ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ หลวงพ่อมี เขมธัมโม วัดมารวิชัย ~

[คัดลอกลิงก์]
21#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-18 12:34 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
หลวงพ่อมี เล่าว่า “พอฉันเดินเข้าไปใกล้เด็กผู้หญิงผมจุกนั้น พอได้กลิ่นหอมของข้าวเข้าเท่านั้น ก็รู้สึกหายหิวทันที...เด็กผมจุกตักข้าวเปล่า ๆ ใส่บาตรพระด้วยกิริยามารยาทอันเรียบร้อยองค์ละทัพพีเดียวเท่านั้น แต่ไม่มีกับข้าวอย่างอื่นอีก...เมื่อพระทั้งหมดกลับมาฉันแล้วก็รู้สึกว่า ข้าวนั้นมีสีขาวและเม็ดใหญ่กว่าปกติ เวลาตักใส่ปาก ก็หอมนุ่มนวลอย่างไม่เคยฉันมาก่อนเลย...พอฉันเสร็จแล้วรู้สึกอิ่มไปตลอดทั้งวันเลยทีเดียว” “พระที่ติดตามฉันไปเห็นเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่จู่ ๆ ก็มีเด็กผู้หญิงเล็ก ๆ มาใส่บาตรกลางป่าลึก ทั้ง ๆ ที่ไม่มีบ้านคนอยู่ในละแวกนั้นเลย...ก็เลยเผลอตัวลืมคำตักเตือนของฉัน เดินวิพากษ์วิจารณ์กันมาตลอดทาง บ้างก็ว่าเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นเจ้าป่าเจ้าเขายุ่งกันไปหมด...ฉันจะหันไปห้ามปรามก็ไม่ได้ เพราะต้องคอยสำรวมใจ ควบคุมสติและอารมณ์อยู่ทุกขณะลมหายใจเข้า ออก...ถ้าหันกลับไปพูดว่าพระท่านแล้วอาจจะเสียอารมณ์ภาวนาได้...อาจจะทำให้เสียการณ์เกิดอันตรายขึ้นกับพระท่านได้ ก็เลยปล่อยเลยตามเลย...ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ไม่เคยพบเห็นสิ่งแปลก ๆ อะไรอีกเลย”

         ฉะนั้น ในการออกธุดงค์ของหลวงพ่อมีในครั้งต่อไป หลวงพ่อปานจึงบอกให้ท่านธุดงค์เพียงองค์เดียว เพื่อเป็นการทดสอบจิตใจว่า เมื่อเดินธุดงค์เพียงองค์เดียว โดยไม่มีเพื่อนร่วมทางแล้ว จะมีความกล้าพอหรือไม่นั่นเอง
ในที่สุดคณะธุดงค์ก็รอนแรมมาถึงจุดหมายปลายทางคือ ดอยสุเทพ เชียงใหม่ และเมื่อได้กราบไหว้ พระบรมสารีริกธาตุ บนดอยสุเทพแล้วก็เดินทางกลับวัดมารวิชัย เหตุการณ์ตอนขากลับนี้ ตลอดทางไม่มีเรื่องราวอะไรที่น่าตื่นเต้นควรแก่การนำมาเล่า จึงขอรวบรัดตัดตอนผ่านไป ซึ่งกว่าจะกลับถึงวัดมารวิชัยก็เป็นเวลาเกือบถึงเทศกาลเข้าพรรษาในปี พ.ศ. 2479 เป็นการออกธุดงค์ครั้งนี้นานนับ 8 เดือนทีเดียว

         ดังนั้นเมื่อพระธุดงค์ทั้งหลายเดินทางกลับสู่วัดมารวิชัยโดยสวัสดิภาพ ไม่มีพระภิกษุรูปใดได้รับอันตรายจากการบุกป่าฝ่าดง ซึ่งมีแต่ภัยอันตรายต่าง ๆ นา ๆ รอบด้านเลยแม้แต่น้อย กิตติศัพท์ความมีวิทยาคมแก่กล้าของลูกศิษย์หลวงพ่อปานที่สามารถให้ความคุ้มครองพระทุกองค์เดินธุดงค์ไปกลับจากเชียงใหม่โดยปลอดภัยในครั้งนี้ จึงเป็นที่เลื่องลือไปทั่วภายในเขตบ้านแพนสมัยนั้น ชื่อเสียงของหลวงพ่อมีจึงมีผู้คนกล่าวขวัญถึงอย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น

