ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 1945
ตอบกลับ: 3
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

~ อยู่เพื่ออะไร ~

[คัดลอกลิงก์]


ขอให้ตั้งอยู่ในความสงบรับโอวาทพอสมควรวันนี้มีทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตมาถวายดอกไม้ตามกาลเวลาเรื่องสักการะเรื่องคารวะการเคารพต่อผู้ใหญ่เป็นมงคลอันเลิศพรรษานี้อาตมาไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงไม่สบาย สุขภาพไม่แข็งแรงจึงหลบมาอยู่บนภูเขานี้ก็ได้รับอากาศบริสุทธิ์สักพรรษาหนึ่งญาติโยมสานุศิษย์ทั้งหลายไปเยี่ยมก็ไม่ได้สนองศรัทธาอย่างเต็มที่เพราะว่าเสียงมันจะหมดแล้วลมมันก็จะหมดแล้วนับว่าเป็นบุญที่เป็นตัวเป็นตนมานั่งให้ญาติโยมเห็นอยู่นี่นับว่าดีแล้วต่อไปก็จะไม่ได้เห็นลมมันก็จะหมดเสียงมันก็จะหมดเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยของสังขารที่พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านสอนไว้ขะยะวัยยังคือ ความสิ้นไปเสื่อมไปของสังขาร


ความเสื่อมไปแห่งสังขาร

เสื่อมไปอย่างไรเปรียบเหมือนก้อนน้ำแข็งแต่ก่อนมันเป็นน้ำเขาเอามาทำให้เป็นก้อนแต่มันก็อยู่ไม่นานหรอกมันก็เสื่อมไปเอาก้อนน้ำแข็งใหญ่ๆเท่าเทปนี้ไปวางไว้กลางแจ้งจะดูความเสื่อมของก้อนน้ำแข็งก็เหมือนสังขารนี้มันจะเสื่อมทีละน้อยทีละน้อยไม่กี่นาทีไม่กี่ชั่วโมงก้อนน้ำแข็งก็จะหมดละลายเป็นน้ำไปนี่เรียกว่าเป็นขะยะวัยยังความสิ้นไปความเสื่อมไปแห่งสังขารทั้งหลายเป็นมานานแล้วตั้งแต่มีโลกขึ้นมาเราเกิดมา เราเก็บเอาสิ่งเหล่านี้มาด้วยไม่ใช่ว่าเราทิ้งไปไหนพอเกิดเราเก็บเอาความเจ็บความแก่ ความตายมาพร้อมกัน
ดังนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านจึงตรัสไว้ว่าขะยะ-วัยยัง ความสิ้นไปเสื่อมไปของสังขารทั้งหลายเรานั่งอยู่บนศาลานี้ทั้งอุบาสกอุบาสิกา ทั้งพระทั้งเณร ทั้งหมดนี้มีแต่ก้อนเสื่อมทั้งนั้นนี่ที่ก้อนมันแข็งเปรียบเช่นก้อนน้ำแข็งแต่ก่อนเป็นน้ำมันเป็นก้อนน้ำแข็งแล้วก็เสื่อมไปเห็นความเสื่อมมันไหมดูอาการที่มันเสื่อมซีร่างกายของเรานี่ทุกส่วนมันเสื่อมผมมันก็เสื่อมไปขนมันก็เสื่อมไปเล็บมันก็เสื่อมไปหน้ามันก็เสื่อมไปอะไรทุกอย่างมันเสื่อมไปทั้งนั้น


ธาตุดิน น้ำลม ไฟ

ญาติโยมทุกคนเมื่อครั้งแรกคงจะไม่เป็นอย่างนี้นะคงจะมีตัวเล็กกว่านี้นี่มันโตขึ้นมาเจริญขึ้นมาต่อไปนี้มันก็จะเสื่อมเสื่อมไปตามธรรมชาติของมันเสื่อมไปเหมือนก้อนน้ำแข็งเดี๋ยวก็หมดก้อนน้ำแข็งมันก็กลายเป็นน้ำเรานี่ก็เหมือนกันทุกคนมีดิน มีน้ำมีไฟ มีลม เมื่อมีตัวตนประกอบกันอยู่ธาตุสี่ ดินน้ำ ลม ไฟ ตั้งขึ้นเรียกว่าคน แต่เดิมไม่รู้ว่าเป็นอะไรหรอกเรียกว่าคนเราก็ดีอกดีใจเป็นคนผู้ชายเป็นคนผู้หญิงสมมติชื่อให้นายนั่นนางนี่ตามเรื่องเพื่อเรียกตามภาษาให้จำง่ายใช้การงานง่ายแต่ความเป็นจริงก็ไม่มีอะไรมีน้ำหนึ่งดินหนึ่ง ลมหนึ่งไฟหนึ่ง มาปรุงกันเข้ากลายเป็นรูปเรียกว่า คนโยมอย่าเพิ่งดีใจนะดูไปดูมาก็ไม่มีคนหรอกที่มันเข้มแข็งพวกเนื้อพวกหนังพวกกระดูกทั้งหลายเหล่านี้เป็นดินอาการที่มันเหลวๆตามสภาพร่างกายนั้นเราเรียกว่าน้ำ อาการที่มันอบอุ่นอยู่ในร่างกายเราเรียกว่า ไฟอาการที่มันพัดไปมาอยู่ในร่างกายของเรานี้ลมพัดขึ้นเบื้องบนพัดลงเบื้องต่ำนี้เรียกว่า ลมทั้งสี่ประการนี้มาปรุงกันเข้าเรียกว่าคนก็ยังเป็นผู้หญิงผู้ชายอีกจึงมีเครื่องหมายตามสมมติของเรา


