีนักมวยปล้ำอีก 4 คน ที่ปล้ำโดยใช้ชื่อ หน้ากากเสือ
ตั้งแต่ ค.ศ. 1995 ชื่อของหน้ากากเสือก็ได้รับการถือใช้โดย โยชิฮิโร ยามาซากิ ผู้ซึ่งได้รับการฝึกฝนโดยตรง


(และได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ) โดยซายามะ ซึ่งหน้ากากเสือ IV เดิมได้ร่วมแสดงผลงานในรายการมิชิโนคุโปรเวรสลิง และเข้าร่วมรายการนิวเจแปนใน ค.ศ. 2002 ตั้งแต่นั้นมา เขาก็ได้เป็นผู้เข้ารับการคัดเลือกระดับบน (ควบคู่กับ มิโนรุ ทานากะ) เพื่อแทนที่ไลเกอร์ในฐานะดาวเด่นในรุ่นจูเนียร์เฮฟวี่เวทของรายการนิวเจแปน


ในช่วงปลายปี ค.ศ. 2010 ต่อต้นปี ค.ศ. 2011 ได้เกิดปรากฏการณ์บริจาคหน้ากากเสือ ในประเทศญี่ปุ่น ได้มีผู้นำอุปกรณ์การศึกษามาบริจาคให้กับสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า โดยระบุชื่อผู้บริจาคว่า "นะโอะโตะ ดะเตะ" เมื่อมีสื่อมวลชนจำได้ว่าชื่อนี้เป็นชื่อจริงของหน้ากากเสือ และนำมาเสนอข่าว ทำให้เกิดพฤติกรรมเลียนแบบไปทั่วประเทศ  มีผู้นำสิ่งของไปบริจาคโดยระบุชื่อนี้ให้กับสถานเลี้ยงเด็กทั่วประเทศญี่ปุ่น ที่มีอยู่กว่า 500 แห่ง


2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-2-26 09:35 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2014-2-26 09:37







3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-2-26 09:42 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้












คนที่อายุ 25 ปีขึ้นไปต้องรู้จัก ไอ้มดแดงแน่นอน ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชายต่างก็เคยต้องดู โดยไอ้มดแดงภาษาญี่ปุ่นจะเรียกว่า "คาเมนไรเดอร์" ไม่กี่ปีมานี้ถึงมาเรียกภาษาอังกฤษว่า "มาร์คไรเดอร์" ซึ่งก็แปลว่า "นักซิ่งสวมหน้ากาก" รูปแบบหน้ากากจะเป็นแมลงต่างๆ เช่น


(V1,V2 V8 ตั๊กแตน) (V3 แมงปอ) (V6 กิ้งก่า) (V7 แมลงด้วง) (V9 ผึ้ง)

ถ้าพูดถึงไอ้มดแดงผมคนนึงล่ะ ที่เอาผ้าเช็ดตัวมาผูกคอแล้วใส่หน้ากากที่แม่ซื้อให้อันละ 5 บาทจากสำเพ็ง กระโดดจากเก้าอี้ลงพื้นแล้วทำท่าแปลงร่าง คุณหลายๆคนเป็นแบบผมหรือเปล่า??


ทำไมคนไทยถึงเรียก"ไอ้มดแดง" เพราะว่าตอนที่นำมาฉายที่ประเทศไทย ทางญี่ปุ่นไม่ได้แจ้งรายละเอียดของเรื่องมา มีแต่รูปภาพ ทางไทยจึงจัดการตั้งชื่อเองตามที่เห็นในรูปที่ส่งมาจึงคิดว่าเป็นมดแดง


ไอ้มดแดง หรือ คาเมนไรเดอร์ที่คนไทยรู้จักกันมากๆ จะมีตั้งแต่ V1 ถึง V 9 ส่วน V ต่อจากนั้นบางเรื่องไม่ได้นำมาฉาย กระแสความนิยมช่วงนั้นเริ่มตกลงด้วยในเมืองไทย เพราะมี ขบวนการห้าสีขบวนการต่างๆมาแย่งความนิยมไป
มาระลึก V1 - V9 กันครับ ว่าอะไรเป็นอะไรพร้อมชื่อตอนภาษาไทยที่คนไทยตั้งให้ครับ