แต่แทนที่หลวงพ่อมี จะดีใจหรือหลงระเริงลืมตัวกับคำสรรเสริญเยินยอต่อคำกล่าวชมของชาวบ้านทั้งหลาย ท่านกลับออกตัวพูดอย่างถ่อมตนว่า เหตุที่เดินทางโดยปลอดภัยในครั้งนี้ เป็นเพราะบารมีของหลวงพ่อปานและหลวงพ่อจงที่คอยคุ้มครองปกป้องโดยแท้
22#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-18 12:34 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ธุดงค์พบหลวงพ่อแช่ม


         หลังจากออกพรรษาในปลายปี พ.ศ. 2479 ก็กราบลาหลวงพ่อปานและหลวงพ่อจงก่อนออกธุดงค์เช่นเคย แล้วแบกกลดถืออัฐบริขารเดินดุ่มไปเพียงลำพัง ไปยังจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นการธุดงค์ครั้งที่ 5 ของท่าน การเดินทางตั้งต้นที่อยุธยา นนทบุรี เข้าสู่นครปฐม จึงได้มีโอกาสไปกราบนมัสการและเล่าเรียนเวทบางประการกับ หลวงพ่อแช่ม ที่วัดตาก้อง ซึ่งกำลังมีชื่อเสียงอยู่ในเวลานั้น “ปฏิปทาของท่านก็งดงามดีแล้ว แต่แปลกตรงที่ปลูกผักทำสวนครัวเองเท่านั้น และก็รู้สึกว่าชาวบ้านในละแวกนั้นให้ความเคารพนับถือยำเกรงท่านเป็นอย่างดีทุก ๆ คน...”

          หลวงพ่อมี ได้ศึกษาหลักปฏิบัติธรรมภาวนาและวิชาบางประการกับหลวงพ่อแช่มอยู่ 1 คืน พอวันรุ่งขึ้นเมื่อฉันเช้าเรียบร้อยแล้วก็กราบลาหลวงพ่อแช่มออกจากวัดตาก้องใฝ่แสวงหาความสงัดวิเวกทางจิตต่อไป โดยมุ่งเข้าสู่จังหวัดกาญจนบุรี ไปสังขละบุรีจนถึงด่านพระเจดีย์ 3 องค์ ซึ่งอยู่ติดกับชายแดนพม่า จากนั้นหลวงพ่อมีก็เดินอ้อมเข้าจังหวัดอุทัยธานี สุพรรณบุรี แล้วก็ถึงอยุธยากลับเข้าวัดมารวิชัย เมื่อกลางเดือน 6 ของปี พ.ศ. 2480

         การถือรุกขมูลเพียงลำพังเป็นครั้งแรกของหลวงพ่อมีนี้ ภายในดวงจิตของท่านปราศจากความหวาดกลัวต่อภัยอันตรายใด ๆ เลยแม้แต่น้อย ท่านบอกว่า “จะเป็นจะตายก็ช่าง เพราะชีวิตนี้ได้อุทิศตนให้แก่บวรพุทธศาสนาหมดสิ้นแล้ว” ดังนั้นหลวงพ่อมีจึงไม่มีความหวั่นไหวแต่ประการใด ซึ่งท่านได้กล่าวเปิดเผยว่า การเดินธุดงค์เพียงลำพังองค์เดียวยังดีกว่าไปกันหลาย ๆ องค์เสียอีก เพราะไม่ต้องไปคอยห่วงพะวงถึงความเป็นอยู่และความปลอดภัยของผู้อื่น อันเป็นภาระรับผิดชอบที่หนักหนาไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะประการที่สำคัญยิ่งก็คือ
การปฏิบัติธรรมภาวนาแต่ลำพัง ทำให้ดวงจิตได้รับความสงบจากความสงัดวิเวกได้เป็นสุขดียิ่งกว่าการปฏิบัติกับหมู่คณะหลาย ๆ องค์  นี่คือเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ อันเป็นประสบการณ์ของหลวงพ่อมี ซึ่งมีค่าต่อนักปฏิบัติที่กำลังใฝ่หาความจริงกันอย่างยิ่ง ก็ขอฝากเป็นข้อคิดสำหรับนักปฏิบัติที่มีความตั้งใจต้องการจะเอาดีกันจริง ๆ ไม่ใช่สักแต่ว่าจะปฏิบัติอวดชาวบ้าน ทดลองทำดูเล่น ๆ หรือทำตามเพื่อนแบบพวกมากลากกันไปเท่านั้น !
23#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-18 12:34 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
วิญญาณหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ยนอก จ.สมุทรปราการ