2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-2-21 08:24 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ทุกคนนอนอยู่กับโครงกระดูก

แต่อยู่ที่วัดป่าพงที่ไม่เป็นผู้หญิงไม่เป็นผู้ชายก็มีเป็นนะปุง-สักลิงค์ไม่ใช่อิตถีลิงค์ไม่ใช่ปุงลิงค์คือ ซากศพที่เขาเอาเนื้อเอาหนังออกหมดแล้วเหลือแต่โครงกระดูกเท่านั้นเป็นซากโครงกระดูกเขาแขวนไว้ไปดูก็ไม่เห็นว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายใครไปถามว่านี่เป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้แต่มองหน้ากันเพราะมันมีแต่โครงกระดูกเท่านั้นเนื้อหนังออกหมดแล้วพวกเราทั้งหลายก็ไม่รู้ทุกคนไปวัดป่าพงเข้าไปในศาลาก็ไปดูโครงกระดูกบางคนดูไม่ได้วิ่งออกจากศาลาเลยกลัว... กลัวเจ้าของอย่างนั้นเข้าใจว่าไม่เคยเห็นตัวเราเองสักทีไปกลัวกระดูกไม่นึกถึงคุณค่าของกระดูกเราเดินมาจากบ้านนั่งรถมาจากบ้านถ้าไม่มีกระดูกจะเป็นอย่างไรจะเดินไปมาได้ไหมเกิดมาพร้อมกันไม่เคยเห็นกันนอนเบาะอันเดียวกันไม่เคยเห็นกันนี่แสดงว่าเราบุญมากที่มาเห็นแก่แล้ว ๕๐ ปี๖๐ ปี ๗๐ ปี ไปวัดป่าพงเห็นโครงกระดูกกลัวนี่อะไรไม่รู้แสดงว่าเราไม่คุ้นเคยเลยไม่รู้จักตัวเรากลับไปบ้านก็ยังนอนไม่หลับอยู่สามสี่วันแต่ก็นอนกับโครงกระดูกนั่นแหละไม่ใช่นอนที่อื่นหรอกห่มผ้าผืนเดียวกันอะไรๆด้วยกันนั่งบริโภคข้าวด้วยกันแต่เราก็กลัวนี่แสดงว่าเราห่างเหินจากตัวเรามากที่สุดน่าสงสาร ไปดูแต่อย่างอื่นไปดูต้นไม้ไปดูวัตถุอื่นๆว่าอันนั้นโตอันนี้เล็กอันนั้นสั้นอันนั้นยาวนี่ไปดูแต่วัตถุของอื่นนอกจากตัวเราไม่เคยมองดูตัวเราเลยถ้าพูดตรงๆแล้วก็น่าสงสารมนุษย์เหมือนกันดังนั้นคนเราจึงขาดที่พึ่ง


เห็นร่างกายตามความเป็นจริง

อาตมาเคยบวชนาคมาหลายองค์เกสา โลมา นะขาทันตา ตะโจ นาคที่เคยเป็นนักศึกษาคงนึกหัวเราะว่าท่านอาจารย์เอาอะไรมาสอนนี่ เอาผมที่มันมีอยู่นานแล้วมาสอนไม่ต้องสอนแล้วรู้จักแล้วเอาของที่รู้จักแล้วมาสอนทำไมนี่คนที่มันมืดมากมันก็เป็นอย่างนี้คิดว่าเราเห็นผมอาตมาบอกว่าคำที่ว่าเห็นผมนั้นคือ เห็นตามความเป็นจริงเห็นขนก็เห็นตามความเป็นจริงเห็นเล็บ เห็นหนังเห็นฟัน ก็เห็นตามความเป็นจริงจึงเรียกว่าเห็นไม่ใช่ว่าเห็นอย่างผิวเผินเห็นตามความเป็นจริงอย่างไรๆ เราคงจะไม่หมกมุ่นอยู่ในโลกอย่างนี้ถ้าเห็นตามความจริงผม ขน เล็บ ฟันหนัง เป็นอย่างไรตามความเป็นจริงเป็นของสวยไหมเป็นของสะอาดไหมเป็นของมีแก่นสารไหมเป็นของเที่ยงไหมเปล่า...มันไม่มีอะไรหรอกของไม่สวยแต่เราไปสำคัญว่ามันสวยของไม่จริงไปสำคัญว่ามันจริง