ท่าแปลงร่าง : ไอ้มดแดง...แปลงร่างท่าแปลงร่าง : แปลงร่างท่าแปลงร่าง : บิดๆเบี้ยวๆ ขอแปลงเป็นมดเขียว วี3
ท่าแปลงร่าง : แปลงร่าง ท่าแปลงร่าง : ประกอบร่าง ตอนหลังเปลี่ยนเป็น แปลงร่าง ท่าแปลงร่าง : อาเมซอน
ท่าแปลงร่าง : ขอถูมือให้สว่างเพื่อแปลงร่างเป็นมดจอมพลัง




ที่มา..http://www.oknation.net/blog/print.php?id=168785
4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-2-26 10:13 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้






5#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-2-26 12:31 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2014-2-26 12:59

เมื่อโตขึ้นหน่อยจึงเข้าใจความเป็นจริงว่า ยอดมนุษย์ เป็นเพียงนิยาย
จึงหันมามองอะไรที่พอจะเป็นไปได้ ฮีโร่ ในดวงใจจึงแปรเปลี่ยนไป




[youtube][/youtube]






6#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-2-26 12:47 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2014-2-26 13:00




7#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-2-26 13:17 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย morntanti เมื่อ 2014-2-27 09:52

“กันดั้ม ตำนานนักรบแห่งจักรวาล”"ทางฝั่งเอเชีย ประเทศญี่ปุ่น เป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับแอนิเมชั่นอย่างสูง แอนิเมชั่นญี่ปุ่นจะเรียกว่า “อะนิเมะ” มีจุดกำเนิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1917 โดยได้รับอิทธิพลจากทั้งฝั่งยุโรปและอเมริกาหลังจากนั้นก็เงียบหายไป จนถึงปี ค.ศ. 1945 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง “โมะโมะทะโร ทหารเรือแห่งเทพ”ภายใต้การสนับสนุนของกองทัพเรือญี่ปุ่นก็ได้เปิดตัวออกฉาย และสร้างแรงบันดาลใจอย่างมากให้กับ โอซามุ เทะสึเกะ ผู้ที่ได้มีโอกาสชมแอนิเมชั่นเรื่องนี้ในช่วงที่สงครามกำลังจะยุติ ซึ่งต่อมา โอซามุ ได้กลายมาเป็นปรมาจารย์แอนิเมชั่นที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น
ในปี ค.ศ. 1956 บริษัทภาพยนตร์โทเอ ได้ก่อตั้งบริษัท โทเอ แอนิเมชั่นขึ้น ด้วยแนวคิดที่จะสร้างภาพยนตร์แอนิเมชั่นระดับโลกขึ้นให้ได้ในญี่ปุ่น และประกาศตนเป็น “ดิสนีย์แห่งตะวันออก” และแอนิเมชั่นเรื่องยาวเรื่องแรกของญี่ปุ่นชื่อ “นางพญางูขาว” ก็ได้ออกมาฉายในปี ค.ศ. 1958 ต่อด้วยภาพยนตร์แอนิเมชั่นของโทเอ อีกหลายเรื่อง แต่ภาพยนตร์แอนิเมชั่นของญี่ปุ่นก็ซบเซาลงในช่วงทศวรรษที่ 1960 เมื่อยุคสมัยของการชมภาพยนตร์เปลี่ยนไปสู่การดูโทรทัศน์อยู่กับบ้านแทน
อย่างไรก็ตาม เมื่อโอซามุ เทะซึเกะ สร้าง “เจ้าหนูปรมาณู” (Astro Boy) ออกฉายทางโทรทัศน์ในปี 1963 และประสบความสำเร็จอย่างมาก ทำให้มีการสร้างแอนิเมชั่นเพื่อฉายทางโทรทัศน์ หรือที่เรียกกันว่า Animated TV Series อย่างต่อเนื่อง ศักราชแห่งแอนิเมชั่นญี่ปุ่นจึงเริ่มก้าวขึ้นมา การชมแอนิเมชั่นทางโทรทัศน์กลายเป็นกิจวัตรของคนญี่ปุ่นที่ไม่จำกัดเฉพาะเด็กๆ แต่ยังส่งต่อไปถึงหนุ่มสาว อาทิ ภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง “ เรือรบอวกาศยามาโตะ” ที่สร้างความนิยมอย่างสูงก่อให้เกิดแอนิเมชั่นสำหรับกลุ่มหนุ่มสาวอีกหลายเรื่องตามมา อาทิ “กันดั้ม ตำนานนักรบแห่งจักรวาล” หรือ “ลามู ทรามวัยจากต่างดาว” ในขณะที่แอนิเมชั่นสำหรับเด็ก อย่าง “โดราเอมอน” ที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1979 ก็สร้างความนิยมไปทั่วโลกเช่นกัน"