         ปลายปี พ.ศ. 2480 อันเป็นการรุกขมูลครั้งสุดท้ายของหลวงพ่อมี ในเช้าวันหนึ่งขณะที่หลวงพ่อมีเตรียมหาสถานที่ปักกลด ก็มาพบกับขบวนพระธุดงค์คณะหนึ่ง ซึ่งต้องกล่าวว่าเป็น “ขบวนธุดงค์” เพราะเหตุว่า มากันเป็นหมู่คณะที่มีทั้งพระภิกษุ และแม่ชีมีจำนวนมากกว่าร้อยรูป กำลังปัดกวาดสถานที่สำหรับปักกลดอยู่ ณ ที่แห่งนั้นเช่นกัน

         หลวงพ่อมี เห็นขบวนพระธุดงค์แล้ว บังเกิดความเลื่อมใสในตัวพระอาจารย์ที่เป็นหัวหน้าผู้ควบคุมพระภิกษุและแม่ชีนับร้อยรูป ออกธุดงค์ด้วยกิริยาอันสำรวมและมีวินัยอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเช่นนี้ ท่านต้องไม่ใช่เป็นพระภิกษุธรรมดาอย่างแน่นอน

         เมื่อดวงจิตของหลวงพ่อมี บังเกิดความสัมผัสอันประหลาดดังนี้แล้ว ท่านจึงสอดส่ายสายตามองหา ก็บังเอิญพบเห็นพระภิกษุรูปหนึ่งมีลักษณะพิเศษ นั่งขัดสมาธิโดดเด่นอยู่บนโขดหินห่างจากกลุ่มพระธุดงค์ขึ้นไปทางเหนือ หลวงพ่อมีจึงเดินตรงไปกราบนมัสการท่านทันที

         หลวงพ่อมี เล่าว่า ท่านยังจำลักษณะของพระภิกษุรูปนั้นได้ติดตา เพราะว่าท่านมีลักษณะพิเศษไม่เหมือนใคร คือมีรูปกายสูงใหญ่ดุจคนโบราณ ห่มผ้าจีวรสีกรักมองดูดำทะมึน แต่ก็มีลักษณะราศีงดงามอย่างบอกไม่ถูก จนทำให้ภายในจิตใจของหลวงพ่อมี บังเกิดความเลื่อมใสท่านมากยิ่งขึ้น “ผมมากราบนมัสการหลวงพ่อขอให้ช่วยแนะนำหลักการปฏิบัติธรรมกับผมบ้างครับ” หลวงพ่อมี เข้าไปกราบนมัสการท่านแล้ว เอ่ยปากขอเล่าเรียนธรรมปฏิบัติทันที โดยไม่มีการอ้อมค้อมตามแบบฉบับชอบพูดตรง ๆ ของท่านอย่างฉะฉาน หลวงพ่อองค์ใหญ่ยกมือขึ้นรับไหว้ แล้วพูดด้วยสำเนียงเสียงอันดังกังวานอย่างมีอำนาจขึ้นโดยไม่ได้ขยับตัวว่า “ที่ท่านทำมานั่นดีแล้ว...ถูกต้องแล้ว ผมไม่มีอะไรจะสอนท่านอีก...ขอให้ท่านเจริญรอยตามพระพุทธองค์ท่านไว้...” ว่าแล้วท่านก็สอนวิธีปฏิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึงพระนิพพานตามคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และกำชับให้หลวงพ่อมีหมั่นเพียรปฏิบัติต่อไปจนถึงที่สุด เพื่อให้หมดสิ้นซึ่งอาสวะกิเลสทั้งมวล ไม่ติดอยู่ในสงสารวัฏอันเป็นการดับทุกข์ซึ่งมีแต่ความเป็นสุขยิ่งกว่าความสุขทั้งปวง

         หลวงพ่อมี ได้รับคำแนะนำสั่งสอนจากพระภิกษุรูปนั้นแล้ว พอสมควรแก่เวลาก็กราบลาท่าน และเมื่อเรียนถามชื่อของท่านแล้วก็ทราบโดยละเอียดว่าท่านเป็นใครมาจากไหน “ฉันชื่อปาน อยู่วัดคลองด่าน จังหวัดสมุทรปราการ มาคอยคุ้มครองพระท่านออกรุกขมูล” พอหลวงพ่อมีทราบว่า ท่านคือหลวงพ่อปาน อยู่วัดคลองด่านเข้าเท่านั้น ก็รู้สึกแปลกใจ เพราะเคยได้ยินชื่อเสียงของท่านเป็นอย่างดี เพราะทราบว่าท่านถึงแก่มรณภาพไปนานแล้ว แต่หลวงพ่อมีก็ไม่ได้แสดงอาการแปลกใจให้เสียกิริยาตามที่หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ท่านเคยกล่าวย้ำสั่งสอนเป็นนักเป็นหนาว่า