ร่างกายเป็นที่รวมของสิ่งโสโครก

อย่าง เกสาโลมา นะขา ทันตาตะโจ คือ ผม ขนเล็บ ฟัน หนังคนเราไปติดอยู่นี่พระพุทธองค์ท่านยกมาทั้งห้าประการนี้เป็นมูลกรรมฐานสอนให้รู้จักกรรมฐานทั้งห้านี้เป็นอนิจจังเป็นทุกขังเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนไม่ใช่เราไม่ใช่เขาเราเกิดขึ้นมาก็หลงมันซึ่งเป็นของโสโครกดูซิ... คนเราไม่อาบน้ำสักสองวันสิเข้าใกล้กันได้ไหมมันเหม็นเหงื่อออกมากๆไปนั่งทำงานรวมกันอย่างนี้เหม็นทั้งนั้นแหละกลับไปบ้านอาบน้ำถูสบู่ออกหายเหม็นไปนิดหนึ่งก็หอมสบู่ขึ้นมาได้ถูสบู่มันก็หอมไอ้ตัวเหม็นก็อยู่อย่างเดิมนั่นแหละมันยังไม่ปรากฏเท่านั้นกลิ่นสบู่มันข่มไว้เมื่อหมดสบู่มันก็เหม็นตามเคย


จงรู้จักพึ่งตัวเอง

เรามักจะเห็นรูปที่นั่งอยู่นี่นึกว่ามันสวยมันงาม มันแน่นมันหนา มันตรึงตรามันไม่แก่ มันไม่เจ็บมันไม่ตาย หลงเพลิดเพลินอยู่ในสากลโลกนี้จึงไม่รู้จักพึ่งตนเองตัวที่พึ่งของเราคือใจ ใจของเราเป็นที่พึ่งจริงๆศาลาหลังนี้มันใหญ่ก็ไม่ใช่ที่พึ่งมันเป็นที่อาศัยชั่วคราวนกพิราบมันก็มาอาศัยอยู่ตุ๊กแกมันก็มาอาศัยอยู่จิ้งเหลนนี้มันก็มาอาศัยอยู่ทุกสิ่งทุกอย่างมาอาศัยอยู่ได้เราก็นึกว่าของเรามันไม่ใช่ของเราหรอกมันอยู่ด้วยกันหนูมันก็มาอยู่สารพัดอย่างนี่เรียกว่าที่อาศัยชั่วคราวเดี๋ยวก็หนีไปจากไปเราก็นึกว่าอันนี้เป็นที่พึ่งของเราคนมีบ้านหลังเล็กๆก็เป็นทุกข์เพราะบ้านมันเล็กมีบ้านหลังใหญ่ๆก็เป็นทุกข์เพราะกวาดไม่ไหวตอนเช้าก็บ่นตอนเย็นก็บ่นจับอะไรวางตรงไหนก็ไม่ค่อยได้เก็บคุณหญิงคุณนายนี่จึงเป็นโรคประสาทกันเป็นทุกข์กัน


อย่าแต่งกายจงแต่งใจกันเถิด

ฉะนั้น พระพุทธองค์จึงให้หาที่พึ่งคือ หาใจของเราใจของเราเป็นสิ่งที่สำคัญโดยมากคนเราไม่ค่อยมองดูในสิ่งที่สำคัญไปมองดูที่อื่นที่ไม่สำคัญเป็นต้นว่ากวาดบ้าน ล้างจานก็มุ่งความสะอาดล้างถ้วยล้างจานให้มันสะอาดทุกสิ่งทุกอย่างมุ่งความสะอาดแต่ใจเจ้าของไม่เคยมุ่งมองเลยใจของเรามันเน่าบางทีก็โกรธหน้าบูดหน้าเบี้ยวเท่านั้นแหละก็ไปมุ่งแต่จานให้จานมันสะอาดใจของเราไม่สะอาดเท่าไรก็ไม่มองดูนี่เราขาดที่พึ่งเอาแต่ที่อาศัยแต่งบ้านแต่งช่องแต่งอะไรสารพัดอย่างแต่ใจของเราไม่ค่อยจะแต่งกันทุกข์ไม่ค่อยจะมองดูใจนี่แหละเป็นสิ่งสำคัญพระพุทธองค์ท่านจึงพูดว่าให้หาที่พึ่งทางใจอัตตาหิอัตตโนนาโถใครจะเป็นที่พึ่งได้ที่เป็นที่พึ่งที่แน่นอนก็คือใจของเรานี่เองไม่ใช่สิ่งอื่นพึ่งสิ่งอื่นก็พึ่งได้แต่ไม่ใช่ของที่แน่นอนเราจะพึ่งสิ่งอื่นได้ก็เพราะเราพึ่งตัวของเราเราต้องมีที่พึ่งก่อนจะพึ่งอาจารย์พึ่งญาติมิตรสหายทั้งหลายจะพึ่งได้ดีนั้นเราต้องทำตัวของเราเป็นที่พึ่งให้ได้เสียก่อน

3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-2-21 08:25 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ให้ถามตัวเองว่าเราเกิดมาทำไม