กลับมาอีกครั้งกับมูฟวี่ภาคต่อของ “Evangelion” อนิเมชั่นระดับตำนาน  ภาคล่าสุด Evangelion : 3.0 You Can (Not) Redo ที่ครั้งนี้บริษัททีไอจีเอจำกัด ขอสานต่อภารกิจที่จะสร้างปรากฏการณ์กระแทกใจสู่เหล่าสาวก Eva ทุกท่าน  ด้วย คอนเซปท์ Evangelion THE FOURTH IMPACTซึ่งเราขอเปิดตัว Evangelion 3.0 Idol Project  กับการประกวดเฟ้นหา “ที่สุด Cosplay” สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการคอสเพลย์และหลงรักตัวละคร งานนี้จะมาเดี่ยว-คู่-แก็งค์ไม่มีข้อจำกัด ไม่ปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ ขอแค่อยู่ในสไตล์ Eva เป็นพอ โดยการประกวด Evangelion 3.0 Idol Project  แบ่งเป็น 2 รอบ ได้แก่

  • รอบคัดเลือก สมัครผ่านทาง www.tigatime.com/evangelion3   ตัดสินจากยอด Like & Share ผ่านทาง Fanpage ของ TIGA เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์  และคัดเลือกให้เหลือ 12 ทีม ใน เดือนกรกฎาคม 2556
  • รอบชิงชนะเลิศ  ทีมที่ผ่านจากรอบคัดเลือกทั้ง 12 ทีม ร่วมชิงชัยกันที่งาน Evangelion THE FOURTH IMPACT”  เดือนสิงหาคม 2556

และสำหรับสาวก Evangelion พลาดไม่ได้เลยกับการนำ Evangelion : 3.0 You Can (Not) Redo สู่โรงภาพยนตร์ในเดือนสิงหาคม 2556 นี้แน่นอน  ขอบอกไว้เลยว่า Evangelion 3.0 ที่ญี่ปุ่นรายได้แซงทะลุภาคที่ผ่านมาถล่มทลายและยังมีรางวัลการันตี รับประกันความยอดเยียมด้วย  รางวัลผู้กำกับภาพยนตร์อนิเมชั่นยอดเยี่ยมจากงาน Japan Movie Critics Award ครั้งที่ 22 ซะด้วย ติดตามรายละเอียดได้ที่ 02-643-1855*213 หรือ www.tigatime.com

คำถาม  คุณชอบตัวละครใดจากเรื่อง Evangelion มากที่สุดเพราะอะไร

วิเคราะห์เจาะลึก 5 สิ่งที่จะเกิดขึ้นในการคืนชีพของราชันย์แห่งสัตว์ประหลาด Godzilla เวอร์ชั่น 2014


