ตั้งให้เราเป็นเว็บแรกที่คุณเลือก เก็บเราไว้เป็นเว็บโปรด
สมัครสมาชิก ได้มากกว่าที่คุณคิด เข้าสู่ระบบ
ดู: 3537
ตอบกลับ: 2
สั่งพิมพ์ ก่อนหน้า ถัดไป

เนตรแห่งพรหม

[คัดลอกลิงก์]
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2014-2-6 12:01

คำสาปเพชรแบล็ก ออร์โลฟ
เพรชโฮป เพรชต้องคำสาป

                เพชร นอกจากจะสวยงาม เป็นสิ่งล้ำค่าหายากแล้ว ยังผูกพันธ์อยู่กับความเชื่อมากมาย เพชร "โฮป" เพชรสีน้ำเงินเข้มเม็ดนี้เป็นอีกหนึ่งตำนานที่ได้รับการกล่าวขานมาเนิ่นนาน ไม่ใช้ความสวยงามของมัน แต่เป็นเรื่องคำสาปของมันมากกว่าที่ใครก็ตามที่ครอบครองมันล้วนประสบเคราะห์กรรมต่างๆ นาๆ จนบางคนก็ตายก็มี แต่อย่างไรก็ตาม มีผู้แสดงความคิดเห็นคัดค้านว่าตำนานนี้ไม่น่าจะเป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องที่เขียนเสริมแต่งเติมเสียมากกว่า
                เพชรโฮป หรือโฮปไดอามอนด์ (Hope Diamond) มีที่มา ต้นกำเนิด จากไหน ไม่มีใครทราบ แต่มัน ปรากฏตัวเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกในปี1660 (บางเอกสารกล่าวว่าปี 1661) ว่ากันว่า เพชรโฮปมาจากดวงตาของเทวรูปในวัดริมแม่น้ำโคเลอรูน (Coleroon) ในอินเดีย ซึ่งถูกขุดพบในเหมืองคอลเลอร์ (Kollur mine) ในกอลคอนดา (แต่บางตำราก็อ้างว่าเพชรถูกขโมยมาจากพระเนตร(บางที่ก็ว่าจากพระนลาฏ) ของเทวรูปนางสีดาซึ่งเป็นชายาของพระวิษณุที่ชาวอินเดียเคารพนับถืออย่างสูงแปลงลงมาจุติ ทำให้เทพเจ้าไม่พอพระทัยและสาปแช่งมนุษย์ผู้ใดก็ตามที่บังอาจครอบครองสมบัติชิ้นนี้ต้องโชคร้าย แต่กระนั้นก็มีคนค้านเหมือนกันโดยเขาค้านว่ารูปร่างของเพชรดิบสีน้ำเงินนั้นไม่เหมาะที่จะเป็นอัญมณีประดับที่พระเนตร(หรือพระนลาฏ) ของเทวรูปเลย)
                แม้ที่มาจะลึกลับแต่เพชรโฮปก็เป็นเพชรที่หายากและมีสีน้ำเงินเหมือนสีไพลินเข้ม






เจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด (Prince Faisal Bin Fahd Bin Abdul Aziz)



   


                   


   ขึ้นชื่อว่าเพชร อัญมณีสูงค่าที่มีความแข็งแกร่งและแวววาวยากจะหาอัญมณีใดเสมอเหมือน แม้จะแฝงมาด้วยความอาถรรพณ์ที่ผู้เป็นเจ้าของต้องสะพรึงกลัว แต่ก็ไม่ได้บั่นทอนให้คุณค่าและความน่าหลงใหลของมันลดน้อยลงไป ในทางตรงข้ามกลับยิ่งเป็นการเพิ่มเสน่ห์ให้เพชรดูลึกลับน่าหลงใหลมากยิ่งขึ้นไปอีก

   สำหรับ "แบล็ก ออร์โลฟ (Black Orlov)" หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ "เนตรแห่งพรหม (Eye of Brahma)" ขนาด 67.5 กะรัต ซึ่งมีประวัติว่าผู้ที่เคยเป็นเจ้าของมันถึง 3 รายต้องพบจุดจบชีวิตที่น่าสยดสยอง จัดแสดงให้ชมเป็นขวัญตาครั้งแรกในนิทรรศการเพชร ที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ


  
  ย้อนหลังกลับไปเมื่อปี 2490 เจ้าหญิงนาเดีย เฟกิน-ออร์โลฟ (Princess Nadia Vyegin-Orlov) และเจ้าหญิงลีโอเนล กาลิตไซน์-บาเรียตินสกี้ (Princess Leonila Galitsine-Bariatinsky) ผู้เป็นเจ้าของแบล็ก ออร์โลฟ ถูกบันทึกว่าฆ่าตัวตายทั้งสองพระองค์

   กระทั่งสิบห้าปีก่อนหน้านี้ เจ ดับเบิลยู ปารีส (JW Paris) ผู้นำเข้าแบล็ก ออร์โลฟมาสู่สหรัฐอเมริกา กระโดดตึกฆ่าตัวตาย ปิดฉากชีวิตพ่อค้าอัญมณีที่ตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในมหานครนิวยอร์ก หลังจากที่เพิ่งปิดการขายเพชรเม็ดงามนี้ได้หมาดๆ

   แบล็ก ออร์โลฟ จึงเลื่องลือว่าเป็นเพชรต้องคำสาปที่ผู้เป็นเจ้าของต้องหวาดกลัว

    ประวัติของเพชรเม็ดนี้คลุมเครือ ตามตำนานร่ำลือถึงนักบวชรูปหนึ่งที่ขโมยเพชรดั้งเดิมเม็ดมหึมาขนาด 195 กะรัต ออกจากดวงตาของพระพรหม เทวรูปศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาฮินดูในวิหารแห่งหนึ่งใกล้กับเมืองพอนดิเชอรี่ ในอินเดีย การกระทำที่เป็นการลบหลู่เทพเจ้านำพาคำสาปมาสู่ผู้เป็นเจ้าของหินเลอค่า






    ความพยายามในการล้างอาถรรพณ์ที่ติดมากับเพชร คือการเจียเพชรออกเป็นสามเม็ดย่อม จากนั้นเพชรถูกกระจายไปเป็นกรรมสิทธิ์ของบรรดามหาเศรษฐีและดูเหมือนว่าทุกคนจะรอดพ้นจากคำสาป

    สำหรับ เดนนิส เพติเมซัส เจ้าของเพชรดำคนปัจจุบันซึ่งไม่หวั่นกับอาถรรพณ์น่าสะพรึงกลัวในอัญมณีที่เขาครอบครอง บอกว่า "ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 สื่อให้สมญา แบล็ก ออร์โลฟ ว่า "เพชรยมทูต" แต่ผมไม่เคยรู้สึกหวั่นเกรงที่ได้เป็นเจ้าของมัน ผมใช้เวลาปีที่แล้วพยายามสืบประวัติเรื่องราวของเพชรทุกอย่างเท่าที่จะหาได้และผมก็เชื่อมั่นว่าคำสาปหมดไปแล้ว"

    ด้าน อลัน ฮาร์ต หัวหน้าผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ ซึ่งรับหน้าที่ดูแลการจัดนิทรรศการครั้งนี้ กล่าวว่า ตำนานอาถรรพ์ของแบล็ก ออร์โลฟ สะท้อนให้เห็นวิถีแห่งอำนาจของเพชรที่ครอบงำจินตนาการของมนุษย์มานานนับพันๆ ปี "ความงดงามและอาถรรพณ์ลึกลับของมัน ช่วยเสริมความน่าสนใจให้กับนิทรรศการเพชรที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกครั้งนี้ได้อย่างลงตัวจริงๆ ครับ"

แหล่งที่มา
http://www.manager.co.th
http://www.luxist.com/entry/1234000567059803/
http://news.bbc.co.uk/1/hi/england/london/4262862.stm
2#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-2-6 11:41 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Sornpraram เมื่อ 2014-2-6 11:48

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ 10 อันดับสิ่งของต้องคำสาป
พร้อมที่มาของความน่าสะพรึงกลัว
บางชิ้นแค่มีไว้ในครอบครองก็อาจจะทำให้

ชีวิตคุณเดินไปสู่จุดจบอย่างง่ายดาย...