วันนี้ที่มากราบนมัสการทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตขอให้รับโอวาทนี้ไปพินิจพิจารณาเราทุกคนให้นึกเสมอว่าเราคืออะไรเราเกิดมาทำไมนี่ถามปัญหาเจ้าของอยู่เสมอว่าเราเกิดมาทำไมให้ถามเสมอบางคนไม่รู้นะแต่อยากได้ความสุขใจมันทุกข์ไม่หายรวยก็ทุกข์จนก็ทุกข์ เป็นเด็กเป็นคนโตก็ทุกข์ทุกข์หมดทุกอย่างเพราะอะไร เพราะว่ามันขาดปัญญาเป็นคนจนก็ทุกข์เพราะมันจนเป็นคนรวยก็ทุกข์เพราะมันรวยมากของมากๆรักษาคนเดียว
ในสมัยก่อนอาตมาเคยเป็นสามเณรเคยเทศน์ให้โยมฟังครูบาอาจารย์ท่านให้เทศน์พูดถึงความร่ำรวยในการมีทาสให้มีทาสสักร้อยผู้หญิงก็ให้ได้สักร้อยหนึ่งผู้ชายก็ร้อยหนึ่งมีช้างก็ร้อยหนึ่งมีวัวก็ร้อยหนึ่งมีควายก็ร้อยหนึ่งมีแต่สิ่งละร้อยทั้งนั้นญาติโยมได้ฟังแล้วก็สบายใจให้โยมไปเลี้ยงควายสักร้อยหนึ่งเอาไหมเอาควายร้อยหนึ่งเอาวัวร้อยหนึ่งมีทาสผู้หญิงผู้ชายอย่างละร้อยให้โยมรักษาคนเดียวมันจะดีไหม นี่ไม่คิดดูแต่ความอยากมีวัวมีควาย มีช้างมีม้ามีทาสสิ่งละร้อยละร้อยน่าฟัง อุ๊ย!อิ่มใจเหลือเกินมันสบายนะแต่อาตมาเห็นว่าได้สักห้าสักสิบตัวก็พอแล้วแค่ฟั่นเชือกเท่านั้นก็เต็มทีแล้วอันนี้โยมไม่คิดคิดแต่ได้ ไม่คิดถึงว่ามันจะยากจะลำบาก


ไม่มีปัญญาจักพาให้เป็นทุกข์

สิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ในตัวเรานี้ถ้าเราไม่มีปัญญาจะทำให้เราทุกข์นะถ้าเรามีปัญญานำออกจากทุกข์ได้ตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจ ตาไม่ใช่ของดีนะถ้าเราใจไม่ดีไปมองคนบางคนไปเกลียดเขาอีกแล้วมานอนเป็นทุกข์อีกแล้วไปมองดูคนบางคนรักเขาอีกแล้วรักเป็นทุกข์อีกแล้วมันไม่ได้ก็เป็นทุกข์เกลียดก็เป็นทุกข์รักก็เป็นทุกข์เพราะมันอยากได้อยากได้ก็เป็นทุกข์ไม่อยากได้ก็เป็นทุกข์ของที่ไม่ชอบใจอยากทิ้งมันไปอยากได้ของที่ชอบใจของที่ไม่ชอบใจได้มามันก็ทุกข์ของที่ชอบใจได้มาแล้วกลัวมันจะหายอีกแล้วมันเป็นทุกข์ทั้งนั้นไม่รู้ว่าจะอยู่อย่างไรบ้านหลังใหญ่ๆขนาดนี้ก็นึกว่าจะให้มันสบายขึ้นเก็บความสบายเก็บความดีไว้ในนี้ถ้าคิดไม่ดีมันก็ไปไม่ได้ทั้งนั้นแหละ
ญาติโยมทั้งหลายจงมองดูตัวของเราว่าเราเกิดมาทำไมเราเคยได้อะไรไว้ไหมอาตมาเคยรวมคนแก่เอาคนแก่อายุเลย๘๐ ปีขึ้นไปมาอยู่รวมกันอาชีพทำนา ตามบ้านนอกของเราทำนามาตั้งแต่โน้นเกิดมาได้ ๑๗-๑๘ปี ก็รีบแต่งงานกลัวจะไม่รวยทำงานตั้งแต่เล็กๆให้มันรวยทำนาจน ๗๐ ปีก็มี๘๐ ปีก็มี ๙๐ปีก็มี ที่มานั่งรวมกันฟังธรรม"โยม" อาตมาถาม"โยมจะเอาอะไรไปไหมนี่เกิดมาก็ทำอยู่จนเดี๋ยวนี้แหละผลที่สุดจะไป...จะได้อะไรไปไหม"
ไม่รู้จัก ตอบได้แต่ว่า"จังว่าจังว่า จังว่า"*นี่ตามภาษาเขาว่ากินลูกหว้าเพลินกับลูกหว้ามันจะเสียเวลาเพราะจังว่านี่แหละจะไปก็ไม่ไปจะอยู่ก็ไม่อยู่มันอยู่ที่จังว่านั่งอยู่ก้างๆอยู่ง่านั่งอยู่คาคบนั่นแล้วมีแต่จังว่าๆ