    หลังจาก "ก็อตซิลล่า" แดงฉานและสิ้นชื่อในภาค "Godzilla vs. Destoroyah" (1995) จากนั้น โตโฮก็ส่งไม้ต่อให้ฮอลลีวู้ดนำสัตว์ยักษ์ตัวนี้ไปมีชีวิตอีกครั้งใน "Godzilla" (1998) ของบริษัทไทรสตาร์ หวังให้ราชันย์แห่งสัตว์ประหลาดมีชีวิตยืนยาวต่อไป

    แต่แล้ว "ก็อตซิลล่าฝรั่ง" ก็ไม่ได้เ้ปรี้้ยงอย่างที่คาดไว้ โตโฮจึงปลุก "ก็อตซิลล่าญี่ปุ่น" ให้ออกมาคำรามอีกครั้งกับ "Godzilla 2000" (1999) และสร้างต่อเนื่องมาจนถึงตอนฉลองครบรอบ 50 ปี "Godzilla: Final Wars" (2004) ซึ่งโตโฮประกาศกร้าวว่าจะเป็นก็อตซิลล่าภาคสุดท้ายของพวกเขา (อย่างน้อยๆก็ในเวลานี้)

    จากนั้นในปี 2010 บริษัทโปรดักชั่นของอเมริกัน Legendary Pictures ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของวอร์เนอร์ บราเธอร์ ได้ลิขสิทธิ์สร้างหนังก็อตซิลล่าจากโตโฮ และมอบหมายให้ผู้กำกับหนังอินดี้ "กาเรธ เอ็ดเวิร์ด" (Monsters) มาเป็นคนกุมบังเหียน ซึ่งล่าสุด มีการประกาศวันฉายออกมาแล้ว นั่นคือ 16 พฤษภาคม 2014 และสตูดิโอวอร์เนอร์เผยว่าอาจจะทำออกมาในรูปแบบ 3D ด้วย

    "มันไม่มีอะไรที่เป็นไซไฟ มันจะมีแต่ความสมเหตุสมผลและความสมจริง" ผู้กำกับเอ็ดเวิร์ด พูดบรรยายถึงหนังก็อตซิลล่าในแบบของเขา นอกจากนี้ยังเผยหนังก็อตซิลล่าของเขา จะมีการเคารพก็อตซิลล่าต้นฉบับของบริษัทโตโฮ

    แฟนก็อตซิลล่าหลายคนอาจจะไม่สบอารมณ์กับ Godzilla เวอร์ชั่น 1998 (นั่นไม่ใช่ก็อตซิลล่า นั่นมันกิ้งก่ายักษ์โว้ย!) แต่ด้วยวิสัยทัศน์ของเอ็ดเวิร์ดที่อยากจะอ้างอิงกับก็อตซิลล่าต้นตำรับมากขึ้น ก็ทำให้หลายคนเริ่มคาดหวัง ในโปรเจ็กต์นี้

    ในฐานะที่แอดมินเป็นแฟนหนังชุดก็อตซิลล่าคนหนึ่ง ก็ขอใช้ความรู้อันน้อยนิด หยิบนำมาวิเคราะห์สิ่งที่จะเกิดขึ้นใน Godzilla เวอร์ชั่น 2014 ครับ



--------------------------------------



1. จุดกำเนิด

    สรุปอย่างย่นย่อ ในเวอร์ชั่นของญี่ปุ่น ก็อตซิลล่าคือสิ่งมีชีวิตที่เชื่อกันมามีมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ซึ่งมันได้หลับใหลอยู่ใต้พื้นพิภพ แต่แล้วมันก็ตื่นขึ้นมาเพราะแรงสั่นสะเทือนจากการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ของอเมริกา และออกอาละวาดทำลายเมือง

    ในเชิงนัยยะ ก็อตซิลล่าคือรอยแผลอันใหญ่ของชาวญี่ปุ่นจากเหตุทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ที่เมืองฮิโรชิมากับนางาซากิในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองโดยฝีมือของอเมริกา ก็อตซิลล่าจึงถูกเปรียบเปรยกับผลลัพธ์อันเลวร้ายของการใช้อาวุธมหาประลัย ราวกับปีศาจนิวเคลียร์ที่เข้าทำร้ายชาวญี่ปุ่นอย่างไม่ปรานีปราศรัย