         ถ้าพบเห็นสิ่งแปลก ๆ ในระหว่างรุกขมูลอย่าได้สงสัยไตร่ถามเป็นอันขาด มิฉะนั้นจะไม่ได้พบเห็นสิ่งลี้ลับอันมหัศจรรย์นั้นอีก และอย่าเก็บเอาสิ่งที่เห็นนั้นมาวิพากษ์วิจารณ์หรือเก็บเอามาคิดจนเสียเวลาภาวนา หลวงพ่อมีจึงกราบลาหลวงพ่อปานวัดคลองด่านแล้วถอยกลับมาเข้าสู่กลดของตนเอง กระทำสมาธิภาวนาตามกิจวัตรประจำวันเรื่อยไป จนถึงรุ่งเช้าก็ถอยกลด ออกเดินรุกขมูลต่อไป

         ในภายหลังที่หลวงพ่อมีกลับถึงวัดและได้เล่าเรื่องราวที่ได้พบกับหลวงพ่อปาน วัดคลองด่าน ให้กับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโคฟัง จึงทราบว่า หลวงพ่อปาน วัดคลองด่านท่านถึงแก่กาลมรณภาพไปนานเกือบ 30 ปีแล้ว มีผู้รู้ประวัติหลวงพ่อปาน วัดคลองด่านเป็นอย่างดีกล่าวว่า ดูจากลักษณะพระภิกษุที่หลวงพ่อมีพบแล้วอ้างว่าเป็นหลวงพ่อปาน อยู่วัดคลองด่านนั้น คงจะเป็นตัวท่านจริง ๆ เพราะตามประวัติวัดก็บอกไว้แล้วว่า หลวงพ่อปานท่านมีรูปร่างใหญ่โต และพูดจาเสียงดังฟังชัด ซึ่งจะเป็นหลวงพ่อปานองค์อื่นไปไม่ได้ เนื่องจากวัดคลองด่าน มีหลวงพ่อปานองค์นี้องค์เดียวเท่านั้น ที่มีรูปร่างสูง ใหญ่เช่นนี้
24#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-18 12:35 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ดังนั้น พระภิกษุที่หลวงพ่อมีกราบนมัสการ ระหว่างทางต้องเป็นดวงวิญญาณของหลวงพ่อปาน วัดคลองด่านที่มาคอยให้ความคุ้มครองศิษย์ของท่านทั้งหลาย ที่มาถือรุกขมูลตามที่ท่านบอกนั่นเอง ! ในการออกรุกขมูลของหลวงพ่อมีครั้งนี้ใช้เวลาแค่ 6 เดือนเท่านั้น ท่านก็เดินธุดงค์กลับเข้าวัดบางนมโค ก่อนที่จะเข้าวัดมารวิชัยเมื่อเดือน 6 ในปี พ.ศ. 2481 เนื่องจากหลวงพ่อมี ท่านเป็นห่วงอาการอาพาธของหลวงพ่อปาน เป็นอย่างมาก เพราะท่านเคยประกาศว่าจะถึงแก่มรณภาพภายในเดือน 8 ของปีนี้แล้ว

สิ้นสุดการออกธุดงค์


         การถือธุดงค์ของหลวงพ่อมี 6 ครั้ง ต้องสิ้นสุดลงแค่ 7 ปีเท่านั้น (2475 – 2481) เพราะเดิมทีท่านได้ตั้งใจจะออกธุดงค์ตลอด 10 ปี แต่บังเอิญมีสาเหตุถูกตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดมารวิชัย ทำการบูรณะอุโบสถที่กำลังชำรุดทรุดโทรมตามกาลเวลา จนพระภิกษุสงฆ์ทำสังฆกรรมไม่ได้ ให้มั่นคงถาวรยิ่งขึ้นสืบต่อไป
25#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-18 12:35 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
การสร้างพระเครื่อง