อย่าทิ้งไม้เล็กแบกไม้ใหญ่

ตอนยังหนุ่มๆครั้งแรกอยู่คนเดียวเข้าใจว่าเป็นโสดไม่สบายหาคู่ครองเรือนมันจะสบายเลยหาคู่ครองมาครองเรือนให้เอาของสองอย่างมารวมกันมันก็กระทบกันอยู่แล้วอยู่คนเดียวมันเงียบเกินไปไม่สบายแล้วเอาคนสองคนมาอยู่ด้วยกันมันก็กระทบกันก๊อกๆแก๊กๆนั่นแหละลูกเกิดมาครั้งแรกตัวเล็กๆพ่อแม่ก็ตั้งใจว่าลูกเราเมื่อมันโตขึ้นมาขนาดหนึ่งเราก็สบายหรอกก็เลี้ยงมันไปสามคนสี่คนห้าคนนึกว่ามันโตเราจะสบายเมื่อมันโตมาแล้วมันยิ่งหนักเหมือนกับแบกท่อนไม้อันหนึ่งเล็กอันหนึ่งใหญ่ทิ้งท่อนเล็กแล้วแบกเอาท่อนใหญ่นึกว่ามันจะเบาก็ยิ่งหนักลูกเราตอนเด็กๆมันไม่กวนเท่าไรหรอกโยมมันกวนถามกินข้าวกับกล้วยเมื่อมันโตขึ้นมานี่มันถามเอารถมอเตอร์ไซด์มันถามเอารถเก๋งเอาล่ะความรักลูกจะปฏิเสธไม่ได้ก็พยายามหามันก็เป็นทุกข์ถ้าไม่ให้มันก็เป็นลูกบางทีพ่อแม่ทะเลาะกัน"อย่าพึ่งไปซื้อให้มันเลยรถนี่ มันยังไม่มีเงิน"แต่ความรักลูกก็ต้องไปกู้คนอื่นมาเห็นอะไรก็อยากซื้อมากินแต่ก็อด กลัวมันจะหมดเปลืองหลายอย่างต่อมาก็มีการศึกษาเล่าเรียนถ้ามันเรียนจบเราก็จะสบายหรอกเรียนมันจบไม่เป็นหรอกมันจะจบอะไรเรียนไม่มีจบหรอกทางพุทธศาสนานี่เรียนจบศาสตร์อื่นนอกนั้นมันเรียนต่อไปเรื่อยๆเรียนไม่จบเอาไปเอามาก็เลยวุ่นเท่านั้นแหละบ้านหนึ่งเรียน๔ คน ๕ คน ตาย!พ่อแม่ทะเลาะกันไม่มีวันเว้นละอย่างนั้น
เราถูกระดูกอยู่ทุกวันความทุกข์มันเกิดมาภายหลังเราไม่เห็นนึกว่ามันจะไม่เป็นอย่างนี้เมื่อมันมาถึงเข้าแล้วจึงรู้ว่าโอ! มันเป็นทุกข์ทุกข์อย่างนั้นจึงมองเห็นยากทุกข์ในตัวของเรานะโยมพูดตามประสาบ้านนอกเราเรื่องฟันของเรานะโยมตอนไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควายขี้ถ่านไฟก็ยังเอามาถูฟันให้มันขาวไปถึงบ้านก็ไปยิงฟันใส่กระจกนึกว่ามันขาวถูฟันแล้วนี่ไปชอบกระดูกของเจ้าของไม่รู้เรื่องพออายุถึง ๕๐-๖๐ปี ฟันมันโยกเออ! เอาซิฟันโยกมันจะร้องไห้กินข้าวน้ำตามันก็ไหลเหมือนกับถูกศอกถูกเข่าเขาอยู่ทุกเวลาฟันมันเจ็บมันปวดมันทุกข์มันยากมันลำบากนี่อาตมาผ่านมาแล้วเรื่องนี้ถอนออกหมดเลยในปากนี้เป็นฟันปลอมทั้งนั้นมันโยกไม่สลายอยู่๑๖ ซี่ ถอนทีเดียวหมดเลยเจ็บใจมันหมอไม่กล้าถอนแน่ะตั้ง๑๖ ซี่ "หมอ ถอนมันเถอะเป็นตาย อาตมาจะรับเอาหรอก"ถอนมันออกทีเดียวพร้อมกัน๑๖ซี่ ที่มันยังแน่นๆตั้งหลายซี่ตั้ง ๕ ซี่ ถอนออกเลยแต่ว่าเต็มทีนะถอนออกหมดแล้วไม่ได้ฉันข้าวอยู่๒-๓ วัน นี่เป็นเรื่องทุกข์