    น่าเสียดาย หลังจาก "Gojira" aka Godzilla (1954) นัยยะนี้ก็เหมือนจะถูกลบเลือนไป ในภาคถัดๆมา หนังก็อตซิลล่ากลายเป็นพื้นที่ "มวยปล้ำสัตว์ประหลาด" และเปลี่ยนเนื้อหาหนักๆ ให้กลายเป็นหนังสำหรับทุกคนในครอบครัว

    ส่วน Godzilla ของอเมริกัน จุดกำเนิดของมันคือ อีกัวน่าที่กลายพันธุ์จากการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ของฝรั่งเศส (ไม่อยากด่าตัวเองว่างั้น - ฮา) แต่อเมริกาไม่มีประวัติโดนนิวเคลียร์โจมตี นัยยะปีศาจนิวเคลียร์เลยแทบไม่มีความหมาย

    ในขณะที่ Godzilla เวอร์ัชั่นใหม่ 2014 แม้จะยังไม่มีเนื้อเรื่องอย่างเป็นทางการออกมา แต่จากตัวอย่างเทสที่นำมาเปิดที่งาน Comic-Con 2012 ก็เผยให้เห็นว่า หนังมีการอ้างอิงถึง "โรเบิร์ต ออพเพนไฮเมอร์" บิดาผู้สร้างระเบิดปรมาณู (ที่ตอนหลังก็ถูกนำไปบอมบ์ญี่ปุ่น) และมีวาทะอันโด่งดังอย่าง "ข้ากลายเป็นมัจจุราช ผู้ทำลายล้างสกุลโลก" ที่โรเบิร์ตกล่าวขึ้น ทันทีที่เห็นควันรูปดอกเห็นขนาดใหญ่ หลังจากการทดสอบระเบิดกลางทะเลทรายในนิวเม็กซิโก

    แอดมินเดาเอาว่า ระเบิดนิวเคลียร์ยังเป็นต้นกำเนิดของก็อตซิลล่าตัวใหม่นี้แน่นอน และน่าจะไม่เป็นการกลายพันธุ์จากสัตว์ปกติ ถ้าผู้กำกับเคารพต้นฉบับจริง ก็อตซิลล่าภาคนี้ ก็น่าจะหลับใหลอยู่ใต้โลกเหมือนเช่น Gojira แต่ที่น่าสนใจกว่านั้น Godzilla 2014 น่่าจะเป็นการกลับมาวิพากษ์วิจารณ์ความโหดร้ายของมนุษย์ด้วยกันเอง และอเมริกาน่าจะตกเป็นเป้าโจมตีสำคัญ



------------------------------------------



'สมโพธิ แสงเดือนฉาย' ผู้ให้กำเนิด อุลตร้าแมน

4 เมษายน 2544 กองบรรณาธิการ

เปิดตำนาน “อุลตร้าแมน” ยอดมนุษย์ผู้ครองหัวใจเด็ก และผู้ใหญ่ วีรบุรุษจากจอภาพยนตร์ญี่ปุ่น ที่ถือกำเนิดจากมันสมอง ของคนไทย “สมโพธิ แสงเดือนฉาย”

เจ้าพ่อหนังสัตว์ประหลาด ของไทย และเขาคนนี้คือผู้ถือครองลิขสิทธิ์ ตุ๊กตาดังซึ่งขายดิบขายดีไปทั่วโลก ทำเม็ดเงินมหาศาลเข้ากระเป๋า กระทั่งบริษัทญี่ปุ่นดัดหลัง ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย 1,750 ล้านบาท ในข้อกล่าวหาละเมิดลิขสิทธิ์ แต่ความจริงเป็นเรื่อง พิสูจน์ได้ สุดท้ายศาลญี่ปุ่นตัดสินให้คนไทย นักคิดเป็นผู้ชนะหลังหมดค่าทนายไป 80 ล้านบาท และใช้เวลาต่อสู้คดีถึง 5 ปี เจ้าตัวประกาศสร้างพิพิธภัณฑ์ “เมืองยอดมนุษย์อุลตร้าแมน” ขึ้นบนแผ่นดินไทย