         ในสมัยหลวงพ่อนิล วัดหน้าต่างใน น้องชายคู่บารมีขององค์ท่านหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ได้กล่าวคำทำนายอนาคตของหลวงพ่อมีต่อหน้าองค์ท่านหลวงพ่อจงไว้ว่า “หลวงพ่อมี จะมีชื่อเสียงเมื่ออายุมากแล้ว แต่จะค่อย ๆ มีชื่อเสียงเหมือนกับหลวงพ่อจง ไม่โด่งดังตูมตามเหมือนกับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค” การที่หลวงพ่อนิล วัดหน้าต่างในกล่าวคำเปรียบเทียบหลวงพ่อมีดังนี้ เนื่องจากในยุคสมัยนั้น ชื่อเสียงกิตติคุณขององค์ท่านหลวงพ่อปาน โสนันโท แห่งวัดบางนมโค โด่งดังมากกว่าหลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อีกทั้งยังมีลูกศิษย์ลูกหาหลัก ๆ มากกว่าหลวงพ่อจงเสียอีกด้วย สังเกตได้จากวิชาอาคมที่องค์ท่านหลวงพ่อมี นำมาใช้จึงมักจะเป็นวิชาจากหลวงพ่อปาน ส่วนพระเลขพระยันต์ ที่องค์ท่านหลวงพ่อมีใช้เป็นยันต์หลักประจำตัวตลอดมานั้น ท่านใช้ยันต์พระพรหม 4 หน้า ของหลวงพ่อเขียน พระอาจารย์หลวงน้า วัดบ้านพร้าวนอก ปทุมธานีผู้เรืองวิชา

         มาบัดนี้ หลวงพ่อมีท่านมีสิริอายุ 87 พรรษา คำทำนายของหลวงพ่อนิล วัดหน้าต่างนอกในครั้งกระนั้นตรง ๆ จะ ๆ เมื่อเหตุการณ์และสานุศิษย์ ต่างได้เห็นในพลังคุณ ในพุทธคุณที่องค์ท่านหลวงพ่อมีใช้เวลาผ่านมาในพรรษาถึง 65 พรรษา ชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วแคว้นในปัจจุบัน ประชาชนจากทั่วทุกสารทิศทั้งใกล้และไกลต่างเดินทางเข้าขอพร ขอของดีกับหลวงพ่อมี ที่วัดมารวิชัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังเกตได้จาก ไม่ว่าหลวงพ่อมี ท่านสร้างและปลุกเสกพระเครื่องหรือวัตถุมงคลใด ๆ ออกมา ล้วนแล้วแต่ได้รับความนิยมชมชอบจากพุทธศาสนิกชนอย่างกว้างขวางทุกอย่างเป็นเพราะ


ของท่านใช้ได้ผล


         กาลเวลาที่ผ่านมาเป็นบทพิสูจน์ให้เห็นประจักษ์แล้วว่า ชื่อเสียงขององค์ท่านหลวงพ่อมี โด่งดังมาได้อย่างไร ท่านผู้อ่านที่ติดตามมาถึงบรรทัดนี้ คงไม่แปลกใจเพราะได้ทราบในปฏิปทาและศีลาจารวัตร ตลอดถึงเรื่องเวทวิทยาคมที่องค์ท่านศึกษา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วมากล้นด้วยความเพียบพร้อม คือเป็นประกาศกิตติคุณมาตั้งแต่ครั้งกระโน้นก็ว่าได้
26#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-18 12:36 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
พระคาถาปลุกเสกพระ


         หลวงพ่อมี มอบประสิทธิ์ประสาทพระคาถาปลุกเสกพระเครื่องรางของขลังทุกชนิดของท่านแด่ท่านผู้อ่านทั้งหลาย ทั้งยังใช้ปลุกเสกพระเครื่องรางของขลังได้ทุกอย่าง และทุกสำนักอีกด้วย เพราะเป็นพระคาถาจากพระคัมภีร์โบราณเก่าแก่ของหลวงพ่อสุวรรณ อดีตเจ้าอาวาสผู้เรืองวิทยาคมองค์ที่ 2 ของวัดมารวิชัย ดังนี้

ตั้ง “นะโม” 3 จบแล้วว่า... “อิสวาสุ ตะโนติ กุสะลังธัมมังตะโนติ ธัมมะเทสะนัง กุสะลังธัมมังตัณหายะ วิจะรันตานัง ตัณหานะคาตัง นะมามิหัง” ท่านให้ปลุกเสก 3-5-7 หรือ 9 คาบ ก็ได้ยิ่งมากยิ่งดี ข้อสำคัญจะใช้ไปในทางไหนควรอธิษฐานกล่าวคำอาราธนาก่อนทุกครั้ง จะประเสริฐยิ่งนักแล
“พุทธังอาราธนานัง ธัมมังอาราธนานัง สังฆังอาราธนานัง ข้าพเจ้าขออาราธนาคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธัมมเจ้า คุณพระสังฆเจ้า คุณพระบิดามารดา คุณครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ คุณพระพรหม เทพเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจงดลบันดาลให้ข้าพเจ้า (ปรารถนาสิ่งใด ให้ว่าสิ่งนั้นเพียงประการเดียว)...สรรพพุทธาประสิทธิ์ สรรพธัมมาประสิทธิ์ สรรสังฆาประสิทธิ์ สรรพสิทธิ์ ภะวันตุเม”
27#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-18 12:36 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
สร้างพระเครื่องอิทธิมงคล