มาดู 10 อันดับ สิ่งของต้องสาป พร้อมประวัติครบทุกชิ้น ไล่ตั้งแต่อันดับ 10 หน้ากากนักรบเมารี อันดับ 9 เพชรโก อิ นัวร์ อันดับ 8 กองทัพทหารดินเผา อันดับ 7 ภาพเด็กร้องไห้ อันดับ 6 เดลี เพอร์เพิล แซฟไฟร์ หรือไพลินม่วงแห่งเดลี อันดับ 5 เพชรโฮป อันดับ 4 เอเยอร์สร็อค อันดับ 3 เพชร แบล็ก ออร์โลฟ อันดับ 2 ผนังหิน บลาร์นีย์ สโตน อันดับ 1 ไอซ์แมน จะน่ากลัวขนาดไหนไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เพราะของบางชิ้นแค่มีไว้ครอบครองก็อาจจะพาให้ชีวิตของคุณเดินไปสู่สุดจบได้โดยไม่รู้ตัว





อันดับ 10 หน้ากากนักรบเมารี
ชาวเมารีเป็นชนพื้นเมืองในนิวซีแลนด์ที่ได้ใช้เวลาเกาะสลักหน้ากากและรูปปั้นก่อนที่จะมุ่งหน้าไปสนามรบ ตามความเชื่อของชาวเมารี หากนักรบคนใดเสียชีวิตจากการสู้รบ ดวงวิญญาณของพวกเขาจะสิงสถิตในหน้ากาก และกลายเป็นหน้ากากต้องสาปที่เป็นภัยคุกคามคนอื่นๆ โดยเฉพาะผู้หญิงตั้งครรภ์และช่วงมีประจำเดือนจะเป็นอันตรายมากหากเข้าใกล้ ด้วยเหตุนี้ในพิพิธภัณฑ์อังกฤษจึงมีป้ายเตือนผู้หญิงให้ทราบในขณะรับชมหน้ากากของชนเผ่ามารี








อันดับ 9 เพชรโก อิ นัวร์

เพชรโก อิ นัวร์ (มีความหมายว่าภูเขาแห่งแสงสว่าง) เป็นเพชรหนักกว่า 186 1/16 กะรัต (37.21 กรัม) ที่มีความเก่าแก่ที่สุดในบรรดาเพชรที่มีชื่อเสียงต่างๆ จากทั่วโลก เพชรดังกล่าวถูกยึดมาจากลีปซิงห์ในปี ค.ศ. 1850 โดยบริษัทอังกฤษอินเดียตะวันออก และกลายเป็นส่วนหนึ่งของมงกุฏเพชรอังกฤษ โดยตำนานฮินดูโบราณเชื่อว่าพระกฤษณะเป็นผู้สวมใส่เพชรเม็ดนี้ กล่าวกันว่าผู้ใดครองเพชรเม็ดนี้จะได้ครองโลก หากแต่จะพบโชคร้ายของมันด้วย โดยเจ้าของเพชรจะพบแต่ความขัดแย้งและความรุนแรง ตัวอย่างเช่น เชอร์ ชาห์ ซูรินาเม แห่งอินเดียได้พ่ายแพ้สนามรบ จักรพรรดิหุมายุนได้เพชรต่อมาก็เสียชีวิตจากการถูกระเบิด ลูกชายชาลัล ถูกฆ่าตายโดยพี่ชายของเขา ซึ่งจะยกเว้นพระเจ้าหรือผู้หญิงเท่านั้นที่สวมเพชรเม็ดนี้โดยไม่ต้องคำสาปแต่อย่างใด










อันดับ 8 กองทัพทหารดินเผา

ในปี 1974 กลุ่มชาวเกษตรกร 7 คนได้ค้นพบโบราณคดีที่น่าอัศจรรย์ นั้นคือกองทัพของทหารดินเผาที่ถูกฝังใต้ดิน ในหมู่บ้านซีหยาง เมืองหลินถง ซึ่งกองทัพทหารดินเผานั้นมีการปั้นที่มีความละเอียดสมจริง ตัวหุ่นสวมชุดเกราะมีคันธนู และลูกธนูทองเหลือง และเมื่อมีการค้นหาเพิ่มเติมก็พบว่ามีรูปปั้นทหารและรถม้าดินเผามากกว่า 8,000 ตัว และรถม้าไม้ 100 คัน ในอาณาเขตพื้นที่กว่า 20,000 ตารางเมตร เชื่อว่าเป็นหนึ่งในสุสานของฉินสื่อหวง ที่ยิ่งใหญ่ของจีน อย่างไรก็ตามแม้ว่าการค้นพบจะมีคุณค่าทางโบราณคดีและมีชื่อเสียงของประเทศ มากเพียงใด หากแต่กลุ่มเกษตรกรที่พบดินเผาะพวกนี้กลับต้องพบกับคำสาปและความโชคร้าย สามในกลุ่มเกษตรเสียชีวิตไม่กี่สิบปีต่อมาทั้งที่ยังหนุ่ม เกษตรกรที่เหลือลาออกและทำงานแรงงานขั้นต่ำทั้งที่เต็มไปด้วยหนี้และโรคภัย ไข้เจ็บ