น้อยคนที่จะทราบว่า บุคคลที่เป็นผู้ริเริ่มคิดค้นและสร้างตุ๊กตา อุลตร้าแมน และจัมโบ้เอ ที่มีอิทธิพลต่อจิตใจของเด็กๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะ เด็กชาวญี่ปุ่น จนกลายเป็นกระแสความคลั่งไคล้ที่มีต่อตัวตุ๊กตา 2 ประเภทนี้ มาโดยตลอดร่วม 30 ปี และความนิยมต่อฮีโร่ตัวนี้ไม่เคยตกยุคตกสมัย จะเป็นคนไทยที่กลายมาเป็นผู้ครอบครองและเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ตุ๊กตา อุลตร้าแมนที่มีจำหน่ายไปทั่วโลก ยกเว้นลิขสิทธิ์ในประเทศญี่ปุ่นแต่เพียงผู้ เดียว

“สมโพธิ แสงเดือนฉาย” อดีตผู้อำนวยการสร้าง ผู้กำกับหนัง ไทย ผู้สร้างตำนานหนังสัตว์ประหลาด คือเจ้าของตำรับอุลตร้าแมนตัวจริง ชีวิตของสมโพธิพลิกชีวิตจากแค่เด็กวัดธรรมดามาเป็นมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวย กอบ โกยรายได้มหาศาลปีละเป็นพันล้านจากค่าลิขสิทธิ์อุลตร้าแมนที่วางจำหน่าย ไปทั่วโลก ณ ปัจจุบัน มาเป็นระยะเวลานานเกือบ 30 ปี แต่ใช่ว่าชีวิตของ นายสมโพธิ แสงเดือนฉาย ผู้มั่งคั่งร่ำรวยจากตุ๊กตาอุลตร้าแมนที่เขาคิดค้นขึ้น เองจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา เขาต้องยุติบทบาทของ ตนเองกับภารกิจหน้าที่การงานต่างๆ ที่มีอยู่ทุกอย่าง เพื่อวิ่งรอกขึ้นศาลที่ประ เทศญี่ปุ่น ต่อสู้คดีความฟ้องร้องในฐานะจำเลย ซึ่งถูกเรียกร้องค่าเสียหายถึง 1,750 ล้านบาท นกรณีการถือครองลิขสิทธิ์อุลตร้าแมนทั่วโลก ว่า เป็นการจด ลิขสิทธ์ที่ไม่ถูกต้อง และไม่ใช่ผู้ถือครองลิขสิทธิ์ตัวจริง

การฟ้องร้องของบริษัทญี่ปุ่นที่ชื่อ บริษัท ซึบูราญ่า โปรดักส์ชั่น จำกัด ในครั้งนั้น ทำให้นายสมโพธิต้องทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้กับการเดินทาง ขึ้นโรงขึ้นศาลที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นว่าเล่น ควบคู่กับการรวบรวมข้อมูลเอกสาร และพยานต่างๆ ไปศาลเพื่อนำสืบพยานในฐานะที่ตกเป็นจำเลย เป็นจำนวน เกือบ 400 คน ซึ่งค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ทุ่มไปสำหรับการต่อสู้คดีเพื่อเอาชนะใน ฐานะผู้ถือลิขสิทธิ์อุลตร้าแมนทั่วโลกที่ถูกต้องแต่เพียงผู้เดียว ยกเว้นแต่ในประ เทศญี่ปุ่นนั้น นายสมโพธิยอมรับว่าเขาต้องเสียค่าใช้จ่ายไปไม่น้อย