         เหรียญรูปเหมือนรุ่นแรก ของหลวงพ่อมี ปี พ.ศ. 2507 เป็นเหรียญยอดนิยมที่มีสนนราคาสูงเล่นหากันในวงการพระเครื่องถึงหลักพันต้น ๆ ก็ยังหายาก และไม่ค่อยจะมีใครปล่อยหลุดมือง่าย ๆ กล่าวคือ ประสบการณ์ด้านอยู่ยงคงกระพันชาตรีของเหรียญรุ่นแรกเด่นชัดมาก เพราะเคยมีผู้ถูกฟันด้วย มีดพร้า คือมีดขอขนาดใหญ่ ด้ามยาวมีปลายเป็นขอคมมาก ใช้สำหรับเกี่ยวตัดต้นอ้อยฉับเดียวขาดครั้งละหลาย ๆ ลำ แต่มีดพร้าที่ว่าคมแสนคมยังฟันคอ ผู้ที่มีเหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อมีไม่เข้ามาแล้วหลายราย ! ที่เคยถูกแทงด้วย มีดปลายแหลม จนเสื้อทะลุแต่ไม่เข้าก็มีหลายราย ประสบการณ์จากการถูกยิงด้วยปืน ชนิดที่ห้อยเหรียญเดี่ยว ๆ อยู่บนคอ ไม่เคยเข้าเลยสักรายเดียว เรียกว่ามีผู้เคยถูกยิงด้วยปืนไม่เข้ามาแล้วหลายชนิดด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นปืนลูกโดด ปืนลูกซองแผด ปืนจุด 38 และปืนคอลท์ตราควายไทยประดิษฐ์ ที่ผ่านการปลุกเสกประจุอาคมซึ่งนักแสดงลูกทุ่งชอบใช้ยิงคัดทำลายอาคมต่าง ๆ ก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้ สำหรับปืนเอ็ม 16 อาวุธสงครามร้ายแรงยังไม่เคยมีประสบการณ์ แต่ใคร ๆ ก็เชื่อว่า “กันได้แน่” ! เพราะเคยมีผู้ใช้ติดตัว เหยียบกับระเบิดไม่เป็นอะไรมาแล้ว อาวุธอย่างอื่นเห็นทีไม่ต้องพูดถึง  และประสบการณ์สด ๆ ร้อน ๆ เมื่อปีที่แล้ว ลูกเขยลุงสำแล ธนสนธิ์ ถูกลอบยิงด้วย ปืนเอ็ม 16 เสียชีวิต ส่วนลูกสาวถูกยิงทะลุฝ่ามือ ที่ยกขึ้นป้องหน้าอก แต่ลูกกระสุนสงครามที่ยิงทะลุฝ่ามือ 2 นัด นัดหนึ่งยิงถูกสร้อยคอขาด ไม่ระคายผิว ! อีกนัดหนึ่งยิงถูกพระของหลวงพ่อมีเลี่ยมพลาสติกแตกละเอียด แต่ก็ไม่ระคายผิวเช่นกัน ! ลูกสาวลุงสำแล

         ซึ่งเป็นน้องของหลวงพ่อมี ไม่ได้ห้อยเหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อมี เพียงแต่ห้อยภาพถ่ายเล็ก ๆ เป็นกระดาษขาว-ดำ เลี่ยมพลาสติกอยู่บนคอภาพเดียวเท่านั้น... เป็นภาพถ่ายรุ่น 2 หลวงพ่อมีสร้างและปลุกเสก เมื่อปี พ.ศ. 2522 นี่เอง ! ภาพถ่ายรุ่นนี้จึงได้รับการขนานนามว่า “รุ่นเอ็มสิบหก”