อันดับ 7 ภาพเด็กร้องไห้


ภาพเด็กร้องไห้เป็นภาพชุดซีรีย์โดยจิตกรจี บราโกลิน ที่หลายคนเชื่อว่าจิตกรคนดังกล่าวใช้เด็กชายโชคร้ายที่สูญเสียครอบครัวจากเพลิงไหม้ลึกลับคนหนึ่งเป็นต้นแบบร่างภาพ ซึ่งรูปถ่ายดังกล่าวเป็นที่นิยมมากในอังกฤษ หากแต่เวลาต่อมาในปี 1980 ก็กลายเป็นตำนานเมืองว่ากันว่าเป็นภาพต้องสาป หากใครแขวนภาพบนนี้ในบ้านก็จะเกิดไฟไหม้บ้านลึกลับ และที่น่าแปลกใจคือในขณะที่บ้านและข้าวของไหม้เป็นเถ้าถ่าน หากแต่มีภาพวาดเด็กร้องไห้ ผนังที่แขวนเท่านั้นที่ไม่ไฟจากเปลวเพลิงอย่างน่าพิศวง










อันดับ 6 เดลี เพอร์เพิล แซฟไฟร์ หรือไพลินม่วงแห่งเดลี


เดลี เพอร์เพิล แซฟไฟร์ หรือไพลินม่วงแห่งเดลี เชื่อว่าหินถูกปล้นมาจากวัดอินเดีย ในช่วงกลางปี 1800 กล่าวกันว่าใครที่ครอบครองมันจะมีปัญหาเรื่องสุขภาพและการเงินแก่ผู้เป็น เจ้าของ ตัวอย่างเช่นเอ็ดเวิร์ด เฮรอนอัลเลน นักเขียนเขียนชื่อดังที่ได้ครอบครองไพลินนี้ จนเกิดเรื่องโชคร้ายแก่เขาและคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสุขภาพและการเงิน แม้เขาพยายามโยนมันลงไปในคลองเพื่อกำจัดมันให้พ้นทาง แต่สามเดือนต่อมามันยังกลับคืนสู่เจ้าของ จนเขาต้องส่งมันไปเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติลอนดอน พร้อมกับมีคำแนะนำว่าห้ามให้ใครแตะต้องสัมผัสมันหลังจากการตายของเขา



3#
 เจ้าของ| โพสต์ 2014-2-6 11:44 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้




อันดับ 5 เพชรโฮป
เพชรโฮป เป็นเพชรขนาดใหญ่ หนัก 45.52 กะรัต (9.10 กรัม) สีน้ำเงินเข้ม ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติสมิธโซเนียนในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพชรโฮปได้รับการอธิบายว่าเป็น "เพชรที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก"และเป็นเพชรที่มีคำสาป ซึ่งมันมีประวัติศาสตร์บันทึกยาวนานเปลี่ยนมือเจ้าของหลายครั้งระหว่างทางจากอินเดียไปฝรั่งเศส ไปอังกฤษและสหรัฐอเมริกา โดยผู้ที่เป็นเจ้าของนั้นจะพบกับความโชคร้าย ความตายที่เกิดจากการฆาตกรรมและโศกนาฏกรรมอื่นๆ โดยเจ้าของคนแรกคือพ่อค้าเพชรชาวฝรั่งเศสชอง-แบปตีส ตาแวร์นีเย ซึ่งเขาได้นำเพชรนี้ลอบเข้าไปในปารีสซึ่งตามตำนานกล่าวว่าเขาถูกหมาป่ากิน






อันดับ 4 เอเยอร์สร็อค

เอเยอร์สร็อค หรือ อูลูรู เป็นหินยักษ์ที่ตั้งตระหง่านในชนบทของออสเตรเลียที่มีนักท่องเที่ยวหลายพันคนเข้าชมมากมายในแต่ละปี ซึ่งสำหรับชาวอะบอริจินิสถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเนื่องจากหินยักษ์นั้นเม็ดหินเรียบและมีเม็ดแร่สวยงามเพราะมีหินต่างๆ หลายชนิดรวมกัน ทำให้มีนักท่องเที่ยวบางคนเอาชิ้นส่วนหินกลับบ้านด้วย นอกจากจะเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายที่เอาชิ้นส่วนหินออกนอกประเทศแล้ว หินนั้นยังเป็นมีคำสาปแช่งหากใครครอบครองมันจะนำมาซึ่งโชคร้าย โดยเฉพาะหากนำชิ้นส่วนออกจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของมัน ซึ่งส่วนมากนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะโดนคำสาปกันถ้วนหน้าและมักส่งหินของพวกเขาทางพัสดุกลับไปยังประเทศออสเตรเลียพร้อมกับข้อความขอโทษ