เฉพาะแค่ค่าจ้างทนายความเพื่อสู้ศึกในศาลที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น นั้น นายสมโพธิเปิดเผยว่า เขาต้องเสียค่าใช้จ่ายไปมากกว่า ฝ่ายโจทก์ที่ยื่นฟ้อง เป็นจำนวนเงินมากกว่า 2 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประ มาณ 80 ล้านบาท โดยว่าจ้างทนายความมือหนึ่งร่วม 10 คน จากสหรัฐ อเมริกา อังกฤษ ฮ่องกง ญี่ปุ่น และไทย มาว่าความให้ ซึ่งขณะนี้คดีกำลัง จะแล้วเสร็จ โดยนายสมโพธิเป็นฝ่ายชนะไปได้ในที่สุด และขณะนี้กำลังรอ คำประกาศจากศาลฎีกา

ขณะเดียวกัน ทางบริษัท ซึบูราญ่า โปรดักส์ชั่น จำกัด ในญี่ปุ่น ก็ยังได้ยื่นฟ้องนายสมโพธิในเมืองไทยด้วย โดยคดีความที่เกิดขึ้น ขณะนี้ถือว่าเป็นคดีทรัพย์สินทางปัญหาและการค้าระหว่างประเทศที่มีการสืบ พยานนานที่สุดคดีหนึ่งในประวัติศาสตร์ เพราะทั้งสองฝ่ายได้อ้างพยานของ ตนเพื่อสืบพยาน รวมแล้ว 693 อันดับ โดยฝ่ายโจทก์อ้างพยาน 335 อันดับ ขณะที่ฝ่ายจำเลยอ้างพยาน 358 อันดับ

อีกทั้งเป็นคดีแรกที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญา และการค้าระหว่าง ประเทศได้ทำการสืบพยานบุคคลโดยระบบการประชุมทางจอภาพ จากสตูดิโอวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ของ กสท. ด้วยการเบิกความผ่านล่ามโดยที่ พยานเบิกความจากห้องส่งของศูนย์โทรคมนาคม บริษัท เคดีดี กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

และใช้ระยะเวลาการสืบนานติดต่อกันถึง 2 ปีเต็ม โดยบาง ครั้งศาลต้องนั่งพิจารณาคดีตั้งแต่เวลา 09.00-22.30 น.ด้วยซ้ำไป ซึ่งคดีดัง กล่าวได้ข้อสรุปว่า ศาลได้พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งคดีอาญา และแพ่ง ขณะเดียวกัน ในส่วนของการฟ้องแย้งของจำเลยที่เรียกค่าเสียหายจากโจทก์ ถึง 1,750 ล้านบาทนั้น ศาลพิพากษาให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยจำนวน 12 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี

นายสมโพธิ แสงเดือนฉาย กล่าวกับผู้สื่อข่าวถึงการเปิดเผยตัว ในฐานะผู้อยู่เบื้องหลังคนสำคัญที่เป็นเจ้าของไอเดียผลิตยอดมนุษย์ “อุลตร้าแมน” ทั้งๆ ที่ไม่เคยออกมาเปิดตัวให้ใครๆ ได้รับรู้ความจริงมานาน กว่า 30 ปีว่า หากไม่มีการฟ้องร้องขึ้นมา เขาคงไม่ออกมาพูดถึงการเป็นเจ้า ตำรับอุลตร้าแมนอย่างแน่นอน

“ถ้าไม่มีคดีการฟ้องร้องอย่างนี้ ผมก็ไม่เปิดเผยตัวแน่ เพราะผมให้เกียรติอาจารย์ของผมเสมอ และการที่ได้ลิขสิทธิ์อุลตร้าแมนทั่ว โลกแต่เพียงผู้เดียวนั้น มันก็มีที่มาและมีเอกสารการโอนกรรมลิขสิทธิ์โดยลูก ชายของอาจารย์ เอยิ ซึบูราญ่า อย่างถูกต้อง”