         ขนาดภาพถ่ายเล็ก ๆ ของหลวงพ่อมียังมีพุทธานุภาพมหาศาล สามารถป้องกันปืนเอ็ม 16 ได้ อิทธิมงคลทุกชนิดของหลวงพ่อมีจึงถูกผู้รู้เสาะหากันอย่างเกรียวกราว ซึ่งก็เป็นที่แน่นอน เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อมีจึงมีผู้เสาะแสวงหาอย่างกว้างขวางขึ้น ค่านิยมก็ยิ่งสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว ประสบการณ์ในเหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อมีทางด้านอื่น ๆ ยังมีอีกมาก เช่น ถูกรุมตีด้วยไม้จนน่วมไปหมดทั้งตัวถึงกับเสียสติ ก็ยังไม่แตก ! ไม่ตาย ! ทางด้านอุบัติภัย แคล้วคลาด ทางท้องถนนก็รอดพ้นจากภยันตรายมาแล้วราวปาฏิหาริย์นับครั้งไม่ถ้วน แม้แต่ทางด้านเขี้ยวงา เช่น สุนัขกัด งูกัด หรือถูกประหลาดุกยักษ์ก็ไม่มีใครเป็นอะไรเลย แม้แต่น้อย บรรดาชาวไร่ชาวนาละแวกวัดมารวิชัย ได้ประจักษ์เห็นความศักดิ์สิทธิ์ในเหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อมีมามากแล้ว ดังนั้นชาวบ้านที่มีอยู่จึงหวงแหนกันมากขนาดเหรียญสึก ๆ ที่ใช้แล้ว ชาวกรุงเทพฯ เสนอราคาให้ถึง 3-4 พันยังไม่มีใครยอมออกง่าย ๆ ทั้งที่คนส่วนใหญ่จะจน และยังเช่านาหลวงทำนาอยู่ก็ยังไม่ปล่อย เพราะเหตุที่นับถือและใช้ได้ผลดีจริงนั่นเอง
หลวงพ่อมี พระเถราจารย์จอมขมังเวทผู้มีสิริอายุในตอนนั้น 75 ปี เล่ากรรมวิธีการปลุกเสกเหรียญรูปเหมือนรุ่นแรกให้ศิษยานุศิษย์ทั้งหลายฟังอยู่เสมอว่า “ฉันยกเหรียญที่อยู่ในหีบไปให้หลวงพ่อจง หน้าต่างนอก ปลุกเสกถึงที่นอน 7 วัน ยกไปให้หลวงพ่อสังข์ วัดน้ำเต้า ปลุกเสกอีก 7 วัน...แล้วนิมนต์พระคุณเจ้าเก่ง ๆ ของอยุธยามาทำพิธีปลุกเสกในโบสถ์อีก 4 องค์ หลวงพ่ออั้น วัดพระญาติ...หลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราช และหลวงพ่อบุญ วัดบางกระทิง และหลวงพ่อเจาะ ประดู่โลกเชษฐ์...พิธีปลุกเสกนั่นทำกันตั้งแต่เช้า ฉันก็เข้านั่งด้วย รวม 5 รูปตลอดคืนยันรุ่ง”
จากการเปิดเผยของหลวงพ่อมีนี้เอง ทำให้บรรดาลูกศิษย์ลูกหานิยมใช้เหรียญรุ่นแรกกันมาก เพราะอาศัยที่ผ่านการปลุกเสกจากหลวงพ่อจงถึง 7 วัน จึงเชื่อในพุทธคุณ “สามารถใช้แทนเหรียญหลวงพ่อจงได้เป็นอย่างดี” ทั้งยังได้รับการปลุกเสกจากพระอาจารย์ผู้เรืองวิชาอีก 4 องค์ ดังกล่าว ซึ่งล้วนเสียชีวิตไปหมดแล้ว
28#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-18 12:36 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
เหรียญรุ่นแรก ยิง 3 ครั้ง ปืนแตก

         คุณกลมเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการทดลองอิทธิมงคลของหลวงพ่อมีให้ฟังต่อไปว่า “ผมได้พระทุกอย่างของหลวงพ่อไปแล้ว ต้องนำมาทดลองทุกครั้ง...ไม่ใช่ผมจะไม่เชื่อถือท่านนะครับ แต่ผมอยากจะรู้ว่า พระแบบไหนใช้ทางไหนบ้าง เรียกว่าเคยทดลองยิงมาแล้วทุกอย่าง...บางอย่างก็ยิงไม่ออก บางอย่างก็ยิงออกแต่จ่อยิงใกล้ ๆ ไม่เคยถูก มีพระบางอย่างยิงถูกกระเด็นไปไกล แต่ไม่มีรอยถูกลูกปืนยิงเลยก็มี” “เท่าที่คุณพี่เคยทดลองมาแล้ว มีพระอะไรของหลวงพ่อที่ยิงไม่ออกบ้างครับ?” ผู้เขียนซักถามต่อด้วยความสนใจ “ก็มีเหรียญของหลวงพ่อรุ่นแรก...รุ่นฉลองพระครูนั่นแหละที่ยิงถึง 3 นัด ไม่ออก แต่พอยิงนัดที่ 3 ปืนแตก...ผมจึงไม่กล้ายิงพระรูปหล่อ 3 นัด เพราะกลัวปืนแตกอีก...แล้วก็มีตะกรุดโทน เคยยิงออกบ้างไม่ออกบ้าง จึงมาถามหลวงพ่อ ท่านก็บอกว่า...ไม่ได้ลงมหาอุดทุกดอก” !