อันดับ 3 เพชร แบล็ก ออร์โลฟ

เพชร แบล็ก ออร์โลฟ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ " เนตรแห่งพรหม" ขนาด 67.50 กะรัต ค้นพบในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ในประเทศอินเดีย กล่าวกันว่าเป็นดวงตาของพระพรหมที่ถูกขโมยมาตามความชื่อของนักบวชศาสนาฮินดู ซึ่งอัญมณีถูกส่งผ่านไปยังเจ้าของหญิงหลายคนและซึ่งมีประวัติว่าผู้ที่เคยเป็นเจ้าของมันถึง 3 ราย ต้องพบจุดจบชีวิตที่น่าสยดสยอง สองในผู้หญิงที่ครอบครองมันได้กระโดดจากตึกสูงตาย อย่างไรก็ตามมีความพยายามล้างคำสาปที่ติดตามกับเพชร ด้วยการเพชรออกเป็นสามเม็ดย่อม จากนั้นเพชรถูกกระจายไปเป็นกรรมสิทธิ์ของบรรดามหาเศรษฐีทำให้สามารถรอดพ้นคำสาปมาได้ อีกทั้งผู้เป็นเจ้าของก็ไม่หวั่นเพราะเพชรที่ว่าสวยมากจนไม่สนคำสาปเลยทีเดียว





อันดับ 2 ผนังหิน บลาร์นีย์ สโตน
ผนังหิน บลาร์นีย์ สโตนเป็นหินในตำนานบนยอดหอคอยของปราสาทบลาร์นีย์ ที่สร้างขึ้นเมื่อ 600 ปีก ในไอร์แลนด์ กล่าวกันว่าผู้ใดที่จุมพิตผนังหินที่นี้จะมีแต่ความโชคดีร่ำรวย ซึ่งตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีบุคคลสำคัญ ประธานาธิบดี นักแสดงและนักท่องเที่ยวจำนวนมากมายจูบผนังนี้ อย่างไรก็ตามหากนำชิ้นส่วนของหินใดๆ จะนำมาซึ่งคำสาปแช่งในชีวิตของคนที่ขโมยมัน จากรายงานพบว่ามีหลายคนโชคร้ายหลังแอบหินนี้กลับมาบ้าน หลายคนมีภาวะซึมเศร้า ถูกเลิกจ้างงาน เป็นผลทำให้หลายคนทนไม่ไหวจึงส่งหินนี้ทางพัสดุไปยังสถานที่ของมันในที่สุด





อันดับ 1 ไอซ์แมน
ไอซ์แมนเป็นมัมมี่ที่มีสภาพสมบูรณ์ของชายอายุมากกว่า 5,000 ปีมาแล้ว โดยพบในเดือนกันยายน1991 ในเทือกเขาแอลป์ พรมแดนระหว่างออสเตรียกับอิตาลี โดยร่างของเขาถูกคนพบในน้ำแข็งครึ่งร่าง ถือว่าเป็นมัมมี่สมบูรณ์ที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ ปัจจุบันอยู่ในพิธภัณฑ์โบราณคดีในโบลซาโน ภาคเหนือของอิตาลี มัมมี่ดังกล่าวเต็มไปด้วยเรื่องประหลาดและน่าพิศวง รวมไปถึงคำสาปโดยเชื่อว่าใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับมัมมี่ตนนี้ไม่ว่าจะเป็นคนค้นพบและคนตรวจสอบจะตายอย่างลึกลับ โดยมีเหยื่อตายเพราะคำสาปทั้งสิ้นเจ็ดราย หนึ่งในผู้ค้นพบไอซ์แลนด์เสียชีวิตในอุบัติเหตุทางรถยนต์ระหว่างเดินทางที่จะไปกล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับสิ่งที่พบ และนักวิจัยคนอื่นๆ เสียชีวิตเพราะหิมะถล่มในเวลาไม่นาน ส่วนนักวิจัยคนอื่นเสียชีวิตจากสาเหตุเลือดผิดปกติหลังจากพบไอซ์แมน


ที่มา : Toptenthailand
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงชื่อเข้าใช้ | ลงทะเบียน

รายละเอียดเครดิต

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้