จะเก็บจะตายสังขารไหลเรื่อยไป

อาตมาคิดแต่ก่อนนะตอนไปเลี้ยงวัวเลี้ยงควายเอาถ่านไฟมาถูให้มันขาวรักมันมากเหลือเกินนึกว่ามันเป็นของดีผลที่สุดมันจะหนีจากเราจึงเกือบตายเจ็บฟันนี้มันตั้งหลายเดือนตั้งหลายปีบางทีมันบวมทั้งข้างล่างข้างบนหมดท่าเลยโยมอันนี้คงจะเจอกันทุกคนหรอกพวกที่ฟันไม่โยกเอาแปรงไปแปรงให้มันสะอาดสวยงามอยู่นั่นแหละระวังนะ ระวังมันจะเล่นงานเราเมื่อสุดท้ายซี่ยาวซี่สั้นมันสลับกันอยู่อย่างนี้ทุกข์มากโยมอันนี้ทุกข์มากจริงๆ
อันนี้บอกไว้หรอกบางทีจะไปเจอเอาทุกข์เพราะความทุกข์ในตัวของเรานี้จะหาที่พึ่งอะไรมันไม่มีมันค่อยยังชั่วเมื่อเรายังหนุ่มพอแก่เข้าก็เริ่มพังมันช่วยกันพังสังขารมันเป็นไปตามเรื่องของมันเราจะร้องไห้มันก็อยู่อย่างนี้จะดีใจมันก็อยู่อย่างนี้เราจะเป็นอะไรมันก็อยู่ของมันอย่างนี้เราจะเจ็บจะปวดจะเป็นจะตายมันก็อยู่อย่างนั้นเพราะมันเป็นอย่างนั้นนี่มันหมดความรู้หมดวิชา เอาหมอฟันมาดูฟันถึงแก้ไขแล้วยังไงก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้นต่อไปหมอฟันเองก็เป็นเหมือนเราอีกไปไม่ไหวอีกแล้วทุกอย่างมันก็พังไปด้วยกันทั้งหมดนี้เป็นความจำเป็นที่เราจะต้องรีบพิจารณาเมื่อมีกำลังเรี่ยวแรงก็รีบทำจะทำบุญสุนทานจะทำอะไรก็รีบจัดทำกันแต่ว่าคนเราก็มักจะไปมอบให้แต่คนแก่จะเข้าวัดศึกษาธรรมะรอให้แก่เสียก่อนโยมผู้หญิงก็เหมือนกันโยมผู้ชายก็เหมือนกันให้แก่เสียก่อนเถอะไม่รู้ว่าอะไรกันคนแก่นี่มันกำลังดีไหมลองไปวิ่งแข่งกับคนหนุ่มดูซิทำไมจะต้องไปมอบให้คนแก่เหมือนไม่รู้จักตายพอแก่มาสัก๕๐ ปี ๖๐ ปี จวนเข้าวัดอยู่แล้วหูตึงเสียแล้วความจำก็ไม่ดีเสียแล้วนั่งก็ไม่ทน"ยายไปวัดเถอะ"
"โอย หูฉันไม่ดีแล้ว"
นั่นเห็นไหมตอนหูดีเอาไปฟังอะไรอยู่จังว่า... จังว่ามันคาแต่ลูกหว้าอยู่นั่นแหละจนหูมันหนวกเสียแล้วจึงไปวัดมันก็ไปได้นั่งฟังท่านเทศน์เทศน์อะไรไม่รู้เรื่องมันหมดแล้วจึงมาทำกัน

4#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-2-21 08:26 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
ยามหนุ่มสังขารแบกเรายามแก่เราแบกสังขาร

วันนี้คงจะได้ประโยชน์กับบุคคลที่สนใจเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ควรเก็บไว้ในใจของเราสิ่งทั้งหลายนี่เป็นมรดกของเราทั้งนั้นมันจะรวมมารวมมาให้เราแบกทั้งนั้นแหละขานี่เป็นสิ่งที่วิ่งได้มาแต่ก่อนอย่างขาอาตมานี่จะเดินมันก็หนักสกลร่างกายจะต้องแบกมันแต่ก่อนนั้นมันแบกเราบัดนี้เราแบกมันสมัยเป็นเด็กเห็นคนแก่ๆลุกขึ้นก็"โอ๊ย"นั่งลงก็ "โอ๊ย"มันทุกข์ถึงขนาดนั้นเรายังไม่เห็นโทษมันเมื่อจะหนีจากมันเราไม่รู้จักที่ทำเจ็บทำปวดขึ้นมานี่เรียกว่าสังขารมันเป็นไปตามเรื่องของมันมันเป็นประดงประดงไฟ ประดงข้อประดงงอประดงจิปาถะหมอเอายามาใส่ก็ไม่ถูกผลที่สุดก็พังไปทั้งหมดอีกคือสังขารมันเสื่อมมันเป็นไปตามสภาพของมันมันจะเป็นของมันอยู่อย่างนั้นอันนี้เป็นเรื่องธรรมชาติฉะนั้นให้ญาติพี่น้องให้พากันเห็นถ้าเห็นแล้วก็จะไม่เป็นอะไรอย่างงูอสรพิษตัวร้ายๆมันเลื้อยมาเราเห็น เราเห็นมันก่อนก็หนีมันไม่ได้กัดเราหรอกเพราะเราได้ระวังมันถ้าเราไม่เห็นมันเดินๆไปไม่เห็นก็ไปเหยียบมันเดี๋ยวมันก็กัดเลย