         “แล้วพระผง เหรียญ แหวนต่าง ๆ และพระเมฆพัดเล่าครับ คุณพี่ทดลองแล้วได้ผลยังไงบ้าง?” “พระของหลวงพ่อใช้ดีทุกทางละครับ ส่วนใหญ่จะใช้ดีทางด้านแคล้วคลาดและคงกระพัน...ที่เมตตาดีก็มีเพราะมีคนพบประสบการณ์มากมายแล้วทุก ๆ ด้าน ถ้าคุณไม่เชื่อให้ไปถามชาวบ้านแถวนี้ดูก็ได้รู้ดีทุกคน ขึ้นชื่อว่าเป็นพระของหลวงพ่อแล้ว ใครได้พระอะไรก็ใช้ติดตัวกันอย่างนั้น ไม่ได้จำกัดรุ่น ขอให้เป็นพระของหลวงพ่อก็ใช้ได้” คุณกมลกล่าวอธิบาย “คุณทดลองยิงผ้ายันต์รอยมือแล้วหรือยัง?”
“ยังครับ ผมเห็นหลวงพ่อท่านตั้งใจทำพิธีพิมพ์มือและปลุกเสกในโบสถ์แล้ว ผมเชื่อว่าต้องเป็นของดีแน่ ๆ เพราะไม่เคยเห็นหลวงพ่อทำพิธีจริงจังอย่างนี้มานานแล้ว” !
29#
 เจ้าของ| โพสต์ 2013-3-18 12:36 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
รถคว่ำ 2 ครั้ง ไม่เป็นอะไร


         “คุณกมลใช้พระอะไรของหลวงพ่อประจำตัว?” “อ๋อ...ก็เหรียญรุ่นแรกนะครับ เพราะเคยมีประสบการณ์รถคว่ำมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ไม่เป็นอะไรเลย จึงมาขอบวชอยู่กับหลวงพ่อครั้งแรกนานมาแล้ว ได้เหรียญมาใหม่ ๆ ก็เจอเลย ครั้งที่ 2 เมื่อ 5 ปีที่แล้ว รถคว่ำตรงทางโค้งหน้าวัดสามกอ มีคนตายและบาดเจ็บสาหัสทุกคน แต่มีอยู่คนหนึ่งชื่อ ลุงจอง นามสกุล อื้อฉาว อายุเกือบ 60 ปีแล้วก็ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรแม้แต่น้อย ได้ถามแกแล้วก็ มีเหรียญรุ่นแรก ของหลวงพ่อเหมือนกัน” “เท่าที่คุณพี่ได้ยินได้ฟังมา ยังมีใครอีกบ้างที่มีประสบการณ์การใช้พระของหลวงพ่อ?” “ก็มีอยู่หลายคน เอาเฉพาะลูกชายผมเอง ชื่อ ธวัชชัย ตอนนี้อายุ 19 แล้ว เมื่อ 2 ปีก่อน ไปเยี่ยมลุงที่พระประแดง รถปิคอัพคว่ำกลางทางก็ไม่เป็นอะไร ในตัวก็มีเหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อเหมือนกัน น้องชายผมเป็นตำรวจชื่อนายดาบประมวล ประจำอยู่ที่วัฒนานคร จังหวัดปราจีนบุรี ก็ใช้เหรียญ และตะกรุด ของหลวงพ่อ เคยถูกผู้ก่อการร้ายยิงไม่เข้ามาแล้ว เรียกว่ามีประสบการณ์หนัก ๆ มาแล้วอย่างโชกโชนทางด้านชายแดน”

         นี่คือเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับปาฏิหาริย์อิทธิมงคลวัตถุหลวงพ่อมี เขมธัมโม พระอาจารย์จอมขมังเวทแห่งวัดมารวิชัย ซึ่งผู้เขียนได้สัมภาษณ์ผู้พบประสบการณ์อย่างสด ๆ ร้อน ๆ มาแทรกเรื่องให้ท่านผู้อ่านคลายความเคร่งเครียดลงไปบ้าง

กราบนมัสการครับ

ขอบคุณข้อมูลดีๆครับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้