การได้ลิขสิทธิ์ครั้งนั้น สืบเนื่องมาจากที่ลูกชายของอาจารย์เอ ยิที่เขาให้ความนับถือ และเป็นผู้เปิดโอกาสให้เขาได้คิดค้นไอเดียผุดยอด มนุษย์อุลตร้าแมนออกมาก ได้ยื่นเสนอลิขสิทธิ์อุลตร้าแมนโดยแลกกับเงิน 16.2 ล้านเยน ที่นายสมโพธิให้หยิบยืมเพื่อนำไปสร้างภาพยนตร์เรื่องจัมโบ้เอ หาเงินใช้หนี้ให้กับอาจารย์เอยิที่เสียชีวิตไปแล้วนั่นเอง

และจากเงินทุน 16.2 ล้านเยน ที่สามารถสร้างรายได้เป็นกอบ เป็นกำร่วม 100 ล้านเยน ให้กับลูกชายของอาจารย์เอยิภายในระยะเวลา 2-3 ปี ได้ทำให้ลูกชายของอาจารย์ปฏิเสธที่จะคืนเงิน และแบ่งส่วนรายได้ต่างๆ ให้แก่นายสมโพธิ แต่เลือกที่จะโอนลิขสิทธิ์อุลตร้าแมนให้แทน

“เงินพวกนี้ให้เขายืมไปภายใน 2-3 ปี เอาไปสร้างหนังเพื่อใช้ หนี้ให้กับ บริษัท โตโฮ ที่อาจารย์เป็นหนี้อยู่ ลูกชายอาจารย์บินมาหาผมที่ เมืองไทยเลยนะ บอกว่าจะขายโรงถ่ายเอาเงินไปใช้หนี้ แต่ผมก็บอกว่าอย่า ขายเลย ถ้าไม่มีเงิน ผมพอมี ผมก็ให้เขายืมไปสร้างหนังเรื่องจัมโบ้เอ ให้เขายืมไป 16.2 ล้านเยน หนังประสบความสำเร็จจนสร้างเรื่องที่ 2 ได้ ขายลิขสิทธิ์ให้กับต่างประเทศไปฉายทั่วโลก ได้เงินไปร่วม 100 ล้านเยน เขาก็มาบอกผมว่าเขาขอไม่คืนเงินนะ แต่จะโอนกรรมสิทธิ์ให้แทน ผมก็เลย ได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์นี้โดยที่ตัวเองก็ไม่เคยอยากได้”

นายสมโพธิย้อนประวัติถึงที่มาของการเป็นผู้ให้กำเนิด อุลตร้าแมนว่า เป็นไอเดียและจินตนาการที่คิดค้นขึ้นโดยตัวเขา ซึ่งขณะนั้นได้ ไปศึกษาวิชาการทำภาพยนตร์ที่ บริษัท โตโฮ ประเทศญี่ปุ่น ด้วยวัยเพียงแค่ 20 ปี ระหว่างเป็นลูกศิษย์โปรดของอาจารย์เอยิ ซึบูราญ่า

นายสมโพธิเล่าว่า เขาเป็นคนที่เสนอไอเดียที่จะผลิตยอดมนุษย์ ขึ้นมาเพื่อปราบสัตว์ประหลาด ซึ่งก็คือ “อุลตร้าแมน” สุดยอดมนุษย์ที่เขาคิด ค้นขึ้นมา เป็นจินตนาการจากสมัยที่ตัวเขายังเป็นเด็กวัด ได้สัมผัสและเห็นใบ หน้าพระพุทธรูปที่อมยิ้ม จึงนำรูปแบบมาดัดแปลงสอดใส่ลงในตัวอุลตร้าแม นที่มีหน้าตาสวยงาม ดูมีเสน่ห์ แต่แฝงไว้ซึ่งความแข็งแรงบึกบึน

“มันเริ่มจากความคิดของผมที่ว่า โตโฮสร้างแต่สัตว์ประหลาด แต่ไม่เคยมีการสร้างยอดมนุษย์มาปราบสัตว์ประหลาดสักตัว ผมเลยเสนอไอ เดียนี้กับอาจารย์

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้