ไม่อยากทุกข์ต้องรู้จักทางแก้ไข

ถ้ามันทุกข์แล้วไม่รู้จะไปฟ้องใครถ้าทุกข์เกิดขึ้นจะไปแก้ตรงไหนคืออยากแต่ว่าไม่ให้มันทุกข์เฉยๆเท่านั้นอยากไม่ให้มันทุกข์แต่ไม่รู้จักทางแก้ไขมันแล้วก็อยู่ไปอยู่ไปจนถึงวันแก่วันเจ็บ แล้วก็วันตายคนโบราณบางคนเขาว่าเมื่อมันเจ็บมันไข้จวบลมหายใจจะขาดให้ค่อยๆเข้าไปกระซิบใกล้หูคนไข้ว่าพุทโธ พุทโธพุทโธ มันจะเอาอะไรพุทโธนั่นนะคนที่ใกล้จะนอนในกองไฟจะรู้จักพุทโธอะไรตั้งแต่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวอายุรุ่นๆทำไมไม่เรียนพุทโธให้มันรู้หายใจติดบ้างไม่ติดบ้าง"แม่ๆ พุทโธพุทโธ" ว่าให้มันเหนื่อยทำไมอย่าไปว่าเลยมันหลายเรื่องเอาได้แค่นั้นก็สบายแล้ว
โยมชอบเอาแต่ต้นกับปลายมันตรงกลางไม่เอาหรอกชอบอย่างนั้นบริวารพวกเราทั้งหลายก็ชอบอย่างนั้นทั้งญาติโยมทั้งพระทั้งเณร ชอบแต่ทำอย่างนั้นไม่รู้จักแก้ไขภายในจิตของเจ้าของไม่รู้จักที่พึ่งแล้วก็โกรธง่ายและก็อยากหลายด้วยทำไม คือคนที่ไม่มีที่พึ่งทางใจอยู่เป็นฆราวาสมีอายุ ๒๐-๓๐-๔๐ปี กำลังแรงดีอยู่พ่อบ้านแม่บ้านทั้งหลายก็พอพูดกันรู้เรื่องกันหน่อยนี่ ๕๐ ปีขึ้นไปแล้วพูดกันไม่รู้เรื่องกันแล้วเดี๋ยวก็นั่งหันหลังให้กันหรอกแม่บ้านพูดไปพ่อบ้านทนไม่ได้พ่อบ้านพูดไปแม่บ้านฟังไม่ได้เลยแยกกันหันหลังให้กันเลยแตกกันเลย


ความหมายของคำว่า"ครอบครัว"

เรื่องนี้อาตมาเล่าไปหรอกตัวเองไม่เคยมีครอบครัวทำไมไม่มีครอบครัวคืออ่านคำว่าครอบครัวมันก็รู้แล้วครอบครัว คืออะไรครอบมันก็คืออย่างนี้ถ้าเรานั่งอยู่เฉยๆก็เอาอะไรมาครอบลงนี้จะเป็นอย่างไรเรานั่งอยู่ไม่มีอะไรมาครอบมันก็พอทนได้ถ้าเอาอะไรมาครอบลงก็เรียกว่าครอบแล้วมันเป็นอย่างไรครอบก็เป็นอย่างนั้นมันมีวงจำกัดแล้วผู้ชายก็อยู่ในวงจำกัดผู้หญิงก็อยู่ในวงจำกัดอาตมาไปอ่านแล้วครอบครัวโอยหนักศัพท์ตายนี่คำนี้ไม่ใช่ศัพท์เล่นๆศัพท์ที่ว่าครอบ นี้ศัพท์ทุกข์ไปไม่ได้มันมีจำกัดแล้วต่อไปอีก ครัวก็หมายถึงการก่อกวนแล้วทิ่มแทงแล้วโยมผู้หญิงเคยเข้าครัวเคยโขลกพริกคั่วพริกแห้งไหมไอ จาม ทั้งบ้านเลยศัพท์ครอบครัวมันวุ่นไม่น่าอยู่หรอกอาตมาอาศัยสองศัพท์นี่แหละจึงบวชไม่สึก
ครอบครัวนี่น่ากลัวขังไว้จะไปไหนก็ไม่ได้ลำบากเรื่องลูกบ้างเรื่องเงินเรื่องทองบ้างสารพัดอย่างอยู่ในนั้นไม่รู้จะไปที่ไหนมันผูกไว้แล้วลูกผู้หญิงก็มีลูกผู้ชายก็มีมันวุ่นวายเถียงกันอยู่นั่นแหละจนตายไม่ต้องไปไหนกันละเจ็บใจขนาดไหนก็ไม่ว่าน้ำตามันไหลออกก็ไหลอยู่นั่นแหละเออ น้ำตามันไม่หมดนะโยมครอบครัวนี่นะถ้าไม่มีครอบครัวน้ำตามันหมดเป็นถ้ามีครอบครัวน้ำตามันหมดยากหมดไม่ได้ โยมเห็นไหมมันบีบออกเหมือนบีบอ้อยตาแห้งๆก็บีบออกให้เป็นน้ำไหลออกมาไม่รู้มันมาจากไหนมันเจ็บใจแค้นใจสารพัดอย่างมันทุกข์ เลยรวมทุกข์บีบออกมาเป็นน้ำทุกข์
อันนี้ให้โยมทั้งหลายเข้าใจถ้ายังไม่ผ่านมันจะผ่านอยู่ข้างหน้าบางคนอาจจะผ่านมาบ้างแล้วเล็กๆน้อยๆบางคนก็เต็มที่แล้วจะอยู่หรือจะไปหนอโยมผู้หญิงเคยมาหาหลวงพ่อ
"หลวงพ่อ แหมถ้าดิฉันไม่มีบุตรดิฉันจะไปแล้ว"
"เออ อยู่นั่นแหละเรียนให้จบเสียก่อนเรียนตรงนั้นอยากจะไปก็อยากจะไปไม่อยากจะอยู่ถึงขนาดนั้นก็ยังหนีไม่ได้"
วัดป่าพงสร้างกุฏิเล็กๆไว้ตั้ง๗๐-๘๐ หลัง บางทีจะมีพระเณรมาอยู่บรรจุเต็มบางทีก็มีเหลือ๒-๓ หลัง อาตมาถามว่า
"กุฏิยังเหลือว่างไหม"
พวกชีบอก "มีบ้าง๒-๓ หลัง"
"เออ เก็บเอาไปเถอะบางทีพ่อบ้านแม่บ้านเขาทะเลาะกันเอาไว้ให้เขามานอนสักหน่อย"
แน่ะ มาแล้วโยมผู้หญิงสะพายของมาแล้วถามว่า "โยมมาจากไหน"
"มากราบหลวงพ่อดิฉันเบื่อโลก"
"โอย! อย่าว่าเลยอาตมากลัวเหลือเกิน"
พอผู้ชายมาบ้างก็เบื่ออีกแล้วนั่นมาอยู่๒-๓ วัน ก็หายเบื่อไปแล้วโยมผู้หญิงมาก็เบื่อโกหกเจ้าของโยมผู้ชายมาก็เบื่อโกหกเจ้าของไปนั่งอยู่กุฏิเล็กๆเงียบๆ คิดแล้ว"เมื่อไหร่หนอแม่บ้านจะมาเรียกเรากลับ""เมื่อไหร่หนอพ่อบ้านจะมาเรียกเรากลับ"
แน่ะ ไม่รู้อะไรมันเบื่ออะไรกันมันโกรธแล้วมันก็เบื่อแล้วก็กลับอีกเมื่ออยู่ในบ้านผิดทั้งนั้นล่ะพ่อบ้านผิดทั้งนั้นแม่บ้านผิดทั้งนั้นมานั่งภาวนาได้๓ วัน "เออ! แม่บ้านเขาถูกเว้ยเรามันผิด" "พ่อบ้านเขาถูกเราซิผิด" มันจะกลับมันเปลี่ยนเอาเองของมันอย่างนั้นก็กลับไปเลยทั้งนั้นแหละนี้ความจริงมันเป็นอย่างนั้นนะโลกนี้อาตมาจึงไม่วุ่นวายอะไรกันมากรู้ต้นรู้ปลายมันแล้วฉะนั้น จึงมาบวชอยู่อย่างนี้



คิดและพิจารณาบ่อยๆพลอยให้เกิดปัญญา

วันนี้ขอฝากให้เป็นการบ้านเอาไปทำการบ้านจะทำไร่ทำนาทำสวนให้เอาคำหลวงพ่อมาพิจารณาว่าเราเกิดมาทำไมเอาย่อๆว่าเกิดมาทำไมมีอะไรเอาไปได้ไหมถามเรื่อยๆนะถ้าใครถามอย่างนี้บ่อยๆมีปัญญานะถ้าใครไม่ถามเจ้าของอย่างนี้โง่ทั้งนั้นแหละเข้าใจไหม บางทีฟังธรรมวันนี้แล้วกลับไปถึงบ้านจะพบเย็นนี้ก็ได้ไม่นานนะมันเกิดขึ้นทุกวันเราฟังธรรมอยู่มันเงียบบางทีมันรออยู่ที่รถเมื่อเราขึ้นรถมันก็ขึ้นรถไปด้วยถึงบ้านมันก็แสดงอาการออกมาอ้อ หลวงพ่อท่านสอนไว้จริงของท่านละมังนี่ตาไม่ดี ไม่เห็นนะ
เอาละ วันนี้เทศน์มากก็เหนื่อยนั่งมามากก็เหนื่อยสังขารร่างกายนี้

ที่มา http://www.ubu.ac.th/wat/ebooks/chahthai/Why_are_We_Here.html
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้